ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #14 : ประกาศศึกเมืองหน่าย...ท้าทายหงสาวดี

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 397
      2
      8 พ.ย. 49

    ::ประกาศศึกเมืองหน่าย...ท้าทายหงสาวดี::

    วันรุ่งขึ้น...เศิกขวัญกลับมาที่เรือนพร้อมกำลังไทยใหญ่จำนวนกว่า ๕๐๐ นาย ภรรยาเศิกขวัญจึงเข้าไปทูลเชิญพระอินทราธิปให้เสด็จออกมาชมกำลังทัพ

    เบื้องหน้าของพระองค์นั้นคือเหล่าชายชาตรีพร้อมอาวุธหลากหลายทั้งดาบ หอก ขวาน ทวญ บ้างก็เป็นอาวุธแปลกตา อีกทั้งยังมีม้าศึกจำนวนมาก ทันทีที่พระองค์เสด็จออกมาหน้าเรือนพร้อมขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิ์ณรงค์ เศิกขวัญนำบรรดาทหารไทยใหญ่นั่งคุกเข่าถวายบังคม

    "ลุกขึ้นเถิด..." พระอินทราธิปตรัส พร้อมผายพระหัตถ์ขึ้น

    "เศิกขวัญ..." เจ้าชายหนุ่มตรัสเรียก ผู้นำทัพไทยใหญ่ประนมมือขึ้นรับคำดำรัส

    "ท่านไปชักจูงผู้กล้าทั้งหลายมาได้จากที่ใดบ้าง"

    "หลังจากที่ข้าเจ้าได้รับพระบัญชาจากพ่อเจ้าแล้ว...ข้าเจ้าได้เดินทางลึกเข้าไปทางเขตเมืองป๋อน ปางโหลง และลายค่า เพื่อตามหาบรรดาพี่น้องไทยใหญ่เมืองหน่าย ที่หลบหนีภัยพม่าขึ้นไปทางเหนือ แต่เดิมนั้นรวมไทยใหญ่เมืองหน่ายได้เพียงสามร้อยกว่า หากแต่เมื่อมีผู้ทราบข่าวแล้วไซร้ ไทยใหญ่ทั้งสามเมืองนั้นต่างเข้ามาร่วมด้วยอีกกว่าร้อย จึงได้กำลังไทยใหญ่ทั้งสิ้นร่วมห้าร้อยนาย ชาวบ้านทราบข่าวต่างนำเครื่องศาสตราวุธ ม้าศึก แลเสบียงมามอบให้เป็นจำนวนมาก..." เศิกขวัญกราบทูลรายงาน

    "ดี...เราขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายมากที่มีไมตรีเข้าร่วมกับทัพของพระเจ้าพี่ยา ไทยใหญ่กับไทยสยามก็ล้วนพี่น้องท้องเดียวกัน เรื่องจะให้มาพิฆาตฆ่าฟันกันเองนั้นเหลือจะทำได้โดยสุจริตใจ ถ้าไม่เพราะมีอ้ายพม่าหงสาวดีมันแผ่บารมีมาปกครองอยู่ มีหรือที่ไทยทั้งสองจะต้องมารบกันเอง" พระอินทราธิปเงียบไปพักหนึ่ง สายตาของทหารไทยใหญ่ทุกผู้จ้องมองพระองค์ด้วยประกายแห่งความฮึกเหิม

    "บัดนี้...ถึงกาลอันสมควร ไทยสยามประกาศตนเป็นอริโดยเปิดเผยต่อหงสาวดีแล้ว ยังแต่จะรอสัญญาณจากไทยใหญ่ ให้เข้ามาร่วมในมหาสงครามเดียวกันอีกครั้ง เฉกเช่นที่เคยร่วมเป็นร่วมตายต่อต้านอ้ายพวกพม่าหงสาวดีด้วยกันมาเสมือนพี่น้องมิต่างบิดามารดาเดียวกัน เราจะขอสดับรับฟังคำมั่นสัญญาของพวกท่าน เพื่อระลึกไว้ในใจเสมอ ว่าต่อไปเราทั้งหลายจะต้องได้ร่วมอยู่ในทุกสมรภูมิ อันมีอริราชศัตรูผู้เดียวกัน คือหงสาวดี!!!"

