ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ว่าด้วยการ...ขุด
ว่าด้วยการ...ขุด
ถ้าเรานึกถึงคำว่า "ขุด" เราก็มักจะนึกถึงการใช้เสียมกระแทกลงไปในพื้นแล้วงัดเอาดินออกมาจนทำให้เกิดรู ซึ่งจะเล็ก จะใหญ่ยังไงก็สุดแล้วแต่วัตถุประสงค์ของแต่ละคน
เมื่อมีคำว่า "ขุด" เกิดขึ้นมาในโลก ก็ต้องมาคำว่า "หา" "สร้าง" "ปลูก" หรือ "ฝัง" เพราะมนุษย์เราจะ "ขุด" เพื่อการ 4 อย่างนี้เท่านั้น ผมยกตัวอย่างที่คุ้นเคย
ขุดหาสมบัติ
ขุดดินสร้างอุโมงค์
ขุดดินปลูกต้นไม้
ขุดดินฝังศพ...
จริงๆแล้วนะครับ การ "ขุด" นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาอารยธรรมโลก และการเอาตัวรอดในภาวะวิกฤติ
ผมจะขอยกตัวอย่างมาสนับสนุนแนวคิดของผม ที่ว่าการ "ขุด" มีความสำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมนั้น ผมมีจินตนาการอย่างนี้ครับ
สมัยก่อนที่มนุษย์เรายังเป็นสัตว์กลุ่มน้อยในโลกถือกำเนิดขึ้นที่ทางตอนกลางของทวีปอัฟริกาแล้วร่อนเร่พเนจรไปทั่วโลก ซึ่งขณะนั้นไม่มีคำว่าผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ มีแต่คำว่า "นีโอเดอร์ทัล" กับ "โฮโมซาเปียนส์" กินเนื้อสัตว์สดๆดิบๆเป็นอาหาร ... ด้วยความที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆที่เองครับ เนื้อที่ได้มาจากการล่าสัตว์มันก็อาจจะมีบ้างที่ต้องเดินไปกินไป
แล้วพอเดินไปผ่านป่าเขา ทุ่งหญ้า เจอพันธุ์ไม้อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด เดินไปกินไปพลั้งเผลอเนื้อสัตว์สดๆหล่นลงพื้น มือก็คว้าหยิบเนื้อขึ้นมาใหม่ เนื้อสดๆที่มันมีเลือดหนืดๆติดอยู่พอเป็นกระษัย ก็ดันไปติดเอาพวกพืชสมุนไพรขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดขึ้นมาด้วย
ด้วยความหยาบกระด้างของความคิด ณ เวลานั้น ก็ไม่สนใจที่จะปัดเศษผักเศษหญ้าที่เปื้อนเนื้อพวกนี้ออก พอสวาปามเข้าปากไปก็เกิดอาการ "นัว" ขึ้นมา... ก็เลยเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่นั้นมาว่าการกินเนื้อด้วยกันกับผักนั้น "นัวคั่กๆ"
พวกไม่อพยพไปไหนก็ยังคงกินเนื้อเปล่าๆต่อไป ชนพื้นเมืองแอฟริกาจึงอาศัยการล่าสัตว์เป็นพื้น ผมก็ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ว่าคนพวกนี้ชอบกินรสชาติยังไง
พวกอพยพไปทางยุโรป อากาศหนาว สมุนไพรน้อย ก็เลยได้กินแต่เนื้อเปล่าๆซะส่วนมาก ผักหญ้าไม่ค่อยได้กิน พริก มะนาวก็ไม่มี ... ฝรั่งก็เลยชอบกินอาหารรสจืดๆ กินเนื้อชิ้นใหญ่ๆ
