สายมรณะ - สายมรณะ นิยาย สายมรณะ : Dek-D.com - Writer

    สายมรณะ

    เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะไปเที่ยว แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์น่าอัยอาย แถมยังน่ากลัวสำหรับเขาในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บนเครื่องบิน จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาต่อไป โปรดติดตามชมค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    240

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    240

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.พ. 53 / 15:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    อยากให้ติชมหน่อยนะคะ จะได้ปรับถูก จะเอาไปส่งงานครูค่ะ ^ ^
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      อยากให้ติชมหน่อยนะคะ จะได้ปรับถูก จะเอาไปส่งงานครูค่ะ ^ ^ 

      สายมรณะ

                      “ผู้โดยสารโปรดทราบ ท่านผู้โดยสารท่านใดที่...” เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ดังขึ้นในท่าอากาศยานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของประเทศไทยและเป็นหนึ่งในท่าอากาศยานระดับโลกในปัจจุบัน ซึ่งถ้ารวบรวมราคาตั้งแต่เริ่มสร้างกระทั่งสร้างเสร็จแล้ว ก็คงราคาแพงหูฉี่ แถมยังมีการทุจริตมากมายจากผู้ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

      “ในวันนั้น ผมเรียกได้เลยว่าเป็นวันที่ซวยที่สุดในชีวิตของผมเลยครับ ไม่รู้ว่าผมไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอกับเหตุการณ์ประหลาดๆแบบนั้น ทำไมผมต้องเจอกับมันด้วยก็ไม่รู้!

      เรื่องมันมีอยู่ว่า...

      เสียงพูดคุยจ้อกแจ้ก เสียงเดินและเสียงลากกระเป๋า ดังขึ้นภายในอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่มีผู้คนมากมายจากทุกสารทิศ ทั้งผู้โดยสารขาเข้าขาออก พนักงาน รวมไปถึงญาติพี่น้องมิตรสหายของตัวผู้เดินทางเองอยู่เต็มไปหมด

      ชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งหยิบเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เครื่องเล็กจิ๋วที่มากพร้อมด้วยความสามารถมากมาย เช่น โทรเข้าโทรออก รับส่งข้อความ เป็นเครื่องเล่นเพลง ฟังวิทยุ ดูทีวี ถ่ายรูปชัดกว่ากล้องบางตัว กระทั่งเล่นอินเตอร์เน็ท แถมมูลค่าของมันยังต้องใช้ความสามารถทางการเงินสูงมากกว่าจะได้มันมาครอบครองขึ้นมา แล้วเขาก็ยกเจ้าเครื่องมือนั่นขึ้นมาแนบหู รอที่จะติดต่อกับใครบางคน

      “ตื๊ด...ตื๊ด...” เสียงสัญญาณที่ยิ่งดังมากครั้งก็ยิ่งสร้างความรำคาญให้กับผู้โทรดังขึ้น

      “หนึ่งโหล สองโหล” เสียงจากปลายสายดังขึ้น

      “ฮัลโหล พี่เฟสเหรอครับ?” ชายหนุ่มเจ้าของโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นพูดขึ้น

      “เออสิ ถ้าไม่ใช่พี่แล้วใครมันจะกล้ามารับโทรศัพท์พี่ล่ะ” ปลายสายตอบกลับมาด้วยอารมณ์ที่อยากจะกวนรุ่นน้องที่คณะของเขาเล่น

      “โธ่ พี่เฟสครับ ผมกำลังตื่นเต้นอยู่นะเนี่ย อย่าล้อเล่นสิพี่” ชายหนุ่มตอกกลับด้วยความร้อนรน

      “โอเคๆ พี่ไม่ล้อเล่นแล้ว ว่าแต่ ถึงสนามบินหรือยังล่ะ?” ผู้อาวุโสกว่าถามจากปลายสาย

      กว่าจะเข้าเรื่อง ชายหนุ่มแอบคิดในใจ “ก็ถึงแล้วไงพี่ ผมถึงโทรมาเนี่ย ว่าจะถามสักหน่อยว่าต้องทำยังไงต่อ แต่โดนล้อเล่นจนอยากวางสายแล้ว” ชายหนุ่มตัดพ้อ

