คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Hybrid :: The third "Lifespan" ( 100% ! )
Chapter III
Lifespan
“เนี่ยนะข้าวข้างนอกที่บอก” มินกยูมองร้านต๊อกปกกีตรงข้ามบริษัทอีกฝั่งถนนแล้วเบนสายตาขึ้นมองร่างเพรียวที่จูงมือตนอยู่อย่างสงสัย
“ก็นอกบริษัทไง เจ้านี้อร่อยนะ ฉันมาฝากท้องบ่อยๆเวลางานยุ่ง” วอนอูตอบก่อนจะพาตุ๊กตาข้างตัวเดินข้ามถนนตรงไปที่หน้าร้านอย่างรวดเร็ว
กลิ่นหอมเผ็ดๆแบบของอาหารชนิดนี้ลอยเข้ามาเตะจมูก สีแดงๆของน้ำซอสยั่วน้ำลายร่างบางจนต้องยกแขนเสื้อเช็ดมุมปาก
“ป้าครับ เอาต็อกปกกีสอง…” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งอาหารแล้วหันไปถามเด็กชายข้างตัว “เธอกินเผ็ดได้ไหม?”
มินกยูพยักหน้า วอนอูจึงสั่งอาหารมาสองถ้วยก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก “ป้าครับ ขอซุนแดกับโอเด้งอย่างละสองนะครับแล้วก็…”
“ถ้วยนึงขอเผ็ดๆ... ของคุณซึลชอลสินะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางตักน้ำซุปราดลงบนโอเด้งอย่างชำนาญ “โดนใช้มาใช่ไหมเนี่ย?”
ร่างเพรียวยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ครับ คุณป้าทั้งสวยทั้งรู้ใจผมจัง”
“แหม...พูดดีขนาดนี้ป้าแถมให้ก็ได้” หญิงวัยกลงคนพูดพลางตักอาหารตรงหน้าใส่ถ้วยให้เพิ่ม วอนอูยิ้มอย่างถูกใจ มือเรียวรับถุงพลาสติกใส่อาหารหลายอย่างมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม
“หูย ขอบคุณครับคุณป้า” ร่างบางโค้งตัวขอบคุณแล้วเดินกลับเข้าไปในบริษัทพร้อมเด็กชาย เขามองมินกยูสลับกับรถโรงเรียนที่แล่นมากใกล้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรหาที่เรียนตุ๊กตาข้างๆได้แล้ว
“นี่…มินกยู นายอยากไปโรงเรียนไหม?” วอนอูก้มลงถามคนข้างๆขณะอยู่ในลิฟท์
“ไปเรียน?” ตุ๊กตาตัวเล็กหันขึ้นไปมองคนสูงกว่างงๆ “โรงเรียนคืออะไร?”
“ก็ที่ที่ไปเรียน แล้วก็ไปหาเพื่อนใหม่ไง” เลขาฯหนุ่มแจกแจง
“เพื่อนเหรอ?” มินกยูเอียงคอ
“ก็คนที่เล่นด้วยกัน คุยด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันไง”
“ถ้าอย่างงั้นผมก็มีลุงอยู่แล้วนี่” ไฮบริดตัวน้อยพูดพลงกระชับมือใหญ่ให้แน่นขึ้นแล้วฉีกยิ้มไร้เดียงสา “งั้นไม่ต้องไปโรงเรียนหรอก”
วอนอูมองมินกยูอย่างอึ้งๆ เพราะตลอดหลายอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันมา คนข้างๆเอาแต่กวนประสาทเขาอยู่เรื่อย ใครจะรู้ล่ะว่าเด็กคนนี้จะคิดแบบนี้
“เฮ้อ...นี่” ร่างบางเอ่ยพร้อมกับเดินจูงมือเด็กชายออกากลิฟท์ “การไปโรงเรียนไม่ใช่แค่ให้ไปหาเพื่อนนะ แต่เป็นการฝึกเข้าสังคมให้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ต่างหาก”
“ก็ผมไม่อยากไปนี่” มินกยูยู่ปาก “อยากอยู่กับลุงแค่สองคนตลอดไปเลย”
“ไม่ได้นะ” วอนอูสายหน้า “บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่นายกับฉัน แต่มีคนอีกเป็นล้าน ถ้านายไม่เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคม นายจะอยู่ยากนะ รู้หรือเปล่า?”
“ลุงไม่อยากอยู่กับผมใช้ม้า” มินกยูก้มหน้าพูดอุบอิบ “ถึงไล่ให้ผมไปโรงเรียนอ่ะ”
หลังจากฟังคำตัดพ้อของคนข้างตัวเลขาจอนก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฉันไม่คิดว่านายจะน้อยใจเป็นนะ” วอนอูกระตุกยิ้มมุมปากแล้วนั่งลงคุกเข่าให้ความสูงพอดีกับคนข้างตัว มือเรียววางบนไหลทั้งสองข้าง “เพราะฉันเป็นห่วงนาย ถึงส่งนายไปเรียน ถ้าไม่รักไม่ห่วงฉันคงให้นายนั่งอยู่ที่บ้านอย่างเดียวแล้ว”
“จริงนะ” มินกยูเงยหน้าขึ้นถาม “ลุง...ลุงจะไม่ทิ้งผม ใช่ไหม?”
