“เกิดใหม่?เหตุใดท่านทูตชุดดำถึงจะยังต้องไปเกิดใหม่ที่โลกมนุษย์อีกล่ะขอรับท่านเทพ
ไม่ใช่ว่าเขาหมดกรรมที่สร้างเอาไว้เมื่อชาติก่อนแล้วเหรอขอรับ?”
เสียงของชายคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นมาด้วยท่าทางแสนจะประหลาดใจกับสาร์นที่ผู้เป็นนายเขียนขึ้นแล้วให้เขาส่งต่อไปยังเทพแห่งความตายในนรก
“ก็เพราะว่าเขาหมดกรรมแล้วข้าจึงได้ให้เขาไปเกิดใหม่ที่โลกมนุษย์อย่างไรเล่า”
ท่านเทพกล่าวพลางยิ้มมุมปากออกมาก่อนที่จะสะบัดเส้นผมยาวสีขาวบริสุทธิ์ของเขาจนมันสยายอย่างงดงาม
“ข้าต้องขออภัยท่านเทพนะขอรับ
แต่ข้าไม่เข้าใจที่ท่านหมายถึง?” เขากล่าวถามพลางมองหน้าของท่านเทพอย่างใคร่รู้
“เจ้านำสาร์นนี้ไปให้เทพแห่งความตายก่อน
แล้วเดี๋ยวเจ้ากลับมาเมื่อใด...ข้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดเองให้เจ้าเข้าใจเอง”
.
.
ณ โลก หลังจากสงครามระหว่างสามเผ่าพันธุ์จบลงห้าพันปี
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?ใครทำแบบนี้?”
ชายตัวสูงผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาที่ตราตรึงสาวๆมาหลายต่อหลายคนแล้วกล่าวถามด้วยท่าทางโกรธจัดที่ห้องทำงานของเขาเลอะเทอะยิ่งกว่าคอกหมูเสียอีก
เขามองไปที่เหล่าลูกน้องของเขาในที่ทำงานด้วยดวงตาที่พยายามเค้นหาคำตอบจากอีกฝ่ายก่อนที่จะมีชายตัวเล็กคนหนึ่งเดินออกมาจากเหล่าฝูงชนพลางพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ผมเองครับบอส”
เขากล่าวพลางทำหน้าเศร้า
ชายผู้หล่อเหลาคนเดิมมองไปที่ร่างของชายคนนั้นก่อนที่จะไล่ให้ลูกน้องคนอื่นออกจากห้องทำงานของเขาไป
“นายอีกแล้วเหรอ?บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามแปลงร่างตอนที่อยู่ที่ทำงานแล้วก็ตอนที่อยู่ในห้องของฉัน
เวลานายเป็นแมวทีไรชอบฉี่ราดทั่วไปหมดแถมยังข่วนเก้าอี้เสียไม่เหลือชิ้นดี
นี่ดีนะที่ไม่มีเอกสารสำคัญที่ต้องไปคุยกับลูกค้า..ไม่งั้นเย็นนี้นายไม่ได้กินข้าวเย็นแน่”
เขากล่าวพลางมองหน้าของชายตัวเล็กที่ได้แต่ก้มหน้ารู้สึกผิดก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของชายที่กำลังต่อว่าเขาอยู่
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่
ตอนเป็นแมวทีไรท่อปัสสาวะฉันมันทำงานรวนทุกทีเลย” เขากล่าวพลางทำหน้ามุ่ย
“แล้วนี่ถ้าคนอื่นมาเห็นจะทำยังไงฮะ?นายได้ถูกเอาไปชำแหละในห้องแล็บแน่”
เขาบอกพลางลงไปนั่งกับเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของเขาก่อนที่จะเอามือขึ้นมากุมขมับของตัวเอง
“โห...เรื่องนั้นฉันไม่กลัวหรอก
ก็ฉันมีคุณชายจ้าวอยู่ด้วยแล้วทั้งคนนี่นา ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก”
เขากล่าวพลางทำสีหน้าทะเล้นออกมาเบาๆ
“เฮ้อ...อย่ามาทำเป็นเล่น
รีบทำความสะอาดห้องทำงานฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าอีกห้านาทียังไม่เสร็จนายตายแน่”
เขากล่าวก่อนที่จะเดินออกจากห้องทำงานไป
“หึ้ย...ไอ้เจ้านายบ้า
ไม่เคยจะอ่อนโยนกันเลยให้ตาย”
.
.
