คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Hybrid :: The second "Alone..." ( 100% ! )
Chapter II
"Alone..."
ร่างเล็กบนเตียงนอนกว้างลืมตาขึ้นมองเพดานสีครีมของห้องเหมือนไม่อยากเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นเตียง ตู้เสื้อผ้า หรือแม้แต่ใบหน้าที่แสนใจดีของเจ้าของบ้านร่างสูงก่อนจะถอนหายใจ
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านให้แดดยามเช้าลอดเข้ามาในห้องเพื่อให้ดูปลอดโปร่งแล้วกลับไปทิ้งตัวบนเตียงอีกครั้ง เสียงครางครืดคราดดังจากแมวสีขาวขข้างตัว เขาอมยิ้ม มือเรียวลูบขนสีขาวปลอดด้วยความเอ็นดู ความทรงจำที่เป็นเหมือนฟิล์มหนังเก่าเก็บถูกนำมาใส่ในเครื่องฉายอีกครั้งชวนให้นึกถึงเรื่องในอดีต
“อื้อ หมิงชื่อหมิงฮ่าวนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“นี่ๆจุนดูนี่สิ”
“ดอกไม้นี่หมิงให้นะ”
หมิงฮ่าวเคยมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
หมิงฮ่าวเคยเป็นคนร่าเริง ยิ้มเก่ง
และหมิงฮ่าวเคยเป็นคนที่ ’น่ารัก’
ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มหยันพร้อมน้ำตาที่รินไหลอาบสองแก้มช้าๆ
แต่หมิงฮ่าวคนนั้นปิดการใช้งานตัวเองไปแล้ว ถาวร…
“หมิงฮ่าว ตื่นหรือยังน่ะ?” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงทุ้มของจุนฮุยดังเข้ามาในห้อง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะเดินไปเปิดประตู พบร่างสูงยืนยิ้มแฉ่งให้อยู่หน้าวงกบประตู
“อรุณสวัสดิ์” ภาพของประธานเหวินที่ยิ้มจนตาหยีทำให้ร่างเล็กอดยิ้มตามไม่ได้ มือเล็กชื้นเหงื่อกำลูกบิดประตูแน่น
กี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของจุน
หมิงฮ่าวสะบัดศีรษะไล่ความคิดในหัวออกแล้วแอบถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปตีหน้านิ่งใส่ร่างหนาเหมือนเดิม
“มีธุระอะไรเหรอครับ?” ร่างบางเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เอ่อ...ข้าวเช้าน่ะ ฉันรออยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารในห้องทางซ้ายนะ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งแต่ก็ยังยืนยู่อย่างนั้น
ร่างเล็กเลิกคิ้วมองร่างสูงอย่างงุนงง “นี่คุณกะจะลงไปพร้อมผมเลยใช่ไหม?”
จุนฮุยสะดุ้งแล้วหัวเราะแก้เก้ออย่างเขินอาย “จริงด้วยสิ อ่า...เร็วๆนะเดี๋ยวข้าวต้มจะชืดหมด” ร่างหนาเอ่ยก่อนจะเดินลงบันไดไป
หมิงฮ่าวดึงประตูปิดพลางฉีกยิ้มอย่างอดไม่ได้ มือบางยกขึ้นปิดใบหน้าที่ขึ้นสีพร้อมกับหัวเราะในความเปิ่นของลูกชายเจ้าของบ้าน
จุนก็ยังเป็นจุนคนเดิม
จุนคนเดิมที่จำสิ่งที่ทำไว้กับเขาไม่ได้
ร่างบางชะงักไปเล็กน้อยและรอยยิ้มแห่งความสุขที่เลือนหายไปจากใบหน้ากลับกลายเป็นยิ้มสมเพชและอดสูตนเองแทน
หลังจากที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ซึ่งขนาดพอดีกับเขาจนน่าตกใจเสร็จก็เดินลงมาจากห้อง สองขาก้าวลงบันไดที่ละขั้นอย่างเชื้องช้า สายตาพยายามมองเข้าไปในห้องอาหาร เห็นเพียงแผ่นหลังของร่างสูงที่เปิดหนังสือพิมพ์อ่านอยู่และชามสองใบที่มีข้าวต้มร้อนๆตกเเต่งด้วยกุ้งสีส้มน่ากินวางประดับอยู่ ขาเรียวยืนรออยู่หน้าห้องอย่างลังเลก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปนั่งตรงที่นั่งที่ถูกจัดไว้
“มาแล้วหรือ” จุนฮุยวางหนังสือพิมพ์ลงข้างตัว “เมื่อคืนหลับสบายใช่ไหม?”
