ดินแดนแห่งสายรุ้ง
สงครามนิวเคลียร์ที่ล้างโลกเปลี่ยนจิตใจผู้คนให้ดำมืด กลืนกินจนมองไม่เห็นแม้แต่สายรุ้ง ผู้ที่แข็งแรงโชคดีก็ได้อยู่ในเมือง หากแต่ผู้โชคร้ายอย่างวสันต์ล่ะ...เขาควรจะไปที่ไหน?
ผู้เข้าชมรวม
340
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เรื่องราวโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สาม...
มนุษย์ไม่ได้สูญพันธุ์ แต่ล้มตายหายไปเหลือเพียงหนึ่งในสี่จากประวัติศาสตร์ปัจจุบัน
ผู้ที่ปริมาณรังสีเกินกว่าที่ทางการกำหนด ห้ามเข้าเมือง และถูกปล่อยให้ตายข้างนอก...แน่นอนว่าข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยโจร การแก่งแย่งอาหาร น้ำ และดินแดนที่อยู่อาศัยอย่างดุเดือด ราวกับว่าอารยธรรมมนุษย์นั้นได้สูญสิ้นไปกับการกระหายสงครามแล้ว
หนึ่งชีวิตที่ดิ้นรนท่ามกลางโลกที่เหี่ยวแห้ง ความหวังที่ถูกกลืนกิน...
กับสายรุ้งที่หายไป...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
โลกเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วสวยงามแค่ไหนกันนะ?
ในม่านหมอกแห่งรัตติกาล กองไฟสีส้มแดงส่องสว่างท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง เสียงท้องร้องโครกครากดังเตือนว่าอาหารและน้ำไม่ได้ตกถึงท้องมาสามวันแล้ว ชายหนุ่มวัยกลางคนกางแผนที่ออกมาวางแผนหาอาหาร เขาอยู่ตัวคนเดียว สภาพผมอันยุ่งเหยิงและหนวดเคราที่ไม่ได้โกนบ่งบอกถึงความยาวนานในการเดินทางได้ดี
“ไปทางทิศใต้ตามถนน...อีกหนึ่งวันก็จะถึงแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง
ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจำไม่ได้แล้วว่าดวงดาวบนนั้นสวยงามเพียงใด นับจากที่เหล่าชาติมหาอำนาจทำสงครามนิวเคลียร์ในครั้งนั้น พื้นที่แทบทุกแห่งก็เต็มไปด้วยฝุ่นควันและกัมมันตรังสี เมืองที่หลงเหลืออยู่บ้างต่างพากันปิดกั้นไม่ให้ผู้ได้รับรังสีในปริมาณเกินกำหนดเข้าไป
ยังมีผู้โชคร้ายเช่นเขาอีกมากมาย บางคนรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต่างเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงเสบียงและถิ่นฐานอาศัย ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาต้องอยู่คนเดียว ออกเร่ร่อนประทังชีวิตไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มนั่งข้างกองไฟจนรุ่งสาง เขานั่งเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนจะหิ้วกระเป๋าเป้ที่ว่างเปล่าออกเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงเวลาประมาณเที่ยงวัน เขาก็ได้เห็นป้ายๆหนึ่งอยู่ตรงหน้า
ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับปริมาณรังสีในร่างกายสะสมเกินหนึ่งร้อยมิลลิซีเวิร์ตเข้า
ใช่แล้ว ที่นี่คือหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บ้านเกิดของเขาเอง ในตอนเด็กเขามักจะไปเล่นน้ำที่ชายหาดอันเคยลือชื่ออยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“แก หยุดก่อน” เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชายหนุ่มหันไปมองก็พบชายใส่ชุดทหารสองคนถือปืนอาก้าจ่อมาที่เขา