    สิ้นพระดำรัส ทหารไทยใหญ่ทุกผู้ต่างชูเครื่องศัตราวุธส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วป่าเขาลำเนาไพร บ้างตีอกชกตัวทำท่าฮึกเหิม บ้างน้ำตาไหลปลื้มปีติ 

    เจ้านางสูงศักดิ์แอบหลั่งน้ำตาแห่งความยินดี เมื่อได้ยินพระสุรเสียงอันทราบซึ้งของพระองค์ พลันนึกไปถึงชีวิตของนางภายหลังจากกอบกู้อิสรภาพได้สำเร็จ...

    แต่ไรมาไทยทั้งผองต่างอยู่เย็นเป็นสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภาร แม้ไทยใหญ่จะมีเจ้าฟ้าปกครองตัวเอง แต่ก็ถือเอาพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเป็นกษัตริย์สูงสุดของตนมาทุกยุคทุกสมัย

    หากแต่เมื่อหงสาวดีแผ่อำนาจขึ้นมาปกครอง เข้าขับตีรุกไล่มาจนถึงฝั่งเมืองเหนือ กรุงศรีอยุธยาก็มิได้มีบทบาทแต่ประการใดกับหัวเมืองไทยใหญ่ทั้งหลายเลย แต่กระนั้นความสัมพันธ์อันแนบแน่นในสายเลือดแห่งความเป็นไทยก็ยังคงมีอยู่

    กระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตก ก็เสมือนว่าที่พึ่งของไทยใหญ่นั้นหมดไปด้วย หนทางที่จะกู้เอกราชแทบไม่มี ลำพังแต่ทหารไทยใหญ่ก็ถูกสลายกำลัง ขั้วอำนาจเก่าต่างถูกควบคุมไว้ที่หงสาวดีจนหมดสิ้น กรุงศรีอยุธยาก็ยังมาเสียเมืองอีก แล้วไทยใหญ่จะพึ่งใครได้

    การประกาศเอกราชจึงเป็นสิ่งที่ทั้งไทยกรุงศรีและไทยใหญ่ต่างรอคอย ครั้นเมื่อได้เห็นถึงแสงสว่างอันรำไรแห่งอิสรภาพแล้ว ก็ยิ่งทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก

    "บังอาจ!!" ทันใดนั้นมีเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นใกล้ที่ประชุม ทหารกล้าทั้งหลายหันไปตามเสียงนั้น ปรากฏเป็นนายทัพแต่งกายอย่างพม่ายืนม้าอยู่ พร้อมหมู่ทหารม้าอีกยี่สิบกว่า

    "พวกมึ-งเป็นใครกัน บังอาจซ่องสุมกำลังกันเป็นอันมาก คิดก่อการขบถรึ!!" สิ้นเสียง เศิกขวัญรีบวิ่งมาทางด้าน พร้อมกล่าววาจา

    "ไอ้ลักกองจา นับแต่นี้ไปไตกูมิขึ้นกับพม่าเยี่ยงมึ-งแล้วโว๊ย!"
     
    "ถุย!!...ไอ้เศิกขวัญ! ถ้าไตมึ-งไม่ขึ้นต่อหงสาวดีแล้ว จักไปขึ้นต่อชนชาติใดวะ! ไตมึ-งมีปัญญาจะปกครองตนเองด้วยรึ!" นายทัพพม่ากล่าวทำนองดูถูก เหล่าทหารไทยใหญ่กำอาวุธแน่น

    "มีโว๊ย! มึ-งคิดให้ดีก่อนเอ่ยออกมาเถิด แต่ไรมา...พวกกูอยู่กันเยี่ยงไร กูมีเจ้าฟ้าเจ้านครปกครอง อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามิใช่เพราะอ้ายพม่าหงสาวดีผู้กระหายแผ่นดินของผู้อื่นเยี่ยงมึ-งเข้ามารุกรานแล้ว พวกกูมิไยต้องทุกข์ระทมอยู่เยี่ยงนี้รึ!!" เศิกขวัญเถียง แต่นายทัพพม่าก็ยังเย้ยหยัน