“ครับ...ครับ...ผมก็บอกไปหลายครั้งแล้วนี่ครับว่ายังไงผมก็ไม่แต่ง
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ถ้าผมไม่เจอคนที่ผมเห็นในฝันมาตลอดยี่สิบเก้าปี...ผมจะไม่ยอมแต่งงานกับใครทั้งนั้น”
คุณชายหน้าหล่อคนเดิมที่ตอนนี้เหมือนว่าจะเกรี้ยวกราดกว่าเดิมเมื่อแม่ของเขาโทรมาคุยเรื่องดูตัวกับเขา
นี่เป็นผู้หญิงคนที่ร้อยได้แล้วมั้งที่แม่เขาหามาให้แต่ตัวเขากลับปฎิเสธกลับไปทุกครั้งไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เขาไม่ชอบผู้หญิงคนไหนที่แม่เขาหามาให้เลย
หรือจะบอกว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้ชอบผู้ชายกันแน่? อันนี้เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
“บอสคะ
มาทำอะไรตรงนี้คะ?” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังทักขึ้นมาทำให้เขาต้องหันหลังกลับไปก่อนที่จะกรอกตาไปมาเบาๆ
“ทำไมไอ้พวกนี้ไม่อยู่เป็นที่เป็นทางเลยนะ
ฉันบอกเธอแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาเดินเร่ร่อนที่ทำงานฉันแบบนี้ถ้าเธอฟีลขาดขึ้นมาแล้วกลายเป็นงูฉันจะอธิบายกับคนอื่นยังไง?”
เขากล่าวพลางเอามือขึ้นมากุมขมับของตัวเอง
“ที่ฉันออกมาจากกรงก็เพราะว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันกำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก”
จู้หงกล่าวพลางมองไปรอบๆ
“อะไรล่ะที่ว่าจะเกิดขึ้นน่ะ?”
คุณชายจ้าวถามพลางมองหน้าของหญิงสาวอย่างไม่เชื่อในคำพูดของเธอสักเท่าไหร่
“...เดี๋ยวนายก็จะรู้เองว่าฉันไม่ได้โกหก
งั้นเดี๋ยวฉันกลับเข้ากรงแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวนายจะฆ่าฉันเสียก่อน”
เธอกล่าวพลางแลบลิ้นออกมาเบาๆก่อนที่จะกลายร่างเป็นงูแล้วเลื้อยหายไป
“เฮ้อ...ทีหลังฉันจะงดข้าวพวกนายให้หมดเลย”
เขากล่าวก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในตึก
.
.
“นี่แม่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?ผมบอกแล้วไงว่ายังไงก็จะไม่แต่ง”
เขากล่าวเสียงแข็งพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถคันหรู
“อวิ๋นหลาน
นี่ลูกจะดื้อกับแม่เกินไปแล้วนะ
ยังไม่ทันจะได้ไปดูตัวเลยทำไมลูกถึงปฎิเสธอย่างไม่ไยดีอย่างนี้ล่ะ
คนนี้น่ะนะมีหน้ามีตาทางสังคมแถมยังสวยแล้วก็สง่าอีก ต้องเหมาะกับลู-“
“ผมบอกแม่แล้วไงว่ายังไงก็ไม่เอา
ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่” เขากล่าวพลางทำสีหน้าไม่พอใจ
“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้กันนะ
ไอ้คนที่แกเห็นในฝันน่ะไม่มีทางมีจริงหรอก มันก็เป็นแค่ภาพจินตนาการของแกเท่านั้น
เลิกเพ้อแล้วยอมรับความจริงได้แล้วอวิ๋นหลาน แม่ทำอย่างนี้ก็เพื่อลูกนะ”
คนเป็นแม่บอกพลางมองลูกของเธอด้วยสายตาเป็นห่วง
“เพื่อผมหรือเพื่อฐานะทางสังคมของแม่กันแน่?”