พวกอพยพไปทางเอเชียตะวันออกไกลพื้นที่อุดมสมบูรณ์บ้าง แห้งแล้งบ้าง ร้อนบ้าง หนาวบ้าง ก็เลยได้กินเนื้อเพียวๆบ้าง เนื้อปนผักบ้าง แต่ก็ยังไม่ขาดแคลนเหน็บหนาวเท่ายุโรป ก็เลยพอจะมีพืชรสจัดให้ปรุงเนื้อบ้าง ชาวจีนเลยชอบกินอาหารรสกลางๆ ...เนื้อย่างเกาหลีจึงเกิดขึ้น และเมื่อมีชนกลุ่มนึงทะลึ่งเดินทางข้ามทะเลไปอยู่บนเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ ในทะเลไม่มีวัวมีควาย พวกนี้จึงต้องประทังชีวิตด้วยเนื้อปลา ชาวญี่ปุ่นจึงเป็นชนชาติที่บริโภคปลาทะเลมากที่สุดในโลก
ฉันใดฉันนั้น...พวกที่อพยพมาทางเอเชียใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ แถบนี้มีสมุนไพรเหลือเฟือ เดินทางไปเนื้อตกใส่พืชผักแต่ละชนิดไป ยิ่งนัวขึ้นนัวขึ้น ... เห็นมะนาว เห็นพริกบนต้นไม้ก็สอยมาผสมเนื้อดิบๆ...ชนแถบนี้ถึงนิยมอาหารรสจัดจ้าน และด้วยทราบดีว่าหัวใจความอร่อยคือพืชผักต่างๆหาใช่ชิ้นเนื้อ คนแถบนี้จึงนิยมหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้รสชาติของพืชผักสมุนไพรซึมเข้าไปในทุกอณูของเนื้อ
ด้วยเหตุนี้เอง สเต็กจึงไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ประเทศไทยทั้งๆที่วัวควายอุดมสมบูรณ์ และลาบก้อยก็ไม่ได้ถือกำเนิดที่ปารีสทั้งๆที่ชาวยุโรปชอบกินเนื้อสุกๆดิบๆ...
ลองจินตนาการสิครับ ถ้าสเต็กกำเนิดที่ประเทศแถบเรามันจะรสชาติจี๊ดจ๊าดขนาดไหน ฉันใดฉันนั้นถ้าเนื้อที่เอามาทำลาบก้อยชิ้นเท่าสเต็ก...ใครจะกินลง
เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้เคเอฟซีประเทศไทยครับ ที่ผลิต "ไก่แซ่บ" ออกมา ทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่สามารถกินเฟรนช์ไฟร์กับไก่แซ่บได้อย่างสนิทใจ สนิทลิ้น...(อ่านจบแล้วไปลอง)
ครับ...ทีนี้พอมนุษยชาติเริ่มเหนื่อย เดินทางกันต่อไม่ไหวแล้ว ไอ้พวกพริก มะนาว พืชพรรณธัญญาหารต่างๆที่กินเข้าไปมันก็ถูกขับออกมาจากร่างกาย ผ่านวันเวลา ไอ้จุดที่มนุษย์ไปทิ้งบอมบ์ไว้ก็เจริญเติบโตกลายเป็นต้น ออกดอกผลให้มนุษย์ได้เก็บกิน แต่ครั้นจะรอให้กินแล้วค่อยไปหย่อนไว้มันก็ช้าเกินกาล มนุษย์จึงเริ่มเรียนรู้ว่าเจ้าพวกพืชเหล่านี้มีบางส่วนที่กินไม่ได้ เมื่อคายออกมาหรือขับออกมาจากร่างกายแล้ว เจ้าเม็ดเล็กๆพวกนั้นมันก็จะเจริญเป็นต้น
มนุษย์สังเกตเห็นว่า แม้ว่าเจ้าเม็ดเล็กๆพวกนี้จะตกอยู่บนผิวดินแต่เมื่อมันกลายร่าง รากของมันก็จะชอนไชลงไปสู่พื้นดินอยู่ดี มนุษย์จึงหวังดี"ขุดดิน"กลบเจ้าเม็ดเล็กๆพวกนั้นเพื่อปกป้องมันจากลมฟ้าอากาศ ต่อมามันก็เจริญเติบโตเป็นต้น ดอกใบ ดอกออก ออกผล
เมื่อเม็ดเล็กๆให้ลูก ให้ผล มันจึงถูกเรียกว่า "เมล็ด"
แน่นอนครับ ต่อมาเราพบว่านักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีต่างยอมรับว่าจุดกำเนิดของอารยธรรมก็คือการเพาะปลูก หรือการที่มนุษย์เริ่มรู้จักการ "ขุด" นี่เอง
...
