ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #247 : สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และ สมเด็จพระศรีสุลาลัย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.09K
      0
      17 เม.ย. 53

         ผู้อ่านเรื่อง บุญบรรพ์ บรรพ ๑ ถามกันมามากว่า สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เจ้าฟ้าบุญรอด) และ สมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) สองพระองค์นี้ต่าง ‘พูดจา’ คมคายและฉลาด จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการพูดจาของผู้หญิงสมัยนั้น

                เรื่องที่สงสัยกัน ขออธิบายดังนี้

                อันคำตรัสของสมเด็จฯ ทั้งสองพระองค์นั้น ก็เช่นเดียวกับรับสั่งของเจ้านายในเรื่องทุกพระองค์ คือ เป็นการจินตนาการผสมผสานกับการได้ฟังคำบอกเล่าสืบต่อกันมา และจากพระราชพงศาวดาร และจากจดหมายเหตุ เอกสารต่างๆ คือนำมาหรือสันนิษฐานจาก ‘แก่น’ แล้วจึงตกแต่งด้วยจินตนาการ

                ก่อนอื่นต้องพูดถึงผู้หญิงสมัยนั้น หรือผู้หญิงโบราณ ว่ากันตั้งแต่สมัยก่อนกรุงสุโขทัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเลยทีเดียว

                มีความในหนังสือหลวง ซึ่งพระเจ้าเฉียนหลงให้กรรมการข้าราชการตรวจจดหมายเหตุเก่าของจีนมาเรียบเรียง (ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี) ว่าด้วยเมืองประเทศต่างๆที่เคยมีไมตรีมากับกรุงจีน กล่าวถึง ‘เสี้ยมหลอก๊ก’ คือประเทศสยาม ว่ามีมาแต่ก่อนกรุงสุโขทัยแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ เหมงอ๋องก่ายสกทงเค้า ยกย่องผู้หญิงเสี้ยมหลอก๊กว่า มีสติปัญญายิ่งกว่าผู้ชาย การใช้จ่ายเงินทองสุดแล้วแต่ผู้หญิง ผู้ชายที่เป็นสามีก็ต้องเชื่อฟัง

                แสดงว่าผู้หญิงไทยนั้น ว่าโดยส่วนรวมๆ แล้วคงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมิได้อยู่ในอำนาจของบุรุษ เช่นผู้หญิงทางแถบเอเชียส่วนมาก

                จึงไม่น่าแปลกที่สมเด็จฯทั้งสองพระองค์จะทรงพระสติปัญญา ด้วยพื้นฐานพระราชประวัติก็มิใช่สตรีชาวบ้านทั่วๆไปอยู่แล้ว

                กล่าวถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีก่อน

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    พระราชโอรสในสมเด็จพระศรีสุเยนทราบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์แบบฝรั่ง
    มิใช่เป็นเพียงพระราชนิยม หากแต่ด้วยพระราชวิเทโศบาย
    ขณะกำลังอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ‘ให้ระวังแต่ข้างฝรั่ง' ซึ่งต้องคบฝรั่ง
    และแสดงให้เห็นว่าสยามประเทศ ก็เป็นอารยะเท่าเทียมกับฝรั่งทุกชาติ

                พระองค์ท่านประสูติ พ.ศ.๒๓๑๐ ปีที่กรุงศรีอยุธยาแตกพอดี และประสูติปีเดียวกันกับปีพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ทรงแก่พระชันษากว่า ๔ เดือน

                ตามที่ประมวลจากพระราชประวัติจากคำบอกเล่าและจดหมายเหตุต่างๆ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ คงจะทรงเข้มแข็ง เพราะประสูติเมื่อกรุงแตก พระชนนี คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กำลังทรงอยู่ในระหว่างอพยพลงมาจากกรุงศรีอยุธยา มิได้อยู่ในระหว่างสุขสบายเช่นแต่กาลก่อน เมื่อพระชนกชนนี เสด็จไปนครศรีธรรมราช และเสด็จกลับมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในกรุงธนบุรี พระองค์ก็เสด็จติดตามไปกลับทั้งยังทรงพระเยาว์

                ครั้นเมื่อพระชันษาเพียง ๑๔ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯให้หลวงฤทธิ์นายเวร มหาดเล็ก ลูกผู้พี่ของพระองค์ เป็นอุปทูตไปเมืองจีน สมเด็จฯ ก็ทรงขอตามไปในคณะทูตด้วย

                คณะทูตครั้งนั้น มีพระยามหานุภาพ เป็นราชทูต ออกไปเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๔ ปลายรัชสมัยกรุงธนบุรี

