ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ข่าวศึกพะสิมเชียงใหม่...เจ้านางไทยใหญ่ผู้เลอโฉม
::ข่าวศึกพะสิมเชียงใหม่...เจ้านางไทยใหญ่ผู้เลอโฉม::
เพลาค่ำ...พระอินทราธิปเสด็จออกมาประทับอยู่ที่ชานเรือน ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นพิจารณาดวงดาวต่างๆตามวิชาโหราศาสตร์ซึ่งพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ที่เป็นชายนั้น จะได้รับการศึกษาในวิชาแขนงนี้
\"คืนนี้ขึ้นสิบสามค่ำ เดือนหก มะแมศก นี่เราจากวรางคณามาสามเดือนแล้วหรือนี่...เฮ่อ...ยังแต่ธุระอยู่กับราชการงานศึก มิได้กลับไปพบหน้าเสียเนิ่นนาน มิรู้ว่าป่านนี้จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง\" พระอินทราธิปบ่นพลางพิจารณาดวงดาวบนฟ้า
\"เอาเถิด...อีกไม่นานนักเราก็จักได้กลับไปกรุงศรีอยุธยาแล้ว แม้ครานี้จักได้กลับไปพักมินานนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่มิได้กลับไปเสียเลย\" พระอินทราธิปตรัสปลอบพระองค์เอง ก่อนจะเงยพรพักตร์ขึ้นพิจารณาหมู่ดาวอีกครั้ง
แกร่บ!
\"ฮึ!\" พระอินทราธิปสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดังจากพื้นบ้านเหมือนว่ามีใครกำลังเดินออกมานอกชานตรงมายังพระองค์ พระอินทราธิปกุมพระแสงดาบไว้ พลันเงี่ยหูฟังอย่างมีสมาธิ
แกร่บ แกร่บ แกร่บ
เสียงฝีเท้าค่อยๆใกล้เข้ามาทีละน้อย ครั้นเมื่อก้าวเข้ามาจนอยู่ในระยะอาวุธ พระอินทราธิปวาดพระแสงดาบมาทางด้านหลังของพระองค์ ชั่วพริบตาปลายพระแสงดาบก็จี้ตรงไปยังคอหอยของผู้มาเยือน
ปรากฏเป็นสตรีไทยใหญ่แต่งกายอย่างเจ้านาย นางคือสาวงามผู้ที่พระอินทราธิปทรงแอบชำเลืองมองอยู่นั้นเอง ครั้นเมื่อเห็นเป็นนาง พระอินทราธิปจึงทรงเก็บพระแสงดาบเข้าฝักตามเดิม พลันตรัส
\"แม่นางย่องมายามราตรีเยี่ยงนี้มิให้สุ้มให้เสียง ข้าก็มิรู้ดีร้าย ต้องขออภัยด้วย\" สาวงามก้มหน้าเชิงรับคำก่อนเอ่ยปาก
\"บ่เป็นหยังพ่อเจ้า ข้าเจ้าเองที่ผิด ย่องมาหาพ่อเจ้าในยามราตรีเยี่ยงนี้\"
\"แม่นางเป็นใครกัน ดูท่าทางเป็นที่เคารพต่อพวกชาวเมืองยิ่งนัก ฤาจักเป็นเมียของเศิกขวัญ\" พระอินทราธิปตรัสอย่างมีนัยน์อยากรู้ว่านางมีคู่ครองแล้วหรือยัง
\"บ่ใจ้ บ่ใจ้ ข้าเจ้าบ่ใจ้เมียท่านเศิกขวัญ จะใดพ่อเจ้าจึ่งคิดเยี่ยงนั้นเล่า\" นางตอบอย่างเอียงอาย เข้าทางพระอินทราธิปพลันตรัส
\"อ้าว ก็ข้าเห็นแม่นางอยู่ในเรือนเศิกขวัญ เศิกขวัญก็มากอายุกว่าข้ามิได้มากน้อย จักมีธิดาสาวรุ่นเยี่ยงเจ้าคงมิได้ ข้าจึงนึกว่าเจ้าเป็นเมียเศิกขวัญ ถ้ามิใช่แล้วเจ้าเป็นใครกัน\"
\"ข้าเจ้าเกิดแต่เจ้าฟ้าขุนหาญบิดาของเจ้าฟ้าอูแสง...\"
\"ถ้าเช่นนั้นแม่นางก็เป็นกนิษฐาในเจ้าฟ้าอูแสง\"
\"ใจ้แล้วพ่อเจ้า หากแต่ต่างด้วยมารดา ถ้านับตามลำดับแล้ว ข้าเจ้าเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ร่วมบิดาเดียวกันกับเจ้าฟ้าอูแสง เมื่อคราวศึกหงสาวดีเจ้าพี่อูแสงถูกขับออกจากเมืองหน่ายไป จึงทรงฝากข้าเจ้าไว้กับท่านเศิกขวัญ\" พระอินทราธิปได้ฟังคำก็กระหยิ่มในพระทัยพลันตรัสถาม