ทีนี้การ "ขุด" มันมาเกี่ยวข้องกับนักเรียนนายร้อยตำรวจได้ยังไง?
ต้องขอให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับขึ้นไปดูถึงความเกี่ยวพันระหว่างคำว่า "ขุด" กับคำอื่นๆครับ ...ขุดเพื่ออะไร
ผมคิดว่ามันเป็นความชาญฉลาดที่นึกไม่ถึงอย่างหนึ่งที่นักเรียนนายร้อยเอาคำนี้มาใช้เพื่อการบางอย่าง
เป็นที่ทราบกันดีนะครับว่านักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 1 หรือนักเรียนใหม่นั้นจะเข้ามาอยู่ในสภาพที่ไม่มีสิทธิใดๆเลย หรือถ้าเรียกว่ามีก็คือมีเท่ากับ "ศูนย์"
ซึ่งการที่นักเรียนรุ่นพี่จะมอบ "สิทธิ" ใดๆเพิ่มขึ้นให้แก่นักเรียนใหม่นั้น นักเรียนใหม่จะต้องทำการ "ขุดสิทธิ" ซึ่งเราใช้ภาษาอย่างนี้กันจริงๆครับ ไม่ว่าจะได้อะไรมาใหม่ก็แล้วแต่
ขุดกลับบ้านครั้งแรก
ขุดเครื่องแบบ
ขุดแหวน
ขุดกระบี่
ขุดพี.เอ็กซ์.(ร้านค้าอ่ะนะครับ)
ฯลฯ
เกินความสามารถของผมจริงๆครับที่จะจำได้หมดว่าทั้งชีวิตนักเรียนใหม่ หรือแม้แต่นักเรียนนายร้อยนั้น...ขุดไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว
การขุดก็คือการจวกอย่างบ้าคลั่งพร้อมคำพูดเชิงจิตวิทยาทั้งหลายที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าการจวกครั้งนี้ไม่ธรรมดา มันมีค่ามากกว่าการจวกครั้งไหนๆ แน่นอนครับ...เหนื่อยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ซึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเหนื่อยแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ตอนผมเป็นเด็กๆนักเรียนใหม่ตัวเล็กๆหน้าตาเหรอหรา ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันจะขุดอะไรกันนักหนา แต่พอโตมาเริ่มมีความคิดความอ่านก็เริ่มรู้ว่า เราขุดกันเพื่อ"หา"เพื่อ"สร้าง"เพื่อ"ปลูก"และเพื่อ"ฝัง"กันนี่เอง
เราหา"ค่า"ของสิทธิต่างๆที่เรากำลังจะได้มา
เราสร้าง"ความสำนึก"รับผิดชอบในสิทธิที่ได้มา
และเราได้ปลูก"หน้าที่"ใหม่ ที่มาพร้อมกับสิทธินั้น
ที่สำคัญเราได้ฝัง"ค่าของความสำนึกในหน้าที่"ที่เกิดขึ้นพร้อมกับสิทธินั้น
น่าแปลกที่ขั้นตอนการจวกเพื่อ"ขุด"อะไรบางอย่าง เรามักจะจำกันได้ว่าท่านู้นกี่ที ท่านี้กี่รอบ มีท่าถ่อย ท่าหมาหรือไม่อย่างไร คุยกันกี่ทีก็จำได้ ทุกฉากทุกตอนเหมือนเดิม
การขุดนี่เองครับ ที่ทำให้เราเรียนรู้อยู่เสมอว่า "สิทธิ" มาพร้อมกับ "หน้าที่" ถ้าทุกคนให้น้ำหนักกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง สังคมนี้จะไม่สมดุล
ปัญหากีฬาสีที่แข่งขันกันไม่รู้จบอย่าง "สีเหลือง-สีแดง" นั้น ก็เพราะว่าให้น้ำหนักกับ "สิทธิ" ของตนเองมากกว่า "หน้าที่" ที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติครับ
...ตอนนี้อาจจะไม่ฮา แต่อยากเขียนจริงๆครับ
ถ้าเรานึกถึงคำว่า "ขุด" เราก็มักจะนึกถึงการใช้เสียมกระแทกลงไปในพื้นแล้วงัดเอาดินออกมาจนทำให้เกิดรู ซึ่งจะเล็ก จะใหญ่ยังไงก็สุดแล้วแต่วัตถุประสงค์ของแต่ละคน
เมื่อมีคำว่า "ขุด" เกิดขึ้นมาในโลก ก็ต้องมาคำว่า "หา" "สร้าง" "ปลูก" หรือ "ฝัง" เพราะมนุษย์เราจะ "ขุด" เพื่อการ 4 อย่างนี้เท่านั้น ผมยกตัวอย่างที่คุ้นเคย
ขุดหาสมบัติ
ขุดดินสร้างอุโมงค์
ขุดดินปลูกต้นไม้
ขุดดินฝังศพ...