                ในหนังสือเรื่อง ‘เจ้าชีวิต’ พระนิพนธ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ กล่าวถึงเจ้าฟ้าบุญรอดว่า

                ‘ครั้น พ.ศ.๒๔๒๔ พระชันษาได้ ๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงใช้ให้ไปเป็นราชทูตที่ราชสำนักพระเจ้าฮ่องเต้แห่งประเทศจีน และเสด็จกลับเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ หลังจากเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว’

                เห็นจะต้องขอประทานค้านว่า คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากพระชนม์ขณะนั้นยังไม่เต็ม ๑๔ ด้วยซ้ำ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีท่านคงจะไม่ทรงใช้เด็กผู้หญิงอายุ ๑๓-๑๔ เป็นราชทูตไปกรุงปักกิ่งเป็นแน่

                ที่จริงแล้วจากจดหมายเหตุต่างๆทั้งของจีน และไทย ปรากฏว่าราชทูตที่ไปปักกิ่งใน พ.ศ.๒๓๒๔ นั้น คือ พระยามหานุภาพ มี หลวงนายฤทธิ์มหาดเล็ก เป็นอุปทูต หลวงนายฤทธิ์ ผู้นี้คือ พระโอรสองค์ที่ ๓ ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อสถาปนาพระบรมวงศ์แล้ว โปรดเกล้าฯ ตั้งเป็น เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ

                และที่ว่า เสด็จกลับหลังจากเปลี่ยนแปลงแผ่นดินแล้วก็เห็นจะทรงเข้าพระทัยผิด เพราะพระยามหานุภาพ ท่านได้แต่งนิราศไปเมืองจีน เอาไว้ เข้าใจว่าท่านคงแต่งเมื่อกลับมาถึงกรุงธนบุรีแล้ว และเมื่อกลับมาถึงกรุงธนบุรีบ้านเมืองคงจะกำลังวุ่นวาย เห็นจะยังไม่ถึงเปลี่ยนแผ่นดิน เพราะในนิราศตอนท้ายยังคงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชว่า

                “ชะรอยอัครบุรุษอุดมวงศ์ ในสิบองค์โพธิสัตว์ดุสิตสวรรค์ ได้ลัทธยาเทศทายทำนายธรรม์ ในอนันต์สำนักชิเนนทร์นาน จึงดลใจให้พระองค์ทรงนั่ง บัลลังก์รักรสพระกรรมฐาน ให้ทรงเครื่องนพนรัตน์ชัชวาล พระชมญาณแทนเบญจกกุธภัณฑ

                เอาพระไตรลักษณ์ทรงเป็นมงกุฎ ก็งามสุดยอดฟ้าสุธาสวรรค์ เอาพระศีลสุจริตในกิจธรรม์ เป็นสุวรรณเนาวรัตน์สังวาล

                เอาพระวิมุติธรรม์เป็นคันฉัตร  เอาพระสัจเป็นระไบไพศาล
                ล้วนเครื่องศิลวัตรชัชวาล         พระอุเบกขาญาณเป็นธารกร
                เอาพระไวปัญญาเป็นอาวุธ       ตัดวิมุติสงสัยแล้วสั่งสอน
                สว่างแจ้งกว่าแสงทินกร           สถาวรทั่วโลกแลงามฯ”

                จะเห็นได้ว่า ท้ายนิราศนี้รำพันถึงการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแปรเปลี่ยนพระจริตสนพระราชหฤทัยในการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ‘พระชมญาณแทนเบญจกกุธภัณฑ์’ ตอนจบ ยังถวายพระพรอีกยืดยาวและจบลงว่า

                “อันสมบัติในจังหวัดทวีปนี้ ให้อยู่ในพระบารมีทุกแห่งหน ให้พระเกียรติก้องฟ้าสุธาดล ขอพระชนม์ได้ร้อยวษา เอยฯ”

                อย่างไรก็ตาม การที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ตามไปในคณะทูต ครั้งนั้น ก็แสดงว่า พระองค์กล้าและต้องทรงมีความสามารถเข้มแข็งกว่าผู้หญิงโดยทั่วไป

                ยังมีเรื่องราวที่แสดงถึงพระปัญญาฉลาดอีกเรื่องหนึ่ง คือเมื่อครั้งที่หมอบรัดเล พร้อมด้วยภรรยาเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ เมื่อยังทรงเป็นพระพันวษาหรือ ออกนามอย่างชาวบ้านว่า ‘พระพรรษา’ ซึ่งประทับอยู่ ณ พระราชวังเดิมด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ แต่ยังทรงเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในรัชกาลที่ ๓ นั้น

