ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บุญคุณคาราบาว
บุญคุณคาราบาว
หลังจากที่เราได้เรียนในฐานยุทธวิธี อาวุธศึกษา และวิชาทั่วไปแล้ว ภาคสุดท้ายของการฝึกหลักสูตรต่อต้านปราบปรามการก่อความไม่สงบก็คือการฝึกภาคป่า ซึ่งเป็นการเอาวิชาความรู้ทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมาไปเข้าป่าจริงๆ
พื้นที่ที่เราใช้ฝึกในภาคป่านั้นก็คือพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งพวกเราถูกขนขึ้นรถแล้วก็ไปปล่อยที่โรงเรียนอะไรซักอย่างผมจำชื่อไม่ได้ มีปืนคนละกระบอก กับแผนที่เข็มทิศหมวดละชุด ผมได้รับมอบหมายหน้าที่เป็น ‘พลวิทยุประจำหมวด’ ก็เลยมีออพชั่นเสริมเป็นวิทยุสนามเครื่องเท่าควายเครื่องนึง สะพายไว้ข้างหน้าด้วย ตอนแรกๆก็คิดว่าน่าจะหนัก แต่พอเอามาสะพายจริงๆปรากฏว่ามันถ่วงน้ำหนักกับเป้สนามที่สะพายอยู่ข้างหลังได้สมดุลพอดี
ผมจำได้ว่าเราเดินเท้ากันตั้งแต่เช้ายันเย็นจนมาถึงจุดตั้งฐาน ซึ่งรายลอมไปด้วยขุนเขาและบึงน้ำ เราต้องอยู่ที่นี่ 3 คืนเพื่อรอรับภารกิจฝึกทั้งกลางวันและกลางคืน
การฝึกภาคป่านี้สิ่งสำคัญก็คือการบริหารเสบียงที่ได้รับมอบมาให้พอดีสำหรับ 9 มื้อใน 1 รอบเสบียง
อาจลำบากเล็กน้อยตรงที่การเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งต้องแบกเสียมไปด้วย นั่งไปนั่งมาก็จะเห็นหัวเพื่อนคนอื่นๆแบกเสียมเดินเข้ามาใกล้ๆ ต้องคอยส่งเสียงไล่
ตอนกลางวันก็ไม่มีอะไรครับ แค่รอเวลากินข้าว ผมไม่มีอะไรทำก็อ่านหนังสือไปเพลินๆ และด้วยความว่างจัดของช่วงกลางวัน หนังสือ ‘Angle and Demon : เทวากับซาตาน’ ของแดน บราวน์ ที่ภายหลังถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ก็ถูกอ่านจนจบภายในเวลาไม่นานนัก แล้วมันก็ถูกส่งต่อไปให้เพื่อนคนอื่นๆ เฉกเช่นเดียวกับที่ผมได้รับมอบต่อๆมา
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันอันตรธานไปไหนแล้ว
เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายหายลับขอบภูเขา ภารกิจบัดซบก็เริ่มขึ้น
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะด้วยฐานของผมมันน่าหมันไส้มากนักหรือยังไง ภารกิจที่ได้รับในค่ำคืนนั้นก็คือการป้องกันฐาน (อีกแล้ว) โดยที่ข้าศึกสมมติคือเพื่อนอีก 2 ฐาน สนธิกำลังกับเข้าตีฐานผม
กติกาก็เช่นเดิมคือธงโดนยึดกับมีเสียงปืนข้าศึกดังขึ้นกลางฐานหมายความว่าแพ้
ไอ้ตอนที่รบกับพี่ๆผู้หมวดนั้นไม่ค่อยกังวล เพราะเรารู้ดีว่าพี่เขาต้องมาแบบตามตำรา คือมาล้อมฐาน แล้วก็ยิงปืนเข้ามา แต่รบกับเพื่อนนี่สิหนักใจ
เพราะอานุภาพของกระสุนจินตนาการนั้นมันร้ายแรงจนไม่สามารถคาดเดาได้
ฐานของเรามีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดบึง หัวหน้าฐานในตอนนั้นชื่อไอ้เด่น ไอ้เด่นสั่งการให้เพื่อนระวังป้องกันรอบฐาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับเรามีการจัดชุดลาดตระเวนทางน้ำกันด้วย เพราะก่อนหน้านั้นมีครูฝึกแอบดำน้ำแทรกซึมเข้ามาในฐาน แต่ยังดีที่ไม่ใช่เวลาภารกิจ ครูเขามาเล่นๆเฉยๆ
คืนนี้เราดับไฟทุกดวง ใช้เสียงให้น้อยที่สุด กิจวัตรของพวกสิงห์อมควันดูจะเป็นที่เข้าใจกันว่าห้ามปฏิบัติโดยเด็ดขาด และแล้วเวลา 3 ทุ่มก็มาถึง ชุดระวังป้องกันตรวจพบความเคลื่อนไหวหน้าฐาน และมันก็เป็นไปตามคาดคือมีข้าศึกประมาณ 10 นาย คลานคืบมาอยู่หน้าฐานโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็เปิดฉากยิงถล่มเรา กระสุนที่ใช้มีทั้งกระสุนเสียงกระสุนแสงที่เบิกมาจากครู และกระสุนปากที่ออกมาจากจินตนาการ
แต่ฐานเรายังคงมาตรฐานการรบนอกคอกไว้ได้อย่างดี พวกที่เฝ้าหน้าฐานกรูกันออกไปจับเชลย ข้าศึกแตกฮือ แล้วเราก็จับไว้ได้ 2 คน
ตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึงตี 1 เราถูกตอดเป็นระยะๆ จากด้านหน้าบ้าง ด้านหลังบ้าง จนหลายคนเริ่มง่วงและรู้สึกรำคาญ ผมเองก็เห็นด้วยว่ายังไงเพื่อนเราก็ตีฐานเราไม่แตก และเราจำเป็นจำต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อยุติปฏิบัติการของเพื่อนเรา