“แน่นอน! ฉันเคยโกหกด้วยเหรอไง?” วอนอูขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของเด็กชายอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่ามินกยูไม่ชอบแต่คนมันหมั่นเขี้ยวนี่นาทำอย่างไรได้ คราวนี้ไม่เหมือนทุกที ตอนแรกนึกว่าจะได้ยินเสียงเล็กบ่นเหมือนกินรังแตนมาพร้อมแรงีปัดที่มือเบาๆเสียอีก แต่คราวนี้มินกยูกลับเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้างให้แทน
“ยกให้วันนึง”
ยิ้มได้โคตรน่ารักเลยว้อย!
ร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ของร้านขายไฮบริดดอล มือเล็กนั่งพิมพ์บัญชีของร้านอย่างขมักเขม่น ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายสมาธิ จีฮุนเอื้อมไปหยิบมารับสายอย่างเช่นปกติ
“สวัสดีครับ Hybrid shop อีจีฮุนถือสายครับ”
(ครับ ผมจอนวอนอูนะครับ พอดีมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย)
“มินกยูก่อเรื่องอะไรอีกแล้วเหรอครับ?” พนักงานหนุ่มเอ่ยถามพลางลอกเป็นเลขแปดไทยอย่างเบื่อหน่าย เขาเจอคำถามเกี่ยวกับไฮบริดตัวนี้หลายครั้ง และทุกครั้งก็จะมาในอิหรอบเดิมอย่าง ‘เอาเด็กคนนี้กลับไปได้ไหม?’ หรือ ‘ขอเปลี่ยนไฮบริดได้ไหม ไอ้เด็กคนนี้ก่อเรื่องอีกแล้ว!’
(เปล่าครับ คืออยากทราบเรื่องเกี่ยวกับนิสัยของไฮบริด)
ร่างเล็กเลิกคิ้วอย่างงุนงงระคนสงสัยก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆพลางพยักหน้า เท้าเล็กหมุนเก้าอี้หันหลังให้เครื่อง มือบางถอดแว่นตาออกวางบนโต๊ะทำงานพร้อมกรอกคำพูดคุยกับปลายสาย
“ถ้าด้านนิสัยจะเ็นไปตามแบบของไฮบริดครับ โดยของมินกยูจะเป็นไฮบริดทำเลียนแบบบุคคล”
(เลียนแบบบุคคล?)
“ผมขออธิบายชนิดของไฮบริดให้ฟังก่อน” จีฮุนยกแก้วน้ำในมือขึ้นดื่ม “แบบแรกคือไฮบริดทั่วไป เป็นไฮบริดที่สร้างขึ้นตามธรรมดา คุณต้องสั่งสอนและดูแลเอาใจใส่เขาเอง นิสัยขึ้นอยู่กับการสั่งสอน
แบบที่สองคือตุ๊กตาที่ใช้สนองอารมณ์ ก็ตามนั้นแหละครับวิธีการใช้ เป็นไฮบริดแบบที่ผมกับหัวหน้าวิจัยที่นี่ไม่ชอบมากที่สุด เพราะถึงเขาจะเป็นแค่ตุ๊กตาแต่ก็มีจิตใจ เหมือนรุกล้ำสิทธิมนุษย์ชน
แบบที่สามคือไฮบริดใช้เก็บความทรงจำแทนตัว ก็คือแบบมินกยู ใช้เก็บความทรงจำแทนเจ้าของ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นเจ้าชายนิทราเสียส่วนใหญ่ และญาติมักจะนำไปเลี้ยงเองมากกว่า”
(แล้วมินกยู…)
“ญาติของมินกยูเขาไม่มีเวลามากพอ รวมถึงคนที่ส่งมินกยูคืนมารายแรกก็คือญาติของเขานี่แหละครับ อ้อ! ผมลืมบอกไป ตุ๊กตาแบบอื่นจะมีอายุขัยเท่ากับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นแบบมินกยู...”
มือเรียวเกือบปล่อยโทรศัพท์ลงกับพื้นหลังจากวางสาย แขนทั้งสองข้างที่หยิบจับเอกสารทั้งวันดูเหมือนจะอ่อนแรงลงเสียดื้อๆ คำพูดของพนักงานร้านที่ชื่อจีฮุนเมื่อครู่
“จะหมดอายุขัยเมื่อตัวจริงรู้สึกตัว สามารถพูดคุยกับผู้อื่นได้ อาการเตือนจะเป็นขาเริ่มหมดเรี่ยวแรงขยับไม่ได้ ลามไปที่แขนและปิดการใช้งานด้วยตัวเองครับ“
แปลว่าเด็กน้อยของเขาจะจากไปตอนไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ?
ขายาวพยุงตัวเองไปจนถึงห้องนอน เปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กชายนอนหลับตาพริ้มนชุดนอนลายทางสีฟ้าที่เพิ่งซื้อให้พลางกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรดหลับตาพริ้ม เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างเตียงเหมือนวันที่พามินกยูมาที่บ้านครั้งแรก
“นี่...แปลว่านายอยู่ๆจะไปตอนไหนก็ได้เหรอ?”
