คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๙
๐๙
[Card: เล่นห่าอะไรของมึงครับ?]
ผมนั่งค้างอยู่เกือบๆสิบวิ ก่อนจะกดๆพิมพ์ๆกลับมันไป...แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ
ก็แค่เมอร์รี่คริสต์มาส... ซ้ำยังจากเด็กผู้ชายอีกตางหาก …
ผมค่อยๆหายใจเข้า หายใจออกช้าๆ แล้วเปลี่ยนความสนใจตัวเองจากหน้าจอไอโฟนมาเป็นบรรดาขนมสองสามจานข้างหน้า
ตึ๊ง~
เสียงแจ้งเตือนดังเข้ามาพร้อมหน้าจอไอโฟนที่สว่างวาบหลังจากดับมืดสนิทไปไม่นาน
[Fu*k!! : อยากลองดูเฉยๆ ยังไม่เคยส่งข้อความเสียง]
มันมาแบบไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว... ความคิดจิตอ่อนๆของไอ้เหี้ยนี่ แล้วทำไมต้องมาลองกับกูวะ เพื่อนเพิ่นมึงไม่มีให้คบให้ส่งรึไงครับ?! ฟัคยู๊ว!!
[Fu*k!!: พี่เป็นคนแรกเลยนะ]
[Card: คนแรกอะไร?]
[Fu*k!!: ที่ลองส่งข้อความเสียงไง]
ไอ้เหี้ย! มึงบอกว่ามึงเพิ่งลองกับกู กูก็ต้องคนแรกอยู่แล้วป่ะ?
นึกว่ามันจะบอกผมคนแรกอะไรงี้.... บอกเมอร์รี่คริสต์มาส
ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวนะ...
ผมเป็นญาติสนิทมัน? คำตอบคือ ไม่
ผมเป็นเพื่อนสนิทมัน? คำตอบก็คือ ไม่
ผมเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองมัน? และแน่นอน คำตอบก็คือ ไม่
แล้วมันจะบอกมึงคนแรกทำซากสันขวานไรวะไอ้การ์ดเอ๊ย!!!
[Fu*k!!: ไม่มีมารยาทอีกแล้วนะ] ไอ้ข้อความส่งมาอีกครั้งเรียกผมกลับมากภวังค์... อะไรของมัน?
[Card: อะไร? กูยังไม่ได้ทำไรเลยนะครับ] ไอ้เหี้ยนี่อยู่ๆก็มาด่า
แต่... อีกแล้ว?
‘ผมนึกว่าพี่จะรู้จักมารยาทน่ะ’
อยู่ๆคำพูดกวนเบื้องล่างของมันตั้งแต่วันแรกก็ดังขึ้นในหัว... อ๋อ...โดนเด็กสอนมารยาทสังคมให้เข้าแล้วไหมล่ะกู...
ผมกดเปิดไอค่อนข้อความเสียง ก่อนจะกลอกเสียงลงไปที่ไมโครโฟนตรงตูดโทรศัพท์ “มะ เมอร์รี่คริสต์มาส”
ฉิบหาย!!! ทำไมเสียงสั่น? ดันส่งไปแล้วด้วย ไม่สนแล้วเว้ย!
“รอนานรึเปล่าา”
“อ๊ะ... อ๋อ ไม่นานๆ ฮ่าๆ” ผมเงยหน้ากจอโทรศัพท์ขึ้นไปยิ้มให้ผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะปิดเสียงโทรศัพท์ แล้วยัดใส่กระเป๋า
บทสนทนาของผมและแกรนด์ก็ดำเนินต่อไปอีกประมาณ 20 นาที ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว แกรนด์ขอตัวกลับหอด้วยความที่เป็นผู้หญิง กรุงเทพการจราจรมันติดขัดเสียยิ่งกว่าอะไรดี กว่าจะถึงหอก็คงจะยิ่งดึกเข้าไปใหญ่ อืม เธอเอารถมาเอง เล่นเอาแผนจะไปส่งของผมมันเป็นหมันไปซะแล้ว
-------------------------------------------
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ระหว่างขับรถ สองทุ่มสี่สิบห้า... ก็ยังไม่ดึก... ไปหาไอ้พวกนั้นต่อเลยดีไหมนะ...?
