ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::ฮาหัวเกรียน...นักเรียนนายร้อยตำรวจ::

    ลำดับตอนที่ #12 : ศึกสายเลือด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.11K
      4
      25 เม.ย. 53

    ศึกสายเลือด
     
    อย่างที่ผมได้เรียนให้ทราบไปตั้งแต่ทีแรกว่า ในฐานยุทธวิธีนั้นนอกจากเราจะต้องทำการลาดตระเวนซุ่มโจมตีแล้ว เราจะต้องคอยระวังป้องกันไม่ให้มีข้าศึกมีตีฐานเราด้วยครับ
     
    นิยามว่าด้วย “ฐานแตก” นั้น ในการฝึกการรบแทบทุกหลักสูตรจะมีข้อกำหนดคล้ายๆกันประมาณว่า ถ้าธงประจำหน่วยฝึกถูกยึดหมายความว่าแตก หรือถ้าหากว่ามีศัตรูผู้หนึ่งผู้ใดบุกเข้ามายิงปืนกลางฐานได้นั้นก็หมายความว่าแตกเช่นเดียวกัน
     
    เหตุการณ์บัดซบที่จะตามมาก็คือเราต้อง “ย้ายฐาน” เดี๋ยวนั้น ซึ่งการย้ายฐานนั้นก็ไม่ใช่แค่เก็บข้าวเก็บของธรรมดา แต่มันหมายถึงการต้องละทิ้งฐานไปไกลแสนไกลเพื่อหาที่นอนที่ลำบากที่สุดที่ครูฝึกจะนึกได้
     
    ฉะนั้นแล้วเมื่อคืนแห่งการป้องกันฐานมาถึง เราทั้งกองร้อยต่างก็ต้องเคร่งครัดในหน้าที่ของแต่ละคนอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ได้หลับได้นอน เพื่อจะได้ไม่ต้องย้ายฐานให้เหนื่อยล้า
     
    แม้แต่นายบ่อนซึ่งเปิดกิจการทุกค่ำคืน ในคืนนี้นั้น เราก็จะได้เห็นเขาและบรรดาผีพนันย้ายฐานการเสี่ยงโชคจากเต็นท์หรือบังเกอร์ที่ลับตาคน มายังบังเกอร์รอบนอก คนดูต้นทางที่เคยมองแต่ทิศทางที่ครูฝึกจะเข้าล้อมจับบ่อน ก็มีหน้าที่เพิ่มเติมด้วยการระแวดระวังการเคลื่อนไหวจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจากภายนอกด้วย
     
    สำหรับข้าศึกที่จะมาเข้าตีนั้นก็แสนเจ็บปวด
     
    เพราะในขณะที่เรากำลังฝึกหลักสูตร ตปส.ของ นรต.ชั้นปีที่ 1 อยู่นั้น ในบริเวณพื้นที่ของค่ายพระรามหกนี้ ห่างออกไปไม่ถึง 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของกองร้อยนักเรียนหลักสูตรผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งถ้าพูดกันง่ายๆให้เห็นภาพก็คือ นักเรียนในหลักสูตรผู้บังคับหมวดนั้นก็คือ “รุ่นพี่” ของเราที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจไปแล้วประมาณ 1 ถึง 2 ปี แล้วไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตำรวจตระเวนชายแดนนั่นเอง
     
    ในขณะที่เรากำลังเรียนวิชาป้องกันฐาน พี่เขาก็เรียนวิชาการเข้าตี
     
    ในขณะที่เราได้รับภารกิจป้องกันฐาน พี่เขาก็ได้รับภารกิจ…ตีฐานให้แตก
     
    แล้วคิดดูสิครับว่า… น้องนักเรียนปี 1 หน้าใสๆ จะไปรบกับพี่ร้อยตรีร้อยโทผู้พิทักษ์ชายแดนมืออาชีพได้อย่างไร… นี่ผมยังไม่กล้าบอกนะครับว่าอาวุธที่เรามีคือปืนฝึกโบราณๆที่มีกระสุนเป็นเสียง “ปังๆ” หรือเสียง “อึ่จๆๆๆๆ” (ไม่รู้ว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยได้มั้ย) ตามแต่ “ปาก”ของเราจะสร้างสรรค์ แต่พี่ๆเขากลับมีอาวุธปืน m-16 ที่มีทั้งกระสุนเสียงกระสุนแสง ทำลายขวัญกำลังใจเราได้ดียิ่งนัก
     
    แต่ถึงยังไงก็ตาม…กลางสนามรบ อย่ามีใจผูกพัน… พักเรื่องพี่เรื่องน้องไว้ก่อน ภารกิจอยู่เหนืออื่นใดแม้ชีวิต… พวกผมทั้งกองร้อยมีมติให้ทำการรบในเชิงรุก คือเราจะไม่ยอมให้พี่ๆขนอาวุธหนักอาวุธเบาทั้งหลายมาถล่มเรา แต่เราจะส่งหน่วยแซปเปอร์ออกไปลาดตระเวนหาข่าวก่อน
     
