ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #7 : (SF) Jinson : Friendzoned (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 739
      26
      4 ธ.ค. 60

     

                 

     

                    

              รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



    Couple: Jinyoung x Jackson

    Type: Short fiction

    Style: Drama

    Status: Unfinished

    """"""""""""""""""""""Part 3""""""""""""""""""""""

                 ความรักจะทำให้คนเรายอมโง่ได้แค่ไหนกัน

                แจ็คสันพร่ำถามคำถามนี้ใส่ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                บางที ความโง่อาจไม่ใช่คำนิยามที่มากพอจะครอบคลุมการกระทำทั้งหมดของแจ็คสันได้

                เพราะผมน่ะ ทั้งโง่ ทั้งเห็นแก่ตัวเลย

                “มีใครจะคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่”

                อย่าตกใจ ผมไม่ใช่คนบ้าดีเดือดพอจะทำลายงานแต่งงานของผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ลงหรอก

                งานแต่งงานของจินยองและเจ้าสาวของมันดำเนินไปด้วยดี ใช่ งานแต่งงานยังคงมีอยู่เช่นเดิมตามวันเวลาที่วางไว้แม้เจ้าบ่าวจะตื่นสายหน่อยก็เถอะ ทุกคนยิ้มแย้มด้วยความยินดีและมีความสุข โดยเฉพาะคู่บ่าวสาว

                ผมรู้ดีเพราะผมคือเพื่อนเจ้าบ่าว

                ผมมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทุกพิธีการ

                ยืนตรงนั้น มองหน้าจินยองยิ้มแบบนั้น

                ใจร้ายจนไม่รู้ร้ายยังไงแล้ว

                พิธีการทุกอย่างจบลงไปในวันนั้นพร้อมทุกคนที่แยกย้ายกันกลับ ส่วนผมเองก็แอบหนีออกมาโดยที่ไม่ได้ล่ำลาใคร ผมพยายามหอบสังขารอันอ่อนล้ามาที่ห้องพักโรงแรมที่จองไว้ ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาจนหายใจไม่ออก

                และคืนนั้นก็จบลงที่ผมหลับไปตรงพื้นห้องพักโรงแรมที่ปูด้วยพรมหยาบๆ

     

               

                ความสัมพันธ์ของผมกับจินยองเป็นความสัมพันธ์น่าอึดอัดของคนสองคน ผมไม่รู้ว่าอีกคนคิดอะไร เพราะเขาก็ดูมีความสุขกับการใช้เวลากับผมมากพอๆกับที่เขาใช้เวลากับคนอื่น

                ไม่สิ ผมต่างหากที่เป็นคนอื่น

                ส่วนตัวผมเอง ผมเชื่อว่าผมมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้

                คืนวันปาร์ตี้สละโสดไม่ได้ถูกพูดถึงอีก ไม่มีแม้แต่คำอธิบายหรือความเห็นจากจินยอง และผมก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดถึงเรื่องคืนนั้น มันกลายเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำ เหมือนฝันดีที่พอผมตื่นขึ้นมา เรื่องพวกนั้นก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

                จินยองก็ยังแต่งงาน ส่วนผมก็ยังเป็นแจ็คสันที่จินยองไม่รัก

                “ทำไมทำหน้าเป็นหมาหงอย”

                “กูไม่ใช่หมา”

                “หมาดิ เนี่ย ทำตัวลูกหมาโดนเจ้าของทิ้ง”

                ก็เจ้าของมันทิ้ง...

                “เห้ย!

                ผมสะดุ้งและเผลอปัดมือจินยองที่จู่ๆก็บีบแก้มผม ก่อนจะรีบหันไปรอบๆร้านอาหารที่เรานั่งอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นการกระทำแปลกๆของเราเมื่อครู่

                เฮ้อ โล่งไปที่โต๊ะตรงนี้มันไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ จึงไม่มีใครเห็น

                แต่ก็โล่งใจได้ไม่นานเมื่อเงยหน้ามาก็เจอกับสายตาหงุดหงิดไม่พอใจของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ซึ่งผมรู้ดีว่ามันโกรธผมเพราะไร แต่ครั้งนี้น่ะ ผมไม่ง้อหรอก เพราะผมทำไปก็เพื่อตัวมันเองทั้งนั้น ถ้าจะโกรธก็โกรธตัวเองเถอะที่ทำอะไรไม่คิด