จริงๆแล้วนะครับ การ "ขุด" นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาอารยธรรมโลก และการเอาตัวรอดในภาวะวิกฤติ
ผมจะขอยกตัวอย่างมาสนับสนุนแนวคิดของผม ที่ว่าการ "ขุด" มีความสำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมนั้น ผมมีจินตนาการอย่างนี้ครับ
สมัยก่อนที่มนุษย์เรายังเป็นสัตว์กลุ่มน้อยในโลกถือกำเนิดขึ้นที่ทางตอนกลางของทวีปอัฟริกาแล้วร่อนเร่พเนจรไปทั่วโลก ซึ่งขณะนั้นไม่มีคำว่าผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ มีแต่คำว่า "นีโอเดอร์ทัล" กับ "โฮโมซาเปียนส์" กินเนื้อสัตว์สดๆดิบๆเป็นอาหาร ... ด้วยความที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆที่เองครับ เนื้อที่ได้มาจากการล่าสัตว์มันก็อาจจะมีบ้างที่ต้องเดินไปกินไป
แล้วพอเดินไปผ่านป่าเขา ทุ่งหญ้า เจอพันธุ์ไม้อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด เดินไปกินไปพลั้งเผลอเนื้อสัตว์สดๆหล่นลงพื้น มือก็คว้าหยิบเนื้อขึ้นมาใหม่ เนื้อสดๆที่มันมีเลือดหนืดๆติดอยู่พอเป็นกระษัย ก็ดันไปติดเอาพวกพืชสมุนไพรขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดขึ้นมาด้วย
ด้วยความหยาบกระด้างของความคิด ณ เวลานั้น ก็ไม่สนใจที่จะปัดเศษผักเศษหญ้าที่เปื้อนเนื้อพวกนี้ออก พอสวาปามเข้าปากไปก็เกิดอาการ "นัว" ขึ้นมา... ก็เลยเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่นั้นมาว่าการกินเนื้อด้วยกันกับผักนั้น "นัวคั่กๆ"
พวกไม่อพยพไปไหนก็ยังคงกินเนื้อเปล่าๆต่อไป ชนพื้นเมืองแอฟริกาจึงอาศัยการล่าสัตว์เป็นพื้น ผมก็ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ว่าคนพวกนี้ชอบกินรสชาติยังไง
พวกอพยพไปทางยุโรป อากาศหนาว สมุนไพรน้อย ก็เลยได้กินแต่เนื้อเปล่าๆซะส่วนมาก ผักหญ้าไม่ค่อยได้กิน พริก มะนาวก็ไม่มี ... ฝรั่งก็เลยชอบกินอาหารรสจืดๆ กินเนื้อชิ้นใหญ่ๆ
พวกอพยพไปทางเอเชียตะวันออกไกลพื้นที่อุดมสมบูรณ์บ้าง แห้งแล้งบ้าง ร้อนบ้าง หนาวบ้าง ก็เลยได้กินเนื้อเพียวๆบ้าง เนื้อปนผักบ้าง แต่ก็ยังไม่ขาดแคลนเหน็บหนาวเท่ายุโรป ก็เลยพอจะมีพืชรสจัดให้ปรุงเนื้อบ้าง ชาวจีนเลยชอบกินอาหารรสกลางๆ ...เนื้อย่างเกาหลีจึงเกิดขึ้น และเมื่อมีชนกลุ่มนึงทะลึ่งเดินทางข้ามทะเลไปอยู่บนเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ ในทะเลไม่มีวัวมีควาย พวกนี้จึงต้องประทังชีวิตด้วยเนื้อปลา ชาวญี่ปุ่นจึงเป็นชนชาติที่บริโภคปลาทะเลมากที่สุดในโลก
