ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #6 : (SF) Jinson : Friendzoned (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 783
      21
      3 ธ.ค. 60

        

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ jinson photoshoot


          Couple: Jinyoung x Jackson

    Type: Short fiction

    Style: Drama

    Status: Unfinished

    ::::: ดัดแปลงมาจากฟิคเดิมที่เคยแต่งไว้ (ME at his wedding:::::::

    Part 2 


         ตอนนี้เป็นเวลาแค่ห้าทุ่ม นับว่าไม่ดึกเลยสำหรับคนสองคนที่ออกมาปาร์ตี้แต่ดูเหมือนปาร์ตี้จะกร่อยไปแล้ว และต้นเหตุก็คือผมเอง

                ใช่ เพราะความงี่เง่าของผม

                พอลองนึกทบทวนถึงความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในรอบวัน มันก็ทำให้รู้ว่าตัวเองงี่เง่าแค่ไหน ผมทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่มีเหตุผลและพยายามเรียกร้องความสนจากจินยองโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองทำให้งานที่เตรียมไว้เพื่อฉลองกร่อยลงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

                ในฐานะเพื่อนสนิทของจินยอง ผมควรทำให้มันมีความสุขและสนุกที่สุดในคืนนี้ คืนสุดท้ายของเราสองคน ผมควรทำตัวปกติ ควรยิ้มให้มันดูสดใสกว่านี้ มากกว่านี้ และควรฟังมันเรื่องคริส ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันต้องห้ามไม่ให้ดื่มกับคริสก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าเหตุผลอะไรผมก็ไม่ควรขัดใจมันอยู่ดี

                “ขอโทษ..

    ผมเอ่ยเสียงเบาแต่ดังพอที่จะผ่าความเงียบในรถไปยังคนที่ขับรถด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมตัดสินใจละสายตาจากนอกกระจกมามองหน้าคนที่ผมทำให้ลำบากใจ จังหวะเดียวกับที่จินยองหันหน้ามาทางผม ดวงตาสีเฮเซลนัทคู่เดิมจ้องตรงมาที่ผมเหมือนจะค้นหาอะไรสักอย่าง

                น่าแปลกที่ผมไม่กลัวจนต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว แค่มองหน้าเพื่อนสนิทของผมด้วยความรู้สึกยินดีเท่าที่ผมมี ยินดีกับมันอย่างที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว

                “กูรู้ว่ากูทำตัวงี่เง่า แล้วมึงก็คงไม่ชอบด้วย แต่วันนี้มึงก็ดึงหน้าใส่กูแถมทำตัวแปลกๆตลอดเย็น เพราะฉะนั้นถือว่าหายกันนะ

                “เพราะมึงไม่ใช่รึไงที่ทำให้กูหงุดหงิด

                “ก็บอกว่าขอโทษไงผมเอ่ยเสียงอ่อย ไม่อยากชวนทะเลาะอีกและที่จินยองพูดก็ถูก

                ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจยาวๆของว่าที่เจ้าบ่าว เหมือนคนกลั้นหายใจเอาไว้นานมาก หัวกลมๆของมันพิงลงกับพนักพิงรถโดยไม่ละสายตาไปจากถนน ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกโล่งใจปนรู้สึกผิด อย่างน้อย ตอนนี้จินยองก็ผ่อนคลายลงบ้าง

                “รู้ไหม กูมีเรื่องจะระบายให้มึงฟังเป็นสิบเลยนะ แต่พอมึงทำตัวแปลกๆ กูก็เลยต้องเก็บทุกเรื่องมาคิดคนเดียวจินยองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงตัดพ้อ ทำให้อดลอบยิ้มกับมุมเด็กๆของมันไม่ได้

                “แล้วทำไมไม่เล่าให้มาร์คฟังละ อ้อ แจบอมก็ได้ รายนั้นให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยมเสมอแหละ

                “ไม่รู้ดิ กูสะดวกใจจะคุยกับมึงมากกว่า

                “คือกูควรดีใจใช่ไหม

                “มากๆ

                “ฮ่าๆๆ กูโชคดีหรือโชคร้ายวะ

                เสียงหัวเราะของเราประสานกันลั่นรถ ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ถึงแม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่อยากบอกให้รู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี แต่แบบนี้ก็ดีถมเถแล้วสำหรับผม

    เพราะอย่างน้อย ผมก็เป็นคนที่ทำให้มันหัวเราะออกมาได้ และสบายใจที่ได้คุยกัน

              แค่ได้เป็นคนที่มันไว้ใจที่สุด ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ

     

     

                เรื่องราวนับสิบที่ถูกขุดมาเล่าทั้งจากปากผมและจินยอง ทั้งเรื่องมีสาระ ไร้สาระ ซึ่งสำหรับผมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมันก็มีสาระทั้งนั้นแหละ

     จินยองนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะหัวเราะมากเกินไปบวกกับเตกีล่าอีกนิดหน่อย ซึ่งสภาพก็คงไม่ต่างจากผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างๆโซฟาตัวที่มันนอนอยู่เท่าไร ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ไปชั่วโมงกว่าๆแล้ว หากแต่ว่าที่เจ้าบ่าวยังนอนสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟาตัวยาวอยู่เลย

                “ มึง...ตีหนึ่งแล้ว

                “อ่า..ใช่ ทำไมเหรอจินยองตอบพร้อมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ผมมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่าล้อเล่นรึเปล่า แต่จากสภาพ ดูเจ้าตัวจะไม่เข้าใจจริงๆว่าผมบอกเวลามันทำไม

                “พรุ่งนี้มึงแต่งงานนะจินยอง

                “รู้น่า จะย้ำทำไมเล่า

     ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับที่จินยองนอนอยู่ นั่งเบียดตรงที่ว่างอันน้อยนิดข้างๆตัวมันนั่นแหละ แล้วมองหน้าคนที่หลับตานิ่งเหมือนไม่อยากรับรู้โลกภายนอก ผมเลยตบแก้มมันเบาๆเป็นเชิงปลุก แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา

                แกล้งหลับ...

                “มึงคงไม่อยากไปสายในงานแต่งงานของตัวเองหรอกใช่ไหม

                “...”

                “จินยอง..

                “...”

                “ถ้าจะนอนก็ไปนอนในห้อง ไม่ใช่ตรงนี้ผมมองหน้าคนที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆด้วยสีหน้าระอา มันยิ้มก่อนจะเด้งตัวขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องนอนโดยไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร อันที่จริงก็อยากพูดหรอก ถ้าไม่ติดว่าการกระเด้งตัวขึ้นมากะทันหันของมันทำให้เกือบช็อค

     ลมหายใจอุ่นๆที่เฉียดแก้มผมไปเมื่อกี้ทำผมใจเต้นอีกแล้ว

    ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะหัวใจ

                ผมลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้อง จินยองนอนอยู่ที่ฟากหนึ่งของเตียงแต่ไม่ได้หลับอย่างที่ผมคิด มันนอนจ้องเพดานห้องโดยไม่พูดอะไร ส่วนผมเองก็ไม่ได้สนใจจะถาม เพราะไม่อยากได้ยินคำตอบที่ทำให้เจ็บปวดใจประมาณว่า กังวลเรื่องงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้หรืออะไรทั้งนั้น จึงตัดสินใจเดินไปยังโซนตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดหรือเรียกให้ถูกว่าแงะตัวเองออกจากกางเกงตัวเดิม แน่นอนว่าครั้งนี้ย่อมไม่ลืมล็อกประตู

                ผมเดินสางผมออกมาและหวังว่าเพื่อนสนิทจะหลับไปแล้ว แต่เปล่าเลย จินยองยังคงนอนท่าเดิม มองเพดานเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมชั่งใจว่าจะถามดีไหม แต่คิดอีกทีอย่าดีกว่า

    อาจดูเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่อยากฟังตอนนี้

                ผมเลยเลือกที่จะเดินไปที่เตียงเพื่อหยิบอุปกรณ์การนอนพวกหมอนและผ้าห่มที่มีหลายผืนเตรียมไปนอนที่ห้องรับแขกแทน