\"แลเจ้านางเป็นชายาของผู้ใดกัน\" เจ้านางสูงศักดิ์ก้มเอียงอายก่อนตอบ
\"ข้าเจ้าบ่ได้เป็นชายาของใคร ด้วยว่าหามีเจ้านายเจ้าฟ้าผู้ใดอยู่ในเมืองหน่ายมาหลายเพลาแล้ว ชาวไตถือประหนึ่งว่าข้าเจ้าเป็นเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง จึงบ่มีชายใดหาญกล้ามาหมายปอง\" สิ้นคำ พระอินทราธิปแย้มมุมพระโอษฐ์
\"อ้อ...เยี่ยงนั้นรึ แลบัดนี้เจ้านางอายุได้กี่ขวบปีแล้ว\"
\"สิบเจ็ดชันษาแล้วพ่อเจ้า\"
\"แล้วเจ้านางมีชื่อว่ากระไรรึ\"
\"ข้าเจ้าจื้อ คำปอย\"
\"เจ้านางคำปอย\" พระอินทราธิปตรัสย้ำเพื่อความแน่ใจ เชิงทำให้เกียรติ
\"ข้าเคยได้ยินมาหนักหนาว่าสาวชาวเมืองไตนั้นงดงามเพียงไร วันนี้ได้มาเห็นกับตาตนเองก็นับว่าเป็นจริงดังว่า\" พระอินทราธิปเริ่มจีบ เจ้านางคำปอยออกอาการหน้าแดงเล็กน้อยก่อนเอ่ยวาจาเป็นเชิงปรามว่า
\"พ่อเจ้าอย่าทรงตรัสชมข้าเจ้าเลย พ่อเจ้ามีชายาแล้วบ่ใจ้หรือ\"
\"เอ่อ...ข้าก็มิได้เอ่ยวาจาเกี้ยวพาเจ้านางนี่ ข้าเพียงแต่ชื่นชมในความงามของเจ้านางเท่านั้น\" พระอินทราธิปตรัสแก้กระดาก
\"พ่อเจ้า...เพลานี้ก็ดึกแล้ว ข้าเจ้าขอตัวเข้าเฮือนก่อน ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่สู้ดีนัก มื้อพรุ่งข้าเจ้าจักให้บ่าวไพร่ทำพระกระยาหารเช้าเลี้ยงพระองค์\" เจ้านางคำปอยตัดบทก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนอย่างเอียงอาย
พระอินทราธิปทรงยิ้มอย่างถูกพระทัยเมื่อเห็นเจ้านางไทยใหญ่แสดงท่าทีเขินอายต่อพระองค์ จากนั้นพระอินทราธิปก็เงยพระพักตร์ขึ้นพิจารณาชาตาโคจรของดวงดาวต่อไป ครั้นเมื่อถึงเพลาอันควรแล้ว ก็ทรงเสด็จกลับเข้าประทับ ณ ห้องบรรทม ระหว่างทางผ่านหน้าห้องบรรทมของเจ้านางคำปอย พระองค์แอบทอดพระเนตรผ่านช่องประตูเห็นเจ้านางสูงศักดิ์ประทับนั่งบนพระแท่นแลกำลังตรัสคุยอยู่กับข้ารับใช้คนสนิทอย่างเขินอาย...
::วันรุ่งขึ้น::
พระอินทราธิปเสวยพระกระยาหารเช้ากับเจ้านางคำปอย แลภรรยาของเศิกขวัญ ทั้ง ๓ ต่างเจรจาปราศรัยกันเป็นที่ชอบพอ พระอินทราธิปมีดำริจะเที่ยวชมเมืองหน่าย เจ้านางคำปอยจึงทรงขันอาสาทำพระองค์เที่ยวชมเมือง
ทันใดนั้น! เกิดเสียงเอะอะต่อสู้กันอยู่หน้าเรือน พระอินทราธิปไม่รอช้ารีบคว้าพระแสงศัสตราวุธประจำพระองค์ พร้อมกับทรงวิ่งตรงไปยังต้นเสียงนั้นทันที พลันทหารยามไทยใหญ่วิ่งสวนเข้ามากราบทูลว่ามีผู้บุกรุก ชั่วครู่มีทหารนายหนึ่งถูกถีบกระเด็นเข้ามาหน้าประตูเรือน พระอินทราธิปชักพระแสงดาบออกมาคอยท่า ผู้บุกรุกก้าวเข้ามาหน้าประตูปรากฏเป็นทหารแต่งกายอย่างพม่า ๒ นาย
\"ช้าก่อนพระเจ้าข้า พวกหม่อมฉันมาดี\" พลันนายทหารพม่าทั้ง ๒ นายวางอาวุธคุกเข่าลงประนมมือถวายบังคม สำเนียงการพูดนั้นเป็นภาษาไทยชัดเจน
\"พวกเจ้าเป็นใคร\" พระอินทราธิปตรัสถาม
