คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ ๑๓
๑๓
ผมนั่งเหยียดขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นชันเข่าบนโซฟา อ่านการ์ตูนที่แวะไปซื้อมาพร้อมพวกเสื้อผ้าและของใช้จำเป็น
ก็เล่นมากันแบบตัวเปล่าๆเลยนี่
แต่เพียงเวลาไม่นาน หนังสือการ์ตูนก็ถูกปิดลงก่อนผมจะทิ้งศีรษะลงบนหมอนอิง มองเพดานสีขาวสะอาดๆของห้องพักราคา 1700 เหมือนมันมีอะไรให้น่าสนใจนักหนา
ไม่ชอบความรู้สึกว่างๆแบบนี้เลย มันทำเอาผมคิดฟุ้งซ่าน....
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพลิกตัวเองให้อยู่ในท่านอนตะแคงหันหน้าออก ก่อนจะหลุดขำเบาๆเมื่อภาพของไอ้เพื่อนร่วมห้องอีกคนของผมนอนขดตัวกอดกองผ้าห่มที่ม้วนๆขยุ่มๆเป็นม้วนยาวๆแบบข้าวห่อสาหร่ายมาใช้แทนหมอนข้างแล้วหลับตาพริ้ม หายใจสม่ำเสมอ...
เด็กติดหมอนข้างรึไง...
ผมลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาไปหรี่แอร์ซักหน่อย เพราะรู้สึกได้ว่าห้องมันเย็นเกินไป แถมไอ้คนที่หลับสบายอยู่บนเตียงดันเอาผ่าห่มมาทำเป็นหมอนข้างเฉพาะกิจไปเสียอีก เมื่อได้อุณหภูมิที่พอใจ ขาผมก็ก้าวขาต่อเดินไปเลื่อนบานประตูกระจกเพื่อออกมารับลมนอกระเบียง
แดดตอนบ่ายๆของหน้าหนาวมันไม่ค่อยแรงมากนัก แถมลมทะเลก็พัดมาเบาๆทำให้ผมต้องหลับตาลงแล้วปล่อยตัวให้อยู่กับธรรมชาติ ห้องพักที่อยู่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ติดทะเลครับ แต่ก็อยู่ห่างออกมาไม่มากเกินไป สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นเค็มของทะเล ผมเพิ่งรู้เอาเองจากป้ายข้างทางตอนขับรถแวะซื้อนู้นนี่ ว่าตัวเองถ่อมาไกลยันหัวหิน ซึ่งนั่นก็เป็นผลดี เพราะที่นี่...ไม่ค่อยมีความทรงจำของผมกับ ‘พวกนั้น’ เท่าไหร
มันอดคิดไม่ได้จริงๆว่าถ้าไอ้ซีมันไม่เข้ามาแทรก ผมกับมิวตอนนี้ก็คงยังรักกันดี... ทั้งๆที่ผมแอบเชื่อมาตลอดแท้ๆว่าเราอาจจะยังเหมือนเดิม เพียงแค่ตอนนี้ต่างคนต่างไกลกันก็เท่านั้น..
แต่ก็คิดผิดมาตลอด ไอ้เจ็บมันก็เจ็บแหละครับ แต่ถือว่าตาสว่างก็แล้วกัน จะได้เลิกไอ้ความคิดแบบนั้นซักที ของแบบนี้มีคนเขาเคยว่าปรบมือข้างเดียวน่ะมันไม่ดัง...
เฮ้อ...
ผมขยี่หัวตัวเองแรงๆเหมือนมันจะสามารถช่วยให้เรื่องในหัวมันหายไปได้ ตัดสินใจก้าวขาเดินเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงโซฟาเอามือก่ายหน้าผาก พยายามข่มตาบังคับให้ตัวเองหลับ แต่ก็มีแต่เรื่องเดิมๆเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน...
ไอ้ฟัค!! รีบๆตื่นมากวนประสาทกูหน่อยเถอะ ขอร้อง!!
อย่าทิ้งกูไว้คนเดียว....