     จินยองละสายตาจากเพดานมามองด้วยสีหน้าสงสัย

                ก็น่าสงสัยอยู่หรอก ปกติก็ใช่ว่าจะไม่เคยนอนเตียงเดียวกัน เราสองคนสนิทกันมานานและไว้ใจกันได้มากพอที่จะค้างห้องเดียวกันได้อยู่แล้ว ยิ่งสมัยไฮสคูลยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมอนี่มาค้างบ้านผมบ่อยกว่าบ้านตัวเองเสียอีก แต่ตอนนี้สถานการณ์หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป ผมไม่อยากให้มันไม่สบายใจเพราะผมก็พิ่งออกตัวไปเมื้อกี้ว่าจะเดทกับผู้ชาย และตัวผมเองก็ไม่บริสุทธิ์ใจจะนอนเตียงเดียวกับมันด้วย

                “ไปไหน ทำไมไม่นอนด้วยกันในห้องล่ะ

                “อย่าดีกว่า มึงกำลังจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว กูไม่อยาก...

                “เลิกย้ำเรื่องงานแต่งงานสักทีได้ไหม ไม่ลืมหรอกน่าจินยองไม่พูดเปล่า มันยังคว้าเอาผ้าห่มกับหมอนจากมือผมไปตั้งที่เดิม ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายก็ต้องทำตามคนเอาแต่ใจที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทนคบหมอนี่เป็นเพื่อนมาได้ยังไงเป็นสิบๆปี

                “มึงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของกูนะแจ็คสัน”

                คงเพราะคำพูดแบบนั้นละมั้ง

                สุดท้ายผมก็เอนตัวลงนอนตรงอีกฟากเตียงที่ยังว่างอยู่ ความเงียบอันน่าอึดอัดเกิดขึ้นมาจนผมเองเริ่มเกร็ง และดูเหมือนจินยองจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาเปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคงหันมาทางผมที่นอนเกร็งเป็นท่อนไม้ด้วยท่าทีสงสัย

                “เป็นอะไรรึเปล่า

                “ม.ไม่มีอะไร

                “โกหก

                เอ้อ โกหกก็ได้วะ

                แต่อย่าให้กูเผลอสารภาพเชียว เพราะมึงอาจฝันร้ายไปทั้งคืนเลยก็ได้ไอ้เพื่อนเลว

                แน่นอนว่าได้แค่บ่นในใจ

                “กูแค่ เอ่อ ไม่ชินที่ต้องแชร์เตียงกับใครน่ะผมพยายามหาข้ออ้างที่ดูปัญญาอ่อนน้อยกว่าการสารภาพว่าคุมสติไม่ได้ที่ต้องแชร์เตียงกับเพื่อนที่ดันเผลอคิดไม่ซื่อด้วยจนทำให้อยากลุกมาสารภาพรักตลอดเวลา

                “พูดเป็นเล่น กูนอนเตียงเดียวกับมึงบ่อยกว่าเตียงตัวเองอีก นอนกอดกันยังเคยเลย

                “นั่นมันนานมาแล้ว”...และก่อนที่มึงจะมีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนซะอีก

                “นานไม่นานก็ไม่เห็นเกี่ยวเลย รังเกียจกันรึไงผมจับได้ถึงความน้อยใจที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของเขา แม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตาม

                ความเงียบอันน่าอึดอัดครอบคลุมห้องนอนอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ผมตัดสินใจพลิกตัวไปอีกทางหันหลังให้จินยอง

    ใครกันแน่ที่จะรังเกียจกัน

    “มึง...”

    จินยองเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ แต่ผมยังไม่อยากคุย

    บางที ความเงียบตอนนี้ อาจไม่น่าอึดอัดเท่าความเงียบหลังจากบทสนทนาต่อไปจบลงก็ได้

    “แจ็คสัน”

    “นอนได้แล้วมึง”

    ผมตัดบทแค่นั้น ไม่ปล่อยให้มันได้พูดหรือถามอะไรอีก ผมหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเงียบน่าอึดอัดอีกครั้ง

    แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ความเงียบเหล่านั้นก็ถูกแทนด้วยเสียงหัวใจของผม

    เพราะอ้อมกอดจากด้านหลังโดยคนใจร้าย

    ลมหายใจอุ่นรดคอผม แขนสองข้างดึงตัวผมไปใกล้จนหลังชิดกับอกของมัน

    คงไม่มีใครใจร้ายกว่ามึงแล้วจินยอง

               

     

                ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ รู้แค่ว่าสำหรับผมแล้ว การนอนใจเต้นไม่เป็นจังหวะนานขนาดนี้มันเหนื่อยเกินไป ผมจะข่มตาหลับได้ยังไงถ้าใจยังเต้นเร็ว แถมหน้าร้อนหน้าแดงเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาอยู่แบบนี้

                “นอนไม่หลับ”

                แต่ผมคงไม่ใช่คนเดียวที่เจอปัญหานี้สินะ

                “กังวลเหรอ”

                และสุดท้าย ผมก็แพ้

                ถามคำถามที่ตัวเองกลัวคำตอบมากที่สุด แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงตอบอะไรที่ผมไม่อยากฟัง แต่จะให้ทนใจแข็งทำเป็นไม่ห่วงความรู้สึกของคนที่กอดผมแน่นแบบนี้ ผมก็คงทำไม่ได้

                ผมจะโทษว่าความรักทำให้คนโง่

                “กูไม่อยากหลับ”

                “ถ้าไม่หลับพรุ่งนี้มึงจะไม่ไหวนะ”

                “อย่าพูดถึงพรุ่งนี้ได้มั้ย..”

                น้ำเสียงที่แผ่วลงพร้อมหน้าที่ซบลงกับหลังคอผมทำให้ผมไม่กล้าแย้งมัน

                แจ็คสันไม่พูดถึงพรุ่งนี้ได้ แต่หยุดเวลาไม่ได้หรอกนะจินยอง

                เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบก็กลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม จินยองเองก็เงียบไปจนผมคิดว่ามันหลับไปแล้ว ผมเลยเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงหันไปทางมันแทน

    จินยองไม่ได้หลับ และมันกำลังสบตาผม

    ดวงตาสีเฮเซลนัทที่ไล้สายตาไปทั่ว โฟกัสส่วนต่างๆบนใบหน้าผมช้าๆทำให้เกิดอาการร้อนผ่าวที่หน้าอย่างช่วยไม่ได้   

                มึงคิดอะไรอยู่จินยอง

                ถ้าไม่นับเรื่องที่ใจผมเต้นรัวไม่หยุดจนลมหายใจติดขัด ก็คงเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของมันนั่นแหละที่ยังกวนใจผมอยู่

                “มึงชอบกู”

                ผมโดนจับได้ซะแล้ว

                “มึงชอบกู แล้วทำไมไม่บอกกูสักที”

                หรือบางที ผมอาจโดนจับได้มาตลอด

     

               

                จินยองฉลาดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องของแจ็คสันด้วย

                คนที่โง่น่ะ ผมเองต่างหาก

                มึงชอบกู แล้วทำไมไม่บอกกูสักที

                คำถามเดิมเล่นวนซ้ำเหมือนถูกตั้งค่าไว้ในเพลลิสต์สมอง ส่วนเจ้าของคำถามก็ได้แต่มองตาผมนิ่งในระยะห่างแค่ไม่กี่เซนต์จากหน้าของผม จนผมรู้สึกถึงลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์

                คงเพราะเมาสินะ

                “มันไม่สำคัญไง เลยไม่บอก”

                และผมก็ยิ้ม

                “ความรู้สึกของกูน่ะ เทียบไม่ได้กับความเป็นเพื่อนของเราหรอก เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องคิดมาก”

                ผมฝืนยิ้มให้กว้างขึ้น แม้จมูกจะแสบไปหมดเพราะบางอย่างที่ตีขึ้นมาจนปวดตรงหัวตา

                “นอนนะ..อ..อื้อ”