มือมันไปไวกว่าความคิด ผมตัดสินใจเปลี่ยนเลนจากที่กะว่าจะตรงกลับคอนโดไปเลนซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าข้างสรรพสินค้าข้างหน้า ที่ที่ทีแรกตกลงกันไว้ว่าจะมาเฮฮากันแถวนี้
และผลก็ไม่ต่างไปจากที่คาด... คนเยอะฉิบหาย... หาที่จอดอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนผมก้าวท้าวเข้าใกล้ลานหน้าเซนทัรลเวิร์ด มือก็กดโทรศัพท์โทรหาไอ้สามตัวนั่นด้วย เท่าที่นัดกันไว้เมื่อวาน มันน่าจะอยู่ลานเบียร์นะ
แล้วโชคก็ไม่เข้าข้างผม มันไม่รับสายกันซักตัว พอมาอยู่กลางคนเยอะๆแบบนี้ ไอ้สเวตเตอร์ไหมพรมนี่ก็ร้อนใช่เล่น ....อะไรนะ? จะให้กลับ? โห.....กว่าจะหาที่จอดได้ แต่จะให้ลุยฝ่าฝูงชนไปทั้งร้อนๆอย่างนี้... มันก็ไม่ไหวนะครับ...
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปตากแอร์แก้ร้อนประชดชีวิตข้างในซักเดี๋ยว อย่างน้อยก็จนกว่าจะโทรหาพวกนั้นติด
แต่พยายามอยู่นานก็ไม่มีผล....
เอาวะ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ไปดูพวกอุปกรณ์การเรียนหน่อยดีกว่า ของเก่ามันก็เริ่มเสื่อมสภาพเต็มที มีเวลาว่างทีก็ไม่ค่อยจะสนใจมันเท่าไร นอนมันลูกเดียว
ว่าแต่ไอ้ร้าน B2S นี่มันอยู่ชั้นไหนวะ ไม่ได้มาเซนเวิร์ลนานเลยนะเนี่ย ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆมองดูร้านรวงตกแต่งรับคริสต์มาสแล้วก็เพลินตาดี...... เดี๋ยวนะ.... เดี๋ยวก่อน ไอ้เด็กผู้ชายที่นั่งเล่นตู้เกมส์กดอยู่ในคิดดี้แลนด์นั่น... ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงสังเกตเห็น ก็ใครใช้ให้ไอ้คนที่สูง 180 กว่าแบบมันเข้าไปเล่นในที่ของเด็กไม่เกิน 150 วะ
ไอ้เด็กเจ้าของข้อความเสียงเมอร์รี่คริสต์มาส...
บังเอิญเจอกันบ่อยจริงวุ๊ย... หรือกรุงเทพมันไม่มีที่เที่ยวอื่นแล้ววะ?
ผมสาวท้าวเข้าไปยืนมองไอโฟล์คที่ดูท่าจะไม่สนใจคนรอบข้างเท่าไรเพราะมัวแต่สนอกสนใจอยู่กับไอ้เกมส์จับภาพผิดในตู้...ไอ้เหี้ยนี่มันอินดี้อีกแล้วครับ!
ติ๊ด...
พอผมยื่นมือเข้าไปจิ้มจุดแตกต่างสุดท้ายในภาพจนเริ่มภาพใหม่ มันถึงหันมามองหน้าผมแล้วทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งสำเนียกได้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
“...ไง” เป็นผมที่เอ่ยทักก่อน
“....อยากเล่นเหรอ?” มันเงียบไปพักนึงแล้วว่าพลางทำหน้าเอ๋อๆ มือก็ชี้ไปที่เกมส์ในจอสี่เหลี่ยมๆ
ผมยู่หน้าเล็กน้อย เอาวะ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก่อนจะโบกมือปัดๆสองสามทีเป็นสัญญาณว่าให้มันเขยิบไปหน่อย จะนั่ง มันก็เข้าใจ เขยิบตูดไปนั่งริมเก้าอี้ โดยมีผมทิ้งตัวลงข้างๆแล้วจิ้มไอ้จอสี่เหลี่ยมๆ
ติ๊ด... ติ๊ด......