    "ดูดู...ยิ่งพูดมึ-งก็ยิ่งประณามความอ่อนแอความพ่ายแพ้ของพวกมึ-ง ชิชะไอ้พวกคนเขาคนดอย แม้จักเคยอารยะเยี่ยงไร ก็ต้องปราชัยต่อกองทัพหงสาวดีจนได้"

    "มึ-ง! ชักจะมากไปแล้ว..." เศิกขวัญชักดาบ บรรดาทหารไทยใหญ่ก็กระทำเช่นหัวหน้าตน

    "ชะชะ!...จักทำอันไร ไม่คิดหน้าพะวงหลัง หากมึงกระด้างกระเดื่องต่อกูแล้วไซร้ มีหรือที่ทางหงสาวดีจักอยู่เฉยได้" ลักกองจายังคงใจเย็น กอดอกพูดอยู่บนหลังม้าอย่างยะโส ฝ่ายทางพวกไทยใหญ่ยังรีรอคิดถึงบ้านเมือง หากทำการใดไปเกรงพวกพม่าจะเข้ามาทำลายบ้านเมือง ลูกเมียพ่อแม่จะเดือดร้อน

    พระอินทราธิปราชนัดดา พร้อมขุนทหารทั้งสอง ค่อยๆเดินแหวกหมู่ทหารไทยใหญ่ออกมาด้านหน้า...

    "เศิกขวัญ...แจ้งแก่เราเถิด...มันผู้นี้เป็นใคร" พระอินทราธิปตรัสอย่างเย็นพระทัย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    "พ่อเจ้า...มันผู้นี้เป็นกรมการพม่า ได้รับแต่งตั้งจากหงสาวดีให้เป็นผู้รั้งเมืองหน่ายและเมืองหมอกใหม่ นามของมันคือลักกองจา...พ่อเจ้า" เศิกขวัญปักดาบลงพื้นพลันพนมมือขึ้นกราบทูล เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า พลันลักกองจาเกิดความสงสัยจึงถาม

    "มึ-งเป็นใครวะ ทำไมอ้ายอีขี้ข้าเมืองหน่ายมันถึงนอบน้อมต่อมึ-งนัก เจ้าฟ้าที่ไหนอีกเล่ายังหลงเหลืออยู่ในเมืองนี้" หมื่นฤทธิณรงค์ได้ยินดังนี้ก็โกรธนักจึงชี้หน้าว่า

    "ชะ!!อ้ายขี้ข้าหงสาวดี ...มึ-งจักสามหาวเกินไปแล้ว อยู่เฉพาะพระพักตร์มินอบน้อมกูไม่ว่า แต่นี่ถึงกับกล่าววาจาต่ำช้าเยี่ยงพระองค์เป็นสามัญชน ชิชะ...ดาบกูจักได้เลือดหัวมึ-งเสียแล้วนี่กระมัง!!" 

    "กูจักแจ้งต่อมึ-งให้ตาสว่าง จักได้มิต้องใช้มีดใช้พร้ามาเบิกตามึ-งออก พระองค์คือ..."

    "ข้าคือ เจ้าฟ้าอินทา เป็นพระญาติของเจ้าฟ้าเมืองสีป้อ" พระอินทราธิปราชนัดดาตรัสขัดขุนทหาร ท่ามกลางความตะลึงของทหารไทยใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งขุนทหารกล้าทั้งสอง

    "พระโอรส..." หมื่นฤทธิ์หันหน้าไปทางพระอินทราธิป แล้วพูดเบาๆ เชิงว่าทราบพระประสงค์ที่จักปกปิดพระองค์

    "เจ้าฟ้าอินทา แห่งเมืองสีป้อรึ ไยจึงเสด็จมาไกลเยี่ยงนี้" ขุนทหารพม่าถาม

    "ข้าทราบมาว่า ไตเมืองหน่ายเฮาอยู่ลำบากนัก ด้วยกรมการเมืองกดขี่ข่มเหง ริบเอาผักปลาหญ้าไม้ไปเสียสิ้น นึกจักฉุดจักคร่าลูกใครเมียใครก็ข่มเหงเอาเสียดื้อๆ ครั้นมิยอมเข้าก็ตั้งข้อหาว่าเป็นขบถ เผาบ้านเผาเรือน นำครอบครัวไปชำระเล่นตามแต่ใจ ข้าได้ยินดังนี้ก็สุดจะทนตามวิสัยของนักรบเลือดไตเฮา..." อินทราธิปตรัสเสียดแทง บรรดาไทยใหญ่ได้ยินตามสลดใจตามนัก ด้วยเป็นชะตากรรมที่ประสบพบเจอมา ทางฝ่ายลักกองจาได้ยินดังนี้ก็กระหยิ่มในใจพลันว่า

