ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #108 : สงครามเก้าทัพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 508
      0
      10 เม.ย. 53

     -เกิดเลยกึ่งพุทธกาลสมัยประชาธิปไตย ก่อนๆ นี้ไม่เคยสนใจ ไม่รู้เรื่องราวตอนต้นๆ รัตนโกสินทร์ เพราะพ่อแม่ ปูย่า ตายายท่านเป็นคนหัวใหม่ทั้งนั้น ได้อ่านจาก เวียงวังทำให้อยากถามหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือสงครามเก้าทัพ ได้ยินบ่อยที่สุด ทีแรกคิดว่าเก้าทัพของเราเสียอีก แต่กลายเป็นเก้าทัพพม่า เล่าย่อๆ หน่อย-

                ผู้เล่าเรื่องราวใน เวียงวังมักเล่าแต่เรื่องซึ่งอ่านแล้วสนุกกับสาระ เรื่องรบทัพจับศึกไม่สู้จะคล่องนัก ทว่าเรื่องถามมา ก็ได้พยายามค้นหามาเล่าจากที่คนอื่นๆ เขียนไว้ จับมาย่นย่อพอให้ได้ความดังนี้

                เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ หลังจากสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้เพียงสองปีกว่า ปราสาทราชวังท้องพระโรงยังเป็นเครื่องไม้อยู่ ส่วนพม่า ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องยุ่งๆ  แย่งชิงราชสมบัติกัน สุดท้ายพระเจ้าปะดุงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าปะดุงองค์นี้เก่ง รวบรวมพม่าเป็นปึกแผ่นได้ เมื่อรู้ว่าไทยเพิ่งสร้างกรุงใหม่ ก็ดำริจะตีไทยให้ย่อยยับเหมือนเมื่อครั้งอยุธยา

                จึงกรีธาทัพใหญ่ ไพร่พลถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน แบ่งเป็น ๙ กองทัพ ยกเข้ามา ๕ ทิศทาง เราจึงเรียกสงครามครั้งนี้ว่า สงคราม ๙ ทัพหรือ ศึกเก้าทัพ

                ทั้ง ๙ ทัพ ๕ ทิศทาง ว่ากันย่อๆ ดังนี้

                ทิศทางที่ ๑ กองทัพที่ ๔, , , , ๘ รวมเป็น ๕ กองทัพ ยกหนุนเนื่องกันเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ พระเจ้าปะดุงเป็นจอมทัพกองทัพหลวง คือ กองทัพที่ ๘

                ทิศทางที่ ๒ กองทัพที่ ๙ ยกมาทางด่านแม่ละเมา มีหน้าที่ตัดหัวเมืองเหนือให้ขาดจากภาคกลาง ตีดะลงมาตามลำน้ำปิง ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ลงมาบรรจบกับทัพหลวง

                ทิศทางที่ ๓ กองทัพที่ ๓ เคลื่อนจากตองอูมารวมทัพที่เชียงแสน (ของพม่า) ตีลำปาง สวรรคโลก สุโขทัย พิชัย พิษณุโลกแล้วลงมาสมทบทัพหลวง

                ทิศทางที่ ๒ กองทัพที่ เคลื่อนมาทางด่านบ้องตี้ ทิวเขาตะนาวศรี (กาญจนบุรี) ตีราชบุรี ตัดหัวเมืองฝ่ายใต้

                ทิศทางที่ ๕ กองทัพที่ ๑ มีทั้งทัพบกและทัพเรือ เข้าตีหัวเมืองฝ่ายใต้ ตั้งแต่ชุมพรลงไป

                พระราชพงศาวดาร บันทึกเอาไว้ว่า

                 พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ (วังหลวงและวังหน้า) ได้ทรงทราบข่าวศึก ดังนั้น จึงดำรัสให้ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์ มีกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลัง (แต่ยังดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์) เป็นต้น กับท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย พร้อมกัน ดำรัสปรึกษาราชการเป็นหลายเวลา...”