หมิงฮ่าวพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย บรรยากาศน่าอึดอัดคืบคลานเข้าสู่โต๊ะอาหารจนร่างสูงสัมผัสได้
“กินกันเลยดีกว่าเนอะ วันนี้ฉันหยุดพอดี กินไปคุยไปสบายๆ” ประธานเหวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย มือหนาหยิบช้อนกระเบื้องสีขาวตักข้าวต้มใส่ปากพลางบ่นในใจ
ไม่เคยกินข้าวแล้วรู้สึกเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย…
“แมวเป็นไงบ้าง” ร่างหนาเอ่ยถาม
“ก็น่ารักดีครับ” ร่างบางตอบเสียงเรียบ
“ตั้งชื่อให้หรือยัง?” จุนฮุยถามหมิงฮ่าวที่ตักกุ้งตัวโตเข้าปากไปแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม
ตุ๊กตาตัวบางพยักหน้าเพราะอาหารเช้ายังอยู่ในปาก
“ชื่ออะไรล่ะ?”
“หมิงเหลียน” ร่างเล็กเอ่ยพลางวางช้อนลง “อิ่มแล้ว”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วแล้วเหลือบมองข้าวต้มในชามที่พร่องไปไม่ถึงครึ่ง “กินน้อยจัง อิ่มแล้วแน่เหรอ?”
“ครับ” ร่างบางพยักหน้า
“รอก่อนนะ เดี๋ยวพาไปเดินเล่นในสวน” จุนฮุยเอ่ยก่อนจะทานอาหารเช้าที่เหลืออยู่เล็กน้อยในชามจนหมดแล้วพับหนังสือพิมพ์ให้เรียบร้อยตามเดิมพลางหยัดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปวางหนังสือพิมพ์บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นตามเดิม
หมิงฮ่าวลุกขึ้นเดินตามเจ้าของบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน มองไปทางซ้ายทีขวาทีจนไปเดินชนปะทะแผ่นหลังหนาเข้าจังๆ
“เป็นอะไรไหม” ร่างสูงหันมามองสำรวจใบหน้าน่ารักโดยเฉพาะจมูกที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
คงเพราะเมื่อกี้จมูกของหมิงฮ่าวโดนหลังเขาเต็มๆเลยน่ะสิ…
ร่างบางส่ายหน้าพร้อมพูดเสียงเรียบ “เดี๋ยวก็หาย”
ประธานเหวินคลี่ยิ้มบางแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เห็นจมูกนี่แดงแปร๊ดเลย” มือหนาคว้ามือบางมาจับไว้หลวมๆก่อนจะพาเดินออกไปในสวน
พุ่มไม้ที่ปลูกรอบบ้านเริ่มออกดอกหลากสีให้เห็น ตุ๊กตาดินปั้นรูปคนแคระเข็นรถเข็นที่เป็นกระถางต้นไม้และท่าทางอื่นอีกหลายตัวดูน่าเอ็นดู แปลงดอกกุหลาบเล็กๆเริ่มส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
“คุณพ่อชอบทำสวนน่ะ แต่พอดีท่านพาคุณแม่ไปฮันนิมูนรอที่หกสิบที่ยุโรปน่ะ” ร่างสูงเอ่ยพลางหัวเราะ “แต่งงานกันมาตั้งสามสิบปีแล้วนะเนี่ย”
หมิงฮ่าวมองเนินดินที่สูงขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรก่อนจะหันไปถามร่างหนา “ตอนนี้คุณอยู่คนเดียว?”
“เปล่าหรอก” จุนฮุยส่ายหน้า “มีฉัน พ่อ แม่แล้วก็คุณอาน่ะ แต่ตอนนี้คุณอาไปดูโรงงานย่อยที่จีน”
ร่างเล็กพยักหน้าเบาๆแล้วก้มตัวลงมองผีเสื้อตัวเล็กที่ขาวที่เกาะอยู่บนดอกไฮเดรนเยียสีม่วงสวยในกระป๋องทาสีชมพูพาสเทล สายตาไล่ไปตามช่อดอกบนเเต่ละต้น ต่างกระถาง ไล่จากต้นที่เขามองอยู่เป็นสีม่วงเข้ม กระถางถัดไปเป็นสีที่อ่อนลงไปจนถึงสีขาวสวย
“สวยจัง” ริมฝีปากอิ่มพึมพำ