                ผมก้มลงจัดการอาหารตรงหน้า จนตอนนี้บนโต๊ะมีเพียงเสียงช้อนกระทบจาน ความเงียบอันน่าอึดอัดกัดกินผมอยู่แต่ผมจะไม่ยอมแพ้

                แจ็คสันจะหัดเป็นคนใจร้ายดูบ้าง

     

               

                เสียงแอร์และดนตรีดังกลบความเงียบน่าอึดอัดในห้องโดยสารรถได้ดี จินยองขับรถออกนอกเส้นทางมาสักพักแล้ว และผมก็ไม่สนใจว่ามันกำลังจะพาไปไหนเลยไม่คิดจะถาม

                สงครามประสารทระหว่างผมและจินยองเริ่มมาหลายชั่วโมงแต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ผมแค่มองวิวท้องถนนที่ไม่ได้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องเพราะห่างจากตัวเมืองมามากแล้ว ปล่อยให้อีกคนที่พยายามแกล้งถอนหายใจแรงๆให้ผมได้ยินหงุดหงิดต่อโดยไม่พูดอะไร

                ผมมีเวลาว่างให้มันทั้งวัน เงียบใส่กันยันพรุ่งนี้ยังได้เลย

                “ไม่คิดจะง้อกูหน่อยเหรอ”

                และผมก็ชนะ

                แม้จะเป็นชัยชนะที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับที่ผมแพ้มันมาตลอด

                ผมเหลือบมองคนที่ละสายตาจากถนนมามองผมก่อนจะหันกลับไปสนใจถนนอีกครั้ง จินยองเอื้อมมือข้างที่ว่างมาคว้ามือผมไปกุม ส่วนผมก็ไม่ได้ขัดอะไร

                หัวแม่โป้งอุ่นๆที่นวดวนมือผมอยู่กำลังทำให้เป็นบ้า

                “ขนาดมึงทำกูเสียใจกูยังโกรธมึงนานๆไม่ได้เลยว่ะแจ็คสัน”

                ...

                “กูแคร์มึงมากนะ แคร์กูบ้างสิ”

                ผมเผลอยิ้มให้คำพูดของมัน สมเพชตัวเองที่เชื่อคำเหล่านั้นแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง จินยองจะแคร์ผมได้ไง ในเมื่อสิ่งที่มันทำคือทำให้ผมเจ็บปวดไปเรื่อยแบบนี้

                แต่ช่างเหอะ ผมยอมเองนี่นา ผมเองก็ไม่อยากให้มันหายไปจากชีวิตผม

                ผมยอมเจ็บหน่วงๆทุกครั้งที่มันอยู่กับเมีย แลกกับการที่มันยังจับมือผมอยู่แบบนี้

                “มึงจะพากูไปไหน”

                 จินยองถอนหายใจเมื่อผมเฉไฉไม่ยอมสนใจคำพูดมัน

                “ไปทะเล”

                “อือ”

                ผมตอบรับแค่นั้น ก่อนจะขยับตัวหาท่าที่สบายแล้วค่อยๆหลับตา มือยังโดนกอบกุมโดยคนใจร้ายโดยที่ผมไม่ได้ว่าอะไร นิ้วที่ลูบวนเปลี่ยนมาเป็นประสานนิ้วหากัน กุมให้แน่นขึ้น ทั้งๆที่การกระทำมันเล็กน้อยและช่างไร้เหตุผล แต่ใจผมกลับพองฟูไปหมด

                จินยองไม่จำเป็นต้องจับมือผมไว้แบบนี้ เพราะเพื่อนกันไม่จับมือกันหรอก

                และผมจะไม่ถามว่าสถานะเราตอนนี้เป็นอะไรกัน ผมไม่อยากรู้ ตราบใดที่ผมยังได้สัมผัสแบบนี้จากมัน ผมจะยอมหลับหูหลับตาต่อไป

                ผมพอใจกับตอนนี้ ผมมีความสุขกับปัจจุบันก็พอแล้ว

                “หลับเฉยเลยไอ้ลูกหมา”

     

     

                ผมพยายามหันหนีลมอุ่นๆที่พัดผ่านแก้ม อะไรบางอย่างขยับไปมาที่คอของผมจนน่ารำคาญ แม้ผมจะพยายามขยับตัวหนีจนผมต้องลืมตา

                “ว้า ตื่นซะละ”