-------------------------------------------
ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ผมเดินหนีบแตะสีแดงเขียวที่ซื้อมาแทนคอนเวิร์สสีแดงคู่เมื่อคืน กางเกงขาสั้น แล้วก็เสื้อยืดแขนกุดสีแดงท้าลมหนาว... ผมก็ไม่ได้ชอบสีอะไรเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษนะ แต่ไม่รู้ทำไมซื้ออะไรแล้วพอมาดูอีกทีมันสีแดงหมดเลย ฮ่าๆๆ สงสัยได้รับการปลูกฝังมาจากขบวนการเรนเจอร์มาตั้งแต่เด็ก ว่าสีแดงมันสีของพระเอก ฮ่าๆ
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมเป็นพระเอกนะ
ไอ้เด็กสูงโย่งข้างๆก็อยู่ในสภาพเดียวกับผม ต่างกันที่มันยังคงเส้นคงวาหนีบแตะสีดำคู่ประจำที่มันใส่ติดตัวไปทุกที่ทุกเวลา
มันปลุกผมที่หลับไปตอนไหนไม่รู้ขึ้นมาเมื่อบ่ายสี่กว่าๆให้ไปอาบน้ำแล้วลากออกมาเดินเล่นหาอะไรกินแถวชายหาดที่สามารถเดินมาเองได้สบายๆไม่ต้องใช้รถ
“หิวยัง?” ผมถามขึ้นแล้วกวาดตามองร้านรวงข้างทาง
“ก็ไม่เท่าไหร แล้วแต่พี่และกัน”
“กูก็ยังไม่หิว...” ก็เล่นนอนทั้งวันไม่ให้ร่างกายเผาผลาญแคลลอรี่เลยนี่หว่า...
ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย แวะซื้อของจุกจิกกินนิดหน่อยจนเจอวิวดีๆที่ไม่มีร่มกับเก้าอี้ชายหาด เลยตัดสินใจทิ้งตัวลงบนพื้นทรายนุ่มๆแล้วนั่งชันเข่าจิ้มแตงโมชิ้นโต ไอเท็มสีแดงอีกอย่างเข้าปาก ตาก็มองตามบานาน่าโบ๊ทที่เล่นฉิวอยู่บนเกลียวคลื่น
จนรู้สึกถึงอะไรยุ๊กยิ๊กๆข้างตัว เมื่อหันไปก็เจอไอ้โฟล์คที่นั่งขัดสมาธิข้างๆกำลังใช้ไม้จิ้มผลไม้เขี่ยๆเม็ดแตงโมออกจากเนื้อสีแดงๆให้ล้วงลงไปในถุงหิ้วที่ม้วนปากวางไว้บนพื้น
เด็กชิบหาย...
“ทำไร” ผมถามแล้วมองมันที่ขมักเขม่นแคะเม็ดแตงโม ไอ้โฟล์คแค่เงยหน้าขึ้นมามองแล้วใช้สายตาตอบแทนที่ถอดความออกมาว่า ‘มองไม่เห็นรึไง’
“กว่าจะได้แดก” ผมแซะ
“แล้วพี่กินเข้าไปเลยหรอ?”
“อือ กูเลือกที่จะยอมรับปัญหามากกว่าหนีปัญหาน่ะ” แถมด้วยยักคิ้วข้างเดียวหนึ่งที วันนี้กูคมเว๊ย
“ก็แค่ขี้เกียจไม่ใช่หรอ” มันว่าพร้อมหน้าตายๆแล้วยัดแตงโมไร้เมล็ดเข้าปาก “อีกอย่าง... ผมว่าที่ผมทำมันคือการแก้ปัญหานะ”
“ชิ...” ผมจิ๊ปากเบาๆแล้วยัดแตงโมที่ยังมีเม็ดยั๊วเยี๊ยเข้าปาก ความจริงผมก็ไม่ได้ชอบหรอก แค่ขี้เกียจอย่างที่มันว่านั่นแหละ
“แก้ปัญหาน่ะ ดีกว่าการอยู่ร่วมกับมันนะ เพราะไม่แน่มันอาจจะมาก่อปัญหาใหญ่ๆให้เราอีกทีก็ได้” มันพูดไปเขี่ยเม็ดไป
ไมเดี๋ยวนี้มึงพูดมากจังวะไอ้ห่า สนิทแล้วลามปามมาสอนกูรึไง เดี๊ยะๆ...