                สัมผัสหนักหน่วงทำผมตาลาย ความร้อนของของเหลวตรงหางตาคงเป็นหลักฐานชั้นดีว่าความรู้สึกผมมันพังไปหมดแล้ว

                จูบกูทำไมวะ

                ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าต้องคิดอะไรไหม เพราะผมเอาแต่สนใจริมฝีปากที่พยายามบดเบียดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆของจินยอง ผมไม่รู้ว่ามันทำเพื่ออะไร อาจเพราะสงสาร หรือเมา ผมไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราทำมันผิดแค่ไหน

                ผมกำลังกอบโกยช่วงเวลาและโอกาสอันน้อยนิด และยื้อให้มันนานที่สุด เพราะหลังจากนี้ อะไรๆคงไม่ง่ายอีกแล้ว

                จินยองผละออกไปแล้ว พร้อมใจผมที่กระตุกวูบด้วยความใจหาย การกระทำของมันส่งผลกับผมได้ขนาดนี้แล้วเหรอ

                ควรหยุดได้แล้วแจ็คสัน

                “พรุ่งนี้มึงแต่งงาน”

                 ทำไมต้องพูดถึงพรุ่งนี้วะ! ทำไมต้องทำลายช่วงเวลาดีๆของเราด้วยจินยองพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด

    เดี๋ยวสิ ผมไม่ใช่รึไงที่สมควรหงุดหงิด

    คนตรงหน้าผมน่ะ เขาคือว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่จู่ๆก็จูบทั้งๆที่รู้มาตลอดว่าผมคิดยังไง

                เอาจริงดิ..?

                “เรามึงเก็บคำนั้นไว้พูดกับเจ้าสาวของมึงเหอะ

                ผมผลักมันออก พยายามดันตัวเองให้ห่างจากร่างกายอบอุ่นให้มากเท่าที่จะทำได้ แม้มันจะยากเย็นเพราะอีกฝ่ายยังคงยึดเอวผมไว้ได้ก็ตาม

                “คุยกันก่อน

                “กูไม่คุย!

    ผมสะบัดเสียงเตรียมจะเหวี่ยงหมัดใส่หน้ามึนๆของจินยองแต่อีกฝ่ายก็ไวกว่าและคว้ามือผมไว้ง่ายดายเหมือนไม่ต้องพยายาม

                จะมีสักเรื่องไหมที่จะไม่รู้ทัน

                ไม่มีสินะ มันรู้ทันผมทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องที่ผมแอบรักมันด้วย

    ผมสะบัดหน้าไปทางอื่นด้วยความโกรธ บวกกับความอายและเขินจนมองหน้าหมอนั่นไม่ติด ความคิดมากมายตีกันในหัวสมอง แถมหัวใจก็ยังเต้นรัวและแรงเหมือนตอนที่ยังจูบกันอยู่

                ทั้งๆที่รู้มาตลอด แล้วจะมีสักครั้งไหมที่จะไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่น

                เพราะบางที...มันก็เจ็บใช่เล่นเลย

                สนุกมากสินะที่ทำให้ผมหัวปั่น เขย่าโลกของผมเล่นเหมือนมันเป็นลูกแก้วหิมะที่ได้เป็นของขวัญในวันคริสมาสต์

                และผมก็ดันชอบมัน

                ทำให้ใจเต้น ด้วยคำพูดและการกระทำโง่ๆนั่น

                จริงๆก็ไม่ได้โง่หรอก น่ารักดี..

                นั่นไง แม้แต่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของผมก็ยังเลือกที่จะเข้าข้างมัน และมองข้ามเรื่องแย่ๆทั้งหมดที่มันทำ

                ไม่ๆ จินยองไม่เคยทำอะไรแย่ๆ

                ไม่ๆๆ มันเล่นกับความรู้สึกของผม ผมไม่ควรลืมเรื่องนั้น

                บ้า...บ้าไปหมด

                “ทำไมมึงใจร้ายกับกูได้ขนาดนี้วะ”

