ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #101 : พระยาพัทลุง (ขุน)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 859
      2
      10 เม.ย. 53

     บุคคลในเรื่อง บุญบรรพ์ที่มีบทบาทมากในตอนต้นๆ นี้ นอกจากท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) แล้วอีกผู้หนึ่งคือ พระยาพัทลุง (ขุน)

    สุลต่านสุลัยมานชาห์ เจ้าผู้ครองสิงครานคร (สงขลาเก่า) ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๖๓-๒๒๑๑
    สุสานสุลต่าน สุลัยมานชาห์ ที่หัวเขาแดง สงขลา ซึ่งกรมศิลปากรขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถาน

                น่าจะเล่าถึงเรื่องราวเชื้อสายของท่านผู้นี้อีกครั้ง แม้จะเคยเล่าประกอบกับเรื่องอื่นๆ มาบ้างแล้ว

                พระยาพัทลุง (ขุน) กับพระยาสมุทรบุรานุรักษ์ (หวัง) ได้เล่ามาแล้วว่า ทั้งสองท่านนี้ สืบสายสกุลลงมาจากสุลต่านสุลัยมานซึ่งอพยพเข้ามายึดชัยภูมิตั้งบ้านเมืองที่ตำบลหัวเขาแดงตั้งแต่รัชสมัย สมเด็จพระเอกาทศรฐ พ.ศ.๒๑๔๘ โน้น

                จริงๆ แล้วผู้นำที่นำพวกพ้องชาวชวาเมืองสาเลห์ หรือสเลมานอพยพลงเรือมาอยู่ที่หัวเขาแดงนั้น คือบิดาของสุลต่านสุลัยมาน ชื่อ ดะโต๊ะ โมกอลส่วนสุลต่านสุลัยมานเองขณะนั้นยังเด็กอายุประมาณ ๑๐ ขวบ สาเหตุที่พากันอพยพมาก็เพราะหนีตายจากพวกฝรั่งนักล่าเมืองขึ้นหลังจากทำการต่อต้านแล้วพ่ายแพ้

                สมัยนั้นเมืองพัทลุงมีแล้ว แต่เมืองขณะนั้นตั้งอยู่ที่เมืองสทิงพระ (สมัยโบราณเป็นเมืองเก่าเรียกว่าสตรึงเพรียะ ตั้งแต่อาณาจักรศรีวิชัยโน่น ชื่อเสียงจึงฟังเป็นเขมรๆ)

                ก่อนดะโต๊ะ โกมอล นำครอบครัวพวกพ้องบริวารมาขึ้นที่ชายหาดหัวเขาแดง เป็นเวลาที่กำลังมีพวกโจรสลัดเข้าปล้นเมืองพัทลุง โดยที่เจ้าเมืองไม่อาจต่อสู้ได้ พวกโจรสลัดกระทำย่ำยีโหดเหี้ยม เจ้าเมืองเกรงพระราชอาญาจึงชิงฆ่าตัวตาย ส่วนกรมการเมืองทั้งหมดลงพระราชอาญาจำตรวนคุมตัวเข้ากรุงศรีอยุธยาหมด

                อีก ๔-๕ ปีต่อมา เมืองพัทลุงก็โดนโจรสลัดปล้นอีก คราวนี้เป็นพวกโจรสลัดปลายแหลมมะลายู เจ้าเมืองพัทลุงอ่อนแออีกปล่อยให้พวกโจรสลัดกระทำย่ำยีชาวบ้านชาวเมือง จนพวกราษฎรพากันหวาดกลัวไปทั่ว

                เมื่อพวก ดะโต๊ะ โมกอล บิดา ของสุลัยมานยกกองเรืออพยพเข้ามาอยู่หัวเขาแดงเป็นการใหญ่ พวกชาวบ้านชาวเมืองจึงกลัวกันมาก

                ทว่า เมื่อเห็นว่าพวกนี้เข้ามาสร้างเพิงสร้างที่พักอยู่กันอย่างสงบจึงค่อยหายกลัวและกลายเป็นมิตรกัน แม้จะนับถือกันคนละศาสนา

                เรื่องนี้ มีผู้ที่ไม่ทราบจริง เข้าใจว่า ดะโต๊ะ โมกอล ตลอดจนสุลต่านสุลัยมานผู้ลูกชายเป็นโจรสลัดเข้ามาปล้นและครองเมืองพัทลุงในที่สุด ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงเป็นดังที่เล่าโดยนำมาจากประวัติเมืองพัทลุง และประวัติของสุลต่านสุลัยมานอันเป็นเอกสารเก่าๆ บ้าง ตำนานบ้างประกอบกันหลายเล่มหลายเรื่อง