ติ๊ด...
ผมกับมันไม่ได้พูดอะไร มีแต่เสียงเอฟเฟคจากนิ้วที่จิ้มลงไปในจอแก้วดังขึ้นมาเป็นระยะๆ มึนๆกับสถานการณ์ไหมครับ? อืม ผมก็มึน
แต่ก็ร่วมใจกันฝ่าฟัน(?) ไอ้เกมส์จับภาพผิดสิบบาทนี่ไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ ไม่มีทั้งเสียงพูดคุย ไม่มีแม้แต่เสียงเอฟเฟคจากตู้...
นั่นหมายความว่า...หาไม่เจอ.... ให้ตายสิ ไอ้ตู้เกมส์นี่มันอัพเลเวลยากขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ!
ผมก้มหัวแทบติดกับจอ สายตาก็พิจารณารูปสองรูปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นานจนมีความรู้สึกว่า ไอ้แสงจากจอนี่มันทำพิษเข้าให้ ผมหลับตาสองสามวิก่อนจะเหลือบตาไปทางอื่น แล้วเจอกับ...
หนะ หนะ หน้าไอ้โฟล์ค...อยู่ห่างจากผมแค่ไม่กี่คืบ มันทำให้ผมเพิ่งรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆที่สีข้างจากหัวผมที่ติดกับมัน ด้วยเพราะเกมส์มันพาไปหรืออะไรไม่รู้ หน้าใสๆ จมูกโด่งๆ ตาคมๆ หน้าไอ้นี่แม่งมีทุกอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่อยากได้จริงๆ
อยู่ๆตาสีดำสนิทของมันที่จ้องไปที่จอก็เหมือนอยากจะพักสายตาเหมือนกัน แต่ดันเหลือบขึ้นมาสบกับผมที่นั่งจ้องพิจารณาว่ามันไปทำหน้ามาบ้างรึป่าวพอดี... อืม...หน้ากูกับมึงนี่ขยันมาอยู่ใกล้กันจังนะ แต่....ทำไมละสายตาออกไม่ได้เลยวะ...
ตี๊ด.... ตี๊ด.... ตี๊ด.....
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีไอ้เกมส์ข้างหน้านี่มันก็ร้องขึ้นมาเตือนเป็นอันบอกว่าไอ้เกมส์สิบบาทมันกำลังเดินทางมาถึงจุดจบ และยังทำให้ผมกับมันสะดุ้งเบาๆแล้วหันไปมอง
ไอ้โฟล์คยกมือขึ้นเกาหัวเบาๆ หันหน้ามามองผมก่อนจะยิ้มแฮ่ๆ แล้วเอ่ยคำพูดแรกหลังจากที่นั่งเล่นเกมส์กันมา “ตายแล้วแฮะ”
“อะ...อือ” ผมครางตอบแล้วลุกขึ้นยืนหมุนคอแก้เมื่อย ไอ้เปรตข้างๆนี่มันก็ลุกขึ้นมาบิดตาม
“พี่เคยเป็นนักบาสป่ะ?” อยู่ๆมันก็ถาม
“รู้ได้ไงวะ?”
“ตอนนั้นเจอเสื้อธีมในตู้” คืนที่เมากันหัวทิ่มนั่นน่ะนะ
“อ๋อ ก็เคยเล่นตอนมัธยมอ่ะ นี่พอเข้ามหาลัยก็ไม่ได้แตะเลย งานเยอะเชี่ย” ผมว่าอย่างไม่ยี่หระก่อนจะยกแขนขึ้นก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือ
“ลองเล่นกันดีกว่า” มันว่าก่อนจะชี้ไปที่ตู้ชูตบาสที่อยู่ถัดไปไม่ไกล
“ไม่ว่าง”
“งั้นแข่งกัน”
“จะซื้อของ”
“ถ้าชนะเดี๋ยวจ่ายให้” มันว่าหน้าทะเล้น
“พอดีรวย”
“...กลัวแพ้?” มันเอียงคอ 45 องศามองหน้าผม ถ้าเป็นในการ์ตูนหน้ามันก็คงมีแต่เครื่องหมายเควสชั่นมาร์กเต็มไปหมด
แต่ไอ้คำพูด 2 พยางค์ กลับท่าทางกวนตีนนั่น... แม่ง ขึ้นเลยครับ...