“อย่าทำอย่างนั้นนะ”
“อย่าไปโดยที่ยังไม่ได้ลา”
“อย่าทิ้งฉันให้อยู่คนเดียว…”
เพราะฉันไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว…
ตั้งแต่เกิดมาเท่าที่จำความได้ เขาก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด พ่อก็ทำานจนไม่มีเวลาให้ แม่ก็เสียไปตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ตลอดชีวิตที่หายใจ ด้านหลังกำแพงในจิตใจมีเพียงเขาที่อยู่คนเดียว ไม่มีใคร หน้ากากร่าเริงที่สวมใส่เข้าหาผู้อื่นเป็นเพียงความจอมปลอมที่ฉายอยู่บนหน้า มีเพียงคนเดียวที่เคยปีนเข้ามาหลังกำแพงได้คือจุนฮุย เพื่อนที่นาอิจฉา เพื่อนที่มีครอบครัวอันแสนอบอุ่น เพื่อนที่อยู่กับเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ แต่นับตั้งแต่ที่ร้านขายตุ๊กตา เขากับมันก็ไม่ได้เจอกันเลยนี่นา
“จุน ช่วงนี้นายว่างไหม?” วอนอูโทรศัพท์หาเพื่อสนิทเอ่ยด้วยเสียงไม่สบายใจ
“มีเรื่องอะไรไม่ทราบครับ
ไอ้คุณเพื่อนวอนอู”
จุนฮุยนั่งเท้าคางมองคนตรงหน้ามืออีกข้างจับช้อนสแตนเลสคนกาแฟร้อนในแก้ว
“ก็…” หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ร่างหนาฟังจนจบแต่ประธานเหวินกลับทำเพียงแค่พยักหน้าสองสามทีพลางเลียคราบกาแฟที่ริมฝีปาก
“เข้าใจไหมเนี่ย?”
“เข้าใจ
แต่ว่ามันทำไมเหรอ?” ร่างสูงเงยหน้าขึ้น “ของทุกอย่างมันก็ต้องมีวันเสียใช่ม้า
ขนาดคนเรายังตายได้เลย”
“ก็เข้าใจ
แต่นี่คือไม่รู้ว่าเขาจะไปตอนไหนไง” วอนอูยกมือขึ้นกุมขมับ “หมิงฮ่าวเป็นไฮบริดธรมดาไม่ใช่แบบมินกยูนี่
มึงจะไปเข้าใจอะไร” ริมฝีปากบางบ่นอุบอิบ
“ก็ไม่รู้สินะ”
จุนฮุยยักไหล่ “ของอย่างนี้มันก็เหมือนรัสเซียนรูลเล็ทนั่นแหละ
ไม่รู้ว่ากระสุนจะออกมานัดไหน ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน แต่มึงก็ควรดีใจนะ
ที่ตัวจริงของเขาจะฟื้นน่ะ”
“คือมันดีใจก็ดีใจเว้ย
แต่...”
“งั้นก็ทำเวลาที่มีอยู่ให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
ตอนนี้มินกยูอายุกี่เดือน?”
“สี่เดือน”
“เจ้าชายนิทราน่ะ
หลับนานที่สุดเท่าที่ได้ยินมาก็ประมาณปีสองปี แปลว่านายจะมีเวลาอีกประมาณสิบหกเดือน
สิบหกเดือนมีประมาณสี่ร้อยแปดสิบวัน” ประธานเหวินบวกลบเลขอย่างรวดเร็ว
“เพราะฉะนั้น ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่านะ”
จุนฮุยลุกขึ้นจากเก้าอี้วางค่ากาแฟลงบนโต๊ะ “ขอตัวก่อนนะ มีธุระ”
หลังจากเพื่อชาวจีนออจากร้านไปเขาก็มานั่งคิดตาม
นั่นสิ…จะนั่งเศร้าให้ได้อะไรขึ้นมา
ร่างบางยกยิ้มน้อยๆก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าทิ้งเด็กชายไว้ที่บ้านคนเดียว
“งอนตุ๊บป่องแล้วมั้ง”
วอนอูหัวเราะในลำคอ
ร่างสูงเดินเข้าไปในคาเฟ่สีพาสเทลที่ดูไม่เข้ากับหน้าเขาสักเท่าไหร่พลางทำหน้าแหยแก
ทำไมเฮียต้องมารอที่ร้านนี้ด้วยวะ!!
จุนฮุยบ่นในใจแล้วเดินตรงไปหาญาติตัวดีกับตุ๊กตาตัวบางที่โต๊ะในสุด
เมื่อเดินไปถึงก็เห็นถ้วยไอศกรีมสีสวยสามถ้วยตั้งอยู่ สองถ้วยพร่องไปบ้างเล็กน้อย
ส่วนอีกถ้วยคาดว่าน่าจะเพิ่งนำมาวาง
“มาแล้วเหรอ?”