      “อ้าว นายฮี โถๆ ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอ ไม่น่าเชื่อ น้องพี่ออกจะรวย” ปลายสายก็ยังล้อเล่นมาอีก

      ใช่แล้วครับ ผมชื่อ”ฮี” อ่านไม่ผิดกันหรอกครับ แต่อย่าอ่านผิดก็แล้วกัน ชื่อผมน่ะ มาจากคำว่า He ไม่ได้มาจากคำอื่นนะครับ ผมเป็นเด็กปีสอง เรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยสักแห่งที่มีชื่อ ก็ถูกของพี่เฟสเขาที่บอกว่าผมรวย รวยแต่ไม่อวดใคร ใช้เงินไม่เป็น ขึ้นเครื่องบินผมยังไม่เคยเลยซักครั้งในชีวิต จนมาวันนี้ผมถึงได้มีโอกาสขึ้นเครื่องกับเขาสักที

      “รวยกับผีสิพี่! ผมเก็นเงินตั้งสี่ห้าปีกว่าจะได้เงินซื้อไอ้เครื่องนี้ด้วยตัวเองได้เนี่ย”ชายหนุ่มกล่าว

      “ดีแล้ว อยากได้อะไรจะได้ไม่ต้องระรานใคร แล้วไปเช็คอินหรือยัง” ปลายสายถาม

      บ๊ะ! ถามมาได้ ถ้าเช็คอินเป็นคงไม่โทรไปถามหรอกว่าต้องทำยังไงต่อ “ยังเลยพี่ ต้องไปเช็คอินตรงไหนล่ะ”ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆอาคารที่พักผู้โดยสาร

      “ฮี เอ็งเดินไปดูจอที่เขาติดไว้ทั่วสนามบินนะ มันจะขึ้นว่า ไฟลท์ที่เอ็งจะไป ต้องไปเช็คอินตรงไหน” ผู้อาวุโสกว่าตอบกลับ

      “โอเคพี่ แล้ว...” “เฮ้ย! พี่ต้องเปลี่ยนเบอร์นะ เอ็งจดไว้เร็ว ศูนย์แปดห้าตองนะตองสาม แล้วก็สี่เจ็ดแปดสี่!” ปลายสายขัดขึ้นมาด้วยความรีบร้อนแล้วรีบตัดสายของชายหนุ่มทิ้ง

      “อ้าวเฮ้ย! พี่เฟส อะไรเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นกับโทรศัพท์เครื่องแพงของตัวเอง

      แล้วผมก็ได้ตัดสินว่า ลองหาวิธีด้วยตัวเองดีกว่า ถ้ามีเรื่องจริงๆค่อยโทรไปหาพี่เฟส เพราะท่าทางก็ไม่ได้พึ่งอะไรได้สักเท่าไร

      แล้วชายหนุ่มก็ก้าวขามุ่งหน้าไปยังจอแอลซีดีสีดำขนาดใหญ่ ที่แสดงตัวอักษรภาษาต่างๆและตัวเลขอยู่เต็มจอ เพื่อให้ผู้โดยสารได้ตรวจดูว่า เที่ยวบินของตนเองจะต้องไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์ใด

      “เคาท์เตอร์ F4 เหรอ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังเคาท์เตอร์ที่ว่า

      เมื่อเขาผ่านขั้นตอนยุ่งยากหลากหลายขั้นตอน ทั้ง X-Rayกระเป๋า เช็คอิน โหลดกระเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่อง ขอใบตรวจคนเข้าเมือง รับเอกสาร ในที่สุดเขาก็เช็คอินสำเร็จ โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ได้ชี้ให้เขาไปตรวจพาสปอร์ตและทำอย่างอื่นๆตามระเบียบของการใช้สนามบิน จนเวลาลุล่วงไปนานพอสมควร แต่ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย แถมยังเหลือเวลาให้เขาเดินซื้อสินค้าปลอดภาษีที่ Duty Free Shop อีกเป็นชั่วโมง แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ต้องโทรไปถามรุ่นพี่ยียวนคนนั้นสักหน่อย จึงยกเครื่องมือสื่อสารราคาแพงหูฉี่เครื่องเดิมขึ้นมากดหมายเลขสิบหลักแล้วโทรออก เมื่อรอเสียงสัญญาณสักพักก็มีเสียงดังขึ้นมาจากปลายสาย