“พ่อฉันบอกว่ายิ่งกรดสูง สียิ่งเข้ม” ร่างสูงเอ่ย นิ้วเรียวแตะใบสีเขียวสดอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากหยักยกยิ้มจางแล้วผุดลุกขึ้น ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงวิ่งบนหญ้าดังกรอบแกรบตรงเข้ามาหาทั้งสอง ชนชายหนุ่มเจ้าของบ้านล้มลง
“เฮ้ย!” ร่างหนาล้มกระแทกลงบนพื้นหญ้า ร่างเล็กหลับตาปี๋ยกมือปิดหน้าด้วยความตกใจ
“โอ้ย โปโปป๊าจั๊กจี้” จุนฮุยพูดกลั้วหัวเราะพลางดันสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีฟเวอร์ขนสีบลอนด์ตัวโตออก มืออีกข้างขยี้ขนยาวสวยของสัตว์เลี้ยงอย่างรักใคร่ “ยายจอมซน เดี๋ยวป๊าสั่งอดขนมเสียนี่” โปโปกระโดดออกจากตัวปะป๊าสุดหล่อเดินไปมองคนมาใหม่ตาแป๋ว
“นี่ เขาชื่อสวี่หมิงฮ่าว จะมาอยู่กับเรานะ” มือหนาวางลงบนศีรษะของสุนัขตัวโต “นี่โปโปนะหมิงฮ่าว หมาฉันเอง มันเชื่อง ว่างๆก็มาเล่นด้วยได้” หมิงฮ่าวนั่งคุกเข่าลงกับพื้นหญ้ามองโปโปด้วยรอยยิ้ม มือบางยกขึ้นลูบขนยาวสวยของสุนัขตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“น่ารักจัง…” ร่างบางเอ่ยเสียงเบา แววตาอ่อนแสงลง
“มีอีกตัวนะชื่ออาเปา”
“แล้วอาเปาอยู่ไหนเหรอครับ” ร่างเล็กเอ่ยถาม
“มีขโมยเข้าบ้านน่ะ อาเปามาห้ามไว้เลยโดนแทง มันก็เลย...” จุนฮุยลูบขนบริเวณหลังของโปโปด้วยแววตาเศร้าหมอง
“เสียใจด้วยนะครับ” หมิงฮ่าวเอ่ยเสียงอ่อย
“ช่างเถอะน่า” ร่างสูงยิ้มบาง “ตอนนี้ฉันก็มีอย่างอื่นแทนแล้ว” มือหนาลูบท้องนูนของสุนัขตัวโตอย่างแผ่วเบา “ยายตัวแสบท้องได้เดือนกว่าแล้วล่ะ เดี๋ยวไม่นานคงมีลูกหมาตัวเล็กๆวิ่งเต็มบ้าน”
ร่างเล็กอมยิ้มเอ่ยเสียงใส “ผมจะรอดูลูกหมานะ”
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของร่างหนา เขาเลิกคิ้วก่อนจะนำโทรศัทพ์ขึ้นมากดรับสาย “มีอะไรฮัลซล”
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นแล้วกอดรอบคอสุนัขตัวโต สายตาเหลือบมองร่างสูงอยู่ไม่ห่าง
“ไหนเขาบอกว่าจะเข้ามาคุยพรุ่งนี้ไง? ขอเลื่อน? มาขอเลื่อนทำแป๊ะอะไรวันนี้เล่า! เช่าหนี่ม่า!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเสียงในคำภาษาจีนคำสุดท้าย มือหนายกขึ้นขยี้ผมสีน้ำตาลเข้มของตนด้วยความหงุดหงิดแล้วถอนหายใจดังเฮือก “ขอโทษที่ขึ้นเสียง...ช่างความหมายเถอะ เดี๋ยวฉันรีบไป ถ่วงเวลาคุณหวังเข้าไว้ให้ได้นานที่สุด สามสิบนาทีเท่านั้นแหละ” ประธานเหวินกดวางสายด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์แล้วหันไปมองตุ๊กตาตัวบางที่กอดโปโปอยู่
“ฉันขอไปบริษัทก่อนนะ” สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ เมื่อจุนฮุยเห็นหมิงฮ่าวไม่ว่าอะไรจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน นำเสื้อนอกที่แขวนอยู่หน้าประตูมาสวมแล้วเดินขึ้นแลมโบกินี่คันโปรดของตนบึ่งไปที่บริษัท
มือบางลูบขนนุ่มสลวยของสุนัขตัวโตจนเสียงเครื่องยนต์หายไปในโสตประสาท น้ำตาหยดเล็กไหลอาบแก้มเป็นครั้งสที่สองของวัน มือเล็กยกขึ้นปาดลวกๆแล้วสูดจมูกฟึดฟัด
อยู่คนเดียว...อีกแล้วเหรอ?