เฮนรี่ที่คาบช้อนไอศกรีมอยู่ในปกพูดพลางกวักมือให้มานั่งข้างตนแต่เขาเลือกที่จะนั่งข้างหมิงฮ่าวแทน ผู้เป็นพี่ทำหน้าขัดใจเล็กๆแต่ก็ทำเป็นปล่อยผ่านไปแล้วดันถ้วยไอศกรีมรสกาแฟให้ร่างสูง
“เฮียสั่งรสโปรดแกมาด้วยแหละ ไอศกรีมกาแฟที่นี่อร่อยมาเลยนะ”
จุนฮุยเลิกคิ้วมองของหวานในถ้วยอย่างสงสัย
มันต้องมีอะไรม่ชอบมาพากลแน่ๆ
“ผมเพิ่งกินกาแฟมาอ่ะเฮีย
เฮียกินเถอะ” มือหนาเลื่อนถ้วยแก้วใสขึ้นหยดน้ำคืนคนตรงหน้าแล้วหันไปสั่งเซอร์เบ**แตงโมกับพนักงานร้านแทน
เฮนรี่จิ๊ปากอย่างขัดใจอีกครั้ง
สงสัยวันนี้ดวงแกล้งน้องหนีไปพักร้อน แกล้งอะไรก็ไม่สำเร็จเสียที
แผนข้าวกุ้งต้มน้ำเชื่อมเมื่อเช้าก็พลาดไปเพราะเจ้าน้องตัวดีขอแลกกุ้ง
คราวนี้แผนไอศกรีมกาแฟรสเกลือก็พลาดอีก
เซ็งเว้ย!!!
“อ้าวเฮีย กินสิ”
จุนฮุยพยักพเยิดไปทางของหวาน(เค็ม)ตรงหน้าพี่ชายพลางกระตุกยิ้ม
“ไหนบอกว่าของที่นี่อร่อยไง หรือจะให้ผมป้อน? ได้ๆ”
คิดเองเออเองด้วย
เออออออ เอาที่มึงสบายใจเลยไอ้น้องชาย!
ไอศกรีมสีน้ำตาลคำโตบนช้อนอยู่ตรงหน้าริมฝีปากที่เม้มแน่น
เหงื่อเม็ดเป้งๆผุดขึ้นบริเวณขมับทั้งๆที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ กลิ่นหอมกาแฟผสมกับกลิ่นเค็มๆของเกลือลอยเข้าจมูก
“อ้าม~” ร่างหนาพูดพลางกระตุกยิ้มมุมปากมองคนตรงหน้าประมาณจะบอกว่า ‘จะแกล้งผมวิธีนี้น่ะเร็วไปร้อยปี!’
เฮนรี่อ้าปากกินไอศกรีมบนช้อนทั้งคำ
ความหวานและความเค็มผสมผสานกันอย่าง(ไม่)ลงตัวแผ่กระจายไปทั่วปาก ร่างเล็กทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพลางเคี้ยวเม็ดเกลือกลืนลงคอไป
เกลือเกือบครึงขวดเลยนะนั่น…
โรคไตกับเบาหวานมาเซย์ฮัลโหลแน่ๆ
“อร่อยไหมครับเฮีย”
ร่างสูงพูดเสียงเนิบพลางฉีกยิ้มกว้าง
“อร่อย…”
“ถ้าอร่อยกินให้หมดนะครับ”
จุนฮุยเอ่ยพร้อมกับเซอร์เบแตงโมสีสดที่นำมาเสิร์ฟพอดี
มือหนาตักเนื้อแตงโมงที่กลายเป็นน้ำแข็งเข้าปากอย่างอารมณ์ดี “หว๊าน หวาน”
ลองมากินกาแฟใส่เกลือบ้างไหมล่ะ!
ร่างบางที่นั่งเงียบอยู่นานหลุดหัวเราะออกมาเบาๆแล้วพลางช้อนไอศกรีมในมือลงบนถ้วย
ร่างสูงหันไปมอง เหลือบเห็นคราบสีชมพูอยู่ที่มุมปากเล็ก
มือเรียวหยิบกระดาษเช็ดปากจากถ้วยที่ร้านเตรีมให้มาเช็ดปากของหมิงฮ่าวอย่างแผ่วเบา
“เลอะหมดแล้ว”
จุนฮุยเอ่ยพร้อมขยำกระดาษวางบนจานรองถ้วย แล้วหันไปจัดการของหวานตรงหน้าตนต่อ
ใบหน้าน่ารักของตุ๊กตาตัวบางขึ้นสีแดงระเรื่อ
ริมฝีปากอิ่มเม้มจนเหยียดตรงเหมือนพยายามเก็บอาการ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
ถ้าไม่ติดว่างอนโจวมี่อยู่นะ
หนีกลับจีนไปแล้ว!
“เออเฮีย”
มือหนายกช้อนคนน้ำแข็งในถ้วยที่เริ่มละลาย “ที่บริษัทอากู๋เขามีพวกทุจริตอะไรอย่างนี้อย่างไหม?”
“หึ”
เฮนรี่หัวเราะในลำคอ “บริษัทไหนไม่มีใครคอรัปชั่นก็บ้าแล้ว
ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ๆน่ะโกงง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีก”
จุนฮุยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะบริษัทขนาดใหญ่
แต่เรื่องระบบจัดการความปลอดภัยในบัญชีหละหลวมก็จะทำให้ผู้ประสงค์ร้ายคิดจะโกงได้อย่างง่ายดาย
รวมถึงบุคลากรทีมีมากจึงไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง
“แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ?”