“แดกเม็ดแตงโมมันจะมีปัญหาไรตามมาวะไอ้เชี่ยนี่” ผมยัดแตงโมเข้าปากอีกครั้งเหมือนจะโชว์ให้มันดูว่ามีเม็ดกูก็ยังกินเข้าไปได้ปกติ
“มัน...” ไอ้อาจารย์สอนปรัชญาชีวิตผมลากเสียงเว้นวรรคไว้แล้วค่อยๆเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ๆหูผม ลมหายใจอุ่นๆของมันมากระทบใบหูจนรู้สึกขนลุก ทำให้ผมต้องนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรอว่ามันจะพูดอะไร ก่อนที่เสียงกระซิบเบาๆที่แถมท้ายด้วยลมที่ออกจากปากมากระทบหูให้ความรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ
“...จะงอกเป็นต้นอ่อนในท้อง”
…
ไอ้ห่า.... ปัญญาอ่อน!!!!
ความรู้สึกผมตีกันมั่วชิบหาย จากอารมณ์แข็งทื่อเพราะเขินหรืออะไรไม่รู้เมื่อกี้กลายเป็นอึ้งกิมกี่กับมุขหลอกเด็กของมัน
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมได้บอกว่าเขินป่าววะ...?
หันไปมองไอ้เด็กโตแต่ตัวข้างๆมันก็กำลังหัวเราะชอบใจกับมุขควายๆที่เพิ่งปล่อยออกมา...หัวเราะแบบสดใสเหมือนเมื่อเช้า... ตามันหยีจนแทบปิด ริมฝีปากเปล่งเสียงหัวเราะพร้อมคลี่ยิ้ม... รอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากชนิดที่ต่อให้เสแสร้งยังไงก็ไม่มีวันสดใสเท่านี้
รอยยิ้ม...ที่ทำให้ผมยิ้มตามไปกับมุขปัญญาอ่อนของมันไปด้วยจนได้...
ผมนั่งกินแตงโมจนหมดแล้วใช้ไม้จิ้มเขี่ยพื้นทรายวาดรูปเล่นไปเรื่อยจนเริ่มเบื่อ แถมท้องก็เริ่มหิว เลยชวนไอ้โฟล์คลุกขึ้นยืนเพื่อออกเดินทางหาร้านมื้อเย็นที่จะไปฝากท้องกันต่อ
ผมยืนขึ้นแล้วสั่นขาแรงๆพร้อมตบตูดตัวเองสองสามทีเพื่อให้ทรายที่เกาะอยู่ล่วงลงไปกระเด็นใส่ไอ้คนที่นั่งเก็บถุงพลาสติกบรรจุภัณฑ์แตงโมแบบจงใจ มันเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างคาดโทษนิดหน่อยยิ่งทำให้ผมได้ใจยิ้มแป้นใส่แล้วก้าวขาเดินหันหลังออกมาเอามือดัดหลังตัวเองให้หายเมื่อย
“นี่... ปัญหาอีกอย่างของพี่ก็ด้วยนะ” อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมาทำให้ผมชะงักนิดหน่อย...
“...”
“อย่าปล่อยมันไว้นาน ...ผมว่าพี่ก็คงรำคาญเม็ดแตงโมใช่ไหมล่ะ”
“...”
“เรื่องนี้พี่อาจอยู่ร่วมกับมันได้ แต่อาจจะไม่เสมอไป”
“...”
“......แค่อย่าหนีมันก็พอ” ถึงตอนนี้ผมกำลังหันหลังให้มันอยู่ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนแกมห่วงใยนั่นก็ทำให้ผมแน่ใจว่ามันต้องกำลังยิ้มบางๆอยู่แน่ๆ
“เออน่า... รู้แล้ว...”
กลับไป...ก็คงต้องเอาให้จบนั่นแหละ...