เขากล่าวทำให้แม่ของเขานิ่งไปพร้อมๆกับรถที่จอดพอดี
อวิ๋นหลานเปิดประตูรถออกไปทันทีพลางกำหมัดของตัวเองแน่น
เขาไม่ชอบเลยกับการต้องมาเป็นเครื่องมือของแม่ของตัวเอง
เขารู้สึกกระดากตัวเองทุกครั้งที่บอกว่าเขาเป็นลูกชายของเธอ
ทั้งๆที่เธอเห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือในการเข้าสังคมของเธอเท่านั้น
“ไหนดูสิว่ามันจะสวยเลิศเลอขนาดไหนกันยัยคุณหนูที่แม่อยากให้แต่งด้วยนักหนาเนี่ย”
เขากล่าวพลางเดินตรงเข้าไปในร้านภัตตาคารขนาดใหญ่เพื่อไปที่ๆแม่ของเขาได้นัดหมายกับหญิงสาวคนนั้นไว้
ก่อนที่สายตาของอวิ๋นหลานจะไปสะดุดเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสูทสีขาวแสนจะสง่างามน่ามอง
อวิ๋นหลานมองค้างก่อนที่ร่างกายของเขาจะตอบสนองต่อสมองก่อนที่สมองจะสั่งการให้เขาเดินเข้าไปหาชายคนนั้นที่โต๊ะอย่างไร้สติสัมปชัญญะอะไรใดๆ
“อึก...นี่ฉันมาอยู่อะไรตรงนี้วะเนี่ย?”
อวิ๋นหลานถามตัวเองขึ้นมาหลังจากที่เขาตื่นจากภวังค์
ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็ไปสบเข้ากับดวงตาคู่สวยของชายที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของเขา
ใบหน้าที่เขาแสนจะคุ้นเคยมาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีมีเพียงใบหน้านี้เท่านั้นที่ตราตรึงหัวใจของเขาตลอดมา
อวิ๋นหลานอยากจะดึงร่างของคนตรงหน้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่านั่นมันในฝัน
หากทำแบบนั้นจริงๆขึ้นมากับคนที่เพิ่งจะได้พบกันครั้งแรกเขาคงได้ไปนอนในคุกกินข้าวแดงฟรีเป็นแน่
เขามองคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละก่อนที่จะตัดสินใจมานั่งตรงหน้าของชายคนนั้น ชายคนนั้นยิ้มอ่อนก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณคือคุณชายจ้าวใช่มั้ยครับ?”
เขาถามขึ้นมา อวิ๋นหลานเบิกตากว้างก่อนที่จะถามเขาต่อ
“ใช่ครับ คุณรู้ได้ยังไงครับว่าผมคือ...”
เขาถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ
ผมแค่รู้สึกว่า....คุณคือคุณชายจ้าว...ก็เท่านั้นเองครับ” เขากล่าวพลางยิ้มอ่อน
รอยยิ้มนั้นที่เหมือนกับในฝันของอวิ๋ฯหลานมันเหมือนดังสะกดให้อวิ๋นหลานไม่สามารถละสายตาจากคนๆนี้ไปที่ไหนได้
เขาเอาแต่จ้องมองใบหน้าของชายคนนี้ก่อนที่ชายคนนั้นจะทักขึ้นมา
“พอดีว่าวันนี้น้องสาวของผมเธอไม่สามารถมาพบคุณได้นะครับ
ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ” เขากล่าวพลางก้มหัวขอโทษ
อวิ๋นหลานเลิกคิ้วก่อนที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ขอโทษ?คุณจะขอโทษผมทำไมกันครับ?แล้วน้องสาวที่ว่านี่..เกี่ยวอะไรกับผมงั้นเหรอครับ?”
อวิ๋นหลานถามด้วยความสงสัยแต่กลับทำให้คนตรงหน้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจแทน
เขาทำหน้าคุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะหัวเราะแห้งๆออกมาเบาๆ
“เอ่อ..คือว่า...ผมชื่อเสิ่นเว่ย
เป็นพี่ชายของเยว่เยว่...ที่จะมาดูตัวกับคุณในวันนี้น่ะครับ”
เขาพูดพลางมองหน้าของอวิ๋นหลานที่หน้าถอดสีไปเล็กน้อย นี่ฉันต้องมาดูตัวน้องสาวของคนที่ฉันฝันถึงมานานตั้งยี่สิบเก้าปีงั้นเหรอ?ถ้าจะเล่นตลกก็ให้มันน้อยกว่านี้หน่อยเหอะ
ให้ตาย อวิ๋นหลานคิดพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เอ่อคือ...คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ?”
เสิ่นเว่ยถามพลางมองหน้าของอวิ๋นหลานด้วยความเป็นห่วงเพราะว่าเขาเห็นอวิ๋นหลานนิ่งไปนานหลายนาทีแล้ว
“อ่อ..ครับไม่เป็นไรครับ
แล้วนี่...คุณมาถึงที่นี่นานแล้วหรือยังครับ?”