ฉันใดฉันนั้น...พวกที่อพยพมาทางเอเชียใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ แถบนี้มีสมุนไพรเหลือเฟือ เดินทางไปเนื้อตกใส่พืชผักแต่ละชนิดไป ยิ่งนัวขึ้นนัวขึ้น ... เห็นมะนาว เห็นพริกบนต้นไม้ก็สอยมาผสมเนื้อดิบๆ...ชนแถบนี้ถึงนิยมอาหารรสจัดจ้าน และด้วยทราบดีว่าหัวใจความอร่อยคือพืชผักต่างๆหาใช่ชิ้นเนื้อ คนแถบนี้จึงนิยมหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้รสชาติของพืชผักสมุนไพรซึมเข้าไปในทุกอณูของเนื้อ
ด้วยเหตุนี้เอง สเต็กจึงไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ประเทศไทยทั้งๆที่วัวควายอุดมสมบูรณ์ และลาบก้อยก็ไม่ได้ถือกำเนิดที่ปารีสทั้งๆที่ชาวยุโรปชอบกินเนื้อสุกๆดิบๆ...
ลองจินตนาการสิครับ ถ้าสเต็กกำเนิดที่ประเทศแถบเรามันจะรสชาติจี๊ดจ๊าดขนาดไหน ฉันใดฉันนั้นถ้าเนื้อที่เอามาทำลาบก้อยชิ้นเท่าสเต็ก...ใครจะกินลง
เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้เคเอฟซีประเทศไทยครับ ที่ผลิต "ไก่แซ่บ" ออกมา ทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่สามารถกินเฟรนช์ไฟร์กับไก่แซ่บได้อย่างสนิทใจ สนิทลิ้น...(อ่านจบแล้วไปลอง)
ครับ...ทีนี้พอมนุษยชาติเริ่มเหนื่อย เดินทางกันต่อไม่ไหวแล้ว ไอ้พวกพริก มะนาว พืชพรรณธัญญาหารต่างๆที่กินเข้าไปมันก็ถูกขับออกมาจากร่างกาย ผ่านวันเวลา ไอ้จุดที่มนุษย์ไปทิ้งบอมบ์ไว้ก็เจริญเติบโตกลายเป็นต้น ออกดอกผลให้มนุษย์ได้เก็บกิน แต่ครั้นจะรอให้กินแล้วค่อยไปหย่อนไว้มันก็ช้าเกินกาล มนุษย์จึงเริ่มเรียนรู้ว่าเจ้าพวกพืชเหล่านี้มีบางส่วนที่กินไม่ได้ เมื่อคายออกมาหรือขับออกมาจากร่างกายแล้ว เจ้าเม็ดเล็กๆพวกนั้นมันก็จะเจริญเป็นต้น
มนุษย์สังเกตเห็นว่า แม้ว่าเจ้าเม็ดเล็กๆพวกนี้จะตกอยู่บนผิวดินแต่เมื่อมันกลายร่าง รากของมันก็จะชอนไชลงไปสู่พื้นดินอยู่ดี มนุษย์จึงหวังดี"ขุดดิน"กลบเจ้าเม็ดเล็กๆพวกนั้นเพื่อปกป้องมันจากลมฟ้าอากาศ ต่อมามันก็เจริญเติบโตเป็นต้น ดอกใบ ดอกออก ออกผล
เมื่อเม็ดเล็กๆให้ลูก ให้ผล มันจึงถูกเรียกว่า "เมล็ด"
แน่นอนครับ ต่อมาเราพบว่านักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีต่างยอมรับว่าจุดกำเนิดของอารยธรรมก็คือการเพาะปลูก หรือการที่มนุษย์เริ่มรู้จักการ "ขุด" นี่เอง
...