-------------------------------------------
กุ้งตัวโตๆ ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ ปูที่กระดองของมันไข่แทบจะทะลักออกมา ทั้งหมดถูกเผาแล้วจัดวางเรียงกันอย่างสวยงามบนจานพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดเรียงรายลงบนโต๊ะไม้สีน้ำตาลของร้านอาหารริมชายหาด
ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบแล้วมองออกไปที่ทะเลข้างกาย เราโชคดีที่ได้นั่งโต๊ะริมใกล้ชายหาด ถึงแม้จะต้องทนหนาวซักหน่อย แต่ทะเลยามตะวันเพิ่งตกนี่มันก็สวยจนยอมให้อภัย
เนื่องด้วยนี่เป็นหน้าหนาว กลางวันสั้นกว่ากลางคืน พระอาทิตย์วันนี้เลยตกเร็วเป็นพิเศษทำให้เริ่มมืดแต่ก็มีแสงจากหลอดไฟแทนแสงจากดวงอาทิตย์ช่วยให้บรรยากาศสวยไปคนล่ะแบบ
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียนหรอ” คำพูดไอ้โฟล์คทำให้ผมต้องรีบหันหน้ากลับมาจ้องหน้ามันตาแทบถลน!
ไอ้ห่า! กูหยุดถึงแค่วันนี้!!
ไอ้การ์ดเอ๊ยยยยยยยยย!! ลืมไปได้ไงว่ะเนี่ย
“พะ...พรุ่งนี้วันไรวะ?”
“พุธ...” พุธนี่กูเรียนไรมั่งนะ? ไม่มีเช้าใช่มั๊ย? โอ๊ยไอ้ห่ากลับตอนนี้ทันไหมเนี่ย
ผมรีบควักไอโฟนที่เปิดโหมดเครื่องบินไว้เพื่อดูตารางเรียน
“กินเสร็จแล้วกลับเลยก็ได้”
“มันใช้เวลากี่ชั่วโมงวะ... คือกูเรียนบ่ายอ่ะ”
“ประมาณ 3”
“ก็ทัน...”
“ไม่สะดวกกลับคืนนี้เลยก็ได้นะ”
“ได้ไงหล่ะ มึงหาห้องตั้งนาน... ว่าแต่มึงไม่มีเรียนใช่ป่ะ?”
“อีกนาน” อ้อ พวกโรงเรียนศริสต์สินะ อิจฉาวุ๊ย
“ค้างนี่แหละ ไม่เป็นไร” ผมว่าแล้วเอาส้อมจิ้มปลาหมึกมาเคี้ยว ยังไม่อยากกลับว่ะ ไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกมัน...
ผมไม่ได้กำลังคิดหนีปัญหาอย่างที่มันพูดใช่ไหม...?
“ขอโทษนะคะ” อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วส่งเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คให้เธอทางสีหน้า
“อ่าคือ...เพื่อนพี่ฝากมาขอไลน์น้องสองคนได้ไหมเอ่ย โต๊ะนู้นอ่า” เธอว่าพลางชี้ไปที่โต๊ะที่ถัดจากผมไปไม่มาก และมีผู้หญิงนั่งอยู่ 5-6 คน น่าจะวัยทำงาน
“ผมมีแฟนแล้วครับ ขอโทษนะ” ไอ้โฟล์คตอบไปตามความจริงยิ้มแหยๆให้พี่สาวคนที่น่าจะสวยที่สุดในกลุ่ม เธอทำหน้าเสียใจนิดหน่อยก่อนจะเริ่มเบี่ยงประเด็นมาที่ผมแทน
“อ่าคือ...” พวกพี่เขาก็สวยนะครับ อารมณ์ผมตอนนี้มีคนคุยมันก็น่าจะดีกว่าอยู่คนเดียว
“ผมนี่แหละครับ แฟนมัน” ช่วยไม่ได้ ผมมีแกรนด์คุยด้วยแล้วนี่...แต่ถ้าบอกว่ามีคนคุยด้วยอยู่แล้วก็คงไม่วายโดนเซ้าซี้ต่อแน่ๆ... ตอบแบบนี้ น่าจะดีที่สุด...
ใช่ไหมล่ะ?
-------------------------------------------
“ค๊าบบบบ เดี๋ยวถึงโทรบอกครับผม!”