ร่างสูงกัดช้อนอย่างคิดไม่ตก เพราะเท่าที่ดูมา จำนวนเงินที่ถูกโกงไปรวมแล้วหลายพันล้านวอนรวมแล้วห้าล้านหยวนกว่าๆ
ถึงแม้จะไม่ส่งผลถึงฐานะทางบ้านของเขาเท่าไหร่ แต่ในเรื่องของเครดิตและมุมมองของลูกค้าเขาสูญเสียไปมากทีเดียว
และเมื่อเปิดดูบัญชีย้อนหลังไปเมื่อประมาณสิบปีก่อน
จึงรู้ว่ามีการยักยอกเงินมาตั้งแต่สมัยพ่อเขาดำรงตำแหน่งประธานบริษัท
“น่าจะเป็นคนใกล้ตัว”
เฮนรี่พึมพำ “มีใครน่าสงสัยไหม?”
“เท่าที่เห็นก็มีคุณอ๊กหัวหน้าแผนกบัญชี
คุณอีรองหัวหน้า…”
“แค่นี้เหรอ?”
ญาติผู้พี่เลิกคิ้ว “สมัยพ่อนายเป็นประธาน ใครเป็นหัวหน้าบัญชี?”
“อาแปะ…” จุนฮุยตอบก่อนจะมองพี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่ใช่หรอกน่า”
เฮนรี่พ่นลมออกทางรูจมูกแล้วมองน้องชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คำว่า business น่ะ มันไม่มีคำว่า family อยู่ด้วยหรอกนะ”
ร่างสูงมองร่างเล็กข้างตัวที่หลับปุ๋ยระหว่างอยู่บนรถตอนกลับบ้านพลางนึกถึงตอนเช็ดปากในร้านเมื่อครู่ ถึงจะมีกระดาษเช็ดปากบางๆกั้นไว้แต่ก็พอรู้ว่าริมฝีปากนั้นนุ่มหยุ่นเพียงใด ยิ่งมองยิ่งเหมือนต้องมนตร์ ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดเผยอขึ้นเหมือนเชื้อเชิญ…
คิดอะไรของมึงวะเนี่ย เหวินจุนฮุย!
หมิงฮ่าวไม่ใช่อะไรที่จะมาทำอย่างนั้นได้นะเว้ย!
มือหนายกขึ้นปิดหน้าแล้วหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอก แต่กระจกเจ้ากรรมดันสะท้อนให้เห็นเงาของหมิงฮ่าวที่อยู่ด้านหลังเสียอีก จึงตัดปัญหาด้วยการนั่งพิงเบาะหลับตาลง ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผล จุนฮุยขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะได้หลับสบายๆ
“งืม…” หมิงฮ่าวเอนตัวมาซบที่ไหล่กว้าง ทำเอาความคิดที่จะหลับเมื่อครู่ปลิวหายไปกับลมเครื่องปรับอากาศ
ไม่หลับก็ได้วะ!!
จุนฮุยกรีดร้องในใจพลางนับหนึ่งถึงพัน ภาวนาขอให้ถึงบ้านเร็วๆ เสียงพูดงึมงำดังขึ้นข้างหู ดวงตาคู่คมเหลือบมองไปทางต้นเสียง ลำคอขาวเอียงขนาดที่เขาไม่ใช่คนซบเองยังเดาได้ว่าน่าจะเมื่อย มือหนาจึงค่อยๆประคองศีรษะเล็กมาวางบนตักของตนแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเกรงว่าร่างบางจะตื่น
“คุณเฮนรี่ไปไหนเหรอครับ ผมกะจะถามอยู่เชียว” คนขับรถเอ่ยถาม
“เฮียเขาไปหาเพื่อนน่ะ” เจ้านายตอบพลางประกบมือที่หลังศีรษะอย่างเกร็งๆ “อีกนานไหมกว่าจะถึง?”
“ครึ่งชั่วโมงครับนาย” จุนฮุยเป่าปากดังพรืดพอดีกับที่ร่างบางละเมอออกมาเสียงเบา
“จุนอ่า…อย่าแกล้งหมิงสิ…”
เขาเลิกคิ้วก้มมองคนบนตักที่กลิ้งไปมาจนตัวเขาเองรู้สึกจั๊กจี้อย่างงุนงง จำได้ว่าตลอดหลายสัปดาห์มาไม่เคยไปแกล้งอะไรคนตรงหน้าเลยสักครั้งนี่?
สงสัยจะเป็นจุนอื่น
จุนฮุยคิดพลางหันไปมองทางอื่นอย่างไม่สนใจ
ไม่สนใจกะผีสิ!
จุนนั่นเป็นใครกัน ถึงบังอาจอาจมาแกล้งหมิงฮ่าว(ของเขา)ได้!