\"นี่ทรงจำหม่อมฉันทั้งสองมิได้หรือพระเจ้าข้า\" สิ้นคำพระอินทราธิปพินิจหน้าตาของทหารพม่าซึ่งแลดูสมปรกมอมแมมประหนึ่งว่าเดินทางรอนแรมมาไกลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตรัส
\"ขุนพิทักษ์! หมื่นฤทธิ์! พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ข้าดีใจเหลือ เอ้า!...มิต้องพิธีรีตอง ตามสบายเถิด\" สิ้นพระดำรัส พวกทหารไทยใหญ่ลุกหนีออกจากเรือนไป ขุนพิทักษ์กราบทูล
\"นับแต่เสร็จศึกสวรรคโลกแล้ว...\" ยังไม่ทันที่ขุนพิกทักษ์ราชกิจจะกราบทูลเสร็จ พระอินทราธิปก็ตรัสแทรก
\"ศึกสวรรคโลกหรือ เยี่ยงไรกันข้ามิเห็นรู้ความ\"
\"อ้อ...พระโอรสคงยังมิทราบด้วยหลังจากทัพเรายกกลับกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระนเรศวรทรงยกต่อขึ้นไปขับไล่พม่าที่กำแพงเพชร ออกญาสวรรคโลก แลออกญาพิชัยคิดแข็งเมืองรวมกำลังกันต่อต้านพระองค์ พระองค์จึงล้อมตีได้สวรรคโลกไว้ แลจับอ้ายพระยาทรยศทั้งสองประหารเสียแล้วพระองค์ก็เลิกทัพกลับพิษณุโลก จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้ขุนอินทรเดชขึ้นมาหาข่าวศึกทางเชียงใหม่ หม่อมฉันทั้งสองจึงขอติดตามมาด้วยหมายจะเข้ามาตามพระองค์ที่หงสาวดีพระพุทธเจ้าข้า\" พระอินทราธิปได้ฟังดังนั้นก็โสมนัสในความจงรักภักดีของนายทหารคนสนิททั้งสองยิ่งนัก พลันตรัส
\"แลนี่มาหาข้าได้เยี่ยงไรถึงเมืองหน่าย\"
\"ครั้นเมื่อสืบข่าวศึกทางเชียงใหม่ได้ความแล้ว หม่อมฉันทั้งสองก็แยกตัวจากท่านขุนอินทร์ลงมาตามหาพระองค์ที่หงสาวดี เจ้านางมินตยาแจ้งแก่หม่อมฉันทั้งสองว่าพระองค์พักอยู่กับพระภิกษุอูแสง ครั้นเมื่อตามไปท่านอูแสงก็บอกว่าพระองค์ขึ้นมาชักชวนพวกไทยใหญ่ที่เมืองหน่ายนี่พระพุทธเจ้าข้า\"
\"โอ! พวกท่านทั้งสองนี่มีความพยายามยิ่งนัก ข้าดีใจเหลือ นี่ข้าก็รออีกสองราตรีจึงจะได้พวกไทยใหญ่ยกทัพกลับพระนครได้ ท่านว่าไปสืบข่าวศึกเชียงใหม่มาได้ความว่าเยี่ยงไรบ้างเล่า\" พระอินทราธิปตรัสอย่างชื่นชมพลันหมื่นฤทธิ์ณรงค์กราบทูล
\"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ฤดูแล้งปลายปีนี้พระเจ้าหงสาวดีให้จัดสองทัพ ทัพหนึ่งของพระเจ้าเชียงใหม่มังมหานรธามีไพร่พลหนึ่งแสนยกลงมาตีหัวเมืองรายทางจากทางเหรือ อีกทัพหนึ่งของพระยาพะสิมมีไพร่พลสามหมื่นยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์ จะสมทบกันเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทั้งสองด้านพร้อมกันพระพุทธเจ้าข้า\" พระอินทราธิปได้รับฟังดังนั้นก็ทรงอุทาน
\"รี้พลหงสาวดีมันมากมายเหลือ นี่พวกเชียงใหม่ก็ล้วนไทยด้วยกันทั้งนั้น ไทยจักต้องฆ่าไทยด้วยกันเองอีกแล้วหรือนี่\" พลันตรัสต่อ
\"แล้วนี่สมเด็จพี่พระองค์ดำคิดอ่านการศึกอย่างไร\"
\"บัดนี้ขุนอินทรเดชคงนำข่าวศึกขึ้นกราบทูลพระอุปราชแล้ว พระองค์มีพระปรีชาในการรบยิ่ง พระโอรสอย่าได้ทรงเป็นห่วงเลย รวมไทยใหญ่ได้เมื่อใด ก็จงรีบยกทัพกลับไปช่วยศึกหงสาวดีเถิดพระพุทธเจ้าข้า\" ขุนพิทักษ์ราชกิจกราบทูล...