    "แล้วเจ้าจักทำอันไรได้ เมื่อบัดนี้หงสาวดีเป็นใหญ่ ทรัพย์สินสิ่งใดที่เกิดมีในแผ่นดิน ก็ล้วนต้องเป็นของหงสาวดี ข้าอยากจะได้สิ่งใด ข้าก็ย่อมได้โดยธรรม..."

    "ธรรมรึ?...สิ่งที่เจ้าทำนั้นล้วนเป็นอธรรมต่ำช้าสิ้น" พระอินทราธิปตรัสขัด

    "สามหาว!! อย่านึกว่าเป็นเจ้าฟ้าแล้วจักพูดต่อข้าอย่างไรก็ได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังอยู่ในฐานะประเทศราช มิควรกระด้างกระเดื่องต่อหงสาวดี!"

    พระอินทราธิปได้ยินดังนั้นก็สรวลมุมปากในความจองหองของลักกองจา พลันตรัสท้าทาย

    "แล้วหากข้าจะฝากเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองหน่ายไปทูลบางอย่างต่อพระเจ้าหงสาวดี เจ้าจักสามารถหรือไม่..."

    "ย่อมได้! จักฝากทูลพระองค์ท่านว่าเยี่ยงไร ศกหน้าจักเพิ่มทองบรรณาการให้อีกพันชั่งรึ ฮะฮ่าฮ่า" 

    สิ้นเสียงดูหมิ่นพระอินทราธิปหันกลับไปทางหมู่ทหารไทยใหญ่ รับสั่งบางอย่างกับเศิกขวัญ

    ทันใดเศิกขวัญรีบดึงดาบออกจากพื้น พลันเห่ร้องส่งสัญญาณ บรรดาทหารไทยใหญ่ต่างกรูเข้าสัประยุทธ์กับเหล่าทหารม้าพม่า ฝ่ายพม่าประมาทนักด้วยมิทันตั้งตัว สู้กันอยู่ไม่นานก็สามารถจับกุมตัวไว้ได้ทั้งหมด 

    พระอินทราธิปพร้อมขุนทหารทั้ง ๒ นายเดินตรงมาที่ลักกองจาซึ่งอยู่ในพันธนาการ ทันใดนั้นหมื่นฤทธิณรงค์ก็ตรงเข้าเตะปลายคางจนลักกองจาหงายหลัง เลือดกลบปาก แต่สายตายังคงมองด้วยความแค้น หมื่นฤทธิ์ไม่สาแก่ใจตรงเข้าเหยียบหน้าซ้ำพลันว่า

    "กูบอกมึ-งแล้วอ้ายม่าน อย่าสามหาวกับนายกู ยังดีที่ตี-นกูไวกว่าดาบ มิเช่นนั้นดาบกูคงถูกโลหิตต่ำช้าของมึ-งเสียแล้ว" สิ้นคำหมื่นฤทธิ์ยังยีเท้าลงด้วยความแค้นยิ่งนัก

    "พอแล้ว..." พระอินทราธิปตรัสห้าม

    "เดี๋ยวข้าจักมิได้ใช้มันส่งสารถึงพระเจ้านันทบุเรง..." สิ้นพระดำรัส หมื่นฤทธิณรงค์เดินถอยออกมา

    พระอินทราธิปตรัสสั่งทหารไทยใหญ่ให้นำธูป หินหมึก และไม้ไผ่เหลาแหลมมา จากนั้นรับสั่งให้จับลักกองจาถอดชุดเกราะเครื่องยุทธพิชัยออกเหลือแต่โสร่ง ให้หันหลัง แล้วเรียกช่างมาสักลงบนแผ่นหลังลักกองจาเป็นความว่า