“ทิ้งกระเป๋าเป้แล้วยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้” ทหารสั่ง เขาทำตามโดยไม่ขัดขืน แล้วทหารทั้งสองก็ถือเครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ฉายแสงส่องตัวเขา ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่านี่คือเครื่องรุ่นล่าสุด เพราะเขาไม่เคยเห็นไกเกอร์เคาน์เตอร์ที่ไหนมีวิธีการตรวจวัดแบบนี้มาก่อน
“แกเข้าไปไม่ได้” พวกเขาพูด ตัวเลขจำนวนสองร้อยห้าสิบหกมิลลิซีเวิร์ตบนจอแสดงให้เห็นถึงคำตอบที่ชัดเจน “ให้เวลาสามสิบวินาที ออกไปจากตรงนี้ซะ หรือฉันจะเป่าหัวแก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ หยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินออกมาอย่างว่าง่าย อันที่จริงเขามีปืนพกอยู่ในเสื้อ แต่การฆ่าทหารยามสองคนไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก เขาจึงหลีกเลี่ยงแทน
จนเดินออกมาได้ไกลพอควรแล้วชายหนุ่มก็พบกับหมู่บ้านร้าง กระท่อมหลังเก่าทรุดโทรมเรียงติดกันอยู่หกเจ็ดหลังท่ามกลางทะเลทราย เขาเข้าไปสำรวจด้านในหวังจะหาอาหารกิน
แต่โชคไม่เข้าข้าง เมื่อเขาพบกับชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่งที่จู่ๆก็ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมจ่อปืนมาที่เขาในระยะประชิด
“กี่มิลลิซีเวิร์ต” เขากล่าวถาม
“สองร้อยห้าสิบหก” ชายหนุ่มตอบทันควันแล้วล้วงปืนในเสื้อออกมาจ่อที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
บรรยากาศรอบข้างเงียบไปชั่วขณะก่อนที่ชายปริศนาคนนั้นจะค่อยๆลดปืนลง
“เดี๋ยวก่อน...อาวสันต์ใช่ไหมครับ”เขาถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเพ่งพิจารณามองฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด “ผมเอง ลูกลุงอรัญไง!”
“งั้นเธอก็ต้องเป็น...เจตน์ ใช่ไหม?” วสันต์พูด เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ“ทุกคนเป็นยังไงบ้าง”
“ลุงอรัญและทุกคน...ตายหมดแล้วครับ” เจตน์ ตอบหน้าเศร้า เขาถอดหมวกออกซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าและผิวที่ซีดเผือด ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ปากที่แห้งเป็นขุยแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันแล้ว
“งั้นเหรอ...” ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เขาบอก “เล่าให้อาฟังหน่อยได้ไหม”
เจตน์ผายมือให้วสันต์เดินเข้าไปหลบแดดในกระท่อม ทั้งสองนั่งลงที่พื้น เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง
“สามปีก่อน พวกกองโจรบุกปล้นค่ายของพวกเรา ทุกคนถูกฆ่าตายหมด...แต่ผมกับปู่รอดมาได้” เขาเล่าพลางพ่นควันสีเทาออกมาจากจากปาก แววตาสีน้ำตาลหม่นสะท้อนความเศร้าในใจ “แต่เพราะเราไม่มีเสบียงติดตัวปู่ก็เลยตายจากไป...หลังจากนั้นผมก็กินศพท่าน เพื่อเอาชีวิตรอด”
“ชีวิตต้องดิ้นรนต่อไป อาเข้าใจนะ...” วสันต์พยายามปลอบใจผู้เป็นหลาน “ว่าแต่ทำไมเจตน์ไม่เข้าเมืองล่ะ”
“แค่กๆ ผมมีปริมาณรังสีในร่างกายสะสมอยู่เกินสามพันมิลลิซีเวิร์ตแล้ว”เขาตอบและเริ่มไอ “คิดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก...อ้วก!”