                หมอบรัดเลได้กราบทูลเล่าถึงประเทศอเมริกาของตนว่าสนุกสบาย และทีท่าคงคุยถึงความศิวิไลซ์ต่างๆ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ท่านก็ทรงนิ่งฟัง แล้วทรงย้อนถามว่า หากเมืองของท่านสนุกสบายดังนั้นแล้ว พวกท่านมายังประเทศนี้ทำไมกันเล่า หมอบรัดเลจึงได้กราบทูลตอบว่า มาเพื่อนำคำสั่งสอนของพระเยซูมาสอนคนทั่วไปตามความประสงค์แห่งพระผู้เป็นเจ้า

                แล้วยังจดบันทึกไว้ด้วยว่า

                “ในระหว่างที่สมเด็จพระราชินี ตรัสแก่หมอบรัดเลนั้น เจ้าฟ้าน้อยประทับนิ่งมิได้ตรัสประการใดเลย และดูเหมือนว่าพระองค์ทรงเกรงกลัวพระราชมารดามากทีเดียว”

                แสดงว่าสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ นั้น พระบุคลิกคงจะน่าเกรงขาม นอกจากทรงพระสติปัญญาแล้ว เห็นจะทรงมีพระราชอัชฌาศัยเด็ดขาดอยู่ไม่น้อย อีกประการหนึ่งคงจะทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม ทั้งคงจะทรงเห็นแก่บ้านเมืองที่เพิ่งจะลงหลักปักฐานขึ้นใหม่เพียง ๔๒ ปี จึงทรงสนับสนุนให้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งเป็นลูกเลี้ยง เสด็จขึ้นครองราชย์ แทนที่จะทรงสนับสนุน พระราชโอรสผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้า จึงเห็นได้ว่า พระองค์ทรงทั้งพระสติและพระปัญญา

                เรื่องนี้ ร้อยเอก เฮนรี่ เบอร์นี่ ที่เข้ามาเป็นทูตอังกฤษในต้นรัชกาลที่ ๓ บันทึกถึงผู้สำเร็จราชการเกาะปรินซ์ออฟเวลส์ (คือเกาะปีนัง) ว่า

                “๒๕ ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันนี้ (คือ รัชกาลที่ ๓) เหตุการณ์และเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมา ก็เป็นการยืนยันตามคำบอกเล่าของนายครอเฟิรดว่า เมื่อครั้งเป็นกรมหมื่นเจษฎา พระองค์ท่านก็เป็นคนมีอุปนิสัยดี เฉลียวฉลาดและทรงพระปรีชาสามารถมาก ปัจจุบันมีพระชนมายุ ๓๘ พรรษา และกล่าวกันว่าทรงเอาใจใส่ในพระราชกิจ และราชการต่างๆ มากกว่าพระเจ้าอยู่หัวองค์ที่แล้ว การที่ทรงสนพระทัยในกิจการของราชอาณาจักร ทำให้ทรงเป็นที่ชอบพอรักใคร่โดยทั่วไป ทรงขึ้นครองราชสมบัติโดยไม่มีการนองเลือดเลยแม้แต่น้อย และได้รับความเห็นชอบจากพวกเสนาบดีทั้งหลาย ตลอดจนพระวงศานุวงศ์ต่างๆ ก็เห็นว่าทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมยิ่งกว่าเจ้าฟ้า (มงกุฎ) ซึ่งเป็นราชโอรส ประสูติแต่พระมเหสีของพระเจ้าอยู่หัวองค์ที่แล้ว ทรงมีความสามารถและพระพิจารณญาณสูงกว่าเจ้าฟ้าด้วยประการทั้งปวง และแม้แต่เจ้าฟ้ากับพระมารดาเองก็ยอมตกลงในเรื่องนี้โดยดี เจ้าฟ้าได้ทรงผนวช และข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่ทรงมีพรรคพวกซ่องสุมไว้เพื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าอยู่หัวเลย...ฯลฯ...”

                ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ สำหรับพระราชพิธีฝ่ายในนั้น สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ทรงจัดการให้ทุกอย่าง ตามที่พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ จดเอาไว้ว่า

                “สมเด็จพระพรรษา  ก็ได้ทรงจัดการข้างใน...”

                เป็นโชคดีของกรุงรัตนโกสินทร์ และสยามประเทศที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ทรงพระสติปัญญา มิได้ทรงคิดแต่จะให้พระราชโอรสเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงมิได้มีการแตกแยก จลาจลวุ่นวายดังที่เคยเกิดมาแล้วหลายครั้งหลายหนในสมัยกรุงศรีอยุธยา และดังที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×