ร่างสูงนั่งคิดคิ้วขมวดทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าเรื่องถูกฉ้อโกงที่บริษัทหน้าแทบยับจนถึงบ้าน เขาเหยียดแขนออกอย่างเมื่อยขบแล้วจับไหล่เล็กเขย่าเบาๆ “หมิงฮ่าว ถึงบ้านแล้วนะ”
“งื้อ หมิงจะนอน” มือบางปัดสิ่งแปลกปลอมบนไหล่ออกซุกหน้าเข้ากับแผ่นท้องราบแล้วไปบ่นงุ้งงิ้งเสียงเบา จุนฮุยถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้นแนบอกเดินตรงไปที่ชั้นสองห้องของคนตัวเล็กในอ้อมแขน ใช้เท้าเขี่ยประตูเข้าไปด้านในห้อง แมวตัวเล็กขนฟูเดินเข้าคลอเคลียร้องเหมียวๆอยู่ข้างขา
“หมิงเหลียนอย่าเพิ่งน่า” ร่างสูงใช้เท้าดันตัวลูกแมวออกด้วยแรงที่ไม่มากนัก คงเพราะวันนี้เขาพาคนในอ้อมแขนไปข้างนอกทั้งวันเลยนี่นาคงจะคิดถึงละมั้ง?
แขนแกร่งวางร่างบางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วนั่งลงบนเตียง มือหนาเกลี่ยเส้นผมสีอ่อนออกจากแก้มใสพลางยกยิ้มบาง ดวงตาคู่คมจับจ้องใบหน้าของคนตรงหน้า
“จุนคนนั้นคือใครเหรอ? สำคัญกว่าฉันไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอากาศเสียงเบา นิ้มเรียวเขี่ยพวงแก้มสีชมพูฝาด แววตาอ่อนแสงลงก่อนจะลุกขึ้น ก้มตัวลงอุ้มลูกแมวตัวเล็กขึ้นมาบนเตียง
สิ่งมีชีวิตขนฟูเข้าไปคลอเคลียร่างเล็กบนเตียงส่งเสียงครางในลำคอดังครืดคราด จุนฮุยอมยิ้ม ขายาวก้าวออกไปนอกห้อง พึมพำประโยคสั้นๆหวังให้ตุ๊กตาตัวบางได้ยิน
“ราตรีสวัสดิ์”
“ทำไมผมต้องไปด้วยอ่ะ” มินกยูเอ่ยพลางเบะปากกอดอกอยู่เบาะข้างคนขับ
“ก็บอกว่าไปรู้สังคมไง” วอนอูตอบอย่างเนือยๆ หลังจากพาตุ๊กตาจอมดื้อข้างๆไปสมัครเรียนเมื่อวานก็งอแงไม่หยุด โวยวายไม่อยากไป จนต้องขู่ว่าจะเอาตุ๊กตาหมีไปทิ้งนั่นแหละถึงจะยอมหยุด แต่เปลี่ยนเป็นนั่งปั้นปึ่งไม่พูดไม่จาแทน
คิมมินกยูเด็กเอาแต่ใจกลับมาอีกแล้ว…
เอาไอ้เด็กน่ารักคนเดิมกลับมาาาาาา
“ถึงแล้ว” รถยนต์คันหรูจอดตัวลงที่หน้าโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีเด็กหลากหลายช่วงวัยวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน มือป้อมเกาะหน้าต่างของรถมองด้านในรั้วโรงเรียนตาเป็นประกาย
“อยากเรียนหรือยังครับ?” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ มินกยูพยักหน้าย่างรวดเร็วจนเขาหลุดขำ
เด็กหนอเด็ก
“งั้นก็ลงไปเลย” มือบางเอื้อมไปเปิดประตูรถอีกด้าน ร่างป้อมกระโดดลงจากรถวิ่งตรงเข้าไปในรั้วโรงเรียน ดวงตาคู่สวยมองตามหลังของไฮบริดตัวเล็กไปจนกว่าเจ้าเด็กตัวแสบของเขามีคนเข้ามาคุยด้วย วอนอูถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเหยียบคันเร่งตรงไปที่บริษัท
มินกยูมองเด็กชายตัวเล็กแก้มกลมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่คุ้น เพราะนอกจากวอนอูที่เขารู้จักก็มีแค่จองฮันกับซึงชอลและจุนฮุยที่รู้จักแต่ชื่อ
“เราชื่อแบมแบมนะ นายชื่ออะไรเหรอ?” แบมแบมถามนักเรียนใหม่ตาแป๋ว
“เราชื่อมินกยู” เด็กชายตอบก่อนจะพยายามเดินหนี
ลุงอยู่ไหนอ่ะ ฮือ…
“เด็กใหม่ใช่ม้า เดี๋ยวเราพาไปที่ห้องนะ” คนแปลกหน้าพูดพลางลากข้อมือเพื่อนใหม่ไปโดยไม่ถามเจ้าตัวสักคำ มินกยูที่ขี้เกียจจะแย้งหรือทำอะไรจึงเดินไปตามแรงลากของคนตรงหน้าโดยไม่ลืมมองไปรอบๆ
ตึกเรียนมีแค่สองตึกแบ่งเป็นประถมกับมัธยม สนามกีฬาขนาดใหญ่ขั้นตรงกลางไว้ให้ทำกิจกรรมต่างๆ ระบบการเรียนของที่นี่จะเปลี่ยนชั้นปีทุกๆเดือน แน่นอนว่าต้องมีสิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือการสอบเลื่อนชั้น วิชาที่เรียนก็เป็นวิชาทั่วไปเช่นภาษาและคำนวณ
“มินกยูอยู่ชั้นไหนเหรอ?” แบมแบมถาม
“ป.4 อ่ะ” เจ้าของชื่อตอบ
“ชั้นเดียวกับเราเลย!” นักเรียนเดิมพูดอย่างดีใจแล้วมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ชั้นประถมสี่’ “ครูประจำชั้นของเราชื่อครูอีริคนะ ใจดีมากๆๆๆๆๆ” มินกยูยืนฟังคนที่กระโดดดุ๊กดิ๊กอยู่หน้าห้องแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“แบมตลกจัง”
“ตลกอะไรอ่ะ!” แบมแบมพูดพลางเบ้ปากทำแก้มป่องอย่างเคืองๆ “เราไม่ตลกเสียหน่อย!”