::สองราตรีต่อมา::
พระอินทราธิปราชนัดดาประทับอยู่ที่ชานเรือนที่เก่า ขุนพิทักษ์ราชกิจแลหมื่นฤทธิณรงค์นั่งหลับอยู่หน้าประตูเรือน ทันใดเจ้านางคำปอยก็เสด็จออกมาเช่นเดิม
\"ยังมิบรรทมหรือเจ้านาง\" พระอินทราธิปตรัสก่อน
\"ยังพ่อเจ้า...\" เจ้านางตรัสก่อนเงียบไป พระอินทราธิปเห็นสาวงามเงียบไปก็ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรพลันตรัส
\"วันพรุ่งข้าจักต้องไปจากที่นี้แล้วนะเจ้านาง\" สิ้นพระดำรัสเจ้านางไทยใหญ่ยังคงเงียบ ประหนึ่งว่ากำลังดำริอยู่ในใจ
\"เสร็จศึกข้าจึงจะกลับมา...\" พระอินทราธิปตรัสต่อ เจ้านางเงยพระพักตร์ขึ้นมอง แย้มพระสรวลเล็กน้อย
\"พ่อเจ้า...\" พระนางตรัสอย่างฉงน
\"เสียทีข้ามีชายาแล้ว มิเช่นนั้นก็คงจักรับเจ้าเข้าไปอยู่ด้วยในพระราชวังหลวง\" ครั้นสิ้นพระดำรัสเท่านั้น พระนางคำปอยถึงกับก้มพระพักตร์ที่กำลังแดงระเรื่อด้วยพระโลหิตสูบฉีด พลันตรัสอย่างเหนียมอาย
\"เพียงพ่อเจ้าเมตตาข้าเจ้า ข้าเจ้าก็ดีใจหาที่สุดมิได้แล้ว\"
\"เยี่ยงนั้นรึ...มิรังเกียจที่ข้ามีชายาแล้วรึ\"
\"จะใดข้าเจ้าจึงต้องรังเกียจพ่อเจ้าด้วย เป็นธรรมดาของเจ้าขุนไตแลพระราชวงศ์ที่ต้องสมรสแต่เจริญวัย ข้าเจ้าบุญน้อยด้อยศักดิ์บ่เคยหวังสิ่งใด เพียงได้รู้ว่าพ่อเจ้าเมตตาก็ยินดีอย่างที่สุดแล้ว\" สิ้นคำตรัสเจ้านาง พระอินทราธิปแย้มพระสรวล ก่อนจะทรงประคองพระหัตถ์เจ้านางขึ้นมาแนบพระอุระไว้ แล้วตรัส
\"ถึงอย่างไรข้าก็ยังพาเจ้านางกลับไปด้วยเสียคราวนี้มิได้ ด้วยว่าจากนี้ไปต้องรับศึกหนักเป็นเท่าทวี\"
\"ข้าเจ้าบ่เคยปรารถนาจักเข้าไปใช้ชีวิตสุขสบายในพระราชวังหลวงเลยพ่อเจ้า...\"
\"ถ้าเช่นนั้น เมื่อว่างศึกลงเมื่อใดข้าก็จักกลับมาหาเจ้านางที่นี่ ขอเจ้านางจงเชื่อในสัตยาของข้าเถิด\"
\"...\" เจ้านางคำปอยนิ่งอึ้งไป ก่อนตรัส
\"ข้าเจ้าเชื่อในคำตรัสของพ่อเจ้าทุกประการ\" พลันสบพระเนตรกับพระอินทราธิป พระอินทราธิปทรงยิ้มก่อนจะประคององค์เจ้านางเสด็จเข้าห้องบรรทมของพระองค์ไป
\"นี่คือหลักประกันที่ข้าจะมอบไว้ให้แก่เจ้านาง\" สิ้นพระดำรัสเจ้านางคำปอยก้มพระพักตร์มิรู้พูดจา ก่อนทั้งสองพระองค์จะประทับลงบนพระแท่นบรรทม...
...
...
\"พี่คง! พี่คง!\" หมื่นฤทธิไกรกระซิบพร้อมๆกับสะกิดขุนพิทักษ์ราชกิจที่หลับยามอยู่หน้าประตูเรือน
\"อะไรวะ...\" ขุนพิทักษ์พูดอย่างรำคาญเล็กน้อย พลันมือเกาหัวหูเชิงว่าถูกปลุก
\"พระโอรสเราเอาอีกแล้วพี่\"
\"เอาอะไรของเอ็งวะ\"
\"ก็เอาอย่างที่เจ้านายเค้าเอากันน่ะพี่\"
\"เอ้อ...ปล่อยพระองค์ไปเถิด เรื่องของเจ้าของนายท่าน อย่าไปยุ่งท่านเลย นรกจะกินหัวกบาลเอา\"
\"ดีจังเว่ย...เป็นเจ้านายนี่ ไปที่ไหนก็มีเมียมันซะที่นั่น\"
\"เอ๊ะ!ไ-อ้นี่! แต่เออว่ะ...ข้าเห็นด้วยกับเอ็ง...อืม...พระโอรสเรานี่ท่านชอบของป่าของไกลบ้านไกลเมืองเนอะ พระวรางคณาก็คนหนึ่งแล้ว\"
\"พี่คง!นรกกินกบาลแล้ว\"
\"เฮ่ย!\"
\"ฮ่าฮ่าฮ่า\" ขุนทหารทั้งสองหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
...ราชการงานทัพรับศึกใหญ่
แสนหนึ่งทัพเชียงใหม่ไพร่พลรี้
สามหมื่นทัพพะสิมผ่านด่านเจดีย์
ศึกครานี้ใหญ่หลวงนักจักโรมรัน...
