คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : พิธีตั้งกรม ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
เล่าถึงการทรงกรมแล้วน่าจะเลยเล่าถึงพิธีการตั้งกรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (ต้นรัตนโกสินทร์ ท่านกำหนดไว้ว่าตั้งแต่ ร.๑-๓ ตั้งแต่ ร.๔-๕ เป็นระยะกลางรัตนโกสินทร์)
ส่วนหนึ่งของ พระตำหนักที่ประทับ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ซึ่งรื้อมาเปลี่ยนแปลงเป็นศาลาการเปรียญ วัดรัชฎาธิษฐาน (วัดเงิน) |
พระราชพิธีตั้งกรมในครั้งกระนั้น เริ่มด้วยพิธีแบบพราหมณ์ ตั้งเครื่องสังเวย"บายศรี ศีรษะ สุกร ซ้ายขวา ธูปเทียน แป้ง น้ำมันหอม" อาลักษณ์ ผู้มีหน้าที่จารึกพระสุพรรณบัฎ นุ่งขาวห่มขาว (ผ้าขาวเบิกจากพระลังทั้งผ้านุ่มห่มของอาลักษณ์ และผ้าขาวที่จะรองพระสุพรรณบัฎ
เจ้าพนักงานเตรียม แตรสังข์ มุโหรี ปี่พาทย์ กลองแขก ฆ้องชัย ชาววังเอานาฬิกามาตั้ง (เวลานั้นคงจะเป็นนาฬิกาทราย คอยพระฤกษ์
เมื่อถึงเวลาพระฤกษ์ ก็ประโคมมโหรีปี่พาทย์ลั่นฆ้องชัย อาลักษณ์ลงกราบพระรัตนไตรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วจึงจารึกพระนามกรมลงในพระสุพรรณบัฎ ๑ บรรทัด พระสุพรรณบัฎเป็นแผ่นดินทองคำ เนื้อทอง ๘, ๗ หรือ ๖ ตามแต่พระเกียรติยศของเจ้านายที่ทรงกรมนั้นๆ เจ้าฟ้ามักจะเป็นทองเนื้อ ๘ และ ๗ พระองค์เจ้าทองเนื้อ ๖ แต่เมื่อจารึกพระนามกรมสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (พระสุพรรณบัฎจารึกว่า กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์) สมเด็จพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๒ นั้น จดหมายเหตุจดไว้ว่า แผ่นทองคำพระสุพรรณบัฎ เป็นทองร่อนบางตะพาน คือ ทองคำบริสุทธิ์ (จะเข้าใจผิดหรือถูกไม่ทราบ ว่าเรียกกันว่า ทองเนื้อ ๙)
ขั้นตอนต่อไป เมื่อจารึกพระนามกรมลงพระสุพรรณบัฎเรียบร้อยแล้ว กรมอาลักษณ์ เชิญพระสุพรรณบัฎ วางบนพานทองคำ คลุมด้วยผ้าสักหลาดแดงปักทองแผ่ลาด เชิญไปเก็บไว้โรงอาลักษณ์ ในรัชกาลที่ ๑ วัดพระศรีรัตนศาสดารามยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อย ต่อมาพิธีจารึกพระนามกระทำกันในพระอุโบสถ ก็เชิญเก็บไว้ในพระอุโบสถนั้นเอง
วันรุ่งขึ้นเวลาบ่ายมีพิธีสวดพระพุทธปริตฯ ณ วังเจ้านายที่ทรงรับกรม
ต่อจากนั้นวันต่อมาหลังจากพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน ณ พระอุโบสถแล้ว อาลักษณ์จึงเชิญพระสุพรรณบัฎจารึกพระนามจากมณฑลพิธี ขึ้นพระเสลี่ยงที่ต่างกรมพระองค์ใหม่นั้นทางส่งมารับ มหาดเล็กในกรมถวายพระกลดกั้นพระสุพรรณบัฎ ขุนนางในกรมอาลักษณ์เป็นผู้เชิญไปถวายต่อพระหัตถ์ เมื่อทรงรับแล้ว ประทานรางวัลแก่ผู้เชิญมาถวายตามสมควร
พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฎ สมเด็จพระพันปีหลวง พระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ ๒ มีจดหมายเหตุจดไว้อย่างละเอียด
พระราชพิธี มีที่พระอุโบสถวัดพระศรีฯ
แผ่นพระสุพรรณบัฎ กว้าง ๗ นิ้ว ยาว ๑๔ นิ้ว จารึกแล้วเชิญลงพระหีบเงินถมยาดำตะทอง รักษาไว้ ณ พระอุโบสถ
เมื่อเชิญพระสุพรรณบัฎไปถวายนั้น จดไว้ว่า
"ครั้น ณ วัด ๖๗ ๑๑ ค่ำ จึงเชิญพานพระสุพรรณบัตรขึ้นเหนือพระเสลี่ยงอันวิจิตรไปด้วยราชาวาศน์ อภิรุม ชุมสาย พัดโบก จ่าบอน (จามร) อินทร์พรหม เทวดา เกณฑ์แห่แตรสังข์ แห่ไปที่มณฑลพระตำหนักตึก พระสงฆ์ ๑๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น สวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน ครั้น ณ วัน ๒ ฯ๑๐ ๑๑ ค่ำเพลาเช้าโมง ๑ กับ ๒ บาท เสด็จสรงมูรธาภิเษก พระสังฆราช พระพนรัต พระญาณสังวร ถวายน้ำพระพุทธมนต์ พรามณ์ถวายน้ำสังข์ กรด (กลศ) เสร็จแล้ว เสด็จออกมาถวายเข้าสงฆ์ พระสงฆ์ฉันแล้วได้ฤกษ์ ๓ โมงกับ ๕ บาท ขุนสรรประเสริฐ ขุนมหาสิทธิ เชิญพานพระสุพรรณบัตรเข้าไป พระอาลักษณ์ถวายต่อพระหัตถ์ เจ้าฟ้ากรมหลวงถวายตราประจำปี แล้วพระราชทานเลี้ยงข้าราชการ ผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกัน"
คัดมาตามต้นฉบับ สะกดการันต์ตามต้นฉบับ"เจ้าฟ้ากรมหลวง" เจ้าใจว่า คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี พระราชธิดาพระองค์สุดท้องในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ซึ่งสิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๒ พระชันษา ๔๗ พรรษา พ.ศ.๒๓๖๖ ในรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระอมรินทราฯ เสด็จเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวัง ประทับ ณ พระตำหนักตึก ซึ่งมิใช่หลังเดียวกับพระตำหนักตึก ที่ประทับ สมเด็จพระศรีสุลาลัย พระพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๓
พระตำหนักตึกในรัชกาลที่ ๒ นี้ตั้งอยู่หลังพระที่นั่งดุสิตมหาประสาท สันนิษฐานกันว่า คงเรียกรวมไปกับพระที่นั่งพิมานรัตยา รวมทั้งพระปรัศว์ (เรือนขนาบ) ซ้าย-ขวา ด้วย
เดิมสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เสด็จอยู่ดังกล่าว ครั้นสวรรคตในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าพระราชทานให้กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระเจ้าลูกเธอประทับต่อสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ก็เสด็จอยู่ด้วยกรมหมื่น อัปสรสุดาเทพ ผู้ทรงเป็น"ป้า" ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ครั้นการหมื่นอัปสรสุดาเทพสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสฯ จึงประทับต่อมา จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดฯให้สร้างใหม่ เป็นตำหนักสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร
พระตำหนักตึกหลังดังกล่าวปัจจุบันได้รื้อถอนไปจนหมดสิ้นแล้ว
พระนามกรมเจ้านาย มีผู้ถามมาว่า มีกี่กรม
เจ้าฟ้า และพระองค์เจ้า"ต่างกรม" นั้นมีมากมายนับร้อย คัดมาตอบกันไม่หวาดไหว
พระนามกรมเจ้านายนั้น ในสมันก่อน เมื่อตั้งกรมคราวเดียวกันหลายพระองค์ ส่วนมากมักคล้องจองกัน และเมื่อทรงกรมแล้ว ก็จะเรียกกันแต่พระนามกรม ไม่เรียกพระนามเดิมกันอีก ด้วยเหตุนี้พระนามเดิมของเจ้านายที่ทรงกรมแล้วในสมัยก่อนจึงไม่สำเร็จ แม้อาลักษณ์ก็สะกดตามใจชอบ พระนามจริงๆ ของเจ้านาย โดยเฉพาะพระราชโอรสธิดา เพิ่งจะตั้งกันเป็นเรื่องเป็นราว มีการเขียนพระนามเป็นแน่นอนในรัชกาลที่ ๔ สมัยต้นรัตนโกสินทร์ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ทรงสันนิษฐานว่าคงจะตั้งกันตามสิ่งแวดล้อมหรือตามธรรมชาติในเวลาที่ประสูติ หรือตามรูปลักษณ์ โดยเจ้าจอมมารดาเรียกหรือข้าหลวง พระญาติ หรือแม้แต่สมเด็จพระบรมชนกนาถ น้อยพระองค์ที่จะทรงพระราชทานพระนามใหม่เพราะๆ
เช่น พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓ เดิมพระนามว่า พระองค์เจ้าสังข์ ว่ากันว่าพระรูปโฉมงามตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เปรียบเหมือนพระสังข์ทอง จึงเรียกกันว่า พระองค์สังข์ หรือสังข์ทอง ซึ่งคงจะจริงเพราะเป็นที่โปรดปราน ในสมเด็จพระบรมชนกนาถยิ่งนัก พระราชทานพระนามใหม่ว่า"พระองค์เจ้าลักษขณานุคุณ" ซึ่งก็ยังคงหมายถึงรูปงามนั่นเอง
พระนาม"สังข์" นี้ ในรัชกาลที่ ๕ มีผู้ตั้งคำถามไปถาม ก.ส.ร.กุหลาบ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามประเภทว่า เพราะเหตุใด ผักกระสังจึงเรียกกันว่า ผักชะกรูด
ซึ่งก.ส.ร. กุหลาบ ตอบว่า (ใช้สะกดการันต์ตามเดิม)
"ในรัชกาลที่ ๓ นั้น มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า"พระองค์จ้าวสังข์" ภายหลังทรงเปลี่ยนพระนามว่า"พระองค์จ้าวลักขณานุคุณ" เป็นพระเจ้าลูกยาเธอที่ ๒ ประสูติ ณ วันพุธ เดือนยี่ แรมสองค่ำ ปีวอก จัดวาศก จุฬศักราช ๑๑๗๔ ปี เป็นพระองค์จ้าวที่ ๒ ของจ้าวจอมมารดาบาง พระสนมเอก ท่านพระองค์นี้เป็นพระอนุชา ร่วมจ้าวจอมมารดาเดียวกันกันกรมหมื่นอับศรสุดาเทพ ครั้งนั้นราษฎรไม่อาจออกชื่อผักกระสังได้ ด้วยกลัวว่าจะพ้องต้องกันกับพระนามพระองค์จ้าวลักขณานุคุณ ครั้งนั้นคนเป็นอันมากจึงพร้อมใจกันยักย้ายร้องเรียกชื่อผักกระสังว่า ผักชะกรูด เพราะเหตุนี้ชื่อผักกระสังจึงมีชื่อว่า ผักชะกรูดตลอดมา จนทุกวันนี้ จึงมีสองชื่อสองเสียงไป"
ความคิดเห็น