                ทีนี้เล่าต่อไปว่า เพราะเหตุใดสุลัยมานจึงเป็น สุลต่าน( สุลต่านหมายถึงเจ้าหรือกษัตริย์ครองบ้านเมืองแว่นแคว้น ส่วน กาหลิบมีฐานะสูงส่งกว่า เป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่ที่สุดของศาสนาด้วยเป็นกษัตริย์ด้วย)

                คือต่อมาเมื่อทางกรุงศรีอยุธยา เห็นว่า บรรดาพวกชวาที่อพยพมานั้น รักสงบ และเข้มแข็ง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พระราชโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรฐ) จึงทรงตั้งให้ ดะโต๊ะ โมกอล เป็นข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง หรือเจ้าเมืองพัทลุงนั่นเอง แต่เรียกกันตามแบบแผนการปกครองในสมัยนั้น ทว่าบทความนี้มิใช่วิชาการจึงขอผ่านไป

                เมื่อ ดะโต๊ะ โมกอล ถึงแก่อสัญกรรม (พ.ศ.๒๑๖๓) ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม กรุงศรีอยุธยาจึงให้ สุลัยมานบุตรชายคนโตของดะโต๊ะฯ เป็นข้าหลวงใหญ่ พัทลุงสืบต่อสุลัยมานได้ให้ฟารีซี น้องชายคนรองเป็นปลัดเมือง

                สุลัยมานเป็นข้าหลวงใหญ่ เมืองพัทลุงได้ประมาณสิบปี ระหว่างนี้ก็ได้พัฒนาเมืองหัวเขาแดงให้เจริญเป็นเมืองท่าสำคัญ

                สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ ๑๐ ปี ก็สวรรคต ระหว่างนี้กรุงศรีอยุธยาเกิดเหตุการณ์ยุ่งเหยิงด้วยเรื่องแย่งชิงราชสมบัติ

                พระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรมยังเล็กๆ สององค์ขึ้นครองราชย์ต่อองค์ใหญ่ ครองอยู่ ๑ ปี ๗ เดือน องค์เล็กครองอยู่ ๖ เดือน ก็โดนเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จับประหาร แล้วขึ้นครองราชย์เอง ทรงนามว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

                ตอนนี้แหละที่ชาวต่างชาติทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งหัวเมืองปักษ์ใต้ (หรือปากใต้) พากันแข็งเมือง เพราะส่วนมากเห็นว่า พระเจ้าแผ่นดินโหดร้ายปราศจากศีลธรรมชาวต่างชาตินั้นก็มียามาดะ ชาวญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้เป็นออกญาเสนาภิมุข รวมทั้งสุลัยมานข้าหลวงใหญ่เมืองพัทลุง

                ในที่นี้น่าตั้งข้อสังเกตว่า พระเจ้าทรงธรรมนั้นคงจะ ทรงธรรมจริงๆ ตลอดเวลาที่ขึ้นครองราชย์ ๒๖ ปี เพราะดูจะมีคนรักภักดี และซื่อสัตย์ด้วยกันมาก ทั้งๆ ที่ตามพระราชประวัติเคยบวชเป็นพระพิมลธรรมแล้วกบฏจับพระเจ้าศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสพระเอกาทศรฐ ประหารเสีย เมื่อครองราชย์ได้เพียง ๑ ปี ๒ เดือนเท่านั้นเอง

                กลับมาที่สุลัยมานใหม่

                สุลัยมานประกาศแข็งเมืองต่อพระเจ้าปราสาททอง และไม่ขึ้นต่อนครศรีธรรมราชเมืองเอกต่อไป สถาปนาเมืองพัทลุงเป็นรัฐสุลต่าน

                ดังนั้น ผู้คนจึงเรียกสุลัยมานว่า สุลต่านสุลัยมาน เพราะปกครองรัฐอยู่ถึง ๒๖ ปี ตลอดระยะเวลาที่พระเจ้าปราสาททองครองราชย์อยู่ โดยทางกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าปราสาททอง ส่งกองทัพมาปราบหลายครั้งก็สู้ไม่ได้พ่ายแพ้ไปทุกครั้ง กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเรื่อยมา

                ขณะเป็นสุลต่าน สุลต่านสุลัยมานได้ให้น้องชาย คือฟาราซี ปลัดเมืองพัทลุง ไปสร้างเมืองใหม่ที่เขาไชยบุรี (พัทลุงปัจจุบันนี้) ส่วนรัฐสุลต่านละความสำคัญจากเมืองพัทลุงท่าที่สทิงพระ มาปักหลักอยู่หัวเขาแดง ครอบครองไปถึงเมืองเก่าสิงขรา หรือสิงขรานัครัม (คือสงขลา) รวมเป็นรัฐสุลต่านด้วย