เพลาค่ำ...พระอินทราธิปเสด็จออกมาประทับอยู่ที่ชานเรือน ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นพิจารณาดวงดาวต่างๆตามวิชาโหราศาสตร์ซึ่งพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ที่เป็นชายนั้น จะได้รับการศึกษาในวิชาแขนงนี้
\"คืนนี้ขึ้นสิบสามค่ำ เดือนหก มะแมศก นี่เราจากวรางคณามาสามเดือนแล้วหรือนี่...เฮ่อ...ยังแต่ธุระอยู่กับราชการงานศึก มิได้กลับไปพบหน้าเสียเนิ่นนาน มิรู้ว่าป่านนี้จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง\" พระอินทราธิปบ่นพลางพิจารณาดวงดาวบนฟ้า
\"เอาเถิด...อีกไม่นานนักเราก็จักได้กลับไปกรุงศรีอยุธยาแล้ว แม้ครานี้จักได้กลับไปพักมินานนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่มิได้กลับไปเสียเลย\" พระอินทราธิปตรัสปลอบพระองค์เอง ก่อนจะเงยพรพักตร์ขึ้นพิจารณาหมู่ดาวอีกครั้ง
แกร่บ!
\"ฮึ!\" พระอินทราธิปสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดังจากพื้นบ้านเหมือนว่ามีใครกำลังเดินออกมานอกชานตรงมายังพระองค์ พระอินทราธิปกุมพระแสงดาบไว้ พลันเงี่ยหูฟังอย่างมีสมาธิ
แกร่บ แกร่บ แกร่บ
เสียงฝีเท้าค่อยๆใกล้เข้ามาทีละน้อย ครั้นเมื่อก้าวเข้ามาจนอยู่ในระยะอาวุธ พระอินทราธิปวาดพระแสงดาบมาทางด้านหลังของพระองค์ ชั่วพริบตาปลายพระแสงดาบก็จี้ตรงไปยังคอหอยของผู้มาเยือน
ปรากฏเป็นสตรีไทยใหญ่แต่งกายอย่างเจ้านาย นางคือสาวงามผู้ที่พระอินทราธิปทรงแอบชำเลืองมองอยู่นั้นเอง ครั้นเมื่อเห็นเป็นนาง พระอินทราธิปจึงทรงเก็บพระแสงดาบเข้าฝักตามเดิม พลันตรัส
\"แม่นางย่องมายามราตรีเยี่ยงนี้มิให้สุ้มให้เสียง ข้าก็มิรู้ดีร้าย ต้องขออภัยด้วย\" สาวงามก้มหน้าเชิงรับคำก่อนเอ่ยปาก
\"บ่เป็นหยังพ่อเจ้า ข้าเจ้าเองที่ผิด ย่องมาหาพ่อเจ้าในยามราตรีเยี่ยงนี้\"
\"แม่นางเป็นใครกัน ดูท่าทางเป็นที่เคารพต่อพวกชาวเมืองยิ่งนัก ฤาจักเป็นเมียของเศิกขวัญ\" พระอินทราธิปตรัสอย่างมีนัยน์อยากรู้ว่านางมีคู่ครองแล้วหรือยัง
\"บ่ใจ้ บ่ใจ้ ข้าเจ้าบ่ใจ้เมียท่านเศิกขวัญ จะใดพ่อเจ้าจึ่งคิดเยี่ยงนั้นเล่า\" นางตอบอย่างเอียงอาย เข้าทางพระอินทราธิปพลันตรัส
\"อ้าว ก็ข้าเห็นแม่นางอยู่ในเรือนเศิกขวัญ เศิกขวัญก็มากอายุกว่าข้ามิได้มากน้อย จักมีธิดาสาวรุ่นเยี่ยงเจ้าคงมิได้ ข้าจึงนึกว่าเจ้าเป็นเมียเศิกขวัญ ถ้ามิใช่แล้วเจ้าเป็นใครกัน\"
\"ข้าเจ้าเกิดแต่เจ้าฟ้าขุนหาญบิดาของเจ้าฟ้าอูแสง...\"
\"ถ้าเช่นนั้นแม่นางก็เป็นกนิษฐาในเจ้าฟ้าอูแสง\"
\"ใจ้แล้วพ่อเจ้า หากแต่ต่างด้วยมารดา ถ้านับตามลำดับแล้ว ข้าเจ้าเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ร่วมบิดาเดียวกันกับเจ้าฟ้าอูแสง เมื่อคราวศึกหงสาวดีเจ้าพี่อูแสงถูกขับออกจากเมืองหน่ายไป จึงทรงฝากข้าเจ้าไว้กับท่านเศิกขวัญ\" พระอินทราธิปได้ฟังคำก็กระหยิ่มในพระทัยพลันตรัสถาม