อวิ๋นหลานถามพลางมองหน้าของเสิ่นเว่ย
เสิ่นเว่ยทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่สามีในอนาคตของน้องสาวตัวเองมาเป็นห่วงเขามากพอสมควร
“ก็...ประมาณสองชั่วโมงได้ล่ะมั้งครับ”
เสิ่นเว่ยบอกพลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อวิ๋นหลานมองหน้าของเสิ่นเว่ยไม่ละสายตาก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“คุณรอผมตั้งสองชั่วโมงเพื่อมาบอกเรื่องของน้องสาวงั้นเหรอครับ?”
อวิ๋นหลานถามต่อ เสิ่นเว่ยพยักหน้าเบาๆพลางยิ้มเจื่อนให้อวิ๋นหลานเล็กน้อย
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้น้องสาวผมมาไม่ได้”
เขากล่าวขอโทษอย่างสุภาพซึ่งนั่นทำให้อวิ๋นหลานอยากจะอยู่กับเขาคนนี้นานขึ้นไปอีก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมการพบเจอกันครั้งแรกของทั้งสองคนมันเหมือนกับไม่ใช่ครั้งแรก
อวิ๋นหลานรู้สึกเหมือนกับเขาเคยเจอคนๆนี้มาหลายครั้ง เคยทำอะไรๆด้วยกันมาหลายหน
แต่ทำไมกันนะ...ทำไมถึงจำเหตุการณ์โดยละเอียดไม่ได้เลย
ยิ่งตอนที่เขาคนนี้นะนำตัวว่าชื่อเสิ่นเว่ย
มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนกับได้เจอคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน
เหมือนกับว่าเราทั้งสองเคยสัญญาอะไรกันเอาไว้แล้วต้องมาเจอกัน
อวิ๋นหลานเอาแต่คิดเรื่องนี้เสียจนเผลอเหม่อลอยไปนาน
เสิ่นเว่ยเห็นอาการของอวิ๋นหลานไม่ค่อยดีเลยใช้มือของเขาจับไปที่ไหล่ของอวิ๋นหลานเพื่อเขย่ามันเบาๆ
แต่ทันใดนั้นเองภาพเหตุการณ์บางอย่างมันก็โผล่เข้ามาในหัวของทั้งสองคน ภาพของชายที่มีใบหน้าเหมือนกับเสิ่นเว่ยและอวิ๋นหลานกำลังกอดกัน
จับมือกัน หอมแก้มกัน
และเหมือนจะกำลังทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เสิ่นเว่ยเกิดอาการเขินอายขึ้นมาเขาเลยปล่อยมือจากไหล่ของอวิ๋นหลานออก
เสิ่นเว่ยในตอนนี้มีใบหน้าที่แดงก่ำ เขามองไปที่ชายตรงหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
เขากล่าวพลางวิ่งออกจากโต๊ะอาหารไปทันที
อวิ๋นหลานเองที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้นก็นิ่งไปสักพัก
ความรู้สึกหลายอย่างมันถาโถมเข้ามาในตัวเขาตอนนี้ ทั้งความสุข ความเศร้า
และความโหยหา อวิ๋นหลานรู้สึกสับสนไปหมด เขาต้องจัดการกับความรู้สึกนี้ให้ได้
เขาอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างที่มันอาจจะทำให้เสิ่นเว่ยตกใจไปบ้างก็เถอะ
อวิ๋นหลานคิดดังนั้นแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำชายทันที
เมื่อเขาเข้าไปก็เจอเสิ่นเว่ยที่กำลังล้างหน้าของตัวเองอยู่
เขาเงยหน้ามามองอวิ๋นหลานที่เดินเข้ามาเล็กน้อย
“คุณ...ก็เห็นมันเหมือนกันใช่มั้ยครับ?”
เสิ่นเว่ยถามขึ้นมาพลางมองหน้าของอวิ๋นหลานไปด้วยความเขินอาย
อวิ๋นหลานพยักหน้าเบาๆพลางเดินเข้าไปใกล้ร่างของเสิ่นเว่ยเรื่อยๆ
“คุณคิดว่ามันคืออะ-“
“หมับ!!”