                สุลต่านสุลัยมาน ครองรัฐอยู่จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชโอรสในพระเจ้าปราสาททอง บุตรชายใหญ่ของสุลต่าน คือ มุสตาฟา ได้เป็นสุลต่านต่อมา

                จนถึง พ.ศ.๒๒๒๓ ปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงปีเดียว รัฐสุลต่านจึงยอมแพ้ (ว่ากันว่าเพราะกลอุบายของพระยารามเดโช เป็นมุสลิมนิกายสุหนี่ หรือสุนี เช่นเดียวกับพวกสุลต่านสุลัยมานซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงส่งมาครองนครศรีธรรมราชเพื่อปราบรัฐสุลต่าน)

                เมืองพัทลุงหัวเขาแดงที่มีป้อมแข็งแรงถูกทำลายไปมาก เมืองพัทลุงจึงย้ายไปตั้งที่เขาไชยบุรี ซึ่งฟาราซีหรือเพราซี น้องชายสุลต่านสุลัยมานไปสร้างไว้ตามคำสั่งของสุลต่านสุลัยมาน

                สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงโปรดให้ฟาราซี ดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการ เมืองพัทลุงต่อไป ฟาราซี ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ.๒๒๒๕ ปีเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคต

                ต่อจากนั้น หากมีเชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน รับราชการเป็นผู้ใหญ่พอที่จะดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ หรือเจ้าเมืองได้ก็มักจะโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนี้

                เห็นได้ว่า ตั้งแต่เมืองพัทลุงตั้งที่เขาไชยบุรี ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ๘ คน มีเชื้อสายสุลต่านสุลัยมานถึง ๔ คน จนถึง พ.ศ.๒๓๑๐

                เจ้าเมืองพัทลุงคนสุดท้ายก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก คือพระภักดีเสนา (แขก) เรียกกันว่า แขกคงหมายถึงเชื้อสายสุลต่านสุลัยมานผู้เป็นแขกชวานั่นเอง

                พระภักดีเสนา (แขก) เป็นเหลน (ปู่ทวด) ของสุลต่านสุลัยมาน เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๐๖-๒๓๑๐) เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อม ถูกเรียกให้ไปรบพม่าป้องกันกรุง ถึงแก่ความตายในการรบ

                ส่วนพระยาพัทลุง (ขุน) เป็นบุตรชายของพระยาราชบังสัน (ตะตา) พระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นเจ้าเมืองพัทลุงคนที่ ๗

                พระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นบุตรชายของพระยาจักรีเจ้าเมืองพัทลุง (ดะโต๊ะ ฮูเซน) เจ้าเมืองพัทลุง คนที่ ๓

                ดะโต๊ะ ฮูเซน เป็นบุตรชายของสุลต่านสุลัยมาน

                พระยาพัทลุง (ขุน) นั้น มีประวัติว่าเกิดและเติบโตในกรุงศรีอยุธยา จึงพูดภาษาปักษ์ใต้ไม่เป็น เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก เด็กชาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่ออายุ ๑๔ ปี ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกได้เข้าถวายตัวช่วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นครั้งแรก ตามเสด็จลงไปปราบก๊กเจ้านครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๓๑๒ ขณะนั้นอายุ ๓๕ ปี (เกิด พ.ศ.๒๒๗๗) จึงได้เป็นพระยาภักดีนุชิต สิทธิสงคราม ผู้ช่วยราชการนครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๕ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯให้ไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง) ในราชทินนาม พระยาแก้วโกรพพิชัยฯ เช่นเดียวกับบิดา พระยาราชบังสัน (ตะตา) ซึ่งมีราชทินนามว่า พระยาแก้วโกรพพิชัยฯ เช่นกัน ทว่าสร้อยต่างกัน

                ภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตก พระยาพัทลุง (ขุน) กับพี่น้องญาติๆ ได้พากันอพยพมาอยู่หมู่บ้านบริเวณใกล้ๆ วัดหนัง (วัดราชสิทธาราม) ไม่ห่างไกลกันนักกับพวกญาติๆ เชื้อสายเดียวกัน ซึ่งตั้งเคหสถานอยู่ใกล้วัดหงส์รัตนาราม ในคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง พระยาพัทลุง (ขุน) ได้คุณหญิงแป้น น้องร่วมบิดามารดากับท้าวทรงกันดาลเป็นภรรยา สกุลแขกเชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน สกุลมอญ สกุลไทยชาวสวนบางเชือกหนัง จึงพัลพันไปมาหาสู่สนิทคุ้นเคยกัน

                ผู้สืบตระกูล พระยาพัทลุง (ขุน) ได้รับพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ว่า ณ พัทลุง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×