                เสียงกระซิบปนเสียงหัวเราะดังข้างหูจนผมเผลอสะดุ้งและขยับออกห่างจนตัวชิดเบาะ ผมยังนั่งอยู่ในรถ แต่รถจอดแล้วที่ลานจอดรถสักที่ที่ผมไม่คุ้นตา จินยองยืนอยู่ข้างรถแล้วยังเอาหน้ามาใกล้ผมอีก

                ทำไมเป็นคนฉวยโอกาสได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เห็นจะอะไรกับผมเลย

                “ถึงแล้วเหรอ”

                “อือ หลับยาวเลยนะมึง ทิ้งกูให้ขับรถเหงาๆคนเดียว”

                จินยองบ่นแล้วก็เดินนำผมไปภายในตึก มันคือที่พักที่มีลักษณะเป็นรีสอร์ทแยกเป็นหลังๆ จินยองบอกว่าไม่ได้อยู่ติดทะเล แต่ไม่ไกลมาก พรุ่งนี้ค่อยขับรถเล่นไปดูได้ ผมฟังมันพร่ามไปเรื่อยจนชะงักกับคำพูดหนึ่ง

                “...กูเคยพาที่รักกูมาตอนเดือนที่แล้ว เจ้าของเซอร์วิสดีมากเลย...”

                อ่า จุกชะมัดเลย จินยองคงไม่รู้ตัวว่าการที่มันพูดถึงที่รักของมันให้ผมฟังมันทำให้ผมรู้สึกพังแค่ไหน

                ที่รัก...

                รัก...

                ผิดมั้ยที่ผมอิจฉาเธอคนนั้นเหลือเกิน

                “มึงโอเคมั้ย”

                ไม่โอเค ใครมันจะโอเค

                “กูปวดหัวว่ะ สงสัยเมารถ”

                “อ่า งั้นขึ้นห้องจะได้นอนพัก เดี๋ยวกูหายาให้”

                จินยองดึงมือผมไปกุมและลากให้เดินไปยังลิฟต์ น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยและสายตาเป็นกังวลแบบนั้น คงทดแทนคำว่ารักที่ผมไม่มีวันได้ได้บ้าง

    แย่ว่ะ ผมคงโลภมากสินะ เพราะผมอยากได้คำว่ารักจากมันเหมือนกัน

     


    “ครับ วันนี้ผมค้างกับแจ็คสัน คุณไม่ต้องห่วง”

                จินยองกรอกเสียงไปหาปลายสายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่คุยกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของมัน

                “...ครับ รักคุณนะ”

                จินยองพูดคำนั้นกับปลายสาย แต่ดวงตาสีเข้มนั่นกำลังสบตาผม

    ผมแค่นอนพิงหัวเตียง แสร้งเป็นสนใจมือถือตัวเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริง ผมกำลังฟังคนที่นอนอยู่ข้างๆคุยกับคนที่เขาเลือก ใช่ มันพูดคำนั้นกับปลายสาย ไม่ใช่กับผมสักหน่อย ถึงอย่างนั้นใจผมก็ยังเต้นตามเหมือนพวกตื่นเต้นเวลาถูกบอกรักอยู่ดี น่าหงุดหงิดที่สุด

                จินยองวางสายแล้ววางมือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แต่ผมยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์สไลด์ไปเรื่อยเหมือนไม่ใส่ใจ

                “นี่ อุตส่ามาหานะ สนใจกูหน่อยสิ”

                ปลายนิ้วอุ่นๆจิ้มแขนผมพร้อมแววตาอ้อนๆที่ส่งมา ผมเหลือบมองมันเข้าจนได้

                คงไม่ต้องถาม ว่าผมแพ้อะไรแบบนี้แค่ไหน

                “แจ็คสัน มาให้กอดหน่อย กูคิดถึงมึงนะ”

                เสียงอบอุ่นนั่นยังคงเอ่ยประโยคบ้าบอไม่ยอมหยุด จนในที่สุด ผมก็วางมือถือลงกับโต๊ะหัวเตียงแล้วค่อยๆมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของจินยอง

                อาจฟังดูเลว แต่ผมกำลังมีความสุข

                ผมสูดหายใจรับกลิ่นหอมอ่อนๆของจินยองไว้เพราะไม่รู้ว่าอีกนานไหมผมจะได้ทำแบบนี้อีก ลมหายใจของมันที่รดบนหน้าผากผมร้อนจนหน้าผมเองก็เริ่มร้อนเหมือนกัน