ไม่ทันที่เสิ่นเว่ยจะได้ถามจนจบประโยค อวิ๋นหลานก็คว้ามือของอีกคนเข้าหาตัว
อวิ๋นหลานกอดร่างของเสิ่นเว่ยไว้อย่างแนบแน่น
แต่ที่น่าแปลกคือเสิ่นเว่ยหาได้สะบัดตัวหนีไม่
เขานิ่งไปก่อนที่ภาพเหตุการณ์บางอย่างมันจะผุดเข้ามาในหัวของพวกเขาอีกครั้ง
ภาพของเสิ่นเว่ยที่สวมใส่ชุดโบราณสีดำกับจ้าวอวิ๋นหลานที่สวมใส่ชุดโบราณเช่นกัน
ทั้งสองมีเส้นผมที่ยาวมากเหมือนกับคนโบราณ
แล้วทันใดนั้นเองทั้งสองก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากภาพในเหตุการณ์นั้น
“หากข้าหายไปอย่าได้โทษข้าเลยนะสหาย
เพราะว่าสักวัน...เราทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอน”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งสองน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว คำพูดที่ทำให้เข้าใจทุกๆอย่าง
ตอนนี้ทั้งสองจำเหตุการณ์เมื่อชาติที่แล้วของพวกเขาได้แล้ว
เสิ่นเว่ยที่ตอนนี้เกิดใหม่กลายมาเป็นลูกชายของตระกูลเศรษฐีแสนธรรมดากับจ้าว
อวิ๋นหลานที่ได้เกิดมาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ
ไม่ว่าชะตาจะพยายามพรากพวกเขาทั้งสองออกจากกันไปสักกี่ครั้ง
บางสิ่งบางอย่างก็มักจะนำพาทั้งสองมาเจอกันอีกจนได้
ไม่รู้ว่ามันคือความบังเอิญหรือว่าอย่างไร
เพราะตอนที่ทั้งสองเกิดมาคนเป็นแม่ก็คิดชื่อนี้ออกมาได้อย่างทันควันโดยที่ไม่รู้สาเหตุของชื่อว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้
จ้าว
อวิ๋นหลานที่โศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของเสิ่นเว่ยร้องไห้ออกมาก่อนที่จะกอดรัดร่างของเสิ่นเว่ยไว้แน่นเหมือนไม่อยากจะแยกจากเขาไปที่ไหนอีก
เสิ่นเว่ยเองก็กอดเขากลับ เส่นเว่ยน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้กลับมาใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์นี้กับชายคนที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ในฐานะของมนุษย์แสนจะธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ
เสิ่นเว่ยพูดไม่ออกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้เป็นอย่างไร
เขารู้เพียงว่าเขาจะไม่ยอมพรากจากชายคนนี้ไปอีกแล้วเช่นเดียวกับที่อวิ๋นหลานคิดในตอนนี้เช่นกัน
.
.
“นี่ไม่ยอมรับสายฉันอีกแล้วนะ”
อวิ๋นหลานที่เดินลงมาจากรถพูดขึ้นมาพลางมองหน้าของเสิ่นเว่ยที่เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านอาหารที่ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของ
“เอ๊ะ?ขอโทษที
ฉันเปิดสั่นไว้นะพอดีว่าในครัวมันยุ่งๆ” เว่ยบอกพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วเปิดให้มันเป็นเสียงปกติเช่นเดิม
“นายเป็นถึงลูกชายของเจ้าของภัตตาคารอาหาร
ทำไมต้องไปอยู่ในครัวด้วย” อวิ๋นหลานถามพลางเอามือไปเช็ดเหงื่อของอีกคนที่หยดลงมา
“การที่เราจะบริหารธุรกิจของตัวเองได้ก็ย่อมต้องรู้ว่างานแต่ละงานที่ทำให้ธุรกิจของเรามันใหญ่ได้ขนาดนี้มันเป็นยังไงนี่...จริงมั้ย?”
เว่ยถามพลางเอามือไปบีบจมูกของอวิ๋นหลานเบาๆ
“นั่นสินะ
คิดถึงตอนที่ฉันไปเป็นคนพิมพ์เอกสารที่บริษัทของพ่อตอนจบใหม่ๆเลย”
อวิ๋นหลานบอกพลางยิ้มก่อนที่จะดึงร่างของเว่ยมากอดเอาไว้
เขาเอาคางมาเกยที่ไหล่ของเว่ยเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยเสียงเชิงอ้อน
“วันนี้ไปนอนบ้านฉันนะ
ฉันอยากกินอาหารฝีมือเสี่ยวเว่ยของฉันคนนี้จังเลย”
อวิ๋นหลานพูดด้วยท่าทางอ้อนแบบของเขาที่ทำให้เว่ยหลุดยิ้มออกมาเบาๆ
เว่ยพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในรถแล้วมุ่งหน้าสู่บ้านพักส่วนตัวของอวิ๋นหลานที่พ่อของเขาเป็นคนสร้างเอาไว้ให้ตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้เขาได้ใช้เวลาที่ต้องการอยู่คนเดียวหรือเอาไว้พาใครสักคนหนึ่งที่เขาไว้ใจและคิดว่าเขาคนนั้นคือรักแท้จริงๆมานอนพัก
ซึ่งนั่นก็คือเว่ยที่ตอนนี้แทบจะมานอนค้างที่นี่ทุกวันเลยก็ว่าได้
.