“เตรียมตังรอเลยไอ้น้อง วันนี้พี่จะช็อปแหลก” ผมว่าก่อนจะเดินนำลิ้วไปที่ตู้ชูต แล้วล้วงกระเป๋าตังหาเหรียญสิบ แล้วหันหน้าไปมองไอ้โฟล์คที่เดินมายืนเครื่องข้างๆ ก่อนจะหยอดเหรียญสิบลงไปพร้อมกัน
สงครามขนาดย่อมๆเกิดขึ้นใจกลางเซนทรัลเวิร์ดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมจะมายืนยิ้มกริ่มดูผลคะแนนที่ต่างกัน 8 แต้มโดยมีผมเป็นผู้มีคะแนนมากกว่า แล้วหันไปยักคิ้วให้น้องโฟล์คที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างๆ
“ไปกันเถอะครับน้องโฟล์ค”แถมด้วยรอยยิ้มหวานตบท้าย
-------------------------------------------
ตอนนี้ผมกับมัน น้องโฟล์ค...กับเงินในกระเป๋าที่(กำลังจะ)หายไป ก็มาอยู่ในร้านหนังสือ เครื่องมือเครื่องเขียนแบบครบวงจร
เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าให้มันจ่ายจริงๆหรอกครับ
ผมยืนหยิบนู้นหยิบนี่มาดูๆไปเรื่อย ก็ไม่รู้จะดูไปทำไมเหมือนกันทั้งๆที่ก็ตั้งใจจะใช้ยี่ห้อเก่า ข้างๆตัวผมก็มีไอ้โฟล์คเดินตามติดเป็นเหาฉลามอยู่ไม่ห่าง
“เอามือมาดิ๊” ผมว่าก่อนจะดึงฝาปากกาตัดเส้นสีดำออกมา เห็นพี่แทนบอกว่าใช้ดี แหนะ จำพี่แทนไม่ได้ล่ะสิ พี่รหัสผมไง
“?” แต่ไอ้คนข้างๆผมก็ได้แค่ย่นคิ้วมองแบบสงสัย ผมเลยถือสิทธิ์ผู้ชนะไปยกมือมันขึ้นมา ก่อนจะขีดเส้นลงไป ก็แหม เขียนไว้ว่าลองได้ แต่ไม่มีกระดาษนี่หว่า
“เอาอันนี่อ่ะ” ผมปิดฝาปากกาก่อนจะเงยหน้าบอกมัน
“แค่นี้?” มันว่าด้วยสีหน้าไม่เชื่อ และสายตาพี่ผมตีความได้ว่า ‘กูคิดว่ามึงจะเหมาหมดร้านซะอีก’ อะไรแบบนี้
“เออ เห็นกูเป็นคนยังไงวะ?” ความจริงปากกานั่นก็แพงใช่เล่นนะ ชนิดที่ว่าไม่มีคนซื้อให้นี่จะใช้ยี่ห้อเดิมนั่นแหละ
มันเงินอยู่ไม่นานก็ถือถุงพลาสติกใบเล็กๆออกมาแล้วยื่นให้ผมที่ออกมายืนรอหน้าร้าน ผมล้วงมือหยิบปากกาในถุงก่อนจะใช้ปากงับฝาไว้ ดึงด้ามมันออกเพื่อเปิด แล้วหยิบมือมันที่มีเส้นยาวๆขีดอยู่
“หืม?” มันร้องสงสัยเบาๆ
“ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวไม่สวย”
“เกรงใจ”
“แต่กูเต็มใจ”
“มะเร็ง”
“ไม่เป็นไร” แขนมึงไม่ใช่กู...
