ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *stocks sale* {END} [Seventeen] Hybrid doll [MinWon JunHao ft.seveteen]

    ลำดับตอนที่ #29 : Hybrid :: Special II {JunHao}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 323
      9
      5 มิ.ย. 61



    Special II 

    Before {JunHao}



    ร่างของหญิงชายคู่หนึ่งยืนมองเด็กชายที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาวทั้งที่มีของเล่นสีสวยวางอยู่ข้าง ๆ ผิดแผกจากเด็กทั่วไปด้วยท่าทีหนักใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฝ่ายหญิงซึ่งตอนนี้ได้ถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อยได้


    “คิ้วขมวดหมดแล้ว” ชุนฮวางพูดพลางลูบไหล่มนของภรรยาพร้อมกับใช้มืออีกข้างจิ้มหว่างคิ้วของคนตัวเล็กเบา ๆ


    “โถ่ ก็ฉันเป็นห่วงลูกนี่เฮีย ตอนอยู่ที่จีนก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว พอมาอยู่ที่นี่ยิ่งไม่พูดเลย” จินอินเม้มปาก สายตายังคงมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่ไม่วางตาอย่างเป็นห่วง


    จุนฮุยเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบและมนุษย์สัมพันธ์ไม่ใคร่ดีเท่าไหร่นักและไม่ค่อยร่าเริงเหมือนตอนอยู่ที่จีน ดังนั้น จากการที่เด็กชายมีเพื่อนน้อยอยู่แล้ว เมื่อย้ายมาอยู่ที่เกาหลีเรียกได้ว่าไม่มีเพื่อนเลยด้วยซ้ำ แถมคนเกาหลีส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับชาวต่างชาติสักเท่าไหร่นัก


    “ฉันว่าแกน่าจะเหงานะ”


    “งั้นหาน้องให้แกไหมล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง เรียกฝ่ามือบางฟาดลงที่มือซนดังผัวะ ดวงตาคล้ายกวางมองผู้เป็นสามีตาเขียวปั้ด


    “ฉันจริงจังนะเฮีย” จินอินทำหน้าเครียดจนชุนฮวางยอมเลิกทำเป็นเล่น


    “อาจุนก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ป๊าเสี่ยวอินเสียแล้วนี่นา”


    “ก็แกรักอากงแกมาก นางจิงสือก็ปากไวเสียเหลือเกิน” หญิงสาวบ่นพาดพิงถึงคนใช้ของผู้เป็นพ่อของตนที่จีนซึ่งปากพล่อยไม่เข้าเรื่อง ตะโหนแหกปากเสียลั่นบ้านว่าหลินฝ่านจื่อพ่อของเธอเสียชีวิตแล้วทันทีที่รู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เธอและสามีตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเด็กชายหลังจากงานศพสิ้นสุดและได้นำร่างเข้าไปในสุสานเป็นที่เรียบร้อย แถมจุนฮุยเป็นเด็กที่เรียนรู้ไว รู้อะไรมากกว่าเด็กทั่วไปเสียอีก


    “ก็นะ ลูกเราก็ใช่ว่าไม่รู้ความ คงจะสะเทือนใจอยู่มาก แต่ถ้าให้แกรู้เป็นคนสุดท้ายอาจจะเสียใจยิ่งกว่าเดิมก็ได้นะ”


    “แต่ตอนนี้อาจวิ้นแกจะไม่มีเพื่อนแล้วนะเฮีย” จินอินชะโงกหน้ามองลูกชายคนเดียวที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนั่งนิ่ง มองหนังสือเล่มหนาบนตักแทน


    “บางทีแกอาจจะเหงาอย่างที่เสี่ยวอินบอกก็ได้”


    “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะเฮีย”


    ชุนฮวางไม่ตอบ แต่ส่งยิ้มเหมือนกับรู้อะไรบางอย่างให้แล้วดึงตัวภรรยาสุดที่รักไปที่ห้องทำงานส่วนตัว ค้นหาอะไรบางอย่างจากซองจดหมายที่ถูกวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะแล้วหยิบซองสีเหลืองครีมออกมาส่งให้จินอิน


    “อะไรเหรอเฮีย”


    “เปิดดูสิ”


    คุณนายของบ้านเลิกคิ้วแล้วเปิดซองออกอ่านตามที่คนอายุมากกว่าบอกแล้วไล่อ่านไปตามตัวอักษรภาษาเกาหลีด้วยความยากเย็น