.
“อวิ๋นหลานนอนได้แล้วนะ
นอนดึกมากๆมันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
เว่ยพูดพลางลงมานั่งตรงเตียงแล้วมองแผ่นหลังกว้างของอวิ๋นหลานที่กำลังจ้องมองไอแพดของเขาเพื่อดูหุ้นบริษัทของตัวเอง
“อื้ม แปบหนึ่งนะ”
เขาบอกพลางปิดไอแพดแล้วเดินไปในครัว
เขากยิบแก้วมาสองใบก่อนที่จะหยิบนมเหยือกใหญ่ออกมา
เขาเทนมลงใส่แก้วแล้วเดินมาหาเว่ยที่เตียงพลางยื่นแก้วนมให้
“ดื่มนมอุ่นๆจะได้นอนหลับสบาย”
อวิ๋นหลานบอกพลางยิ้มอ่อน เว่ยรับแก้วมาพลางยิ้มหวานแล้วดื่มนมแก้วนั้นจนหมด
พอเว่ยกินหมดอวิ๋นหลานก็กินตามพลางหยิบแก้วในมือของอีกคนไปเก็บก่อนที่ทั้งสองจะมานอนอยู่ที่เตียงเดียวกัน
“เสี่ยวเว่ย”
แล้วจู่ๆอวิ๋นหลานที่นอนนิ่งไปนานก็พูดขึ้นมา เว่ยเลยพลิกตัวไปมองหน้าของเขา
“หืม?”
“ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีนั่นที่นายเฝ้ารอฉัน...มันเหงามากมั้ย?”
คำถามนั้นทำให้เว่ยเบิกตากว้างพลางมองหน้าของอีกคนที่กำลังทำสายตาเศร้าส่งมาให้
เว่ยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเอื้อมมือไปลูบแก้มของอวิ๋นหลานเบาๆ
“เหงาสิ...เหงามากเลย
ตอนที่ฉันได้เจอนายครั้งแรก...เลยตื่นเต้นมากเสียจน...เผลอจับมือนายไว้แน่นเลยยังไงล่ะจำได้หรือเปล่า?”
เว่ยพูดพลางยิ้มออกมา
อวิ๋นหลานยิ้มตอบพลางดึงร่างของอีกคนให้เข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น
“ตอนนั้นเราสองคนปล่อยมือออกจากกัน....แต่ว่าตอนนี้...เราจะจับมือของกันและกันไว้แบบนี้ตลอดไป”
อวิ๋นหลานบอกพลางสอดมือของตัวเองเข้ากับมือของเว่ย เว่ยยิ้มหวานออกมาพลางเอาหัวของตัวเองไปซบที่อกกว้างของอวิ๋นหลานเบาๆ
“อวิ๋นหลาน...เมื่อหมื่นปีก่อนเพราะว่านายหายไป...ฉันเลยไม่ทันจะได้บอกความรู้สึก
ซ้ำตอนที่ได้เจอกันใหม่...ฉันเองก็ไม่ได้บอกความรู้สึกออกไป..แต่ว่าตอนนี้...มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้วล่ะ
ฉันจะไม่ยอม...เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เพียงแค่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว”
เว่ยบอกพลางยื่นหน้าไปประกบปากจูบกับปากของอวิ๋นหลาน
อวิ๋นหลานยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางเอามือมาโอบเอวของเว่ยแล้วลูบมันเบาๆ
“ฉัน...รักนายนะ
รักมากๆเลย”
เว่ยบอกพลางกอดร่างของอวิ๋นหลานแน่นเพื่อหลบซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำของตัวเองเอาไว้
“ฉันก็...รักนายมากๆเลยเหมือนกัน
เสี่ยวเว่ยของฉัน”
อวิ๋นหลานพูดพลางจุมพิตที่หัวของเว่ยเบาๆแล้วทั้งสองก็หลับไปด้วยท่านอนที่บ่งบอกว่าทั้งสองจะไม่มีวันแยกจากกันไปไหนอีกแล้ว