“เจตน์!”วสันต์รีบเอามือตบหลังเจตน์เบาๆ เมื่อเห็นเขาอาเจียนอย่างกระทันหัน
“แค่กๆ ดีเหลือเกินที่เมียของผมได้อยู่ในเมือง เธอคงสบายกว่าพวกเรามาก” เขาบอก “ผมเคยได้ยินว่าในนั้นมีเรือนกระจกสำหรับเพาะปลูก มีการเลี้ยงสัตว์ แล้วก็ยังมีเครื่องที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืดได้ หากโชคดี เธออาจจะได้เห็นสายรุ้งในวันที่ฝนตกปรอยๆ”
“สายรุ้ง!” เขาอุทาน “ต้องเป็นที่ที่ไม่มีฝุ่นกับกัมมันตรังสีปนเปื้อนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ...ถึงจะเห็นได้”
“ใช่ ถึงในเมืองจะยังมีปนเปื้อนบ้าง แต่ก็ไม่น่ามากเกินพอที่จะบดบังมัน ผมหวังอย่างนั้น” เขาตอบพลางยื่นมวนบุหรี่ให้วสันต์สูบบ้าง “แล้วอาล่ะครับ เจออะไรมาบ้าง”
“อาเดินทางคนเดียว...” วสันต์พูดและพ่นควันสีเทาออกมาจากปาก “โดนปล้นบ่อยมาก แต่โชคดีรอดตายมาได้ทุกครั้ง สงสัยพระที่ห้อยอยู่คงจะขลังน่ะ ฮ่าๆ”
“ฮะๆ” เจตน์หัวเราะเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก อาจเป็นเพราะป่วยจากรังสีที่สะสมในร่างกายมากเกินไป “อาครับ ผมคงต้องขอตัวนอนก่อน ผมหิวน้ำ แล้วก็ปวดหัวจนทนไม่ไหวแล้ว...”
“พักผ่อนให้สบายเถอะ เจตน์” วสันต์บอกกับเขา “เดี๋ยวอาขอไปสำรวจรอบๆก่อน”
เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วลองหมุนเปิดก๊อก น้ำที่ไหลออกมาทำให้วสันต์ดีใจมาก แม้ว่าอาจจะมีสารปนเปื้อน แต่ในวินาทีนี้ชายหนุ่มไม่สนใจอะไรแล้ว เขารีบเอาปากรองดื่มอย่างชื่นใจและนำขวดเปล่ามากรอกเก็บไว้
“เจตน์ ดูสิ! มาดื่มน้ำกันเถอะ” วสันต์เรียกหลานอย่างมีความสุข แต่กลับไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมาเลย
“เจตน์?” ชายหนุ่มเรียกซ้ำแล้วเดินไปปลุกใกล้ๆ แต่เขาก็ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ วสันต์จึงลองเอามืออังจมูกของเจตน์ ปรากฏว่าเขาไม่หายใจแล้ว...
“เจตน์! อาไม่ขำนะ” วสันต์พยายามตะโกนที่ข้างหูดังๆ ด้วยหวังว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น
แต่ทว่า...ไร้ซึ่งการตอบสนองจากเจตน์ เขาไม่แม้แต่จะหายใจอีกต่อไปแล้ว
“ไม่จริง...” เขาพูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เจตน์ตายแล้ว...
การจากไปอย่างกะทันหันของหลานชายทำเอาวสันต์ปรับอารมณ์ไม่ถูก เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างไม่แน่นอน ทุกๆอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ขนาดเพิ่งจะหัวเราะด้วยกันได้เพียงแค่ชั่วครู่ แต่จู่ๆก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
เรามีชีวิตไปทำไมกัน? ในเมื่อรู้ว่าสักวันก็ต้องตายอยู่ดี
อาจเป็นเพราะวสันต์ได้ผ่านอะไรมามากจนหัวใจด้านชา แม้แต่การตายจากไปของเจตน์ก็ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดบนใบหน้าของวสันต์ ทั้งที่เขาเสียใจมากแท้ๆ ชายหนุ่มหยิบผ้าผืนเก่าสีมอๆที่เขาพกไว้มาปิดใบหน้าของหลานชาย
“หลับให้สบายนะ...เจตน์” เขาบอกกับร่างที่นอนไร้วิญญาณ
ชายหนุ่มเดินไปสำรวจห้องครัว บนโต๊ะมีซองขนมแครกเกอร์ที่ยังไม่ได้แกะอยู่สองห่อ เขารีบเดินไปหยิบอย่างไม่ลังเล
วสันต์แกะห่อขนมแล้วหยิบกินอย่างหิวโหย แม้วันเดือนปีที่ระบุเอาไว้บนซองจะหมดอายุไปหลายเดือนแล้วก็ตาม ส่วนแครกเกอร์อีกซองเขาเก็บเอาไว้ยามฉุกเฉิน เมื่อชายหนุ่มกินเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อ
ผมเดินทางไปทำไมกัน ในเมื่อไร้ซึ่งจุดหมาย
ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองอยู่บ่อยๆเขาเบื่อเหลือเกินกับการต้องทนเอาตัวรอดไปวันๆ อยู่เพื่อใคร เพื่ออะไรกันนะ?