ผมว่าแล้วกดวางสายเฮียที่โทรมาเบอร์ไอ้โฟล์ค คงจะเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้น้องชายมีเรียน มือข้างหนึ่งก็เช็ดผมที่จำเป็นต้องสระ จากที่คิดไว้ว่าคืนนี้จะไม่อาบน้ำแต่ก็ต้องยอมจริงๆเพราะเจอลมทะเลเข้าไปเล่นเอาเหนียวไปทั้งตัวโดยเฉพาะหัว
ขาผมก้าวไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมาเปิดจิบ พอดีกับไอ้โฟล์คที่เปิดประตูห้องน้ำพร้อมเช็ดหัวออกมาในสภาพเหมือนๆกับผม กางเกงบ๊อกเซอร์กับเสื้อแขนกุดสบายๆ
“เอาป่ะ” ไม่รอให้มันตอบ ผมก็คว้าเบียร์อีกกระป๋องโยนไปให้มันที่รับไว้ได้ทันพอดีแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
ผมเดินต่อออกไปนอกระเบียง ก้มตัวลง เอาแขนทั้งสองข้างที่ถือกระป๋องเบียร์อยู่ค้ำไว้แล้วแหงนหน้ามองฟ้า
คืนนี้พระจันทร์เป็นแค่เสี้ยวเล็กๆไม่ได้ฉายแสงสีนวลแบบที่ผมชอบ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเท่าไหรเมื่อผืนฟ้าสีดำสนิทมีดวงดาวนับไม่ถ้วนแต้มอยู่ระยิบระยับ ลมก็ยังทำหน้าที่ให้ความหนาวได้ดีเหมือนเดิมจนผมต้องยกเบียร์ขึ้นมากระดกอึกใหญ่เผื่อความร้อนของแอลกอฮอล์จะช่วยแก้หนาวได้บ้าง
ไม่นานก็มีเสียงเปิดบานเลื่อนประตูตามมาด้วยไอ้เด็กสูงปรี๊ดมายืนกระดกเบียร์ข้างๆผม ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมารอบข้างเลยมีเพียงเสียงเบาๆของเพลงจากร้านอาหารหรือห้องไหนซักห้องลอยมาให้ได้ยิน
ผมมองท้องฟ้าต่อไปนิ่งๆพักใหญ่ๆ ส่วนไอ้คนข้างตัวก็เหมือนจะอยู่ในกริยาที่ไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา มันก็ไม่รู้สึกอึกอัด แถมยังผ่อนคลายแปลกๆ
“จะออกจากนี่กี่โมงอ่ะ” ผมถามขึ้น ตาก็ยังคงมองท้องฟ้าอยู่
“ 7 โมงเช้าก็ทัน”
“อืม... กู...ขอบคุณมึงมากนะ” คำพูดนี้มันมาจากใจเลยล่ะ ไม่ใช่ตามมารยาท ถ้าไม่มีมัน ป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน
“หืม?”
“ที่มาเป็นเพื่อนกูไง” ผมขยายความต่อ
“อื้ม ไม่เป็นไร ผมต้องขอบคุณพี่สิ ได้เที่ยวฟรี” มันหัวเราะท้ายประโยคเบาๆ
“มึงอาจจะอยากมากับเพื่อนกับแฟนแบบสนุกครื้นเครงมากกว่าไง ไม่ใช่กับไอ้คนมีปัญหาที่เพิ่งรู้จัก” ผมเค้นยิ้มส่งท้าย
“.............พี่เป็นแฟนผมไม่ใช่หรอ”
พรืดด!!