ลิ้นสากๆของโปโปเลียแก้มใสของหมิงฮ่าวแล้วเอียงคอมองร่างบางตาแป๋วเหมือนถามว่าเป็นอะไร
หมิงฮ่าวยกยิ้มบางก่อนจะโผเข้ากอดหมาตัวโตแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่ต้องอยู่คนเดียว
เสียงรองเท้าหนังกระทบลงบนพื้นหินอ่อนของทางเดินตรงไปที่ห้องรับรองของประธานบริษัท มือหนายกขึ้นจัดเนคไทสีดำที่เพิ่งขอยืมพนักงานในลิฟท์มาเมื่อครู่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะหลับตาแน่นเพื่อตั้งสติไม่ให้ไปโวยวายใส่คู่ค้าคนสำคัญ
“ท่านประธาน” ฮันโซลรีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณหวังโกรธมาก บอกว่าถ้าท่านมาช้าอีกจะยกเลิกออเดอร์ที่สั่งครับ”
“เข้าไปบอกเขา ว่าฉันมาแล้ว” จุนฮุยเอ่ยเสียงเรียบ “อ้อ! ความจริงถ้าเขาไม่อยากรอ ก็ไม่ต้องรอก็ได้นะ เราไม่ได้มีลูกค้าแค่เขาเจ้าเดียวเสียหน่อยนี่” เลขาหนุ่มอิมพอร์ทจากสหรัฐฯพยักหน้าก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้อง
ประธานเหวินมองแผ่นหลังของลูกน้องเข้าไปในห้องพลางคิดหาวิธีคุยอย่างสงบ
แต่น่าจะเป็นวิธีไม่ให้เขาใจร้อนจนเผลอตวาดอีกฝ่ายไปมากกว่า
ขายาวก้าวเข้าไปในห้องพร้อมปั้นหน้ายิ้มให้ร่างสูงที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บนโซฟาตัวยาวสีดำ
“ขอโทษนะครับคุณเจียเอ๋อร์ที่ให้รอนาน” ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มดูแสนจริงใจแต่ที่จริงแล้วเสแสร้งให้คู่ค้า
“มาสายดีนี่” เจียเอ๋อร์พูดพลางกระตุกยิ้มมุมปาก “เป็นผู้บริหารประสาอะไร ให้ลูกค้ารอ”
จุนฮุยไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่ยิ้มกลับไปเหมือนเดิมก่อนจะนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
แต่รอยยิ้มนั่นแหละที่ฮันโซลกลัวล่ะ
“ท่านประธานครับ” ร่างบางก้มลงมากระซิบ
ร่างหนาขึ้นมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเย็น “นายไปชงกาแฟให้คุณหวังเขาไป”
“แต่คุณเหวินครับ...” ฮันโซลเอ่ยเสียงเบา
“ฮันโซล” ประธานเหวินกดเสียงต่ำ “ไปชงกาแฟ”
ร่างบางกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไปชงกาแฟตามคำสั่ง
ถ้าจีซูอยู่ด้วยก็ดีสิ เวลาอยากให้อยู่ก็หายหัว ทีไม่อยากเจอล่ะโผล่หน้ามาจัง คนบ้า!
“คุยกันเสร็จหรือยัง ผมไม่ได้ถ่อมาจากจีนเพื่อมาฟังพวกคุณคุยกันหรอกนะ” เจียเอ๋อร์แกล้งบ่นเสียงดัง
จุนฮุยยิ้มก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เรามาเริ่มคุยกันเลยดีกว่าครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันมีค่าของคุณ” มือหนาหยิบแฟ้มเอกสารสีดำบนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน
“ผมขอโทษที่เลื่อนวันนัดมาโดยไม่บอกกล่าว แต่ว่าอุปกรณ์การแพทย์ของคุณราคาสูงเกินไป ผมสู้ราคาไม่ไหวหรอก” คู่ค้าหนุ่มเอ่ย “เตียงสามไกร์ก็ปาไปตั้งหนึ่งหมื่นสี่พันหยวนแล้ว คุณขายเกินราคามาตั้งสี่หมื่นหยวน ผมไม่ยอมหรอกนะ”
“หนึงหมื่นสี่พัน?” ร่างสูงเลิกคิ้วเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา “ไม่จริงน่า…”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนมาก มีลายเซ็นของคุณกำกับไว้ด้วย” เจียเอ๋อร์พูดพลางยื่นมือไปขอสัญญาจากเลขาส่วนตัว “คุณโจวผมขอใบเสร็จนั่นหน่อย”
“นี่ค่ะหมอใหญ่” หญิงสาวยื่นแฟ้มปกแข็งให้ ด้านในมีแบบก็อปปี้แนบกับสลิปของจริงขนาดเอสี่ คุณหมอหนุ่มรับมาถือไว้ก่อนจะส่งให้ประธานเหวินดู
“ถ้าคิดว่าผมโกหกก็ดูสิ” จุนฮุยรับมาเปิดอ่านแล้วขมวดคิ้ว เป็นจริงอย่างที่คนตรงหน้าว่า ราคาสินค้าทุกอย่างเกินกว่าที่กำหนดไว้สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเตียงผู้ป่วยไฟฟ้า ผ้ารองนอนหรือแม้แต่เครื่องผลิตออกซิเจน และไม่ตรงกับราคาที่นำให้เขามาพิจารณาด้วย
ต้องมีคนเล่นตุกติกอะไรแน่