                เมื่อทรงวางแผนต่อสู้เรียบร้อยแล้ว

                ตรงนี้ ขอเน้นสักนิดว่า เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว เจ้านายไทยต้นๆ

    พระราชวงศ์นั้น มิได้ทรงเว้นว่างจากศึกสงคราม ท่านรบเก่งกันมาแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแล้ว ท่านก็ยังต้องเหนื่อยยาก ทำศึกสงครามต่อในรัชกาลที่ ๑ นั้น ต้องทำสงครามออกศึกถึง ๗ ครั้ง

                ฝ่ายไทยในครั้งนั้นรวมพลแล้วได้เพียง ๕๓,๐๐๐ คน จัดแบ่งเป็นกองทัพไปสกัดทัพพม่าเพียง ๒ ทาง คือ

                ทิศทางที่ ๑ เจ้าพระยาธรรมาธิบดี เป็นแม่ทัพหน้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นแม่ทัพหลวง พระยามหาโยธา คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ คนไปขัดตาทัพที่ด่านกรามช้าง

                ทิศทางที่ ๒ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษเทเวศร์ (กลับมาจากสงครามคราวนี้ได้เป็นกรมพระราชวังหลัง) เป็นแม่ทัพไปตั้งค่ายหลวงที่นครสวรรค์ พระยาพระคลัง (หน) และพระยาอุทัยธรรม (บุนนาค) เป็นกองหลังตั้งค่ายอยู่เมืองชัยนาท

                สรุปว่า แม้มีกำลังพลเพียง ๑ ใน ๓ ของพม่าในที่สุดฝ่ายไทยก็สามารถตีทัพพม่า ค่ายพม่าแตกได้ ทุกทิศทาง นับว่าเป็นศึกซึ่งเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว

                จะขอเล่าถึงชัยชนะทางด้านเมืองกาญจนบุรีและราชบุรี ซึ่งพม่ายกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ถึง ๕ ทัพ ตามที่มีผู้จดบันทึกเอาไว้ เป็นการประกอบดังนี้

                 กองทัพหน้าพม่าล่วงเข้ามาที่ด่านกรามช้าง มีกำลังพลถึง ๑๑,๐๐๐ คน เข้าปะทะตีทัพ พระยามหาโยธา (ที่คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ คน) ขัดตาทัพอยู่ ถอยหนีเข้ามาหาทัพหลวง ส่วนกองทัพพม่าหนุนเนื่องกันเข้ามา มาตั้งค่ายอยู่ท่าดินแดงวังหน้าจึงมีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้ท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงยกพลออกตีค่ายพม่า รบกันเป็นสามารถล้มตายด้วยกันทั้งสองข้าง ในครั้งนี้วังหน้า ทรงมีพระราชบัณฑูรให้ทำครกและสากใหญ่ไว้ในค่ายหลวง ๓ สำรับ ดำรัสให้ประกาศแก่นายทัพนายกองและทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดถอยหนีพม่าข้าศึกจะเอาตัวลงครกโขลกเสีย

                สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ ๑ นั้น ทราบกันดีว่าทรงห้าวหาญ ดุเด็ดขาด และพระทัยร้อน ถึงพวกพม่าพากันเรียกท่านว่า พระยาเสือตั้งแต่รัชสมัยกรุงธนบุรี ว่ากันว่า หากพวกพม่าได้ยินว่า พระยาเสือเป็นแม่ทัพ กำลังใจก็ลดลงแล้ว