เหมือนมันจะรู้ว่าเถียงผมไปก็ไร้ประโยชน์ เลยปล่อยให้ผมก้มหน้าก้มตาโชว์ฝีมือศิลป์ไปเกือบนาที
“เสร็จ” ผมเงยหน้ายิ้มภูมิใจในฝีมือ
“รถ.......โฟล์ค?” มันว่าหลังจากยกมือขึ้นดู
“สวยอ่ะดิ” มันตอบรับด้วยการพยักรับหน้าน้อยๆ
“เดี๋ยววาดให้บ้าง” มันจับข้อมือผมที่กำลังจะยัดปากกาลงเป้าขึ้นมา ก่อนที่อีกข้างจะฉกปากกาไปถือ
“เกรงใจครับ”
“เต็มใจครับ”
“ก๊อบกูนิ”
“ก็อบผมเหมือนกันนิ” มันอาศัยแรงลากผมไปนั่งม้านั่งแถวนั้น แล้วจัดการก้มหน้าก้มตาละเลงปากกาลงมือผม
“เสร็จ”
“อุบาทชิบ...ไพ่?” ผมว่าหลังจากที่นั่งดูไอ้ลายเส้นอนุบาลในมืออยู่นาน
“อือ” มันตอบหน้าอึน
“ต้องการจะสื่ออะไรครับ?”
“การ์ดแปลว่าไพ่ไง หรือพี่อยากได้รูปการ์ดของขวัญ รูปบัตรเครดิต” ดูท่าอย่างหลังน่าจะออกมาอุบาทกว่า
“อ๋อ... นี่ ถามหน่อยเหอะ มึงมีเพื่อนฝูงกับเขาบ้างป่าววะ?” ผมถามคำถามที่เพิ่งนึกสงสัยขณะที่ก้มมองไอ้ลายเส้นทู่ๆแบบเด็กประถม เจอมันที่ไรจะอยู่ตัวคนเดียวตลอด
“มีดิ แต่มันอยู่ข้างนอกกันอ่ะ คนเยอะ ร้อน ข้างในดีกว่า”
“อือๆ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้ประสบการตรงมาหมาดๆว่าแม่งร้อนขนาดไหน “แล้ว... เมเปิ้ล?”
“ติดงานโรงเรียน”
“อืม... นี่ ถามอีกเรื่องดิ อย่าหาว่าเสือกนะ แต่สงสัยว่ะ มึงเป็นพวกตายด้านป่ะ? แฟนสวยขนาดนั้นเสือกไม่ค่อยสนใจเขาเลย” นี่ก็อีกคำถามหนึ่งที่ผมนึกสงสัยตั้งแต่วันนั้น
“...” มันนิ่งไปพัก รึว่ามันมีความหลัง แล้วคำถามมันแทงใจป่าววะ...
“อ่า...ไม่ต้องตอบ...”
“ความจริงผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับเปิ้ลหรอก” แต่ก่อนจะพูดจบมันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“เอ๋?” สวยขนาดนั้นอ่ะนะ... แล้วจะคบไปทำเพื่อ? เช็คเรตติ้ง?
“ผมเคยชอบผู้หญิงคนนึงมาก แต่พอคิด พอกล้าจะลองไปบอก กลับโดนพูดก่อน ว่าเปิ้ล เพื่อนสนิทเธอชอบผมซะงั้น” คิดไปเองรึเปล่าวะ ว่าแววตามันดูเจ็บๆยังไงไม่รู้... “ก็เลยได้แต่ยิ้มๆไป แล้วพอเจอกันก็เอาแต่เรื่องเปิ้ลมาคุย เหมือนเธออยากให้เราสองคนคบกันมาก ก็เลย... ตามใจเธอน่ะ เพราะดูเหมือนว่าจะทำอะไรเธอก็ไม่สนใจผมซักที คุยกันแต่เรื่องเปิ้ล อย่างน้อยคบกัน แล้วพอเจอเธอก็เข้ามาแซว เข้ามาสนใจยังดีกว่าโดนคนที่ชอบมาคุยแต่เรื่องขอให้ไปคบกับคนอื่นทุกครั้งที่เจอนะ ฮ่าๆๆ” มันฝืนหัวเราะแห้งๆ …เล่นซะผมพูดอะไรไม่ออกเลยว่ะ ไม่น่าถามเลยแฮะ
“อ่า..” ผมมองไปรอบๆเหมือนจะหาเรื่องใหม่คุย
“รู้สึกผิดหรอ?” ยังมีหน้ามาถาม
“ก็เออดิวะ นี่ในสายตามึงกูเหี้ยมากใช่มะ?”