“ที่เงียบนี่แปลว่าจริงสินะ” เจียเอ๋อร์เอ่ยพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก “ถึงโรงพยาบาลของผมจะเป็นแค่โรงพยาบาลเล็กๆ คิดว่าผมไม่กล้าสู้อำนาจบริษัทคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมขอโทษคุณเจียเอ๋อร์ด้วยครับ” ประธานเหวินยกมือขึ้นกัดเล็บหน้าเครียด “แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ราคาที่ทางผมได้รับการเสนอมาเหมือนกัน”
นายแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วข้างเดียวเหมือนเป็นเชิงถาม จุนฮุยพยักหน้าช้าๆ
“นี่ก็เป็นเรื่องจริงครับ”
“งั้นอยู่ไหนล่ะ? หลักฐานน่ะ” เจียเอ๋อร์เอ่ยถามพลางพิงตัวลงบนพนักพิงของโซฟา
“กาแฟมาแล้วครับ” ฮันโซลเปิดประตูห้องเข้ามาพลางฉีกยิ้มกว้าง “พอดีผงกาแฟหมดผมเลยต้องวิ่งไปขอให้ป้าแม่บ้านมาเติมให้น่ะครับ”
“ฮันโซล ฉันขอเอกสารยื่นเสนอปรับราคาเมื่อเดือนที่แล้วหน่อย” ร่างบางพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มในตู้มาส่งให้
มือหนานำของในมือส่งให้คู่กรณี “ไม่เชื่อดูเลยครับ ว่าทางเราพูดจริง แต่มีคนเล่นตุกติกกับจำนวนที่ส่งไปให้คุณมากกว่า”
คุณหมอหนุ่มเม้มปากพยักหน้าก่อนจะส่งแฟ้มคืนให้ประธานบริษัท “อืม...คนที่ทำเนี่ย คิดผิดนะที่เลือกจะเล่นตุกติกกับผม” ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้ม “ผมไม่ใช่เต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่นกระดองนะบอกไว้ก่อน”
จุนฮุยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างกัน “ผมก็ต้องขอบคุณคุณเจียเอ๋อร์ด้วย เพราะถ้าคุณไม่มาโวยผมก็คงไม่ทราบว่ามีการทุจริต”
เจียเอ๋อร์ส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ผมก็แค่ทำเรียกร้องตามความเหมาะสม ดีนะที่ยังไม่ยกเลิกออร์เดอร์ไป”
“ขอบคุณที่คุณเข้าใจ” ประธานเหวินตอบ
“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกับคุณนะครับ คุณจุนฮุย” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“จบไปได้อีกเรื่องนะ” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับเก้าอี้แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือหนายกขึ้นแก้เนกไทออกแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นเข้ามาแทนสินะ” เสียงที่คุ้นเคยดังจากหน้าห้องพร้อมร่างบางของญาติผู้พี่ “ไง ไอ้ร่างอวตารฮีชอล”
“เฮียเฮนรี่!” จุนฮุยอุทานก่อนจะวิ่งไปโผเข้ากอดคนแก่กว่า “กี่ปีแล้วเนี่ย เจอคราวที่แล้วก็งานเซยิดอากู๋มั้ง”
“สองปีที่แล้ว” เฮนรี่เอ่ยพลางฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้าเบะปากใส่ญาติผู้น้อง มือขวายกขึ้นเทียบส่วนสูง “สูงจัง แบ่งมาให้เฮียหน่อยสิ สักเซนต์สองเซนต์”
“โนๆ ไม่อ่ะ ไปขอแบ่งจากเฮียโจวมี่เอาสิ” ประธานเหวินยักคิ้ว
“อย่าพูดถึงเลย” ร่างเล็กบอกปัดแล้วเดินไปนั่งไขว่ห้างสบายๆบนโซฟา “เห็นคุณน้องฝรั่งบอกว่ามีเรื่องทุจริตเหรอ เล่ามา”
ร่างสูงส่ายหน้าอย่างระอาใจก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆผู้เป็นพี่ “งอนกันอยู่หรือไง?”
“เปล๊า” เฮนรี่ส่ายหน้าดิก “แล้วปัญหาอ่ะ จะให้ช่วยไหม?”
งอนกันมาแน่ๆ
“ผมจำได้ว่าไม่เคยขอให้เฮียช่วยนะ” ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มมองร่างบาง มือหนาตบไหล่เล็กเบาๆ “คนรักกันทะเลาะกันนิดหน่อยสีสันชีวิตน่า อย่างอนเฮียเขาเลย”
“ก็มันน่าโกรธไหมล่ะ บอกให้เพลาๆเรื่องดื่มบ้าง ฟังกันไหมล่ะ แถมยังว่าเราจุ้นอีก ตวาดใส่อีก” เฮนรี่บ่นอุบ
“แค่นั้นจริงเหรอ?” คนน้องเลิกคิ้ว
“รอยลิปสติกบนปกเสื้อด้วย” ริมฝีปากเล็กเบะออกพลางก้มหน้ามองพรมสีน้ำเงินเข้ม
“แล้วก็หนีมานี่?”
“อือ”
“แล้วใครให้เข้ามา?”
“น้องฝรั่ง” จุนฮุยหลุดขำกับสรรพนามที่คนข้างๆใช้เรียกเลขาของเขา
“แล้วจะมาอยู่ที่นี่กี่วันล่ะ”
“จนกว่าจะหายโกรธละมั้ง” ร่างบางยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “ไม่ได้มาเกาหลีนานแล้ว จะเที่ยวให้คุ้มเลย!”