ทีนี้การ "ขุด" มันมาเกี่ยวข้องกับนักเรียนนายร้อยตำรวจได้ยังไง?
ต้องขอให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับขึ้นไปดูถึงความเกี่ยวพันระหว่างคำว่า "ขุด" กับคำอื่นๆครับ ...ขุดเพื่ออะไร
ผมคิดว่ามันเป็นความชาญฉลาดที่นึกไม่ถึงอย่างหนึ่งที่นักเรียนนายร้อยเอาคำนี้มาใช้เพื่อการบางอย่าง
เป็นที่ทราบกันดีนะครับว่านักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 1 หรือนักเรียนใหม่นั้นจะเข้ามาอยู่ในสภาพที่ไม่มีสิทธิใดๆเลย หรือถ้าเรียกว่ามีก็คือมีเท่ากับ "ศูนย์"
ซึ่งการที่นักเรียนรุ่นพี่จะมอบ "สิทธิ" ใดๆเพิ่มขึ้นให้แก่นักเรียนใหม่นั้น นักเรียนใหม่จะต้องทำการ "ขุดสิทธิ" ซึ่งเราใช้ภาษาอย่างนี้กันจริงๆครับ ไม่ว่าจะได้อะไรมาใหม่ก็แล้วแต่
ขุดกลับบ้านครั้งแรก
ขุดเครื่องแบบ
ขุดแหวน
ขุดกระบี่
ขุดพี.เอ็กซ์.(ร้านค้าอ่ะนะครับ)
ฯลฯ
เกินความสามารถของผมจริงๆครับที่จะจำได้หมดว่าทั้งชีวิตนักเรียนใหม่ หรือแม้แต่นักเรียนนายร้อยนั้น...ขุดไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว
การขุดก็คือการจวกอย่างบ้าคลั่งพร้อมคำพูดเชิงจิตวิทยาทั้งหลายที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าการจวกครั้งนี้ไม่ธรรมดา มันมีค่ามากกว่าการจวกครั้งไหนๆ แน่นอนครับ...เหนื่อยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ซึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเหนื่อยแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ตอนผมเป็นเด็กๆนักเรียนใหม่ตัวเล็กๆหน้าตาเหรอหรา ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันจะขุดอะไรกันนักหนา แต่พอโตมาเริ่มมีความคิดความอ่านก็เริ่มรู้ว่า เราขุดกันเพื่อ"หา"เพื่อ"สร้าง"เพื่อ"ปลูก"และเพื่อ"ฝัง"กันนี่เอง
เราหา"ค่า"ของสิทธิต่างๆที่เรากำลังจะได้มา
เราสร้าง"ความสำนึก"รับผิดชอบในสิทธิที่ได้มา
และเราได้ปลูก"หน้าที่"ใหม่ ที่มาพร้อมกับสิทธินั้น
ที่สำคัญเราได้ฝัง"ค่าของความสำนึกในหน้าที่"ที่เกิดขึ้นพร้อมกับสิทธินั้น
น่าแปลกที่ขั้นตอนการจวกเพื่อ"ขุด"อะไรบางอย่าง เรามักจะจำกันได้ว่าท่านู้นกี่ที ท่านี้กี่รอบ มีท่าถ่อย ท่าหมาหรือไม่อย่างไร คุยกันกี่ทีก็จำได้ ทุกฉากทุกตอนเหมือนเดิม
การขุดนี่เองครับ ที่ทำให้เราเรียนรู้อยู่เสมอว่า "สิทธิ" มาพร้อมกับ "หน้าที่" ถ้าทุกคนให้น้ำหนักกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง สังคมนี้จะไม่สมดุล
ปัญหากีฬาสีที่แข่งขันกันไม่รู้จบอย่าง "สีเหลือง-สีแดง" นั้น ก็เพราะว่าให้น้ำหนักกับ "สิทธิ" ของตนเองมากกว่า "หน้าที่" ที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติครับ
...ตอนนี้อาจจะไม่ฮา แต่อยากเขียนจริงๆครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น