ระหว่างที่เขากำลังจะเดินออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ ฝนก็ค่อยๆตกลงมาท่ามกลางท้องฟ้าสีดำมืด วสันต์รีบเดินเข้าไปในกระท่อมหลังที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด อากาศแบบนี้เขาคงเดินทางต่อไม่ได้ เพราะหากเขาไม่เป็นหวัด ก็อาจจะติดกัมมันตภาพรังสีจาก‘ฝนดำ’แทน
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในกระท่อมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นชายสองคนกำลังจับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมัด พวกเขาพยายามถอดชุดของเธอออกอย่างหื่นกระหาย ดูเหมือนชายทั้งสองจะยังไม่รู้ตัวว่ามีแขกไม่รับเชิญเข้ามาด้านในอีกคน
“ช่วยด้วยค่ะ ฮือๆ”
พวกคนชั่วช้า แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น! เขาคิดในใจอย่างแค้นเคือง วสันต์เห็นแล้วทนไม่ได้จนต้องคว้าปืนในเสื้อขึ้นมายิงชายทั้งสองอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบจนทั้งคู่ตั้งตัวไม่ทัน
ปัง ปัง!
ด้วยความเจนประสบการณ์ กระสุนทั้งสองนัดยิงเข้าที่ศีรษะของทั้งสองพอดี พวกเขาล้มหงายหลังลงกับพื้นไม่เป็นท่า วสันต์รีบวิ่งไปหาเด็กหญิง
“ข-ขอบคุณค่ะ...แต่ว่าคุณเป็นคนดีหรือเปล่าคะ?” เธอรีบเอ่ยปากถามก่อนพลางสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
วสันต์เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบคำถาม
“ความดีกับความชั่ว วัดกันได้ด้วยเหรอแม่สาวน้อย”เขาตอบ “ของแบบนี้คงขึ้นอยู่กับจิตสำนึก แล้วก็วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ลุงไม่ทำกับหนูแบบเจ้าชั่วสองคนนั้นแน่นอน”
“ลุงฆ่าคน แต่ลุงเป็นคนดี...” เด็กหญิงตัวน้อยพูดและพยายามคิดตามที่วสันต์บอก แววตาสดใสดูฉลาดว่องไว “เพราะลุงช่วยหนูเอาไว้ ใช่ไหมคะ”
“ฮ่าๆ ก็แล้วแต่หนูจะคิดล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจในความใสซื่อของเด็ก เขาลูบหัวเธอเบาๆด้วยความเอ็นดู “ลุงชื่อวสันต์ แล้วหนูล่ะ”
“หนูชื่ออคิราภ์ อายุแปดขวบค่ะ...” เด็กหญิงแนะนำตัวอย่างร่าเริงตามประสา ดูเหมือนเธอจะลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียแล้ว
เด็กคงเปรียบเสมือนผ้าขาวอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ ใสซื่อและไร้เดียงสา หากแต่สังคมและผู้คนรอบข้างต่างหากที่เป็นผู้แต่งแต้มเติมสีลงไป วสันต์รู้สึกแปลกใจที่เห็นภาพวาดของอคิราภ์ที่ตกอยู่บนพื้น มันเป็นรูปสายรุ้งที่ถูกระบายบนกระดาษด้วยสีเทียน ภาพชายร่างสูงจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ขอบๆภาพ น่าจะเป็นผู้ใหญ่คนสุดท้ายในครอบครัวและตัวเธอเอง...