    "เจ้าฟ้าอินทา สายทางเมืองเหนือ เห็นพม่ากดขี่ไตเมืองหน่ายยิ่งนัก สุดจะทน จึงยกทัพลงมาช่วย เห็นกรมการเมืองกดขี่ชาวบ้าน จึงให้จับเสีย ใส่แคร่แห่ไปทั่วเมืองและประกาศให้ทุกผู้ทราบว่า แต่นี้ไปไตเฮาไม่ขึ้นกับหงสาวดีแล้ว"

    ครั้นพอลงอักขระเสร็จ จึงตรัสต่อลักกองจาว่า

    "ข้าขอฝากอักขระบนตัวเจ้าไปแจ้งต่อพระเจ้านันทบุเรงด้วย" ลักกองจาที่อยู่ในสภาพบอบช้ำ เจ็บปวดเลือดโทรมกาย และอับอาย จ้องมองพระอินทราธิปด้วยความแค้น บรรดาไทยใหญ่ต่างสาแก่ใจ ต่างก็กระซิบกระซาบพูดจาต่อคำชมเชยพระอินทราธิป บ้างก็ตะโกนเยาะเย้ยลักกองจา

    พระอินทราธิปตรัสสั่งให้นำตัวลักกองจาพร้อมพวกขึ้นแคร่แห่ไปรอบเมือง ทรงม้านำขบวนด้วยพระองค์เอง พร้อมเศิกขวัญ และขุนทหารทั้งสอง ต่อด้วยขบวนทหารไทยใหญ่ และปิดท้ายด้วยเหล่าทหารพม่าผู้สิ้นฤทธิ์ 

    เมื่อขบวนผ่านไป ณ ที่ใด ชาวบ้านก็ก้มลงกราบและร้องสรรเสริญต้นขบวน โห่เห่ร้องยินดีกลางขบวน และก่นด่าสาปแช่ง ขว้างของเหม็น ของคาวไปยังท้ายขบวน 

    ชาวบ้านชาวเมืองต่างฮึกเหิมยิ่งนัก เด็กหนุ่มชายฉกรรจ์ชาวบ้านหลายร้อยคนเห็นดังนั้นก็ขันอาสาเข้าร่วมทัพด้วยทันที ทำให้กองทัพไทยใหญ่ของพระอินทราธิปมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว

    เมื่อแห่ขบวนไปรอบเมืองแล้ว พระอินทราธิปให้ผูกลักกองจาไว้กับม้าศึก และโยงกับม้าเร็วอีกตัวหนึ่ง ให้ทหารอาสาควบไปส่งลักกองจาถึงหน้ากำแพงเมืองหงสาวดีและให้อยู่สืบข่าวศึก

    ส่วนบริวารพม่าที่เหลืออีกยี่สิบกว่าคนให้ถอดเกราะเครื่องยศเปลื้องผ้าไม่เหลือชิ้น ผูกแพลอยไปตามแม่น้ำกง อันมีเกาะแก่งและสายน้ำเชี่ยวกราดตลอดปี ทั้งมีชนเผ่าว้าอันเป็นเผ่าล่ากินเนื้อมนุษย์อยู่ทางปลายน้ำ...

    พระอินทราธิปทรงทราบถึงภัยที่จักตามมา แต่พระองค์ก็มิได้ทรงประมาท แม้ว่าจะมีกำลังน้อย แต่เชื่อว่าจักสามารถเอาชัยเหนือทัพหงสาวดีที่จะยกมาปราบในอีกเร็ววันข้างหน้าได้

    ด้วยเพราะชาวไทยใหญ่รบด้วยความรักแผ่นดินและขณะนี้กำลังใจฮึกเหิม แต่ทัพหงสาที่จะยกมาคาดว่าต้องไปเกณฑ์พวกกะเหรี่ยง พวกคะยา ทางตอนใต้มารบ พวกนี้มิได้รบเพื่อบ้านเพื่อเมืองตนเอง จึงขาดกำลังใจรบเป็นสำคัญ อีกทั้งไทยใหญ่ชำนาญภูมิประเทศอันเป็นขุนเขามากกว่า แม้กำลังน้อยกว่าแต่ด้วยความได้เปรียบทางด้านอื่น ก็ไม่ยากที่จะขับไล่ข้าศึกออกไปได้

