ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : คลองรอบกรุง
เมื่อโปรดให้สร้างพระบรมมหาราชวัง และพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว ก็โปรดให้สร้างวังเจ้านายและโปรดให้เสนาบดีผู้ใหญ่สร้างบ้านเรือนอยู่โดยรอบพระราชวัง ส่วนบ้านเรือนข้าราชการชั้นผู้น้อย และราษฎรก็ตั้งอยู่ถัดออกมาเป็นชั้นๆ กันรายรอบออกไป บ้างก็รวบรวมกันตั้งอยู่เป็นหมู่ๆ ตามตำบลต่างๆ
บังเอิญอ่านประวัติของ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ในหนังสือหลายเล่ม โดยเฉพาะของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ซึ่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคำนำ เมื่อพิมพ์เรื่อง ‘อานามสยามยุทธ’ ใน ร.ศ.๑๒๒ (พ.ศ.๒๔๕๕)
หนังสืออานามสยามยุทธนี้ เมื่อพิมพ์ครั้งนั้นแจ้งไว้หน้าปก ว่า “เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) ที่สมุหนายกในรัชกาลที่ ๓-กรุงเทพฯ เป็นผู้เรียบเรียงไว้ ๕๕ เล่ม สมุดไทยตัวรง ว่าด้วยรายงานราชการกองทัพไทย ไปทำศึกสงครามกันกับ ลาว เขมร ญวน ทั้งสามชาติพ่ายแพ้แก่กองทัพไทย”
ในประวัติของเจ้าพระยาบดินทรฯว่า บ้านของเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) บิดาของท่านนั้น ตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ทีเดียว ก็โปรดฯให้อยู่ตรงที่ริมช้างสะพานช้างโรงสี สะพานข้ามคลองในสมัยโน้นยังไม่มีชื่อ เรียกกันว่าสะพานช้างแทบทั้งนั้น เพราะหากเป็นสะพานแข็งแรงมักหมายให้ช้างข้ามยิ่งกว่าคน ซึ่งแม้เพียงสะพานไม้แผ่นสองแผ่นคนก็เดินข้ามได้สะดวกแล้ว ที่เรียกสะพานช้างโรงสีสมัยโน้นคงจะมีโรงสีตั้งอยู่แถวนั้น
ห้างแบดแมน แอนด์ กำปะนี หรือ ห้างแบดแมน เป็นห้างขายของจากต่างประเทศ คล้ายๆ ห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน เป็นห้างฝรั่งตั้งขึ้นในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ ต่อมาเลิกห้างแล้วใช้เป็นตึกกรมโฆษณาการในสมัยประชาธิปไตย แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์ คนช่างคิดในแง่ตลกปนแสบๆ สันนิษฐานเอาเองว่า เพราะผู้คนชอบเรียกสั้นๆ ว่า ‘กรมโฆษฯ’ ในปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๔) เป็นที่ขายสลากกินแบ่ง (กับ) รัฐบาล
![]() |
ขบวนแห่รถยนต์เมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ขณะผ่านถนนราชดำเนินกลาง |
![]() |
ห้างแบดแมน เมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ |
ในสมัยก่อนโน้น บ้านเรือนของเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) คงจะมีอาณาเขตกว้างขวางมาก เล่าประกอบเสียนิดว่าเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) เป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตั้งแต่ยังทรงเป็นเจ้าพระยาจักรี เวลานั้นเรียกกันว่าเสมียนปิ่น ทรงขอท่านผู้หญิงนิ่มนวลหรือฟัก ซึ่งเป็นหลานเจ้าพระยาพลเทพกรุงธนบุรี ตกแต่งให้เป็นภรรยา มีบุตรหญิงชายหลายคน และคนหนึ่งก็คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์)
เจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) ในรัชกาลที่ ๑ และ ๒ ว่าเรียกกันว่า ‘เจ้าคุณผู้ใหญ่’ บ้านเรือนตรงห้างแบดแมนก็เรียกกันว่า ‘จวนเจ้าคุณผู้ใหญ่’ ตามประวัติว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงโปรดปราน และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาก โปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่ง เจ้าพระยาอภัยราชา ฯลฯ เอกอุอัครมหาเสนาบดี เทียบเท่าสมเด็จเจ้าพระยา ถึงอสัญกรรมในปีที่ ๒๔ รัชกาลที่ ๑ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จสวรรคต ๓ ปี โปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพในเมรุทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง)
จวนเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) ที่ว่าอยู่ตรงหน้าแบดแมนนี้ เมื่อเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) ถึงแก่อสัญกรรม ทั้งท่านผู้หญิงฟักก็ถึงแก่อสัญกรรมในรัชกาลที่ ๒ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ขณะที่ยังเป็นพระเกษตรรักษา (สิงห์) ก็เผอิญต้องพระราชอาญา) โดนจำอยู่ บรรดาบุตรธิดาอื่นต่างก็แยกเรือนไปหมด ไม่มีผู้ใดปกครองดูแล จึงโปรดเกล้าฯให้กลับคืนไปเป็นที่หลวงตามเดิม (เช่นเดียวกับวังเจ้านายในสมัยโน้น สร้างพระราชทานให้ประทับก็จริง ถ้าหากปราศจากทายาทผู้ใหญ่ที่จะดูแลปกครองต่อไปได้หลังจากเจ้าของวังสิ้นพระชนม์ก็จะเรียกคืนหลวง พระราชทานให้ผู้อื่นต่อไป)
ที่ดินบ้านเรือนจวนเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) นั้น ว่าใหญ่โตกว้างขวาง อาณาเขตเลยไปถึงตึกดินปืน (หน้าวัดราชประดิษฐ์ในปัจจุบัน) ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงเกรงว่าหากไม่มีผู้ดูแล อาจเกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่ เพราะแม้จะเป็นบ้านเรือนขุนนางผู้ใหญ่ ก็มีบ้านเล็กเรือนน้อยเป็นบริวาร ซึ่งครั้งนั้นล้วนมุงด้วยจาก เมื่อกลับมาเป็นของหลวงแล้ว ต่อมาเจ้าอุปราชเมืองนครจำปาศักดิ์ เกิดวิวาทบาดหมางกันกับเจ้าครองนคร จึงหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงพระราชทานที่จวนเจ้าพระยาอภัยราชาฯ (ปิ่น) ให้ เจ้าอุปราชนครจำปาศักดิ์ พร้อมทั้งครอบครัวบริวารอยู่อาศัยต่อไป ต่อมา เมื่อเจ้านครจำปาศักดิ์กลับไปบ้านเมืองแล้ว บ้านจวนเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) ก็เลยกลายเป็นบ้านสำหรับบรรดาเจ้านายประเทศราช ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารบ้าง ที่เข้ามาเฝ้าฯ เนื่องในโอกาสต่างๆ ทั้งลาวหลวงพระบาง เมืองน่าน เมืองเชียงใหม่ ตลอดไปจนเจ้าเมืองแขกมลายู ส่วนมากมักจะโปรดเกล้าฯให้ไปพักที่นั่น
ตลอดมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ ๓
ครั้งนั้นที่สร้างวัง โดยเฉพาะวังหน้าเริ่มจะคับแคบลง เพราะเจ้านายทั้งวังหน้าและวังหลวง ที่พระชันษาจะต้องเสด็จออกวัง มีมากพระองค์ขึ้น วังหรือบ้านเรือนขุนนางที่ปราศจากทายาทจะปกครองผู้คนบริวาร ซึ่งว่างเปล่าอยู่ พระเจ้าแผ่นดินก็จะทรงยกให้ท่านผู้อื่นอยู่แทน
จวนเก่าเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) เป็นเขตของวังหน้า จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็นวัง พระบวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสว่าง พระราชโอรส ใน สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ ๓ นั้น