“ผมไม่จ่ายให้หรอกนะ” ร่างสูงกระตุกยิ้ม “ตอนนี้ป๊ากับม๊าแล้วก็อาแปะไม่อยู่ด้วย ไม่มีใครมาบังคับผมได้หรอก”
“แหม ไม่ง้อหรอกเว้ย” เฮนรี่ตอบด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “บัตรตัวเองก็มี โถ่”
“ก็ดี” จุนฮุยพยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน มือหนานำเอกสารฉบับอื่นมาอ่านพิจารณาไปพลางๆ
“แต่ตอนนี้เฮียไม่มีที่พักอ่ะ” ร่างเล็กเอ่ย “ขออยู่บ้านแกได้ไหม?”
“ไม่” ประธานเหวินปฏิเสทเสียงแข็ง “คราวที่แล้วมาก็เกือบทำตุ๊กตาตัวโปรดของม๊าแตก ผมโดนด่าไปตั้งหลายวัน” คนอ่อนกว่าเอ่ยโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม
“เถอะนะ จุนนะ สงสารเฮียตาดำๆหน่อย” ร่างบางโผไปเกาะแขนของร่างสูงแล้วเขย่าเบาๆเป็นเชิงอ้อน
“ไปนอนโรงแรมเอาสิ” ร่างหนาบอกปัดอย่างไม่ไยดี
“โหย น้องจุนสุดหล่อของเฮีย”
“ชาติหน้าตอนบ่ายๆเถอะ”
“เฮียไม่ง้อแกก็ได้” เฮนรี่ลากเสียงยาวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกจากระเป๋ากางเกงพลางแสยะยิ้มมุมปาก “แต่เฮียไม่รอถึงชาติหน้าหรอกนะน้องรัก”
“ทำอะไร จะโทรหาใคร” จุนฮุยเงยหน้าขึ้นมอง ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของญาติผู้พี่
ต้องเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าสำหรับเขาแน่ เชื่อขนมกินได้
“ครับ อาโกวเหรอครับ” มือหนายกขึ้นลูบหน้าทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“เฮีย...”
กูว่าแล้ว...
“คืออย่างนี้อ่าครับอาโกว พอดีผมมาเกาหลีน่ะครับ แต่พอดีไม่มีที่พัก” คนพี่ปรายตาญาติผู้น้องที่นั่งหน้าเผือดสีอยู่บนเก้าอี้ มือก็พยายามหาของที่จะอุดหูตัวเองได้ในลิ้นชัก
“ครับ...ผมขอแล้วครับ แต่จุนเขาไม่อนุญาต จะคุยกับจุนเหรอครับ? ได้ครับ” เฮนรี่พยักหน้าแล้วยื่นโทรศัพท์ให้จุนฮุยด้วยใบหน้ามีชัย “อาโกวอยากคุยด้วย”
ร่างสูงรับโทรศัพท์มาพลางกลืนน้ำลายน้ำลายดังเอื๊อก “เหว่ย ม๊า...” เสียงต่อว่าดังลอดออกมาจากสายจนคนในห้องได้ยิน ประธานหนุ่มทำได้เพียงแค่พูดคำว่า ‘ครับ’ ‘ครับม๊า’ เป็นสิ่งที่ทำให้คนแกล้งน้องทุกครั้งที่เจอกันจนเป็นนิสัยอย่างร่างเล็กอดยิ้มอย่างสะใจไม่ได้
เป็นหลานรักก็ดีอย่างนี้แหละ
“ครับม๊า โอเคครับม๊า” ประธานเหวินตอบรับผู้เป็นมารดาด้วยหน้าที่เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนทำท่าจะโยนโทรศัพท์คืนอีกคน
“อย่าโยนนะเว้ย! เพิ่งถอยมา!” ร่างบางตะโกนอย่างตกใจแล้ววิ่งไปนำโทรศัพท์กลับคืนมา “เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”
“เฮียนั่นแหละที่เล่นไม่รู้เรื่อง” ร่างสูงเอ่ยพลางเบ้ปาก “บ้านผมระบอบม๊าธิปไตย เฮียก็รู้นี่!”
“ไม่รู้ ไม่ใช่บ้านฉัน” เฮนรี่ยักไหล่
“ลองมาโดนม๊าผมด่าบ้างไหมล่ะ ตอนแรกนึกว่าหูหนวกไปแล้ว”
“ม่ายสน” ร่างเล็กพูดพลางแลบลิ้นเยาะเย้ย “ม๊าธิปไตยคืออะไรไม่รู้จัก พอดีที่บ้านใช้ระบอบประชาธิปไตยเว้ย!”
“มาให้เตะเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เฮีย!” มือหนาหยิบกล่องใส่ดินสอเหล็กคว้างใส่ญาติผู้พี่
“เฮ้ย!” ร่างบางก้มหลบเฉียดกับของที่แหวกอากาศไปเพียงเส้นผมแล้วเงยหน้าขึ้นมาเอ็ดน้องชายเสียงดัง “ไอ้เด็กบ้า! ถ้าฉันตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!?”