                ผมพูดแค่นั้น แล้วปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่อาย จินยองรวบตัวผมเข้าไปซบที่อกอีกครั้ง แม้จะพยายามขืนตัวแต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม ไม่ใช่เพราะจินยองบังคับ

    แต่เป็นเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่จะปฏิเสธผู้ชายคนนี้ได้

                ไม่ว่าสุดท้ายมันจะทำให้ผมเจ็บแค่ไหนก็ตาม

                “กูรู้ว่ากูเห็นแก่ตัว

                “มึง...ฮึก..มันยิ่งกว่า..ฮึก..เห็นแก่ตัว..อีกผมพูดทั้งๆที่ยังไม่หยุดสะอื้น อ้อมกอดของจินยองแน่นขึ้น เหมือนไม่อยากให้ผมพูดต่อ

                “ใช่ กูมันโคตรเห็นแก่ตัวเลย

                “...”

                “กูทำมึงร้องไห้จนได้”

               

     

                จินยองเอนตัวลงบนเตียง ดึงมือผมให้เอนตัวลงไปกับมัน และผมก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะมาคิดถึงเหตุผลหรือสิ่งที่ควรทำ แค่เอนตัวลงพิงศีรษะแนบไปกับอกของคนใจดำโดยไม่พูดอะไร

                ตอนนี้ผมทั้งรู้สึกดีและงี่เง่าไปพร้อมๆกัน ผมไม่เข้าใจการกระทำของมัน หรือแม้แต่คำพูดที่มันพูดออกมาและไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร

                ผมไม่รู้อะไรเลย โง่เง่าสิ้นดี

                มือข้างหนึ่งของจินยองประสานนิ้วเข้ามากับมือของผมและบีบไว้แน่นเหมือนจะส่งผ่านอะไรสักอย่าง เส้นผมถูกเกลี่ยไปมาด้วยมืออีกข้าง มันรู้สึกดีอย่างประหลาด ผมรู้ว่ามันงี่เง่าแค่ไหน แต่มันก็คงเจ็บกว่านี้ถ้าผมจะพลาดช่วงเวลาสุดท้ายของเรา

                ผมนอนนิ่งและจ้องตรงไปที่มือที่ประสานกันอยู่ มือซ้ายที่สวมแหวนหมั้น...

                และจู่ๆ ก็รู้สึกถึงความร้อนของหยดน้ำที่ไหลจากขอบตาไปตามแก้มและเปื้อนลงบนเสื้อของจินยอง

                ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย ทุกอย่างมันดูไวต่อความรู้สึกไปหมด

                งี่เง่าชะมัด...

                จินยองดึงมืออกจากการเกาะกุมและขยับทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น นั่นทำให้ผมสะดุ้ง และคิดไปว่ามันอาจเปลี่ยนใจ แต่แล้วก็ต้องคิดใหม่เมื่อจินยองนอนตะแคงและเท้าแขนมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่กล้าร้องไห้

                ผมรีบปาดน้ำตาและกัดริมฝีปากแน่น เพื่อสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก มือของคนใจดำยังเกลี่ยผมฉันอยู่และค่อยๆก้มลงจูบหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะไล่ไปที่เปลือกตาที่ปิดลงช้าๆของผม ปลายจมูก ริมฝีปาก...

                จูบครั้งนี้ให้ความรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว จนเผลอเผยอปากรับลิ้นที่กวัดแกว่งเข้ามา มันเป็นจูบที่ดีที่สุดเท่าที่คนอกหักคนหนึ่งจะมีได้ มือของมันกุมมือผมไว้และส่วนอีกมือก็ไล้นิ้วปาดไปที่หางตาผมเบาๆอย่างปลอบประโลม

                มันยากที่จะทำใจยอมรับ แต่ขอแค่คืนนี้เท่านั้น แค่ตอนนี้ ตรงนี้ ผมกับจินยอง ให้มันกอดผมให้แน่นที่สุด ให้เราจูบกันเนิ่นนานที่สุด

    โอกาสสุดท้าย ก่อนที่แสงสว่างของยามเช้าจะผ่านเข้ามา

                พร้อมความจริงที่ว่า จินยองไม่ใช่ของผม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×