    พระอินทราธิปรับสั่งให้นำไม้มาผูกเป็นแพปักดินไว้หน้าช่องเขาทางเข้าเมือง แลให้นำดินมาถมหนุนจนกลายเป็นกำแพงเมืองแข็งแกร่ง ให้ขุดคลองลึกขวางทางเลียบกำแพงเมือง ประตูเข้าออกให้ทำเป็นรอกสะพานยกขึ้นลง ส่วนด้านอื่นนั้นมีภูเขาสูงเป็นกำแพงธรรมชาติ ข้าศึกไม่สามารถเข้ามาถึงเมืองได้

    เศิกขวัญนำความมาแจ้งว่าทางทิศตะวันออกมีทางลับเป็นช่องขนาดพอตัวม้าอยู่ ไว้ชาวเมืองใช้เข้าออกหลบหนียามมีภัย จึงทรงทราบว่าเมืองหน่ายนี้มีลักษณะคล้ายเมืองคัง คือมีทางเข้าออกหลักทางเดียว แต่มีทางลับอีกทางหนึ่ง ทรงทราบดังนี้เกรงว่าข้าศึกจะรู้ จึงให้หาไม้มาอำพรางไว้ให้หนา จัดยามเฝ้าทางห้ามผู้ใดเข้าออก ทั้งทำกับดักขุดหลุมพรางไว้กลางทาง

    ทรงให้ชาวเมืองเตรียมเครื่องมีดของคมไว้สำรองทุกเรือน และทรงให้ผู้หญิงกับเด็กฝึกหัดตามแบบทหารขั้นต้น

    พระอินทราธิป เศิกขวัญ ขุนพิทักษ์ หมื่นฤทธิ์ ต่างควบคุมการทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ บรรดาชาวเมืองต่างคึกคักเป็นการใหญ่ ฝ่ายผู้ชายก็ทำงานสร้างกำแพง สร้างกับดัก ขุดคลอง ตีดาบ ตีทวญทำอาวุธประลองกัน ฝ่ายผู้หญิงคนชราก็หุงหาอาหารเลี้ยง บางคนถึงกับว่า เพียงไตเฮาได้มีโอกาสกระทำกิจร่วมกันเยี่ยงนี้ ก็นับเป็นที่สุดแห่งความปรารถนาแล้ว

    เพลาล่วงไปกึ่งเดือน ความพร้อมในเมืองทั้งหลายก็สมบูรณ์

    พระอินทราธิปนั้นพอถึงเพลาพักผ่อนก็ทรงได้กำลังพระทัยและการปรนนิบัติจากเจ้านางคำปอยมิเคยขาด ชาวไทยใหญ่ทั้งหลายทราบเรื่องนี้ก็ยินดีนัก ด้วยมีผู้มีบุญญาธิการเหมาะสมกับเจ้านางแล้ว

    ทางฝ่ายนายทหารทั้งสองก็ได้ลูกสาวชาวเมืองคอยดูแลหุงหาอาหารให้ เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่งนัก

    ครั้นเมื่อการก่อสร้างในเมืองสำเร็จแล้ว พระอินทราธิปให้เศิกขวัญจัดทหารชั้นดีจำนวนร้อยคนไปสร้างค่ายดักไว้ชายเขาค่ายหนึ่งเพื่อเป็นกองระวังหน้า โดยพระองค์พร้อมทหารเอกเสด็จลงไปอยู่กินนอนกับทหารอยู่หลายราตรีจนค่ายเสร็จ ตั้งให้ขุนพิทักษ์ราชกิจเป็นนายทัพหน้า มีอาญาสิทธิ์ขาดภายในกองระวังหน้านี้

    ๒ อาทิตย์ต่อมา ม้าเร็วก็กลับมาแจ้งข่าวศึกว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงพิโรธยิ่งนัก ให้เกณฑ์กะเหรี่ยง ๓๐๐๐ คะยา ๒๐๐๐ และคัง ๒๐๐๐ ให้สมิงยาเตงเป็นแม่ทัพ ลักนันตูเป็นยกกระบัตร เจ้าฟ้าเมืองคังเป็นทัพหน้า จะยกมาถึงเมืองหน่ายในอีก ๑ อาทิตย์...