“ฮ่าๆ งั้นล้างผิดเลย อยากกินไอติมอ่ะ” เหมือนมันหัวเราะกลบเกลื่อนยังไงไม่รู้ ผมก็รู้สึกผิดจริงๆนั่นแหละ เลยเดินนำมันไปจนถึงหน้าเคเอฟซี แล้วซื้อไอศกรีมโคน 10 บาทมาสองโคน แน่นอนว่ารสวนิลา
“อ่ะ” ผมยื่นให้มันแล้วยัดตังลงเป้ มันรับแล้วก็เดินนำไปเรื่อย ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่า ไม่ถึงชั่วโมงห้างก็จะปิด กลับเลยดีไหมนะ อุส่าไม่มีงาน ได้กลับไปนอนเร็วๆก็ดีเหมือนกัน
“ไอติมติดปาก” ระหว่างที่กำลังวางแผนชีวิต ไอ้เด็กสูงๆข้างหน้าผมมันก็หันมาบอกแล้วเอามือจิ้มๆแก้มตัวเอง
“หือ?” ผมร้องแล้วเอามือลูบๆแก้มดู
“หึๆ” มันกำมือป้องปากหัวเราะ ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองกลายเป็นควายที่โดนมันแก้แค้นคืนวันนั้นแล้วไงล่ะ...
ผมรีบเอาลิ้นออกมาเลียรอบริมฝีปากด้วยแอบกลัวเบาๆว่าเรื่องมันจะซ้ำรอยเดิม… อึ๋ย... ไม่คิดถึงดิ
“แค้นนี้ต้องชำระว่ะ” ผมว่าหน้ามุ่ยๆ “…….กูกลับก่อนนะ”
“อืม” มันพยักหน้ารับ
“จะกลับยัง?”
“ก็คิดว่างั้น”
“กลับไงล่ะ?”
“พูดเหมือนจะไปส่ง” จริงหรอวะ...?
“ไปป่าวล่ะ?” คุณการ์ด มึงพูดอะไรออกไปครับ
“หืม? ...ไปก็ได้” ไอ้นี่ก็ตกลงง่ายๆไม่มีเกรงใจเลย...
ผมได้แต่คิดโทษปากตัวเองก่อนจะเดินกินไอศกรีมนำมันไปที่จอดรถ ระหว่างทางก็ไม่มีใครพูดอะไร มันก็เดินตามผมมาเงียบๆ แต่เหมือนผมรู้สึกได้นะ วันนี้มันดูจะคุยกับผมเยอะขึ้นแฮะ ต่างจากเมื่อก่อนที่มึนๆ อึนๆ เงียบๆ แถมพอคุย พอรู้จักกับมันนานๆก็ดูเหมือนเป็นคนละคนกับไอ้โรคจิตนั่นเลย หรือว่าบางที่ ผมจะเลื่อนขั้นมันจากลูกหนี้ไถ่บาป มาเป็นมิตรสหายดีนะ...?
เดี๋ยวดิ ถ้ามันเป็นเพื่อน ไอ้ 5 คะแนนผมก็เสียไปฟรีๆดิวะ ไม่ได้ๆ เลื่อนต่ำแหน่งขึ้นมาเป็นแค่ลูกหนี้เฉยๆแล้วกัน...
-------------------------------------------
#แก้คำผิดบวกรีไรท์ค่า รอบที่สองแล้วว
ความคิดเห็น