    “ตุ๊กตาที่สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์ คิดได้ รู้สึกได้อย่างนั้นหรือ ฉันว่าแอบน่ากลัวหน่อย ๆ นะ”


    “เฮียว่าไม่ค่อยต่างจากตุ๊กตาของเสี่ยวอินเท่าไหร่นะ” ชุนฮวางพึมพำ “แล้วเสี่ยวอินคิดว่าอย่างไรล่ะ”


    “อย่างไรก็ต้องยอมล่ะเฮีย” จินอินเม้มปากมองใบปลิวในมือด้วยสายตาที่ท้อแท้ “ถ้ามันให้อาจวิ้นจะมีสังคมอย่างคนอื่นเขา ฉันยอมหมด”



     

    เด็กชายตัวผอมเก้งก้างนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวบนโซฟาในห้องนั่งเล่น วรรณกรรมเยาวชนชื่อดังเล่มหนาที่เห็นเพื่อนในห้องพูดถึงกัน มือผอมกรีดกระดาษด้านที่หนากว่าไปอย่างเบื่อหน่าย ต่อให้เรื่องราวตรงหน้าจะสนุกขนาดไหน เหวินจุนฮุยกับหนังสือก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกกันอยู่ดี


    จุนฮุยหาวหวอด หากไม่ใช่เพราะว่าเพื่อนในห้องพูดถึงกันล่ะก็เขาจะไม่มีวันชายตามองเจ้าหนังสือเล่มนี้บนชั้นเป็นอันขาด ภาษาเกาหลีเรียงกันเป็นพรืดเริ่มทำให้เขาปวดหัว บางคำก็แปลได้ แต่ส่วนใหญ่นั้นแปลไม่ได้ จะเรียกได้ว่าแปลไม่ออกก็ได้ ในเมื่อจับออกเป็นแต่บางคำเท่านั้น


    “อาจวิ้น” เด็กชายเงยหน้ามองตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ซึ่งยืนส่งยิ้มหวานให้เหมือนอย่างเคย แต่วันนี้กลับพาคนแปลกหน้ามาด้วย


    อีกฝ่ายเป็นเด็กชายตัวเล็กกว่าเขาอยู่มาก ดวงตากลมชั้นเดียวมองมาทางเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ปรากฏเค้าลางของความวุ่นวายอยู่ไม่ไกล ส่วนนั้นอายุประมาณหกขวบหรืออ่อนกว่าตัวเขาสองปีได้


    “หมิงฮ่าวเขาจะมาอยู่กับเราตั้งแต่วันนี้”


    จุนฮุยมองเด็กที่ชื่อหมิงฮ่าวแล้วก้มลงไปอ่านหนังสือต่ออย่างไม่นึกสนใจถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยอยากอ่านเจ้าเล่มนี้สักเท่าไหร่ก็ตามแต่มันก็น่าจะดีกว่าคุยกับเด็กคนนั้น ทำให้จินอินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ก่อนจะก้มลงไปคุยกับตุ๊กตาข้างตัวด้วยน้ำเสียงอารี


    “หนูเล่นกับพี่เขานะ ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้”


    “ครับ คุณหลิน” เด็กชายตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะรอให้หญิงสาวเดินออกไปจากห้องจึงวิ่งไปกระโดดขึ้นบนโซฟาจนเบาะกระเทือนแล้วนั่งลงข้าง ๆ คนอายุมากกว่าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่


    จุนฮุยเหลือบมองสมาชิกใหม่ของบ้านก่อนจะเปลี่ยนท่ามานั่งพิงที่เท้าแขนบุนวม หันด้านปกหนังสือเข้าหาเด็กที่ชื่อหมิงฮ่าว พยายามทำไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำลังทำตัวอยากรู้อยากเห็นจนน่ารำคาญ


    “ฉันจะอ่านหนังสือ” เขาพูดเสียงหน่าย


    “แต่คุณหลินให้ผมมาเล่นกับคุณนี่” เด็กชายร่างเล็กพึมพำตอบ


    “แต่ฉันไม่อยากเล่น” จุนฮุยตอบปัดไปอย่างรำคาญ แต่ดูแล้วสมาชิกใหม่ท่าทางจะไม่ยอมเชื่อฟังกันแถมยังชะโงกหน้ามองมาจากหลังหนังสืออยู่เนือง ๆ จนต้องยอมวางของในมือลงแล้วนั่งขัดสมาธิจ้องหน้าอีกคนแทน