“ม่ายสนนนนน” จุนฮุยเอ่ยล้อเลียนพลางแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก
“ได้...จะเอาใช่ไหม?” มือบางสุ่มหยิบแฟ้มในตู้ขึ้นมาเปิดดู “อืม...โรงพยาบาลเคจีวาย...”
“นั่นข้อมูลลูกค้า!” ร่างหนาแหวดเสียงดังออกไปถึงหน้าลิฟต์ ฮันโซลที่ยืนคุยกับจีซูอยู่ถึงขั้นขมวดคิ้วมองหน้ากันอย่างงุนงง
“เขาทะเลาะอะไรกันน่ะ” เลขาหนุ่มเอ่ยถามรองประธานบริษัทหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้สิ เราไปดูหน่อยไหม? เผื่อมีใครตาย” ร่างสูงเสนอความคิด
“นั่นสิ” คนหน้าฝรั่งพยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตรงไปที่ห้องประธาน เอาหูแนบกับประตู เสียงโวยวายกับข้าวของตกพื้นดังลอดประตูห้องออกมาแล้วเงียบหายไป
“เงียบไปแล้ว” ฮันโซลเอ่ยเสียงเบา
“ตายแล้วเหรอ” จีซูโพล่งขึ้น ก่อนที่มือเรียวฟาดเผียะลงบนต้นแขน
“พูดบ้าๆ”
“ไอ้น้องบ้า! ปลายปากกาเต็มๆหัวเลย!”
“ศัพท์ธุรกิจก็เต็มๆหัวผมเลยเหมือนกันและน่า!”
“เถียงเหรอ!”
และตามมาด้วยเสียงโครมครามคว้างปาสิ่งของอีกมากมาย...
“เข้าไปข้างในไหม มีใครเป็นอะไรจะได้ช่วยกัน” ร่างบางเสนอ รองประธานหนุ่มพยักหน้า มือหนากำลูกบิดประตูเปิดเข้าไปแล้วตกใจกับสภาพห้องที่เละเทะเหมือนโดนระเบิดปรมาณูถล่ม เอกสารปลิวว่อน ข้าวของเกลื่อนกลาดเต็มพื้น นี่ยังไม่รวมอีกสองคนที่ยืนหัวฟูหอบแฮกเสื้อผ้ายับยู่ยี่อยู่อีกนะ
แฟ้มปกแข็งลอยหวือไปปะทะใบหน้าหล่อเหลาของจีซูเต็มๆ สันแฟ้มกระแทกโดนหน้าผากอย่างจัง ร่างสูงถึงขั้นล้มลงกับพื้น หน้าผากสีแดงแจ๋
“เฮ้ย!” ฮันโซลสะดุ้งเมื่อเห็นร่างสูงลงไปนอนกองที่พื้น มือบางเขย่าตัวคนบนพื้นเบาๆ “คุณจีซู...ตายยัง?”
ทั้งสองหยุดชะงักเมื่อเห็นมีลูกหลงจากสงครามเครื่องใช้สำนักงานของตน
“เฮีย เมื่อกี้เราทะเลาะเรื่องอะไรกันวะ?” ประธานเหวินเลิกคิ้ว
“เออว่ะ เราทะเลาะอะไรกัน” เฮนรี่ตอบกลับไปอย่างงุนงง
เฮ้ย! ทะเลาะกันง่ายๆดีกันง่ายๆนี้เลยเหรอวะ?
เลขาหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความงงระคนตกใจ
“อ่า...ใช่ ฮันโซลเดี๋ยวช่วยไปรับหมิงฮ่าวมาที่ร้านตรงข้ามบริษัทหน่อยสิ ฉันจะพาเขาไปกินข้าว” จุนฮุยเอ่ยก่อนจะลากพี่ชายของตนไปนอกห้อง
เดี๋ยวนะ ไปกันหมดอย่างนี้ ใครเก็บห้อง?
“เฮ้ยคุณ! ตื่นมาช่วยกันก่อน!” มือเรียวเขย่าตัวของจีซูแรงขึ้นเพื่อปลุกให้ตื่น แต่ร่างสูงก็ไม่มีท่าทีจะลืมตาขึ้นมาขึ้นมาแม้แต่น้อย
ร่างบางถอนหายใจพลางมองห้องที่เละเทะด้วยสายตาว่างเปล่า
คนเก็บห้อง + คนไปรับหมิงฮ่าว + ทำแผลให้จีซู = ชเวฮันโซล
จ้างผมมาเป็นเลขาฯหรือจ้างมาเป็นเบ๊ครับท่านประธาน!
รถยนต์คันหรูจอดเทียบอยู่หน้าประตูรั้วก่อนที่ร่างบางเจ้าของรถจะเดินลงมากดกริ่งที่หน้าประตู
ทันใดนั้นเองเสียงสุนัขเห่าพร้อมร่างของโปโปวิ่งมาเกาะรั้วเห่าเสียงดัง
หางที่ปกคลุมด้วยขนยาวส่ายไปมาอย่างดีใจ
“หมาเหรอ?”