      “ฮัลโหลๆ!” เสียงจากปลายสายที่ฟังดูรีบร้อนดังขึ้น

      “พี่เฟสๆ เอาอะไรมั้ยผมอยู่ที่ Duty Free แล้วอยา...” “ตื๊ด...ตื๊ด...” เสียงสัญญาณวางหูโทรศัพท์ดังขึ้นทั้งที่ชายหนุ่มยังพูดไม่จบประโยค

      “อะไรเนี่ย อุตส่าห์หวังดี โทรไปก็ตัดสายอีก เปลืองนะโว้ย!” ชายหนุ่มเริ่มหัวเสีย เขาจึงเดินเข้าไปในร้านเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่เขาชอบใจ เพื่อฆ่าเวลา

      เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ยกข้อมือของตัวเองขึ้นมองดู

      “อ้าวเฮ้ย! อีก 20 นาทีประตูจะเปิดแล้วนี่นา ไปดีกว่า”

      สิ้นเสียงพูดของตนเอง ชายหนุ่มก็รีบเดินไปตามทางที่สัญลักษณ์บนแผ่นพลาสติกซึ่งห้อยอยู่บนเพดานนำทางไปยังประตูที่เขาต้องใช้ขึ้นเครื่องบิน

      ว้า! ผมต้องถูกตรวจนั่นตรวจนี่อีกแล้วเหรอ ตรวจอะไรกันนักหนาเนี่ย แถมต้องหยิบตั๋วบ่อย เดี๋ยวก็หายกันพอดี

      เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เขาเดินผ่านทางเดินที่ไม่กว้างไม่แคบ แต่มีลักษณะคล้ายอุโมงค์สีขาวๆ ซึ่งทางเดินนั้นคือ”งวงช้าง”ที่เชื่อมต่อไปยังทางขึ้นเครื่อง

      ในที่สุดผมก็ได้ขึ้นเครื่องแล้วครับ ตื่นเต้นบอกไม่ถูกเหมือนกันนะ

      “การบินไทยสวัสดีค่ะ ขออนุญาติตรวจตั๋วโดยสารด้วยนะคะ” พนักงานบริการหน้าตายิ้มแย้มต้อนรับผู้โดยสาร ที่เกล้าผมเป็นมวยไว้ด้านหลังในเสื้อสีม่วงคอกลมกว้างตัวหนาและกระโปรงสีแบบเดียวกับเสื้อ ที่คาดว่าผ้าที่ใส่คงจะทำให้ร้อนน่าดูถ้าไม่มีลมเย็นๆจาเครื่องปรับอากาศ และบริเวณกระเป๋าเสื้อยังมีเข็มกลัดรูปปีกสีเงินและบัตรพลาสติกแข็งๆที่แสดงข้อมูลของคนคนนั้นอยู่ด้วยพูดขึ้น

      “นี่ครับๆ” ชายหนุ่มตอบ เขาเบายื่นตั๋วให้อย่างประหม่าเล็กน้อยพร้อมกับอาการเขินๆ แต่พนักงานคนนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียหน้าแต่อย่างใด ยังคงส่งรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ามาให้

      “เชิญค่ะ” เมื่อพนักงานพูดจบก็คืนตั๋วโดยสารให้กับเขาแล้วก็มีพนักงานอีกคนมารับช่วงต่อ

      “ที่นั่งอยู่ทางด้านนี้ค่ะ เชิญค่ะ” พนักงานคนที่มารับช่วงต่อพูดขึ้นและนำเขาไปยังทางเดินพื้นพรมสีเข้มที่ถูกขนาบด้วยเก้าอี้โซฟาสีม่วงที่ท่าทางดูน่าสบาย