    หมิงฮ่าวยิ้มกว้างอย่างดีใจแล้วมองอีกคนตอบก่อนจะเริ่มบทสนทนาด้วยคำถาม


    “คุณชื่ออะไร” เจ้าหนูตัวเล็กเอ่ยอย่างไม่นึกเกรงกลัวสายตาที่พร้อมเหวี่ยงด้วยความรำคาญของคนตรงหน้า


    “จุนฮุย” เจ้าของชื่อตอบเสียงเรียบ


    “คุณจุน”


    “จะเรียกอะไรก็ตามใจนายเถอะ” จุนฮุยยกมือขึ้นกอดอก


    “อื้อ หมิงชื่อหมิงฮ่าวนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”


    “แล้วนี่จะเล่นอะไรล่ะ”


    “หมิงให้คุณเลือก” หมิงฮ่าวพูดแต่กลับมองเกมกระดานที่วางอยู่แถวนั้นตาไม่กระพริบ เด็กชายตัวสูงเหลือบมองของเล่นที่คนตรงหน้ากำลังจ้องอยู่แล้วโคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะลุกเดินไปหยิบกล่องเกมกระดานไปนั่งบนพื้น


    “สองตาพอนะ”


    เพียงแค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากริมฝีปากเล็กแล้วเสียงร้องดีใจก่อนจะตามมาด้วยการที่อีกฝ่ายวิ่งจี๋ไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนที่หยิบของเล่นมาไว้บนพื้น  ดวงตาคู่กลมฉายแววดีใจสุดขีดราวกับพบเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น แถมไม่มีเหตุผลสักนิดว่าทำไมเขาต้องยอมเล่นกับเจ้าเด็กตรงหน้าด้วยทั้ง ๆ ที่จะปล่อยให้ชะโงกหน้าดูอย่างนั้นจนเมื่อยไปเอง แต่พอเห็นตากลม ๆ คู่นั้นแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้

     

    เพราะอะไรกันนะ

     

     

    สองเดือนแล้วที่หมิงฮ่าวมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตอนนี้เป็นกลางเดือนมิถุนายน อากาศจึงค่อนข้างอบอ้าวอยู่ไม่น้อย หมิงฮ่าวจึงเลือกที่จะชวนจุนฮุยออกมาเล่นในสวน แต่นอกจากเหตุผลในเรื่องของอุณหภูมิแล้วก็มีเหตุผลที่สำคัญมากกว่านั้น

     

    และวันนี้เป็นวันเกิดของจุนฮุย

     

    “ปิดตาทำไมเนี่ย” เด็กชายที่ก้าวเข้าสู่อายุเก้าขวบในวันนี้ถามคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงที่ใจดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ตอนนี้เท้าเปล่าของเขารู้สึกถึงพื้นหญ้าที่ชื้นนุ่มด้วยเพราะเจ้าเด็กตัวเล็กพาเขาออกมาโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้า


    “เดี๋ยวคุณก็รู้” หมิงฮ่าวหัวเราะคิกคักแล้วลากอีกคนมายืนตรงกลางสวนก่อนจะปล่อยมืออีกฝ่ายออก จุนฮุยยืนนิ่ง ฟังเสียงลมพัดเบา ๆ รออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีแรงกระตุกเบา ๆ ตรงชายเสื้อนอนพร้อมเสียงเล็กเสียงเดิมที่บอกว่าให้เปิดที่ปิดตาออกได้จึงดึงผ้าคาดตาออก


    ภาพสวนหลังบ้านที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่ต่างไปคือไฮเดรนเยียทุกกระถางที่บานสะพรั่งไล่สีไปตั้งแต่น้ำเงินเข้มถึงม่วงเข้มและเด็กตัวสูงเท่าโหนกแก้มที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ และในมือมีช่อดอกไม้กระดาษพับหลากสีที่ดูยับยู่ยี่แต่ก็พอรู้อยู่ว่าตั้งใจทำแค่ไหน


    “ดอกไม้นี่หมิงให้นะ” หมิงฮ่าวพูดพลางยื่นดอกไม้กระดาษในมือให้คนตรงหน้า คนตัวสูงกว่าพยักหน้าแล้วรับของขวัญจากอีกฝ่ายมาถือไว้


    “ขอบใจนะ”


    “สุขสันต์วันเกิดนะครับคุณจุน” ตุ๊กตาตัวเล็กเอ่ยอย่างอารมณ์ดี


    “เฮีย” จุนฮุยพูด


    “ครับ”