มินกยูยืนฟังคนที่บอกว่าตัวเองไม่ได้ตลกโวยวายหน้าเป็นปลาปักเป้าพลางหัวเราะเสียงดังไปทั่วทั้งระเบียงทางเดิน
บางทีโรงเรียนอาจจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้
หลังจากจบคาบสุดท้ายซึ่งก็คือคาบคณิตศาสตร์อันน่าเบื่อหน่ายของครูคยูฮยอนมินกยูก็รีบเก็บของใส่กระเปาเป้สีน้ำตาลของตนอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปปลุกคนที่นั่งหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ “แบมอ่า ตื่นเร็ว”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาเขย่าใหม่อีกครั้ง…
“แบมมมม”
“ครอก…ฟี้”
“…”
“ครอก…ฟี้” มินกยูดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วแกล้งทำเสียงตกใจ
“ครูเรียวอุคมา!” เมื่อชื่อของครูที่คนข้างตัวกลัวนักหลุดออกมาจากปาก แบมแบมที่หลับอยู่ก็ลืมตาโพล่งดีดตัวขึ้นปัดมือแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ผมไม่ได้หลับนะ ผมแค่ก้มไปแป๊บเดี๋ยวเองนะครับครู”
มินกยูกลั้นขำแล้วรีบสะพายกระเป๋าวิ่งออกไปนอกห้องหนีเพื่อนที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกวิ่งตามมาจะเอาเรื่องให้ได้ เมื่อใกล้ประชิดตัวแบมแบมจึงกระโดดล็อกคอคนตรงหน้าจนล้มกลิ้งไปกับพื้น “คิมมินกยู! นายหลอกฉันเหรอ!?”
“ก็นายไม่ยอมตื่นเองนี่” คนแกล้งหัวเราะเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง
“เมื่อกี้ใจหายแว๊บเลย นึกแล้วครูเรียวอุคมาจริงๆ!”
“หยา พอแล้วๆ หายใจไม่ออก” มินกยูไอคอกแค่ก แขนเล็กจึงคลายออกเพราะเกรงว่าเพื่อนจะเป็นอะไรไปก่อน
“ไม่ขอโทษหรอก ชิ!” แบมแบมสะบัดหน้าหนีแล้วเดินลิ่วลงบันไดไป
“ไม่ไปรับมินกยูเหรอ?” ซึงชอลมองเลขาของตนที่เพิ่งเอาแฟ้มมาให้แล้วเงยหน้ามองนาฬิกา “จะบ่ายสามแล้วนะ ใกล้เลิกเรียนแล้วนี่” วอนอูหันไปมองนาฬิกาตามที่เจ้านายบอก เป็นจริงตามที่ว่าเข็มยาวใกล้เดินถึงเลขสิบสองขึ้นทุกทีแล้วยักไหล่เหมือนไม่สนใจ
“ผมกะให้ฝึกรอบ้าง แล้วพักนี้เขางอแงขึ้นด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วยื่นแฟ้มเอกสารในมือให้ “ตรงนี้ต้องเอาไปให้ท่านประธานพิจารณาต่อ”
ซึงชอลถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆกับความบ้างานและการสั่งสอนที่ดูจะฮาร์ดคอร์ไปหน่อยของคนข้างตัว มือหนารับแฟ้มสีดำมาเปิดอ่าน “สอนเด็กมันไม่เหมือนฝึกหมาหรอกนะ”
“ขอโทษนะครับคุณซึงชอล ผมจำได้ว่าเราเลิกงานกันห้าโมงนะครับ?” วอนอูพูดโดยที่ยังไม่ละสายตาออกจากกระดาษสีขาวบนแฟ้มสีแดงอีกอันในมือ "ผมยังไม่อยากโดนใครบอกว่าอู้งานหรอกนะครับ"
"ฉันให้ลาก่อนสองชั่วโมง” กรรมการหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ "ใครถามก็บอกว่าฉันให้ไปซื้อกาแฟแล้วกัน”
เลขาหนุ่มส่ายหน้าแล้วถอนหายใจดังพรูด “คุณกำลังจะทำให้มินกยูไม่รู้จักความอดทนนะ” วอนอูวางแฟ้มเล่มบางลงบนโต๊ะทำงานของคนตรงหน้า มือบางวางเท้าลงไปอย่างไม่แยแส "แล้วนี่เขาก็อายุประมาณเด็กป.4แล้วด้วย”
"แต่เขาไม่ใช่เด็กธรรมดานี่” ซึงชอลพูด “หยวนๆให้หน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าคุณแต่งงานมีลูกไป ลูกของคุณต้องแย่แน่ๆ มีพ่อโอ๋ขนาดนี้” วอนอูส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ก็เห็นวันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกด้วย ทั้งวันนี่ยังไม่ตกเลย อาจจะตกลงมาตอนเย็นก็ได้” เจ้านายหนุ่มหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นลงบนที่ว่างที่มีไว้ให้ในกระดาษ “ฉันก็แค่กลัวว่าเขาจะได้กลับเป็นคนสุดท้าย มันคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีในการไปโรงเรียนครั้งแรก”
“...” เลขาหนุ่มคิดตาม จริงอย่างที่คนตรงหน้าพูด เพราะการไปโรงเรียนวันแรก ถ้าได้กลับเป็นคนสุดท้ายเลยอย่างว่า คงเป็นอะไรที่ค่อนข้างแย่เลยทีเดียว
“แต่ถ้านายไม่อยากไปฉันก็ไม่บังคะ...”