      เมื่อถึงที่หมาย คือเก้าอี้ที่อยู่ติดกับทางเดิน พนักงานก็หยุดเดินและผายมือเป็นการแสดงว่า นี่คือที่นั่งของเขา

      “อ่า ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ

      เมื่อพนักงานสาวสวยในชุดเสื้อกระโปรงสีม่วงเดินจากไป เขาก็เอื้อมมือเปิดช่องเก็บสัมภาระด้านบนศีรษะแล้วนำกระเป๋าใบขนาดกลางของเขาใส่เข้าไปนั้นและปิดมันลง โดยเหลือแต่กระเป๋าที่ใบเล็กกว่าใบเมื่อครู่แต่ก็ยังถือว่าใหญ่ไว้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้สีม่วงที่อยู่ตรงหน้าเขา

      เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยเข้ามาในตัวเครื่องกันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครที่มีหมายเลขที่นั่งติดกับเขามานั่ง เขาจึงทำตัวตามสบายแล้วกวาดสายตาไปทั่วเครื่องบิน อีกครู่หนึ่งผ่านไปเขาก็เริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเหมือนมีอะไรสักอย่างเกินขึ้น ดังมากจากประตูที่เขาเดินเข้ามา แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีกากีที่เข้มจนเกือบจะกลายเป็นสีดำ มีตราติดอยู่ไปทั่วตัว ประมาณ 8 ถึง 9 คนเดินเข้ามาบริเวณที่เขานั่งอยู่

      “ขออนุญาตตรวจค้นครับ” คนที่ดูท่าทางจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในคนกลุ่มนั้นกล่าวขึ้น พร้อมกับที่คนอีกสองคนในกลุ่ม จับมือของเขาไขว้ไว้ด้านหลังอย่างรุนแรง และยังนำกุญแจมือสีเงินมาใส่ที่ข้อมือทั้งสองข้างของเขาอีกด้วย

      “เฮ้ย! คุณทำอะไรผมน่ะ ห้ามยุ่งกับของๆผมนะ!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสียและทำท่าทางขัดขืน โดยการใช้เท้าถีบไปยังลำตัวของคนที่มาจับตัวเขาไว้

      ในขณะนั้น เสียงฮือฮาของพนักงานและผู้โดยสารคนอื่นๆก็ดังขึ้นเรื่อยๆ คนที่เหลือในกลุ่มคนในเครื่องแบบนั้น ก็ค้นกระเป๋าของเขาอย่างไม่เกรงใจ ในขณะนั้นเอง เขาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเขาทำอะไรผิด

      เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เอ๊ะ! หรือของที่เราซื้อมาจาก Duty Free มันผิดกฎหมาย ไม่สิ! เขาจะนำของผิดกฎหมายมาขายในสนามบินได้ไง

      ในวินาทีนั้น ความสับสน ความกลัว ความโกรธ และความวิตกกังวลได้พุ่งมารวมอยู่ที่ตัวเขา

      “หัวหน้าครับ เจอแล้วครับ มีบันทึกไว้ด้วยครับ” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดขึ้น และยื่นโทรศัพท์เครื่องแพงของชายหนุ่มให้ผู้ที่ดูจะมียศสูงสุด

      “คุมตัวเขาไว้” คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าสั่งคนอื่นๆในกลุ่มและทำอะไรบางอย่างกับโทรศัพท์ของชายหนุ่ม

      เสียงฮือฮาของผู้โดยสารและพนักงานบนเครื่องยิ่งทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาที่กำลังวิกตกกังวล สับสน โกรธ กลัวยิ่งสติแตกขึ้นเรื่อยๆ

      เขาทำอะไรผิด! หรือมือถือที่เขาอุตส่าห์เก็บเงินมาสี่ห้าปีซื้อนี้ เป็นของโจร ไม่นะ! เขาอุตส่าห์เลือกร้านที่น่าไว้ใจทั้งยังเป็นร้านของญาติแล้วนะ ชายหนุ่มเริ่มฟุ้งซ่านขึ้นเรื่อยๆ