                เรื่องแบบนี้คงทำตัวให้ชินไม่ได้สินะ

                “พรุ่งนี้ไปไหนดี”

                จินยองถามผมด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยังมีความสุขได้โดยไม่กังวลถึงคนที่พึ่งวางสายไปเมื่อกี้ ผมอยากเก่งให้ได้เท่ามัน อยากคิดน้อยให้ได้อย่างที่หลอกตัวเองเอาไว้ อยากให้ตัวเองเป็นคนหน้าโง่ที่มีความสุขจริงๆไม่ใช่หน่วงไปหมดแบบนี้

                “กูมีนัดแล้ว” 

                คำตอบของผมไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจของเจ้าของอ้อมกอด มันผลักตัวผมออกเพื่อให้จ้องหน้ามัน สายตาคมกริบจ้องมาที่ผมอย่างที่มันมักทำเวลาต้องการจับโกหก

                ใช่ ผมโกหก

                “นัดอะไรวะ”

                “เรื่องงานน่ะ ไม่สำคัญหรอก”

                “แจ็คสัน”

                น้ำเสียงของมันเจือไปด้วยความหงุดหงิดและจริงจัง ส่วนผมก็ได้แต่หลบตามัน อยากพลิกตัวหนีจากกอดของจินยองแต่ก็จะมีแต่ทำให้ยิ่งน่าสงสัย ผมได้แต่นอนเงียบๆรอมันดุผมต่อ

                “เรื่องของมึงน่ะสำคัญกับกูนะ”

                ...

                “เข้าใจมั้ย?

                ผมไม่ตอบ ปากผมมันพูดไม่ออก แค่ลำพังใจที่เต้นจนเลือดวิ่งไปกองที่หน้าจนร้อนวุ่นวายพอแล้ว ผมจะเอาสติที่ไหนไปตอบมันล่ะ

     และจินยองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน มันพยายามลดหน้ามาอยู่ที่ระดับสายตาของผม มือหนาจับคางผมบีบให้ต้องมองหน้ามัน

    “เข้าใจแล้วน่า”

    ผมเกลียดเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของจินยองเหลือเกิน

    “สรุปนัดอะไร”

    “ช่างเถอะ เดี๋ยวเลื่อนให้” ผมบอกปัดตัดรำคาญ จินยองเองก็กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง มันยิ้มให้ผม มือยังคงบีบแก้มผมเล่นเหมือนผมเป็นเด็กๆ ผมหันหนีสัมผัสเอาแต่ใจนั้นอย่างวุ่นวายจนสุดท้ายมันก็ยอมแพ้และเปลี่ยนเป็นดึงผมเข้าสู่กอดแน่นๆของมันแทน

                “น่ารัก”

                จินยองพึมพำเบาๆ แต่มันกลับดังก้องในหัวผมไปทั้งคืน

     

     

                การมาเที่ยวทะเลกับคนรักเป็นความทรงจำที่แสนวิเศษที่นึกถึงกี่ครั้งใจก็เต้นรัวและหยุดยิ้มไม่ได้ ในขณะที่การมาเที่ยวทะเลกับเพื่อนคือการสร้างเรื่องราวสนุกสนานน่าฟังที่จะบอกกลล่าวกันในวงเหล้า

                และอาจจะดีที่สุดหากได้มาเที่ยวกับเพื่อนและคนรักในเวลาเดียวกัน

                น่าเสียดาย เพราะคนข้างตัวผมไม่ใช่คนรัก และก็คงใช้คำว่าเพื่อนกันไม่ได้แล้ว

                สถานะไม่มีชื่อไม่มีอยู่บนโลกนี้  มีเพียงสถานะของคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเอ่ยปากถามเพราะกลัวความจริงที่ว่า สถานะของเขา อาจเป็นแค่เรื่องไม่จริงจังของคนอีกคน

                จริงๆแล้ว ผมก็หวังแค่คำว่ารักจากปากมันเท่านั้น เรื่องอื่นน่ะ ผมไม่สนหรอก

                เพราะถ้าได้ยินคำว่ารัก ไม่ว่าสถานะจะไม่ชัดเจน ผมก็คงมีความสุขอยู่ดี

                “เลิกจับแก้มกู มันเจ็บ”