“ขอลาสองชั่วโมงครับ”
“บ๊ายบายนะมินกยู ปะป๊ามารับเราแล้ว” แบมแบมโบกมือลาเพื่อนใหม่แล้ววิ่งไปเกาะแขนชายร่างสูงเจ้าของไฝสองเม็ดบนเปลือกตาที่เจ้าตัวเรียกว่าปะป๊าออกจากโรงเรียนไป
ดวงตาคู่เล็กมองสายฝนที่ตกลงมาบนพื้นหญ้าสีเขียวพลางชะเง้อคอหาคนที่จะมารับตนอย่างใจจดใจจ่อ
“มารับเร็วๆสิ” เด็กชายพึมพำ ตอนนี้นอกจากเขาก็มีครูอีกสองสามคนกับลุงยามอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง
“มินกยู” อีริคที่ตั้งใจจะอยู่กับนักเรียนใหม่ของตนจนกว่าผู้ปกครองจะมารับจับไหล่เล็กของเด็กชายเบาๆ “ครูว่าเข้าไปรอข้างในก่อนดีกว่า อยู่ตรงนี้นานๆเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
มินกยูพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามครูประจำชั้นของตนเข้าไปในห้องพักครูที่เปิดไฟไว้ ลมจากเครื่องปรับอากาศเข้าปะทะใบหน้า
“อ้าว มินกยูยังไม่กลับอีกเหรอ?” คยูฮยอนละสายตาจากการบ้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนขึ้นมา
“สงสัยคงรถติดละมั้ง ฝนก็เริ่มตกหนักด้วยสิ” ซอกมินหันหน้ามองนอกหน้าต่าง สายฝนที่เริ่มหนักตัวขึ้นทุกทีจนน่ากลัวว่าน้ำจะท่วมโรงเรียน นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา “ห้าโมงครึ่ง ผมต้องกลับแล้วด้วย”
“ฝากกุญแจไว้ที่ฉันก่อนก็ได้ค่ะ” ฮียอนที่เปิดประตูเข้ามาทันคำพูดเมื่อครู่เอ่ย มือบางกดปิดรีโมทเครื่องปรับอากาศแล้วสับสวิทช์เปิดพัดลมเพดาน “พอดีวันนี้ฉันต้องอยู่ตรวจข้อสอบ พวกครูกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ”
“งั้นฝากหน่อยนะครับรุ่นพี่” ซอกมินหยิบพวงกุญแจวางใส่มือของครูรุ่นพี่พลางยิ้มแหยๆ “ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
สิ้นเสียงปิดประตู ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมตัวเก่าหมุนดังกึกๆคลอไปกับเสียงฝนตกด้านนอกหน้าต่าง
“การบ้านเอากลับไปตรวจที่บ้านก็ได้นะคุณโจว” อีริคเอ่ยพลางมองเพื่อนร่วมงานที่จดจ่อกับกระดาษแบบฝึกหัดที่มีวงกลมสีแดงจากปากกาในมือเต็มไปหมด
“อีกสองสามแผ่นก็เสร็จแล้วแหละครับ” คยูฮยอนตอบโดยที่ยังไม่ละสายตาจากหน้ากระดาษ
“แล้วรุ่นพี่ละคะ?” ฮียอนถาม “บ้านรุ่นพี่อยู่ตั้งเมียงดง ขับออกไปตอนนี้คงถึงตั้งสามสี่ทุ่ม”
“ฉันกะรอผู้ปกครองเขามารับกลับไปก่อนน่ะ” อีริคตอบแล้วแหล่มองเด็กชายบนโซฟา
“ครูกลับไปก่อนก็ได้นะครับ” มินกยูพูดเสียงเบา “ผมไปรอที่ที่พักผู้ปกครองก็ได้”
ครูหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ล่ะ ครูจะอยู่เป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะมีคนมารับ” อีริคเอ่ยอย่างมั่นคงก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆนักเรียนของตน เด็กชายมองผู้ใหญ่ข้างๆอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ปล่อยให้ทำตามใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็ใครมันจะไปกล้าแย้งครูกันล่ะ?
ความคิดเห็น