เบียร์ที่ผมกำลังจะกลืนลงคอถูกพ่นออกมานอกระเบียงเป็นฝอยอย่างสวยงาม แต่ส่วนหนึ่งก็ดันไหลลงคอจนทำเอาผมสำลัก
“แค่ก แค่ก...แค่กๆ” ผมสำลักออกมาชุดใหญ่กับไอ้คำแก้ตัวเมื่อเย็นที่เห็นผลชะงักมันย้อนมาเล่นงานตัวเองจนน้ำตาแทบไหล
ไอ้ต้นตอความทรมานครั้งนี้ของผมก็ยืนหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดีพร้อมเอามือมาลูบหลังผมเบาๆหาได้ยี่หระกับสายตาที่ผมส่งไปให้มันแบบอาฆาตแค้นไม่
ผมโก่งคอสำลักไปอีกพักใหญ่ก่อนจะลงฝ่ามือใส่แขนไอ้เด็กที่ยังยืนตัวสั่นเบาๆเพราะขำไม่หยุดเมื่อเห็นสภาพผมที่ยืนอ่อนแรงหายใจเข้าปอด แล้วจ้องตาที่น่าจะแดงมองมันแบบขึงขัง
“เอาน้ำไหม”
“ไม่ต้อง” ผมปฏิเสธไอ้คนหวังดีที่ยังขำไม่หาย ยกเบียร์ที่เหลือขึ้นกระดกจนหมด แล้วยืนหอบแฮ่กต่อไปอีกหน่อย
“พี่...ทะเลาะกับแฟนมาหรอ?”
“ป่าว”
“อืม...” แล้วมันก็เงียบไป
“กู... มีเรื่องกับเพื่อนนิดหน่อย” ผมตัดสินใจพูดออกมา เพราะเหมือนมันเองก็สงสัย แต่ไม่กล้าถาม
“แรงขนาดต้องหนีมาเลยหรอ?”
“ก็...”
“ไม่อยากนึกถึงก็ไม่ต้องเล่าแล้วกัน” มันชิงพูดแทรก
“อืม...”
“ความรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เกิดขึ้นเพราะสมองกระตุ้นให้มี Sympathetic activity สูง หัวใจเลยเกิดการบีบตัว และจะใช้เวลาประมาณ 3-4 วันในการกลับสู่สภาพปกติ ถ้าเราไม่กลับไปหมกมุ่นเรื่องนั้นต่อ...”
“และผมเชื่อ ว่าพี่ใช้เวลาไม่นานหรอก” มันหันมายิ้มให้ผม รอยยิ้มบางๆที่เหมือนมีอิทธิพลสูง จนผมเผลอคลี่ยิ้มตาม
“มึงสมควรเป็นหมอจริงๆนั่นแหละ” ผมแซะมันต่อ แต่ก็ต้องมานึกขอโทษทีหลัง เพราะจำได้ว่าดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร...
ไอ้โฟล์คยังระบายยิ้มอยู่ เพียงแต่มันกลับดูหม่นลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
แล้วรอบตัวก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คราวนี้ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปมองที่บ้านเรือนหรืออาคารที่เปิดไฟสวยงาม ต้นไม้ที่ติดตกแต่งไฟกระพริบหลากสีให้เข้ากับเทศกาล... เออ...ลืมไปเลย
“แฮปปี้นิวเยียร์...” ถึงแม่งจะสายไปเกือบวันก็เถอะ
“อื้ม...แฮปปี้นิวเยียร์” ไอ้โฟล์คหันมายิ้มบางๆให้ผม
เดี๋ยวนี้มึงชักจะยิ้มบ่อยไปและ!! ไอ้หน้ามึนๆของมึงแม่งหายไปไหนหมดวะฮะ?
แต่ก็นั่นแหละ... เหมือนพอคนอย่างมันยิ้มทีแล้วดูสดใสยังไงไม่รู้ คราวนี้ ผมก็เลยอดยิ้มตามมันไม่ได้อีกครั้ง
พร้อมกับหัวใจ...ที่รู้สึกอุ่นวาบแปลกๆ...
-------------------------------------------
นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า ผมที่นั่งเคลียร์ของใช้ เสื้อผ้าลงถุงกระดาษเสร็จแล้วก็รีบล้มตัวลงนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ากว่าที่เคย
ห้องนี้มีเตียงเดียวแต่มันเตียงคู่ ผมเลยเลือกที่จะนอนฝั่งขวาตามที่ถนัด ยกมือขึ้นมารองศีรษะแล้วตาก็มองเพดาน
ถ้าออกเดินทาง 7 โมงเช้า ก็จะถึงประมาณ 10 โมง มีเรียนตอนบ่าย เท่ากับว่าจะมีเวลาว่างประมาณ 3 ชั่วโมง และแน่นอนว่าไอ้พวกนั้นคงไม่ปล่อยให้ผมทำตัวว่างแน่นอน ไม่แน่ ‘มัน’ อาจจะอยู่รอจนไม่กลับเชียงใหม่...