                ผมพยายามเบี่ยงหน้าหนีมือที่ตามมาเกลี่ยข้างแก้มแต่ทำไม่ได้เพราะโดนกอดคอเอาไว้แบบนี้ เราสองคนเดินเล่นอยู่ที่หาดเงียบๆ อาจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดคนเลยแทบไม่มี และมันก็เปิดโอกาสให้ใครบางคนทำตัวรุ่มร่าม

     จินยองมือไวขึ้นมากนับแต่วันนั้น วันที่มันจูบผม ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเองหรือเปล่าที่ไม่ยอมขีดเส้นให้ชัดว่าขอบเขตของเราอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้น จินยองเลยคิดว่า การที่มันสัมผัสผมได้แบบนี้ เป็นเพราะเราสนิทใจกันมากขึ้น

                “ก็กูหมั่นเขี้ยว มึงอ้วนขึ้นป่ะเนี่ย ทำไมมันน่าบีบน่าฟัดไปหมด”

                ผมเบือนหน้าหนีดวงตาประกายระยับนั่น เกลียดคำพูดคำจาของมันชะมัด พูดจาอะไรไม่เคยเห็นใจคนคิดมากเลย สักแต่พูดตามที่คิด

                เขินไปเจ็บไปมันก็เหนื่อยดี

                “มึงยิ้มน้อยลงนะ ดูไม่เป็นมึงเลย มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

                หน้าโง่...

                เรื่องมึงไง เรื่องมึงคนเดียวเลย

                ผมดันตัวเองให้พ้นจากแขนที่กอดคอผมอยู่และเดินนำมันไปสองสามก้าว ผมอยู่ใกล้มันด้วยอารมณ์อยากพาลแบบนี้ไม่ได้ มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ ผมเลยเลือกที่จะเดินย่ำเท้าลงบนทรายอุ่นๆให้ตัวเองสงบลง

                “มึงอย่ามาทำเป็นห่วงกูให้มาก”

                “เอ้า ก็กูห่วง กูผิดมากเหรอ”

                มึงมันไม่เคยเข้าใจอะไรเลยจินยอง

                ผมทิ้งห่างจากมันมาได้ระยะหนึ่ง ปล่อยให้คนปากพร่อยเดินตามาเรื่อยๆ ความเงียบมักเข้ามาขั้นกลางพวกผมเสมอ บ่อยจนผิดปกติ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเองที่เปลี่ยนหรือเป็นเพราะอะไร รู้แค่ว่า มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว

                ทุกอย่างมันงี่เง่าและวุ่นวายเหมือนเชือกที่พันกันยุ่งจนไม่อยากเสียเวลาแก้ปม

                “มึง...”

                ผมหันกลับไปตามเสียงที่เรียกจากด้านหลัง จินยองยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีท่าทีล้อเล่น ผมจ้องมองลึกไปในดวงตาที่ฉายแววกังวลของมัน ถ้าเป้นเมื่อก่อนผมคงเข้าใจความคิดที่ส่งผ่านดวงตาคู่นั้นโดยไม่ต้องถาม แต่ตอนนี้สมองผมมันช่างว่างเปล่า

                จินยองเดินมาใกล้ผมมากพอจะคว้ามือผมไปกุมได้

                ใช้แรงกระชากแค่เบาๆเท่านั้นที่จะดึงผมไปกอด

                “กูรักมึงนะ”

    และแค่เสี้ยววินาที ดวงตาผมก็ร้อนไปหมด

    “แต่รักที่กูให้มึงกับเขามันไม่เหมือนกัน มึงเข้าใจใช่มั้ย”

    ผมไม่เข้าใจ

    แต่คำตอบนั้นคงไม่ทำให้ผมได้กอดจินยองแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้น...

    “อือ กูเข้าใจ”

    ผมได้คำว่ารักจากจินยองแล้ว...ทำไมผมถึงร้องไห้ล่ะ

    “มันสายไปแล้วกูรู้”

    ...

    “แต่อยู่กับกูได้มั้ย”

    คำพูดพวกนี้ควรออกจากปากผม แต่คำขอร้องเห็นแก่ตัวนี้มันมาจากปากจินยอง

    แย่กว่านั้นคือผมตกลง

     “กูยอมทุกอย่างเลยจินยอง.... แค่มึงขอ”

    ความรักจะทำให้คนเรายอมโง่ได้แค่ไหนกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×