    ส่วนลักกองจานั้น พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงกริ้วที่เสียท่าไทยใหญ่มา จึงให้นำตัวไปใส่ตับ ปิ้งไฟเสียทั้งเป็น...

    พระอินทราธิปได้ทราบข่าวดังนั้น ก็ทรงดำริคิดแผนการศึกร่วมกับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายเป็นที่เคร่งเครียด ด้วยกำลังข้าศึกมีมากนัก

    "หงสาวดียกมาเจ็ดพัน เรามีแค่พันหนึ่ง ท่านทั้งหลายเห็นควรอย่างไร" พระอินทราธิปตรัสเปิดประเด็น

    "หมายว่าถ้าเราตายหนึ่ง เราต้องเอามันให้ได้ถึงเจ็ด จึงจะเสมอ หม่อมฉันว่าไม่ยากพระพุทธเจ้าข้า เหมือนดั่งที่พระองค์เคยนำทัพครั้งศึกพระยาละแวก ครั้งนั้นข้าศึกร่วมหมื่น ไทยมีแค่ห้าร้อย ยังชำนะได้" หมื่นฤทธิณรงค์กราบทูล
     
    "อันไรกัน! พ่อเจ้าเคยนำทัพห้าร้อยตีทัพหมื่นแตกเลยรึ ช่างปรีชาสามารถยิ่งนัก" เศิกขวัญกล่าวชม พลันแม่ทัพนายกองต่างพยักหน้าด้วยความศรัทธา

    "ช่างเถิด...ครานั้นก็ได้อาศัยว่าเขมรประมาท มิเช่นนั้นก็คงยาก" พระอินทราธิปตรัสถ่อมพระองค์ก่อนว่าต่อ

    "ศึกครานี้มีไทยใหญ่เมืองคังมาร่วมสองพันเป็นทัพหน้า ข้าคิดว่าเราตัดกำลังส่วนนี้ได้..."

    "ข่าวว่าพ่อเจ้าเคยเข้าตีเมืองคังแตกมาแล้ว แลเจ้าขุนไตตนดำท่านทูลขอชีวิตเจ้าฟ้าเมืองคังไว้ ข้อนี้นับเป็นบุญคุณพอทดแทนกันได้..." นายทัพไทยใหญ่ผู้หนึ่งกล่าว

    "ใช่...ลางทีเจ้าฟ้าเมืองคังอาจจักยังมิรู้ว่า แท้จริงแล้วผู้นำทัพเรามิใช่เจ้าฟ้าอินทาที่ไหน แต่คือข้า...อินทราธิป..."

    "ถ้าเช่นนั้นข้าจักลองไปเจรจากับเจ้าฟ้าเมืองคังดู..."

    บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายพยักหน้าเห็นด้วย

    "ส่วนเรื่องการจัดทัพนั้น ข้าให้ทัพหน้าร้อยหนึ่งตั้งแล้วที่เชิงเขา มีขุนพิทักษ์ราชกิจเป็นนายทัพ ให้กำลังส่วนใหญ่รอท่าอยู่ในเมือง โดยท่านเศิกขวัญเป็นนายทัพ ส่วนจะจัดทัพย่อยกันอย่างไรนั้น ให้เป็นสิทธิ์ขาดของท่านเศิกขวัญทั้งสิ้น ช่วงนี้ข้ากับหมื่นฤทธิ์จักลงไปดูทัพหน้าก่อน เพื่อว่าทัพหน้าข้าศึกยกมาถึงข้าจักได้ลองเข้าไปเจรจากับเจ้าฟ้าเมืองคัง..."
     
    ๗ วันต่อมา ทัพหน้าของหงสาวดีก็มาถึงชายแดนเมืองหน่าย แลตั้งค่ายพักอยู่พอมองเห็นกันกับค่ายทัพหน้าของเมืองหน่าย ฝ่ายหงสาวดีขึ้นธงให้ทราบว่าเป็นทัพของเจ้าฟ้าเมืองคัง...

    <><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

    ...หากเกรงกลัวคงไม่อาจประกาศศึก
    หากสำนึกคงไม่รุกบุกเขตขันธ์
    หากไม่กล้าคงไม่มาท้าประจัญ
    หากไม่รั้นคงไม่รู้ว่ากู...ไทย...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×