จะทำยังไงดี...
ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เมื่อคิดยังไงก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวกับพวกมันอย่างไร ควรทำสีหน้าแบบไหน หรือพูดอะไร
แกร๊ก...
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังเบาๆตามมาด้วยไอ้โฟล์คที่เหมือนจะเข้าไปแปลงฟัน
“ปิดไฟเลยนะ...” ผมพยักหน้ารับ มันเดินไปตรงไปปิดไฟ แล้วสอดตัวมานอนหงายใต้ผ้าห่มผืนหนาๆผืนเดียวกับผม
แล้วทั้งห้องก็เงียบ... มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังเบาๆ
ผมปิดเปลือกตาลงช้าๆ พยายามข่มตัวเองให้หลับ แต่เรื่องทั้งตอนม.ต้น ม.ปลาย ก็ถ่าโถมเข้ามาไม่หยุด
ไม่ว่าจะตอนไหนชีวิตผมก็จะมีมัน.......... มีไอ้ซี...
แม้กระทั้งตอนมิวบอกเลิกผม... ก็ยังมีมัน... มันที่เป็นต้นเหตุ
ผมว่าผมควรลืมมันซักที อย่างน้อยผมกับมิวก็จบกันไปแล้ว พรุ่งนี้ผมจะคุยกับมันให้รู้เรื่อง ถึงจะยังไม่สามารถอภัยให้มันได้ในเร็วๆนี้ แต่เวลาก็คงจะช่วยผมเอง อย่างที่ไอ้โฟล์คบอก... แค่อย่าหมกมุ่นกับมัน ผมก็จะดีขึ้นเอง เพราะถึงยังไง มิวกับมันก็รักกันไปแล้ว กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้อีก...
แต่มิตรภาพของผมกับซี... มันยังสามารถรักษาไว้ได้อยู่ หึ หวังว่างั้นนะ
ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาจะ 7 ปี เรา 7 คนสนิทกันมาก มากเกินกว่าที่จะเสแสร้งแกล้งทำ ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ตีสองหน้ามาตั้งแต่ต้น แล้วพอมีโอกาส ก็คว้าไป... แต่ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่มันเลือกต่อที่เดียวกับมิวก็คังคงเป็นปริศนา ทำให้ผมเชื่อได้ไม่สนิทใจ ว่าสองคนนั้นเพิ่งมีความสัมพันธ์หลังจบม.ปลายจริงๆ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว....
“นี่” เสียงไอ้คนข้างตัวผมดังขึ้นมาเบาๆ
“หือ?”
“...........ขอกอดได้ไหม” มันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่...
ทำเอาผมช็อค!!
ผมหันหัวไปมองมันด้วยความเร็วเหนือแสง ไม่รู้ว่าคำพูดมันทำให้ผมรู้สึกแบบไหน มันเหมือนเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก ปนกับอึ้งนิดๆ มันยังคงนอนหงาย แล้วมองเพดานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมว่าผมเห็น ว่าริมฝีปากมันขบกันเบาๆ
อยู่ๆภาพมันเมื่อตอนกลางวันก็ฉายขึ้นในความทรงจำ ตอนที่มันนอนกอดผ้าห่มต่างหมอนข้าง แล้วหลับตาพริ้ม ตามมาด้วยแผ่นหลังที่มองแล้วก็รู้สึกว้าเหว่ แถมดูโดดเดี่ยว และเรื่องที่มันต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั่นคนเดียว...
อยู่ๆ ผมก็ระบายยิ้มออกมา โดยไม่ทราบสาเหตุ ยิ้ม...ที่คิดว่าเป็นอะไรที่น่าจะอบอุ่นที่สุดในรอยยิ้มทั้งหมดที่ผมเคยยิ้มมา....
“อือ...” ผมร้องเบาๆในลำคอเป็นคำตอบ แล้วหันหัวขึ้นไปมองเพดานต่อ
แต่ไอ้ความรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจนี่มันอะไรกันนะ...?
