ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : ดวงพระชะตาของเจ้านาย
แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไม่ทรงเห็นชอบด้วย ทรงปรึกษาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ขณะนั้นทรงดำรงพระยศ กรมหมื่นปรมานุชิตชิโนรส พระเจ้าอาซึ่งทรงเคารพนับถือมาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นทูลว่า ไม่ใช่เวลาควรจะปรารถนา อย่างหวงราชสมบัติดีกว่า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเชื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เพราะพ้องด้วยพระราชดำริอยู่แล้ว จึงทรงผนวชต่อไป
ผู้ใหญ่ที่เล่ากันต่อๆ มาสันนิษฐานกันว่า ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ตรัสเช่นนั้น คล้ายๆ กับทรงทราบถึงดวงพระชะตาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯว่า จะได้ขึ้นครองราชย์ทว่าไม่ใช่เวลาในขณะนั้น
![]() |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ ประสูติแต่เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี |
![]() |
เจ้าพระยาภานุวงศ์ มหาโกษาธิบดี (ท้วม) |
แต่เรื่องดวงชะตาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขึ้นกับเลขผานาที เวลา ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนได้ จึงไม่เป็นที่วางพระทัย ดังนั้น ในเมื่อเริ่มรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้แปดปี สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาศักดิพลเสพ ‘วังหน้า’ ในรัชกาลที่ ๓ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่โปรดฯ สถาปนาเจ้านายพระองค์ใดขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแทน ราชสมบัติจึงไม่แน่ว่าจะตกแก่เจ้านายพระองค์ใดในเวลาข้างหน้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตฯ จึงทรงปรึกษากันว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ สวรรคตหากราชสมบัติได้แก่เจ้านายบางพระองค์ อาจจะถูกเบียดเบียนให้ได้รับความเดือดร้อน ทรงพระดำริเห็นพร้อมกันว่า ควรจะสร้างวัดเล็กๆ ไว้ในเรือกในสวนสักแห่งหนึ่ง ถ้าถึงเวลาคับแค้นเมื่อใดจะได้เสด็จออกไปอยู่เสียที่วัดนั้นให้ห่างไกล อย่าให้เป็นที่กีดขวางราชการบ้านเมือง ทรงดำริพร้อมกันเป็นความลับอย่างนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงไปทรงสร้างวัดชิโนรสขึ้นในคลองมอญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงไปสร้างวัดนอก พระราชทานนามภายหลังว่า วัดบรมนิวาส
เมื่อพูดถึงดวงพระชะตาตลอดจนฤกษ์ประสูติของเจ้านายซึ่งทายทักกันไว้อย่างหนึ่ง แต่แล้วก็ผันแปรไป หาได้เป็นไปตามฤกษ์ประสูติไม่นั้น มีตัวอย่าง คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสพระองค์แรกในพระราชชายานารี เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี
เจ้าฟ้าพระองค์นี้ว่าที่จริงแล้วทรงอยู่ในข่ายที่จะสืบทอดราชสมบัติตามราชประเพณีเช่นกัน เพราะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าประสูติแต่เจ้าฟ้าลูกหลวง เมื่อประสูติก็นับถือกันว่ามีบุญ”
วันประสูติประจวบกับเป็นวันสำคัญ ตรงกับปีชวด วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ (ตรงกับวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๓๕๙)
ที่ว่าเป็นวันสำคัญ ปรากฏตามจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี ดังนี้
“ณ วัน ๖ฯ๕ เจ้าฟ้ากุณฑลประสูติเจ้าฟ้าอัมพร ได้จัตุรุค์โชคชัย ชนะสิ้นเสร็จพระยาปลัดทวาย พระโองการปราบราบเลี่ยนสิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ยิ่งด้วยพระบารมีที่สุดยังสมบัติมนุษย์ ยังให้เห็นแก่ตา ว่ามีพระคชาธารเผือกผู้คู่ควรไม่ได้บาศซัดคล้อง เมืองปัตบอง เมืองเชียงใหม่ เมืองแพร่ ถวายเป็นเครื่องบรรณาการ ด้วยบารมีบุญฤทธิ์พระพุทธเจ้าหลวงสมเด็จพระไอยกา พระเจ้าช้างเผือก”
สมเด็จพระไอยกา ในจดหมายเหตุ หมายถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวีทรงบันทึกจดหมายเหตุความทรงจำขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ จึงทรงเรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯว่า สมเด็จพระไอยกา (ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ) ทุกครั้งไปในตอนนี้ก็เป็นสมเด็จพระไอยกาของเจ้าฟ้าอาภรณ์ (อัมพร) ด้วย และเป็นสมเด็จพระไอยกาถึงสองทาง คือทางสมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงเป็นปู่ และทางพระราชมารดาทรงเป็นตา
ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าฟ้าอาภรณ์ยังไม่ได้เรียกกันว่าเจ้าฟ้า หรือทูลกระหม่อม ทั้งๆ ที่ว่าตามศักดิ์น่าจะได้เป็นเจ้าฟ้าชั้นเอก แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯมิได้ทรงยกย่อง แม้จะโปรดปรานพระราชชายานารี ประสูติพระโอรสธิดาถึง ๔ พระองค์ ในเวลารับราชการปลายรัชกาลเพียง ๘ ปี ชาววังออกพระนามเจ้าฟ้าอาภรณ์ และพระอนุชาอีก ๒ องค์ว่า องค์ใหญ่ องค์กลาง องค์ปิ๋ว เสมอพระองค์เจ้า ทั้งนี้คงด้วยความเกรงพระทัย สมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอด ซึ่งทรงดำรงพระสถานะพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๒ อยู่
ถึงรัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระชันษาเพียง ๘ พรรษา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดฯ ให้เป็นเจ้าฟ้า แต่คงเป็นเจ้าฟ้าชั้นโท พระราชทานพระนามว่า ‘อาภรณ์’ และรับสั่งเรียกว่า ‘หนูอาภรณ์’ ส่วน องค์กลาง และ องค์ปิ๋ว พระชนม์ ๕ และ ๒ พรรษา ตามลำดับ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯรับสั่งเรียกว่า ‘เจ้าหนูกลาง’ ‘เจ้าหนูปิ๋ว’ ขณะนั้นเห็นจะทรงพระเมตตาอยู่ไม่น้อย ทั้งสองพระองค์ ต่อมาออกพระนามกันว่า ‘เจ้าฟ้ากลาง’ ‘เจ้าฟ้าปิ๋ว’ เจ้าฟ้าปิ๋ว สิ้นพระชนม์พระชันษาเพียง ๑๙ ส่วนเจ้าฟ้ากลางถึงรัชกาลที่ ๔ พระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ทรงกรมและเลื่อนกรมมาเรื่อย จนถึงรัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ต้นราชสกุล ‘มาลากุล ณ อยุธยา’
เจ้าฟ้าอาภรณ์นั้น เมื่อประสูติในวันอันเป็นมงคลดังกล่าว มีผู้นับถือหวังกันไว้ว่าจะมีบุญ
แต่ก็ให้บังเอิญเกิดเรื่อง เมื่อพระชนม์ ถึง ๓๓ พรรษาแล้ว กรณีกรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งได้เคยเล่ามาแล้ว ปรากฏว่า เจ้าฟ้าอาภรณ์ ซึ่งทรงช่วยราชการกำกับกรมพระคชบาลอยู่กับกรมหลวงรักษ์รณเรศ มีส่วนพัวพันด้วย ถูกนำพระองค์ไปขัง แล้วเลยสิ้นพระชนม์ในที่คุมขังด้วยโรคป่วง (อหิวาตกโรค) โปรดฯให้นำพระศพไปฝังดินอย่างคนโทษ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งทรงผนวชอยู่กราบบังคมทูลขอพระราชทานทำพิธีถวายพระเพลิงอย่างพระศพเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็โปรดฯพระราชทาน
เรื่องเจ้าฟ้าอาภรณ์นี้ ปรากฏในพระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ นัยว่า ท่านทรงเจ้าเข้าผีผู้หญิง ผีนั้นบอกว่า กรมหลวงรักษ์รณเรศจะต้องได้ครองราชย์ ขณะนั้นเป็นเวลาปลายรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จครองราชย์ได้ ๒๔ ปี ทรงพระชราแล้ว ทั้งมิได้ทรงตั้งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลด้วย จึงมีเจ้านายมุ่งหวังว่าจะได้ครองราชย์ต่อ โดยเฉพาะกรมหลวงรักษ์รณเรศ
เรื่องทำนายทายทัก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ พระภิกษุชราในวัดท่าเกวียน หรือวัดตะเคียน ชื่อ หลวงปู่แก้ว ได้ถวายพยากรณ์ว่า จะได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ครั้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์จริงๆ ตามคำพยากรณ์ จึงโปรดฯให้หลวงปู่แก้วครองวัดตะเคียน พระราชทานนามใหม่ว่า ‘มหาพฤฒาราม’ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่หลวงปู่แก้ว
เรื่องคำพยากรณ์อีกเรื่องหนึ่งนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพยากรณ์เอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้ว เป็นส่วนมาก คือทรงพยากรณ์ดวงพระชะตา พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ว่าดวงพระชะตาแรงถึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ดังนั้น เมื่อบรรดาเสนาบดีพากันไปกราบทูลให้เสด็จครองราชย์จึงทรงพระราชดำรัสว่า ขอให้ถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯด้วยอีกพระองค์หนึ่ง เพราะพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯนั้นพระชะตาแรงนัก ตามตำราว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าถวายราชสมบัติแต่พระองค์เดียว เกรงจะเสด็จอยู่ไม่ได้ยั่งยืน ด้วยไม่สามารถจะทนแรงพระชะตาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้
เรื่องนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์เล่าไว้ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ ว่า เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เล่าถวายพระองค์ท่านเองว่าเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ เวลานั้นได้ตามท่านบิดา คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ที่สมุหพระกลาโหมไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯด้วย จึงได้ยินพระราชดำรัส
ความคิดเห็น