“หนูเป็นคนวาดรูปนี้ใช่ไหม?” เขาถาม
“ใช่ ค่ะ หนูเคยเห็นมันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว คุณตาเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ โลกยังมีต้นไม้สีเขียวอยู่มากมาย ท้องฟ้าสว่างสดใส กลางคืนมีดาวระยิบระยับ การฆ่าคนถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายร้ายแรง ไม่เหมือนโลกที่เราอยู่กันทุกวันนี้เลย”อคิราภ์ตอบ “แล้วท่านก็ยังบอกว่าวันไหนที่โชคดีจะได้เห็นสายรุ้งด้วยค่ะ”
“น่าเสียดายนะ ที่เดี๋ยวนี้คงไม่มีอะไรแบบนั้นให้เห็นอีกแล้ว เฮ้อ...”ชายหนุ่มพูดพลางถอนหายใจ
“มีสิคะ คุณตาบอกว่ามันคือดินแดนแห่งสายรุ้ง” เธอบอกกับชายหนุ่ม เขาร้องหือด้วยความประหลาดใจ “มันคือดินแดนที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนไหนเข้าไป คุณตาบอกว่าที่นั่นสวยและงดงามมากๆค่ะ”
“อืม...” วสันต์นิ่งไปเล็กน้อย คุณตาของเธออาจปั้นเรื่องเป็นนิทานก่อนนอนให้หลานฟังเพื่อไม่ให้อคิราภ์ รู้สึกหดหู่กับโลกอันโหดร้ายใบนี้ก็เป็นได้ แต่ถ้านี่คือความจริงล่ะ...
“จะว่าไป ครอบครัวของเธอหายไปไหน” เขาถามด้วยความสงสัย
“คุณตาเพิ่งเสียเมื่อเช้าค่ะ...” เธอตอบหน้าเศร้า “หนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่ แต่คุณตาบอกว่าพวกเขาอยู่ในเมือง”
ชายหนุ่มลูบหัวอคิราภ์เบาๆด้วยความเอ็นดู พลางคิดอะไรบางอย่างในใจ
สายรุ้งเหรอ?
เป้าหมายที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ก็ยังดีกว่าเดินทางโดยไร้ซึ่งจุดหมายไปวันๆ...
เอ๊ะ...จะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ยังไม่ถูกต้องนัก ยังไม่ได้ลองทำเลยนี่
ในที่สุด วสันต์ก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาจะไม่มีทางอยู่อย่างไร้จุดหมายไปวันๆอีกแล้วเพราะบัดนี้ เขามีเป้าหมายใหม่...
‘อย่าเพียงแค่เอาตัวรอด แต่จงดำเนินชีวิตต่อไป’
“นี่ แม่สาวน้อย” ชายหนุ่มเรียกอคิราภ์แล้วค่อยๆยื่นมือออกมา
“อะไรเหรอคะ? คุณลุงวสันต์”
“ไปสู่ดินแดนแห่งสายรุ้งด้วยกันไหม?”
สาส์นจากผู้เขียน
นี่เป็นเรื่องสั้นที่ส่งประกวดมติชนอะวอร์ดค่ะ ส่งไปปีที่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่ติด แต่ผู้เขียนก็ถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ เคยว่าจะเขียนเป็นเรื่องยาว แต่ตอนนี้เอาที่เขียนๆอยู่ให้จบก่อนน่าจะดีกว่า
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ คอมเม้นท์แนะนำติชมได้เต็มที่เลยค่ะ
Besty
ผลงานอื่นๆ ของ B. Zeitgeist ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ B. Zeitgeist
ความคิดเห็น