      “พวกผมขออนุญาตนำตัวของคุณออกจากเครื่องบินเพื่อการสอบสวนในขั้นต่อไปครับ” สิ้นเสียงของหัวหน้าของคนที่กำลังคุมตัวเขาอยู่ ก็ลากให้เขาเดินลงจากเครื่องไป

      “นี่พวกคุณ มีสิทธิ์อะไรมาคุมตัวผมไปเนี่ย! ค่าเครื่องบินผมก็จ่าย มือถือผมก็ซื้อมาเอง อาวุธผมก็ไม่ได้เอาขึ้นเครื่องมา จะมาจับผมทำไม ผมต้องเดินทางไปต่อนะโว้ย!” ชายหนุ่มพูดด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังสบถด่าเจ้าหน้าที่ที่มาคุมตัวเขาไปและดิ้นขัดขืนตลอดทางที่คนพวกนั้นลากเขาไป

      คนกลุ่มนั้นพาเขาเข้ามาในห้องที่มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้ บรรยากาศมืดๆของห้องที่มีเพียงหลอดไปนีออนสองหลอดติดอยู่เหนือศีรษะของเขาทำให้เขาเริ่มใจเสียมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

      เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆนี่หว่า หรือว่าผิด โอ๊ย! ไม่ผิดสิ เอ๊ะ! หรือมือถือที่เขาซื้อมามันเป็นของโจรจริงๆ ไม่นะ! เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดในหัวของเขาก็ยิ่งตีกัน ตอนนี้เขามีอาการเหมือนกับคนที่แพ้อะไรสักอย่าง ตัวสั่นมือสั่น ตัวชา หายใจไม่สะดวก หัวใจเต้นเร็วและแรง

      นี่เขาจะช็อคตายไหมนี่ ทันทีที่เขาคิดเสร็จ เสียงดุๆของเจ้าหน้าที่ที่น่าจะมียศสูงสุดคนนั้น ดังขึ้น

      “คุณกับพรรคพวกของคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่ ตอนแรกผมก็คิดว่ามีเขาคนเดียวเสียอีกที่เป็นผู้ก่อการ แต่ไม่ยักจะเชื่อว่ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก” คนคนนั้นถามเขา

      “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย! ก่อการอะไรกัน ผมจะไปเที่ยว!” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

      “ก็คุณติดต่อกับเขา ผมมีหลักฐานที่จะจับคุณได้” ผู้สอบสวนคนเดิมกล่าว

      หา! ผมไม่ได้ติดต่อกับผู้ก่อการร้ายสักหน่อย เอ๊ะ! หรือว่า พี่เฟสทำอะไร บ้าน่า!พี่เฟสเป็นคนดีจะตายไป จะไปก่อการร้ายอะไรได้ยังไง แต่คนที่เราติดต่อก็มีแค่คนเดียวคือพี่เขา โอ๊ย!

      “ผมติดต่อกับพี่ที่ผมรู้จักแค่คนเดียวตลอดทั้งวันนี้ แล้วพี่เขาก็ไม่น่าจะใช่คนร้ายด้วย เขายังเป็นสมาชิกของชมรมนักบุญอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มตอบกลับ

      “คุณจะไม่ยอมรับจริงๆหรือ? งานนี้น่ะโทษประหารเชียวนะแค่สมรู้ร่วมคิดก่อการร้ายระดับชาติเนี่ย คุณยังจะให้ผมแถมข้อหาพูดเท็จกับเจ้าหน้าที่อีกเหรอ?” คนในเครื่องแบบคนเดิมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดแล้ว

      “จะให้ผมยอมรับอะไรล่ะ! ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่เชื่อคุณก็เอาโทรศัพท์มา ผมจะโทรไปหาพี่เขาให้ดู!” เมื่อชายหนุ่มพูดจบก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นมากดโทรออกเบอร์ล่าสุดที่เขาเพิ่งโทรไปเมื่อตอนอยู่ที่ Duty Free

      “ขออภัยค่ะ เลขหมายที่คุณเรียกนี้ระงับการใช้งานชั่วคราว Sorry the number…” เสียงอัตโนมัติที่ดังขึ้นทำให้เขาเริ่มกังวล