จีซูที่ขอติดสอยห้อยตามมาด้วยเดินเข้าไปหาสุนัขตัวโตด้วยแววตาสงสัย
“ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าท่านประธานเลี้ยงหมาด้วย”
“นี่รุ่นสองแล้วด้วยนะ”
ฮันโซลเอ่ยพลางเอื้อมมือไปลูบขนสุนัขตัวโต ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้าง
“อ้วนขึ้นเยอะเลย อยู่ดีกินดีสินะเรา”
“นี่โปโป
รอด้วยสิ”
เสียงวิ่งตึกตักพร้อมร่างบางของตุ๊กตาก่อนจะหยุดนิ่งมองคนแปลกหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
ขาเรียวเริ่มถอยหนี “พวกคุณเป็นใคร?”
“อ่า ผมฮันโซลครับ
เลขาของคุณจุนฮุย ส่นนั่นคุณจีซู” เลขาหน้าฝรั่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณหมิงฮ่าวใช่ไหมครับ? พอดีท่านประธานให้มารับคุณไปทานข้าว”
“คุณที่โทรหาคุณจุนเขาเมื่อเช้า”
ฮันโซลพยักหน้า
หมิงฮ่าวจึงเปิดประตูรั้วทำท่าจะออกไปแต่ความรู้สึกเหมือนโดนดึงขากางเกงทำให้ต้องก้มลงไปมอง
ปากยาวของโปโปงับหากางเกงของเขาแน่นเงยหน้ามองใบหน้าหวานตาละห้อยพลางส่งเสียงงี้ดๆในลำคอ
“โปโปปล่อยฉันก่อนนะ”
มือบางพยายามดึงขากางเกงสีครีมออกจากปากสุนัขตัวโต
แต่ฟันแหลมของมันยังคงกัดแน่นและไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยง่ายๆ
“โปโปอ่า…” เลขาหนุ่มเกาะลูกกรงรั้วเอ่ยเสียงอ่อย “ปล่อยหมิงฮ่าวเถอะนะ
ไม่อย่างนั้นฉันโดนเจ้านายแกว่าแน่”
ตุ๊กตาตัวบางนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับโปโปที่อ้าปากปล่อยขากางเกงออก
มือเรียวลูบศีรษะกลมเบาๆพลางยิ้มบาง
“ฉันไปเดี๋ยวเดียว
เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” ร่างบางลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากรั้วไปโดยยังไม่ละสายตาออกจากสุนัขตัวใหญ่ที่นั่งมองหางลู่
แล้วดันประตูรั้วปิด
“จะเที่ยงแล้ว
รีบไปกันดีกว่า” จีซูพูดเสียงเรียบพลางเดินไปเปิดประตูหน้าขึ้นรถไปก่อน ฮันโซลจึงเดินไปเปิดประตเบาะหลังให้หมิงฮ่าวขึ้นไป
แล้วตนเองเดินไปขึ้นเบาะหน้าขับออกไป
“พี่จองฮันมาเล่นกับผมหน่อยสิ”
“พี่ทำงานอยู่นะครับ”
ร่างบางตอบพลางยิ้มแหยๆ “ไปเล่นกับวอนอูแทนนะ”
เด็กชายพยักหน้าก่อนจะเดินไปเกาะโต๊ะทำงานของผู้ปกครองที่กำลังนั่งทำหน้าเครียดอยู่กับเอกสารกองเบ้อเริ่มบนโต๊ะ
“นี่ๆ
ลุงเล่นกับผมหน่อยสิ” นิ้วป้อมสะกิดที่แขนของวอนอู แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ
จึงเปลี่ยนจากการสะกิดเป็นการเขย่าแขนแทน “สนใจผมหน่อยยยย”
“ไปนั่งเล่นคนเดียวก่อนได้ไหม?”
ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบพลางนำปากกาขึ้นเคาะหัว
“เบื่ออ่ะ”
มินกยูเบะปากเพราะไม่ได้ดั่งใจ
คุณลุงยังหนุ่มถอนหายใจดังพรืดก่อนจะหันเก้าอี้ไปหาตุ๊กตาตัวเล็กที่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ
“ไหนใครสัญญาว่าจะไม่ดื้อ?” ร่างเพรียวเลิกคิ้ว “ตอนนี้ฉันงานยุ่ง แต่สัญญา
ว่าถ้าเช็คงานตรงนี้เสร็จจะพาไปกินข้าวข้างนอกด้วย”
“จริงนะ”
เด็กชายถามย้ำ
“อื้อ เดี๋ยวพาไป”
“เกี่ยวก้อยสัญญาก่อน”
มือป้อมชูนิ้วก้อยให้คนแก่กว่าจนเกือบทิ่มตา วอนอูยกยิ้มมุมปากก่อนจะเกี่ยวนิ้วก้อยกัคนตรงหน้า
“สัญญาน่า”
ความคิดเห็น