\"แลเจ้านางเป็นชายาของผู้ใดกัน\" เจ้านางสูงศักดิ์ก้มเอียงอายก่อนตอบ
\"ข้าเจ้าบ่ได้เป็นชายาของใคร ด้วยว่าหามีเจ้านายเจ้าฟ้าผู้ใดอยู่ในเมืองหน่ายมาหลายเพลาแล้ว ชาวไตถือประหนึ่งว่าข้าเจ้าเป็นเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง จึงบ่มีชายใดหาญกล้ามาหมายปอง\" สิ้นคำ พระอินทราธิปแย้มมุมพระโอษฐ์
\"อ้อ...เยี่ยงนั้นรึ แลบัดนี้เจ้านางอายุได้กี่ขวบปีแล้ว\"
\"สิบเจ็ดชันษาแล้วพ่อเจ้า\"
\"แล้วเจ้านางมีชื่อว่ากระไรรึ\"
\"ข้าเจ้าจื้อ คำปอย\"
\"เจ้านางคำปอย\" พระอินทราธิปตรัสย้ำเพื่อความแน่ใจ เชิงทำให้เกียรติ
\"ข้าเคยได้ยินมาหนักหนาว่าสาวชาวเมืองไตนั้นงดงามเพียงไร วันนี้ได้มาเห็นกับตาตนเองก็นับว่าเป็นจริงดังว่า\" พระอินทราธิปเริ่มจีบ เจ้านางคำปอยออกอาการหน้าแดงเล็กน้อยก่อนเอ่ยวาจาเป็นเชิงปรามว่า
\"พ่อเจ้าอย่าทรงตรัสชมข้าเจ้าเลย พ่อเจ้ามีชายาแล้วบ่ใจ้หรือ\"
\"เอ่อ...ข้าก็มิได้เอ่ยวาจาเกี้ยวพาเจ้านางนี่ ข้าเพียงแต่ชื่นชมในความงามของเจ้านางเท่านั้น\" พระอินทราธิปตรัสแก้กระดาก
\"พ่อเจ้า...เพลานี้ก็ดึกแล้ว ข้าเจ้าขอตัวเข้าเฮือนก่อน ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่สู้ดีนัก มื้อพรุ่งข้าเจ้าจักให้บ่าวไพร่ทำพระกระยาหารเช้าเลี้ยงพระองค์\" เจ้านางคำปอยตัดบทก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนอย่างเอียงอาย
พระอินทราธิปทรงยิ้มอย่างถูกพระทัยเมื่อเห็นเจ้านางไทยใหญ่แสดงท่าทีเขินอายต่อพระองค์ จากนั้นพระอินทราธิปก็เงยพระพักตร์ขึ้นพิจารณาชาตาโคจรของดวงดาวต่อไป ครั้นเมื่อถึงเพลาอันควรแล้ว ก็ทรงเสด็จกลับเข้าประทับ ณ ห้องบรรทม ระหว่างทางผ่านหน้าห้องบรรทมของเจ้านางคำปอย พระองค์แอบทอดพระเนตรผ่านช่องประตูเห็นเจ้านางสูงศักดิ์ประทับนั่งบนพระแท่นแลกำลังตรัสคุยอยู่กับข้ารับใช้คนสนิทอย่างเขินอาย...
::วันรุ่งขึ้น::
พระอินทราธิปเสวยพระกระยาหารเช้ากับเจ้านางคำปอย แลภรรยาของเศิกขวัญ ทั้ง ๓ ต่างเจรจาปราศรัยกันเป็นที่ชอบพอ พระอินทราธิปมีดำริจะเที่ยวชมเมืองหน่าย เจ้านางคำปอยจึงทรงขันอาสาทำพระองค์เที่ยวชมเมือง
ทันใดนั้น! เกิดเสียงเอะอะต่อสู้กันอยู่หน้าเรือน พระอินทราธิปไม่รอช้ารีบคว้าพระแสงศัสตราวุธประจำพระองค์ พร้อมกับทรงวิ่งตรงไปยังต้นเสียงนั้นทันที พลันทหารยามไทยใหญ่วิ่งสวนเข้ามากราบทูลว่ามีผู้บุกรุก ชั่วครู่มีทหารนายหนึ่งถูกถีบกระเด็นเข้ามาหน้าประตูเรือน พระอินทราธิปชักพระแสงดาบออกมาคอยท่า ผู้บุกรุกก้าวเข้ามาหน้าประตูปรากฏเป็นทหารแต่งกายอย่างพม่า ๒ นาย
\"ช้าก่อนพระเจ้าข้า พวกหม่อมฉันมาดี\" พลันนายทหารพม่าทั้ง ๒ นายวางอาวุธคุกเข่าลงประนมมือถวายบังคม สำเนียงการพูดนั้นเป็นภาษาไทยชัดเจน
\"พวกเจ้าเป็นใคร\" พระอินทราธิปตรัสถาม
\"นี่ทรงจำหม่อมฉันทั้งสองมิได้หรือพระเจ้าข้า\" สิ้นคำพระอินทราธิปพินิจหน้าตาของทหารพม่าซึ่งแลดูสมปรกมอมแมมประหนึ่งว่าเดินทางรอนแรมมาไกลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตรัส
\"ขุนพิทักษ์! หมื่นฤทธิ์! พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ข้าดีใจเหลือ เอ้า!...มิต้องพิธีรีตอง ตามสบายเถิด\" สิ้นพระดำรัส พวกทหารไทยใหญ่ลุกหนีออกจากเรือนไป ขุนพิทักษ์กราบทูล
\"นับแต่เสร็จศึกสวรรคโลกแล้ว...\" ยังไม่ทันที่ขุนพิกทักษ์ราชกิจจะกราบทูลเสร็จ พระอินทราธิปก็ตรัสแทรก
\"ศึกสวรรคโลกหรือ เยี่ยงไรกันข้ามิเห็นรู้ความ\"
\"อ้อ...พระโอรสคงยังมิทราบด้วยหลังจากทัพเรายกกลับกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระนเรศวรทรงยกต่อขึ้นไปขับไล่พม่าที่กำแพงเพชร ออกญาสวรรคโลก แลออกญาพิชัยคิดแข็งเมืองรวมกำลังกันต่อต้านพระองค์ พระองค์จึงล้อมตีได้สวรรคโลกไว้ แลจับอ้ายพระยาทรยศทั้งสองประหารเสียแล้วพระองค์ก็เลิกทัพกลับพิษณุโลก จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้ขุนอินทรเดชขึ้นมาหาข่าวศึกทางเชียงใหม่ หม่อมฉันทั้งสองจึงขอติดตามมาด้วยหมายจะเข้ามาตามพระองค์ที่หงสาวดีพระพุทธเจ้าข้า\" พระอินทราธิปได้ฟังดังนั้นก็โสมนัสในความจงรักภักดีของนายทหารคนสนิททั้งสองยิ่งนัก พลันตรัส
\"แลนี่มาหาข้าได้เยี่ยงไรถึงเมืองหน่าย\"
\"ครั้นเมื่อสืบข่าวศึกทางเชียงใหม่ได้ความแล้ว หม่อมฉันทั้งสองก็แยกตัวจากท่านขุนอินทร์ลงมาตามหาพระองค์ที่หงสาวดี เจ้านางมินตยาแจ้งแก่หม่อมฉันทั้งสองว่าพระองค์พักอยู่กับพระภิกษุอูแสง ครั้นเมื่อตามไปท่านอูแสงก็บอกว่าพระองค์ขึ้นมาชักชวนพวกไทยใหญ่ที่เมืองหน่ายนี่พระพุทธเจ้าข้า\"
\"โอ! พวกท่านทั้งสองนี่มีความพยายามยิ่งนัก ข้าดีใจเหลือ นี่ข้าก็รออีกสองราตรีจึงจะได้พวกไทยใหญ่ยกทัพกลับพระนครได้ ท่านว่าไปสืบข่าวศึกเชียงใหม่มาได้ความว่าเยี่ยงไรบ้างเล่า\" พระอินทราธิปตรัสอย่างชื่นชมพลันหมื่นฤทธิ์ณรงค์กราบทูล
\"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ฤดูแล้งปลายปีนี้พระเจ้าหงสาวดีให้จัดสองทัพ ทัพหนึ่งของพระเจ้าเชียงใหม่มังมหานรธามีไพร่พลหนึ่งแสนยกลงมาตีหัวเมืองรายทางจากทางเหรือ อีกทัพหนึ่งของพระยาพะสิมมีไพร่พลสามหมื่นยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์ จะสมทบกันเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทั้งสองด้านพร้อมกันพระพุทธเจ้าข้า\" พระอินทราธิปได้รับฟังดังนั้นก็ทรงอุทาน
\"รี้พลหงสาวดีมันมากมายเหลือ นี่พวกเชียงใหม่ก็ล้วนไทยด้วยกันทั้งนั้น ไทยจักต้องฆ่าไทยด้วยกันเองอีกแล้วหรือนี่\" พลันตรัสต่อ
\"แล้วนี่สมเด็จพี่พระองค์ดำคิดอ่านการศึกอย่างไร\"
\"บัดนี้ขุนอินทรเดชคงนำข่าวศึกขึ้นกราบทูลพระอุปราชแล้ว พระองค์มีพระปรีชาในการรบยิ่ง พระโอรสอย่าได้ทรงเป็นห่วงเลย รวมไทยใหญ่ได้เมื่อใด ก็จงรีบยกทัพกลับไปช่วยศึกหงสาวดีเถิดพระพุทธเจ้าข้า\" ขุนพิทักษ์ราชกิจกราบทูล...