    “เรียกว่าเฮียก็ได้”


    หมิงฮ่าวเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงง ๆ แล้วพยักหน้ารัวก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้อีกครั้ง


    “ได้ครับเฮีย”

     

     

    “ดูนี่นะ” เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีพูดพลางยกกระดาษกับปากกาขึ้นให้อีกฝ่ายดู สิ่งที่เซอร์ไพรซ์ล่าสุดที่เขาได้ยินมาล่าสุดคือเมื่อสองปีก่อน เรื่องที่หมิงฮ่าวเป็นตุ๊กตา อึ้งไปอยู่สองสามวันแต่ก็กลับมาคุยกับหมิงฮ่าวได้เหมือนเดิมแม้จะตะขิดตะขวงอะไรอยู่บ้างเล็กน้อยก็ตาม


    ไฮบริดตัวเล็กมองสองสิ่งในมืออย่างไม่สนใจนักในเมื่อสองอย่างนั้นเป็นแค่ของธรรมดา ๆ สองอย่าง เห็นดังนั้นจุนฮุยจึงใช้ปากกาทิ่มลงบนกระดาษอย่างแรงจนทะลุ หมิงฮ่าวมองก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ คนอายุมากกว่ากระตุกยิ้มแล้วดึงเปลี่ยนที่ตัวปากกาไปมาแต่กลับไม่มีรูขาดหลงเหลืออยู่


    “ทำได้ไง” ร่างโปร่งดึงกระดาษมาดูด้วยความสนใจระคนสงสัย


    “บอกไปก็ไม่ใช่มายากลสิ” จุนฮุยหัวเราะแล้วเก็บปากกาใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปมองวิวของสองข้างทางแล้วเปิดกระจกรับลมจากด้านนอก


    ตอนนี้เขา พ่อ แม่ อาของเขาและหมิงฮ่าวกำลังอยู่บนรถที่กำลังเดินทางไปที่ปูซานเพื่อท่องเที่ยวยกเว้นอาสะใภ้ที่อ้างว่าไม่สบาย

     


    แต่ก็ดีที่มากันแค่คนในครอบครัว

     


    “เหอะน่า บอกผมหน่อยนะ” มือเรียวจับแขนเสื้อกันลมของคนอายุมากกว่าเขย่าไปมาหวังให้อีกคนใจอ่อน แต่ก็ดูเหมือนว่ารอบนี้จุนฮุยจะเป็นฝ่ายทำใจแข็งได้สำเร็จ


    สักพักตัวของเด็กหนุ่มก็มีอาการผะอืดผะอมเพราะเมารถจนต้องเอ่ยปากขอแลกที่กับตุ๊กตาข้างตัวซึ่งตัวของหมิงฮ่าวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรจึงยอมแลกที่ไปแต่โดยดี


    รถโดยสารหกที่นั่งแล่นต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงทางโค้งซึ่งออกจากรั้วเหล็กไปนั้นคือหน้าผาสูงชัน ชุนฮวางที่เห็นจุดอันตรายตรงนั้นตั้งแต่มันเข้ามาในสายตาจึงค่อย ๆ แตะเบรกเพื่อชะลอก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ


    “หืม ?”


    แทนที่ความเร็วจะลดลง กลับกลายเป็นว่ายังคงวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิม เบรกดันทำงานไม่ได้อย่างกะทันหันทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังคงใช้ได้อยู่แท้ ๆ


    เสียงกรีดร้องของคนในรถดังขึ้นเมื่อยานพาหนะพุ่งชนเหล็กกั้นอย่างแรงแล้วร่วงลงไปในหน้าผา เสียงโครมครามดังลั่นแต่เพราะตรงนี้ไม่ใช่ถนนสายหลักจึงไม่ใช่ว่าจะมีใครได้ยินง่าย ๆ


    กองเหล็กกองใหญ่หยุดค้างเติ่งอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ หวาดเสียวว่าจะร่วงหล่น คนที่ได้สติคนแรกอย่างชุนฮวางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก อาการแสบตาที่ตาข้างขวาทำให้ลืมตาได้เพียงข้างเดียว เขาค่อย ๆ ดันแอร์แบ็คออกก่อนจะหันไปมองด้านหลัง


    ร่างทั้งสามที่อยู่บนเบาะหลังนั้นไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บมากสักเท่าไหร่นักและยังคงมีสติอยู่ดีทั้งสามคนแต่กำลังตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปสะกิดน้องชายที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับซึ่งมีสภาพที่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก


    “ฝูอาฝู”


    คนถูกเรียกลืมตาขึ้นก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยแล้วตามมาด้วยเสียงบางอย่างเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าไม้ที่รองรับรถน้ำหนักไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลไว้อยู่นั้นคงใกล้จะหักไม่ช้า


    “ฉันจะโทรหากู้ภัย” จินอินพูดเสียงตื่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทรออกแต่กลับไม่มีสัญญาณอยู่ตรงบริเวณนี้เสียอย่างนั้น”


    “เราต้องหนี” ตงฝูพูดก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ “ตรงนี้เป็นต้นไม้ ยังพอมีที่ให้ปีนหนีได้”


    “เรารอกู้ภัยไม่ดีกว่าหรือ” จินอินถามเสียงสั่น


    “รอไม่ได้แล้วแหละ” ชุนฮวางเอ่ยเสียงต่ำ “แถมแถวนี้คนไม่ค่อยผ่าน ตอนนี้เรามีเวลาจำกัดเสียด้วย ถ้ารอกู้ภัยก็ไม่รู้ว่าจะมาทันหรือเปล่า”


    “แต่


    “อาฝู ประตูข้างแกยังเปิดได้อยู่หรือเปล่า”


    ตงฝูเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งของตนอย่างเบามือก่อนจะผลักให้อ้าออก เห็นดังนั้น หัวหน้าครอบครัวจึงหันไปบอกกับอีกสามคนข้างหลังด้วยสีหน้าและสายตาเคร่งเครียด


    “ไม่เอาน่าเฮีย” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว “ถ้าตกลงไปล่ะ”


    “ตกต้นไม้อย่างมากก็ขาหัก แขนหัก แต่ถ้าตกลงไปพร้อมรถอาจจะมากกว่านั้น”


    “ต้องแบบที่ป๊าพูดแล้วนะครับม๊า” จุนฮุยเสริมทำให้จินอินไม่มีทางเลือกต้องยอมออกจากรถไปยังต้นไม้ที่ดูท่าทางจะล้มแหล่มิล้มแหล่


    น้องชายเจ้าของบ้านจึงปีนออกไปคอยอยู่ที่กิ่งใหญ่ซึ่งดูแข็งแรงที่อยู่ไม่ไกลเพื่อรอรับคนที่เหลือโดยไม่ลืมเอนหลังเบาะให้คนข้างหลังได้ออกมาได้เนื่องจากประตูหลังนั้นบุบจนไม่สามารถเปิดได้ คุณนายหลินก้าวลงจากรถอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วจึงถูกดึงให้ไปรออยู่ตรงกิ่งใกล้ ๆ ตามด้วยชุนฮวาง


    “มา หมิงฮ่าว”


    ไฮบริดพยักหน้าแล้วยื่นมือจะไปจับขอบประตูเพื่อออกจากรถโดยมีเด็กหนุ่มช่วยดันอยู่ด้านหลัง

     


    เป๊าะ!

     


    “ป๊า! / คุณเหวิน!


    เสียงตะโกน เสียงสิ่งของกระทบลงกับพื้นดังโครมใหญ่ ความรู้สึกเจ็บที่แล่นไปทั่วร่างทำเอาตัวเขาเองแทบจะพูดหรือขยับตัวไปไหนไม่ได้ ผิวหนังรู้สึกถึงพื้นดินแข็งกระด้างที่มีหญ้าคลุมอยู่เพียงน้อยนิดก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงและเงียบสนิท


    และนั่นคือส่วนที่ขาดหายไปของเหวินจุนฮุย



    ----------------------------


    เราต้องขอโทษทุกคนมากๆเลยนะคะ เพราะลงช้ามากอิเวน ฮือ

    เหตุผลของเราคือแม่เราเอาเครื่องไปบูทใหม่แล้วไฟล์หายเกลี้ยงเลย 

    แถมเราก็สะเพร่าไม่มีไฟล์สำรองติดแฟลชไดรฟ์ไว้ด้วย

    แล้วก็ง่าวเองอีกเพราะลืมว่ามีไฟล์เรื่องนี้อยู่ในกูเกิ้ลไดรฟ์ด้วย

    ผิดเต็มประตูจริงๆเลยค่ะเรื่องนี้ ขอโทษทุกคนด้วยจริงๆนะคะ


    #ฟิคไฮบริดมินวอน

    @yinde119







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×