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เมื่อออกมารับราชการในรัชกาลที่ ๓ จึงไม่มีบ้านจะอยู่
ใกล้ๆ กันนั้น ตรงปากคลองวัดชนะสงคราม ริมคลองหลอด หรือคลองคูเมืองเก่า ตรงกันข้ามกับวัดพระแก้ววังหน้า มีวังเก่าของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ ไม่มีผู้ปกครอง เพราะกรมขุนสุนทรภูเบศร์สิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จึงเข้าไปพักอาศัยอยู่
กรมขุนสุนทรภูเบศร์นี้ มิได้เป็นเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ มีนามเดิมว่า เรือง เรียกกันว่า หม่อมเรือง มีภูมิลำเนาอยู่ชลบุรี เมื่อเวลาบ้านเมืองเป็นจลาจลครั้งเสียกรุงเก่า ได้มีอุปการะแก่สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาสุรสิงหนาท จนได้ปฏิญาณเป็นพี่น้องกัน เมื่อประดิษฐานพระบรมราชวงศ์ สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ จึงกราบทูลขอให้ยกขึ้นเป็นเจ้า เดิมได้เป็นที่เจ้าบำเรอภูธร ต่อมาสถาปนาเป็นกรมหมื่น แล้วเลื่อนเป็นกรมขุนสุนทรภูเบศร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ โปรดให้สร้างวังพระราชทานที่ริมคลองคูเมืองเดิมทางฝั่งเหนือ ฝั่งเดียวกับจวนเจ้าพระยาอภัยราชาฯ ริมปากคลองวัดชนะสงครามมาจนจดเขตกรมแพทย์ทหารบกในปัจจุบัน กรมขุนสุนทรภูเบศร์ ไม่ปรากฏว่ามีทายาทผู้ใหญ่ปกครองวังต่อก็จริง แต่มีเชื้อสายสืบวงศ์ตระกูลต่อมาจนได้รับพระราชทานนามสกุลว่า ‘สุนทรกุล ณ ชลบุรี’
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) พักอาศัยอยู่วังเก่ากรมขุนสุนทรภูเบศร์ไม่นานเท่าใด ก็ต้องคืนให้หลวง เพื่อเป็นวังของเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ พระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาศักดิพลเสพ และเป็นวังเจ้าฟ้าอิศราพงศ์สืบมาจนถึงชั้นหม่อมราชวงศ์ ซึ่งเป็นนัดดาของเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ (ราชสกุล ‘อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา’ ถนนสายสั้นๆ หน้าวังจึงได้ชื่อในปัจจุบันนี้ว่า ‘ถนนเจ้าฟ้า’
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ท่านก็ ‘ร่อนเร่’ ต่อไป เวลานั้นได้เป็นที่พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) แล้วแต่ยังไม่มีบ้านเรือนจะอยู่แน่นอน คราวนี้ลงอยู่ในแพลอย ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของสมัยโน้น เพราะธรรมดาชาวบ้านชาวช่อง แม้แต่ขุนนางบางท่านก็อยู่แพกันแทบทั้งนั้น ในภาพโบราณ จะเห็นแพจอดกันเป็นตับตามแม่น้ำลำคลอง
พระยาพิไชยวารี (เจ๊สัวโต) เป็นข้าหลวงเดิม ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เช่นเดียวกัน จึงชักชวนให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) นำแพมาจอดปักหลักที่ท่าน้ำหน้าบ้าน พระยาพิไชยวารี ผู้นี้ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้เป็น เจ้าพระยานิกรบดินทร์ ต้นสกุล ‘กัลยาณมิตร’
ทั้งสองเจ้าพระยา มีคำว่า ‘บดินทร์’ ซึ่งเป็นคำท้ายพระนามทรงกรมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ด้วยกัน
ความคิดเห็น