::สองราตรีต่อมา::
พระอินทราธิปราชนัดดาประทับอยู่ที่ชานเรือนที่เก่า ขุนพิทักษ์ราชกิจแลหมื่นฤทธิณรงค์นั่งหลับอยู่หน้าประตูเรือน ทันใดเจ้านางคำปอยก็เสด็จออกมาเช่นเดิม
\"ยังมิบรรทมหรือเจ้านาง\" พระอินทราธิปตรัสก่อน
\"ยังพ่อเจ้า...\" เจ้านางตรัสก่อนเงียบไป พระอินทราธิปเห็นสาวงามเงียบไปก็ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรพลันตรัส
\"วันพรุ่งข้าจักต้องไปจากที่นี้แล้วนะเจ้านาง\" สิ้นพระดำรัสเจ้านางไทยใหญ่ยังคงเงียบ ประหนึ่งว่ากำลังดำริอยู่ในใจ
\"เสร็จศึกข้าจึงจะกลับมา...\" พระอินทราธิปตรัสต่อ เจ้านางเงยพระพักตร์ขึ้นมอง แย้มพระสรวลเล็กน้อย
\"พ่อเจ้า...\" พระนางตรัสอย่างฉงน
\"เสียทีข้ามีชายาแล้ว มิเช่นนั้นก็คงจักรับเจ้าเข้าไปอยู่ด้วยในพระราชวังหลวง\" ครั้นสิ้นพระดำรัสเท่านั้น พระนางคำปอยถึงกับก้มพระพักตร์ที่กำลังแดงระเรื่อด้วยพระโลหิตสูบฉีด พลันตรัสอย่างเหนียมอาย
\"เพียงพ่อเจ้าเมตตาข้าเจ้า ข้าเจ้าก็ดีใจหาที่สุดมิได้แล้ว\"
\"เยี่ยงนั้นรึ...มิรังเกียจที่ข้ามีชายาแล้วรึ\"
\"จะใดข้าเจ้าจึงต้องรังเกียจพ่อเจ้าด้วย เป็นธรรมดาของเจ้าขุนไตแลพระราชวงศ์ที่ต้องสมรสแต่เจริญวัย ข้าเจ้าบุญน้อยด้อยศักดิ์บ่เคยหวังสิ่งใด เพียงได้รู้ว่าพ่อเจ้าเมตตาก็ยินดีอย่างที่สุดแล้ว\" สิ้นคำตรัสเจ้านาง พระอินทราธิปแย้มพระสรวล ก่อนจะทรงประคองพระหัตถ์เจ้านางขึ้นมาแนบพระอุระไว้ แล้วตรัส
\"ถึงอย่างไรข้าก็ยังพาเจ้านางกลับไปด้วยเสียคราวนี้มิได้ ด้วยว่าจากนี้ไปต้องรับศึกหนักเป็นเท่าทวี\"
\"ข้าเจ้าบ่เคยปรารถนาจักเข้าไปใช้ชีวิตสุขสบายในพระราชวังหลวงเลยพ่อเจ้า...\"
\"ถ้าเช่นนั้น เมื่อว่างศึกลงเมื่อใดข้าก็จักกลับมาหาเจ้านางที่นี่ ขอเจ้านางจงเชื่อในสัตยาของข้าเถิด\"
\"...\" เจ้านางคำปอยนิ่งอึ้งไป ก่อนตรัส
\"ข้าเจ้าเชื่อในคำตรัสของพ่อเจ้าทุกประการ\" พลันสบพระเนตรกับพระอินทราธิป พระอินทราธิปทรงยิ้มก่อนจะประคององค์เจ้านางเสด็จเข้าห้องบรรทมของพระองค์ไป
\"นี่คือหลักประกันที่ข้าจะมอบไว้ให้แก่เจ้านาง\" สิ้นพระดำรัสเจ้านางคำปอยก้มพระพักตร์มิรู้พูดจา ก่อนทั้งสองพระองค์จะประทับลงบนพระแท่นบรรทม...
...
...
\"พี่คง! พี่คง!\" หมื่นฤทธิไกรกระซิบพร้อมๆกับสะกิดขุนพิทักษ์ราชกิจที่หลับยามอยู่หน้าประตูเรือน
\"อะไรวะ...\" ขุนพิทักษ์พูดอย่างรำคาญเล็กน้อย พลันมือเกาหัวหูเชิงว่าถูกปลุก
\"พระโอรสเราเอาอีกแล้วพี่\"
\"เอาอะไรของเอ็งวะ\"
\"ก็เอาอย่างที่เจ้านายเค้าเอากันน่ะพี่\"
\"เอ้อ...ปล่อยพระองค์ไปเถิด เรื่องของเจ้าของนายท่าน อย่าไปยุ่งท่านเลย นรกจะกินหัวกบาลเอา\"
\"ดีจังเว่ย...เป็นเจ้านายนี่ ไปที่ไหนก็มีเมียมันซะที่นั่น\"
\"เอ๊ะ!ไ-อ้นี่! แต่เออว่ะ...ข้าเห็นด้วยกับเอ็ง...อืม...พระโอรสเรานี่ท่านชอบของป่าของไกลบ้านไกลเมืองเนอะ พระวรางคณาก็คนหนึ่งแล้ว\"
\"พี่คง!นรกกินกบาลแล้ว\"
\"เฮ่ย!\"
\"ฮ่าฮ่าฮ่า\" ขุนทหารทั้งสองหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
...ราชการงานทัพรับศึกใหญ่
แสนหนึ่งทัพเชียงใหม่ไพร่พลรี้
สามหมื่นทัพพะสิมผ่านด่านเจดีย์
ศึกครานี้ใหญ่หลวงนักจักโรมรัน...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น