                ในการศึกสงครามนั้น ท่าน เอาจริงมิใช่แต่เพียงขู่

                ครั้งนั้น ท่านดำรัสสั่งให้ พระยาสีหราชเดโช พระยาท้ายน้ำ พระยาเพชรบุรี เป็นนายทัพกองโจร ถือพล ๕๐๐ คน มีปลัดทัพสองคน คือ พระยารามคำแหง พระยาเสนานนท์ ยกลัดป่ามาคอยซุ่มสกัดตีกองลำเลียงพม่าที่ตำบลพุไคร้ อันเป็นช่องแคบ (พุไคร้นี้เคยไปมาแล้ว เป็นเขามีช่องแคบลับลี้เหมาะสำหรับซุ่มจริงๆ  สมัยเมื่อตุลาคม ๒๕๑๖ เคยมีพวกนิสิตนักศึกษาไปหลบซ่อนอยู่)

                บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้มีว่า

                 แต่นายทัพนายกองทั้ง ๓ นาย คอยสกัดตีกองลำเลียงพม่า และจับพม่ามาได้บ้าง ส่งให้ทัพหลวง แล้วคิดย่อท้อต่อข้าศึก หลีกหนีไปซุ่มทัพตั้งอยู่ที่อื่น กรมพระราชวังบวรฯทรงทราบ จึงรับสั่งให้ข้าหลวงไปสอบข้อเท็จจริง ถ้าจริงก็ให้ประหารชีวิต และตัดศีรษะมาถวาย ส่วนปลัดทัพทั้ง ๒ นั้น ให้เอาขวานสับศีรษะคนละ ๓ เสี่ยง ข้าหลวงไปสอบและประจักษ์ด้วยตาแล้วว่าเป็นความจริง จึงปฏิบัติตามพระราชบัณฑูร ตัดศีรษะพระยาทั้งสาม นำชะลอมใส่ศีรษะทั้งสามมาถวาย ณ ค่าย มีพระราชบัณฑูรให้เสียบประจานไว้หน้าค่ายอย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง

                แล้วดำรัสให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจรคุมพล ๑,๐๐๐ คน ไปสมทบกันกับกองโจรเดิม ๕๐๐ เป็น ๑,๕๐๐ คน ไปคอยสกัดตีกองลำเลียงของพม่าที่ตำบลพุไคร้ดังแต่ก่อน เพื่อมิให้พม่าส่งลำเลียงข้าวปลาอาหารได้ ปรากฏว่าได้ผลดี ส่งเชลยพม่าที่จับได้ ช้าง ม้า โค เสบียงอาหาร มาถวายเนืองๆ

                ครั้งนั้น พม่าได้ตั้งหอรบแล้วเอาปืนใหญ่ไปตั้งยิงค่ายทัพไทย ทัพไทยไม่มีลูกปืนใหญ่ เอาไม้มาทำเป็นลูกปืนระดมยิงค่ายพม่าพังไปหลายตำบล พม่าถูกลูกปืนไม้ล้มตายและลำบากเป็นอันมาก ออกจากค่ายก็ไม่ได้ เสบียงก็ขัดสน ถอยกำลังลง กรมพระราชวังบวรฯ จึงทรงแต่งหนังสือข้อราชการสงครามให้ข้าหลวงถือมากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ซึ่งทรงเตรียมกองทัพไว้แล้ว

                พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงเสด็จฯกรีธาทัพหลวงกำลังพล ๒๐,๐๐๐ คนไปช่วย เพื่อให้ศึกเสร็จสิ้นโดยเร็ว...”

                 พระองค์เจ้าขุนเณรนี้ เป็นโอรสเลี้ยงในสมเด็จพระพี่นางเธอพระองค์ใหญ่ (ในรัชกาลที่ ๑) คือเป็นบุตรของพระภัสดากับภริยาอื่น นัยว่าพระชนม์สูงกว่ากรมพระราชวังหลังพระโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระพี่นางเธอฯ

                เมื่อสถาปนา พระบรมวงศ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯโปรดฯตั้งเป็นพระองค์เจ้า วังของท่านคงจะตั้งอยู่แถบที่เป็นถนนหรือซอยเจ้าขุนเณรฟากกรุงธนบุรีนั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×