ไอ้โฟล์คมันนิ่งไปพักนึง ไม่รู้ว่าอึ้งที่ผมตกลงหรือไม่กล้ากันแน่ แต่ไม่นาน มันก็ค่อยๆขยับตัวมาใกล้ๆ พร้อมกับหัวใจผม...ที่เต้นตาม...
มือมันค่อยๆยกขึ้นมาโอบผมช้าๆอย่างเก้ๆกังๆ เพราะด้วยการที่ผมนอนหงายมันเลยไม่ถนัดเท่าไร และเหมือนมันเองก็รู้ เลยจัดการใช้มือพลิกตัวผมให้อยู่ในท่านอนตะแคง แล้วดันหลังผมเข้าไปให้ชิดมันมากขึ้น ขณะที่อีกข้างก็ช้อนหัวให้ขยับเข้าไปอยู่ในระดับลำคอ ก่อนทั้งสองมือจะโอบกอดผมหลวมๆ...
แต่โคตรอบอุ่น...
เครื่องปรับอากาศยังคงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเคย แต่ผมที่นอนตัวแข็งทื่อกลับค่อยๆมีเหงื่อผุดขึ้นมาเบาๆ ไอ้อีกคนมันก็ดูเหมือนจะเกร็งไม่ต่างกัน... ผมเลยค่อยๆขยับแขน แล้วยกขึ้นมาสอดเข้าไปใต้วงแขนมัน ก่อนจะวางมันทาบไปกับแผ่นหลังไอ้เด็กตัวโต แล้วพยายามผ่อนคลาย...
ผมกำลังทำหน้าที่ ’พี่ชาย’ คนหนึ่ง ที่ส่ง ’น้องชาย’ ตัวเท่าควายเข้านอน เด็กตัวเท่าควาย ที่ผมไม่รู้ว่ามันแบกรับอะไรไว้ ว้าเหว่ขนาดไหน และ ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่....
ก็ไม่แปลกที่มันจะมีอาการป่วยๆแบบนี้...
มีแต่ผมนี่สิที่แปลก... พี่ชายที่ไหน........ ใจเต้นกับน้องชายตัวเองล่ะ!?
เสียงหัวใจผมเต้นแรงกระทบแผ่นอกจนรู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมาให้ได้ พาวนาขอให้ไอ้เด็กตัวโตที่กอดผมอยู่นี่ไม่ได้ยิน
“หึ...โตเท่าควายและ เสือกติดหมอนข้าง” ผมพูดขึ้นมาเหมือนหวังจะให้มันช่วยกลบเสียงหัวใจ
“ผมไม่อยากให้พี่รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวตางหาก” เสียงมันราบเรียบ แต่ยิ่งทำให้ไอ้ใจไม่รักดีของผมมันเริ่มเต้นแรงขึ้นมาเก่า เมื่อประโยคของมันตามมาด้วยการกระชับอ้อมแขน จนผมขยับเข้าไปชิดมันอีก...
และมันก็ทำให้ผมรู้.... ว่าไม่ได้มีแค่ผม ที่ใจเต้นอยู่คนเดียว...
“มะ... มึงอย่ามาแถเหอะ”
“หึ...” มันหัวเราะออกมาเบาๆ “เรื่องจริงนะ...”
“กูบอกว่าอย่าแถ”
“.....แต่ที่พี่พูดก็สาเหตุหนึ่ง” คำสารภาพของมันทำให้ผมหลุดขำออกมานิดหน่อย
“ไอ้โตแต่ตัวเอ๊ยยยยย” ผมลากเสียงยาน แล้วเอามือขึ้นไปยีหัวมันเบาๆ
“........ราตรีสวัสดิ์”
“อืม... กู๊ดไนท์”
แล้วบทสนทนาก็จบลงเท่านี้ หัวใจผมค่อยๆกลับมาเต้นตามจังหวะปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือความรู้สึกแปลกๆที่เติมเต็มเข้ามาแทน...
-------------------------------------------
#แก้คำผิด + รีไรท์นิดหน่อยค่ะ ถ้ายังเจอคำผิดบอกกันได้นะคะ จะพยายามให้ออกมาดีเท่าที่สุดค่ะ 555
ความคิดเห็น