ผมนั่งอยู่กับไอ้ตึก เราสองคนซักซ้อมแผนกันอย่างดี แล้วก็เริ่มปฏิบัติการ
ผมขึ้นวิทยุ “พระพายศูนย์หนึ่ง จาก พระพาย” พระพาย หมายถึงกองร้อยของผม ส่วนพระพายศูนย์หนึ่ง (พระพาย01) ผมสมมติให้เป็นหน่วยบ้าอะไรซักอย่างที่เป็นหน่วยย่อยของกองร้อย
ไอ้ตึกตอบ “ว.2 พระพาย” แปลว่า ได้ยินแล้วพระพาย
“ขอทราบ ว.1” หมายความว่าผมต้องการทราบที่อยู่ของหน่วยพระพาย01 ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว
“พระพายศูนย์หนึ่ง ว.1 ฐานข้าศึกหนึ่ง” ไอ้ตึกตอบกลับมาว่าตอนนี้หน่วยลาดตระเวนของมันได้อยู่รอบๆฐานของข้าศึกแล้ว ซึ่งอย่างที่ผมเรียนให้ทราบไปตั้งแต่ต้นว่าเรามีข้าศึก 2 ฐาน แต่ข้าศึกน่ะเขาไม่รู้หรอกครับว่าไอ้ “ข้าศึกหนึ่ง” เนี่ยหมายถึงใคร อาจเป็นฐานมันเองหรืออาจเป็นอีกฐานนึง
ผมรีบสั่งการ “ว.15 ข้าศึก ว.24ใด ให้ ว.4 หรือ ว.20ได้ตามสมควรแล้วรายงานพระพายทราบ” ถ้าพบข้าศึกเมื่อใดให้จับกุมตัวไว้แล้วรีบรายงานให้ผมทราบ
เท่านั้นแหล่ะครับ ผมหมุนไปหาคลื่นที่ข้าศึกใช้กัน ก็ฟังได้ความว่าแตกตื่นกันยกใหญ่ มีการสั่งระงับการออกนอกฐานกันวุ่นวาย ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีหน่วยบ้าบออะไรจากกองร้อยของผมไปซุ่มโจมตีอยู่หน้าฐานข้าศึกหรอกครับ เรารู้ว่าข้าศึกต้องแอบฟังวิทยุข่ายของเราอยู่ เพราะเราก็แอบฟังของเขาอยู่เช่นกัน เราจึงปฏิบัติการจิตวิทยาให้ข้าศึกสับสน
และผลมันก็เกินคาด คือข้าศึกไม่ออกมาแหย่เราอีกเลยตลอดคืน
หลังจากค่ำคืนแห่งการชิงไหวชิงพริบผ่านพ้นไป ก็เป็นช่วงเวลาของการเดินทางไกลข้ามเขาไปยังที่หมายสุดท้าย ซึ่งก็คือ เขื่อนแก่งกระจาน พวกเราจะอยู่กันที่นั่นจนจบหลักสูตร
แผนที่ที่กองร้อยผมได้รับมานั้นเป็นระวางเก่า ไม่อัพเดท หลายต่อหลายจุดในแผนที่จึงไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง แล้วปัญหาที่ทุกคนกังวลใจที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อพวกเราเดินวนไปวนมาในเทือกเขาแก่งกระจานจนไม่สามารถหาทางไปต่อได้ เพราะเป็นป่ารกชัฏรอบทิศทาง ซึ่งแม้แต่ครูฝึกเองก็ยังยอมรับดื้อๆว่า พวกเรากำลังหลงป่า
การเดินบุกป่า ถางทางไปเรื่อยๆนั้นนับว่าเป็นอะไรที่สิ้นหวังพอสมควร เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทางที่เราเดินมามันจะพาเราไปโผล่ที่ไหน ถนนแปลกๆสักเส้น หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้น เราอาจเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆจนไม่สามารถกลับออกมาได้
ผมเข้าใจอารมณ์ของทหารเรือที่เขาบอกว่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล หรือแม้แต่อารมณ์ของคนที่เดินทางข้ามทะเลทราย
ประสบการณ์ที่ผมได้เจอมากับตัวมันดูเลวร้าย เพราะว่ามองไปทางไหนก็ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้
แม้แต่ครูฝึกที่พวกเราหวังจะฝากชีวิตไว้ก็ยังพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “พื้นที่มันเปลี่ยน
พื้นที่มันเปลี่ยน”
แต่ระหว่างที่พวกเรากำลังสับสนวุ่นวายทุกคนนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบนั้น เพื่อนผมคนนึงก็กระดิกเท้าเป็นจังหวะ แล้วมันก็เริ่มขยับปากร้องเบาๆ
มันมองมาทางผม “มึงได้ยินมั้ย”
ผมรวบรวมสมาธิแล้วตั้งใจฟังดีๆ
ทำนองมันช่างคุ้นหู
วณิพกพเนจร ของพี่แอ๊ด คาราบาว
พวกเรารีบถางป่า เดินหน้าไปตามเสียงนั้น ใจก็หวังว่าอย่าให้เสียงเพลงเงียบลงเลย แล้วไม่นานต่อมาพวกเราก็มาโผล่ตรงถนนเส้นหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารป่า ซึ่งมันตั้งอยู่หน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติพอดี
แน่นอนครับว่า ทั้ง นรต.กองร้อยผมและครูฝึกต่างก็ ‘เข้าตี’ ร้านนั้นจนไม่มีของขาย
ขอบคุณพี่แอ๊ดครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น