      “หมอนั่นคงระงับเบอร์ตัวเองไปแล้วล่ะสิ มันคงรู้ตัวแล้วว่าเราจับตัวคุณได้” เสียงเย็นๆของเจ้าหน้าที่คนเดิมดังขึ้นในวินาทีนี้ชายหนุ่มเริ่มคิดขึ้นมาจริงๆแล้วว่ารุ่นพี่ของเขาคนนี้อาจจะเป็นผู้ก่อก่ารร้ายจริงๆ

      ทันใดนั้นเอง

      Fly me to the moon. Let me play among the stars. Let me see what spring is like” เสียงเพลงเพลงหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารของชายหนุ่มที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะ

      เจ้าพนักงานคนเดิมที่สอบสวนเขาอยู่บอกให้เขารับโทรศัพทท์และเปิดลำโพงให้เขาได้ยินการสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น

      “สองโหลสี่โหล ได้ขึ้นเครื่องรึยังวะเนี่ยไอ้ฮี” เสียงจากคนที่คุ้นเคยดังขึ้น แล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือของเขา

      “สวัสดีครับ คุณช่วยกรุณามาที่สนามบินด่วนเลยนะครับ และถามตำรวจที่จะไปรอคุณอยู่ที่ประชาสัมพันธ์ว่าห้องสอบสวนอยู่ที่ไหนแล้วตำรวจคนนั้นจะพาคุณมาหารุ่นน้องของคุณครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูด

      “ได้ๆ มีเรื่องอะไรวะฮี เดี๋ยวพี่รีบไป” แล้วปลายสายก็รีบตัดบทไป

      “มันคนละเบอร์กับที่คุณโทรออกนี่” เจ้าหน้าที่เริ่มถามชายหนุ่ม

      “แต่เบอร์นั้นก็มีคนรับเหมือนกันนี่ครับ ผมก็นึกว่านั่นเป็นพี่เขา สรุปนั่นคือใครผมเองก็ไม่รู้” ชายหนุ่มเริ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่ผมไม่ได้ก่อการร้ายอะไรจริงๆนะครับ” ชายหนุ่มพูดซ้ำ

      “เมื่อสักครู่ทางเราจับตัวคนคนนั้นได้แล้วพร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกสองคน และเขาได้สารภาพแล้ว สรุปคือผมก็พอจะเชื่อขึ้นมานิดหน่อยว่าคุณโทรผิด แต่ทางเราต้องรอคุณคนนั้นมายืนยันก่อน” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูด

      เมื่อเวลาผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ชายรูปร่างสูงผอมที่มีท่าทางยียวนก็เดินเข้ามาพร้อมกับแก้ไขเรื่องทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ และเมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ได้รับการปล่อยตัวและการขอโทษจากเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ทำให้ชายหนุ่มต้องตกเครื่อง อดไปเที่ยวทริปแรกในชีวิตไปโดยปริยาย

      “เอ็งนี่นะ พี่ก็เน้นแล้วว่าตองสามยังจะโทรผิด” ผู้ที่เป็นอัศวินม้าขาวของชายหนุ่มพูดขึ้น

      “ก็เพราะพี่เน้นนั่นแหละ ดันมาเน้นว่า ตองนะตอง ก็ได้ยินเป็นสองสองสาม เห็นไหมซวยเลย เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว แถมคนอื่นบนเครื่องบินต้องคิดว่าผมเป็นคนร้ายจริงๆแน่เลย” ชายหนุ่มตัดพ้อด้วยน้ำเสียงที่แอบแฝงอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยไว้ด้วย

      “ครับ เรื่องระทึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับผมในวันนั้นเกิดจากการที่ผมโทรผิดเบอร์แถมยังไม่รู้ตัวว่าโทรผิดแค่นั้นแหละครับ ผมคงต้องโทษทั้งตัวเองและคุณตำรวจพวกนั้นที่ดันเข้าใจอะไรผิดๆแบบนี้ สงสัยเรื่องนี้มีคนถูกคนเดียวมั้งครับ”

      “พี่เฟสไง”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×