    แน่นอนครับว่าผมคงไม่สามารถเล่าเรื่องการปฏิบัติการแซปเปอร์ได้แน่นอนถ้าหากว่าหนึ่งในแซปเปอร์ทั้งสามคนนั้นคือ…ผม
     
    แซปเปอร์คือชื่อเรียกของหน่วยรบพิเศษของฝ่ายเวียดนามเหนือในสงครามเวียดนาม หน่วยนี้ชำนาญการแทรกซึมเข้าไปปาดคอทหารอเมริกันมากครับ พวกเขาจะคลานไปปาดคอข้าศึกแล้วมุดลงอุโมงค์หนีไป
     
    ความพยายามที่จะเป็นแซปเปอร์เริ่มขึ้นหลังจากที่ผมและเพื่อนอีกสองคนสวมเสื้อพรางตัวสีดำและทาหน้าทาตาด้วยสีฝุ่นพราง แล้วหลบหลีกแทรกซึมเข้าไปจนถึงกองร้อยของนักเรียนผู้บังคับหมวด
     
    แต่สิ่งที่ได้พบกลับกลายเป็น…ความเงียบ พบเห็นแต่ความปกติสุขของนักเรียนผู้บังคับหมวดที่อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอนกันสนุกสนาน…อ้าว แล้วไหงบอกจะเข้าตี
     
    ไอ้ตอนไปน่ะฮึกเหิมครับ แต่ขากลับนี่สิ อยู่ดีๆเพื่อนคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า “รีบกลับเหอะ ถ้าครูมาเจอเราอยู่นอกฐานเดี๋ยวโดนส่งกลับนะเว่ย”
     
    คำว่า “ส่งกลับ” นั้นร้ายแรงครับ หมายความว่าเราจะไม่ผ่านการฝึกหลักสูตรนี้ และจะไม่สามารถเลื่อนชั้นเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 2 ได้
     
    มานั่งคิดตอนนี้ แหม…ไอ้แซปเปอร์…เอ็งนี่มันช่างเด็กน้อยจริงๆ มีใจรุกรบออกมาหาข่าวนอกฐาน แต่กลับมัวนั่งนึกถึงกฎระเบียบหยุมหยิม
     
    ตอนที่เราออกมาจากฐานนั้น เราใช้เส้นทางป่ามะม่วงหิมพานต์แล้วไปตัดออกตรงถนนเส้นหลักของค่ายพระรามหก ตกลงกันว่าเวิ้งกลางป่าเป็นจุดนัหมายหากมีกรณีพลัดหลง หลังจากเดินข้ามถนนจะฝ่าป่าต้นสนไปถึงยังกองร้อยนักเรียนผู้บังคับหมวด
     
    ในขณะที่อยู่ในป่าสนนั้นผมมองไปทางชายทะเล เห็นนักเรียนที่มาทำกิจกรรมลูกเสืออยู่ไม่ห่างนักร้องรำทำเพลงท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์เจิดจ้า ซึ่งมันสามารถหันเหสายตาของคนรอบข้างไม่ให้มองเข้ามาในป่าสนได้ชัดเจนเป็นอย่างดี
     
    ขากลับนั้น อันที่จริงก็กะว่าจะกลับทางเดิม แต่…ลูกเสือเลิกทำกิจกรรมแล้วครับ ไฟสปอร์ตไลท์ก็ดับไปแล้ว ช่างง่ายดายนักที่เราจะถูกจับเป็นเป้าสายตา และที่สำคัญที่สุด เหล่าบรรดาสาวกเมาคลีก็กำลังยกโขยงเดินมาทางป่าสนที่พวกผมกำลังจะใช้เป็นเส้นทางกลับ …ประเด็นคือมันมีเนตรนารีด้วย ถ้าหากว่ามีใครเห็นพวกผมแล้วถูกจับได้ ข้อหาแรกที่จะถูกประทับลงบนหน้าก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องลามกจกเปรต
     
    พวกผมจึงเลือกใช้อีกเส้นทางที่ต้องผ่านบรรดาตึกต่างๆมากมาย และแน่นอนว่าต้องมีครูฝึกหรือเจ้าหน้าที่บางส่วนป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้น
     
    ตอนแรกๆเราก็อาศัยจังหวะ เคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่งด้วยวิธีการโผไป ผลุบๆโผล่ๆอยู่อย่างนั้นจนมาถึงแนวถนน กำลังจะข้ามถนนอยู่แล้วเชียวครับ แสงไฟหน้าของรถยนต์ที่ไหนก็ไม่รู้สาดมาแต่ไกล พวกผมกระโจนไปคนละทิศคนละทาง ผมเห็นท่อน้ำเก่าๆทิ้งร้างอยู่ข้างทางก็แอบเข้าไปหมอบอยู่ในนั้น เพื่อนอีก 2 คนไม่รู้หายไปไหนแล้ว
     
    พอรถคันนั้นผ่านไป ผมก็ค่อยๆออกมา และขณะที่อยู่บนถนนนั่นเอง รถอีกคันก็ขับผ่านมาด้วยความเร็วสูง มีเพียงต้นไม้ต้นใกล้สุดเท่านั้นที่พอจะกำบังผมได้ และเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
     
    เมื่อผมกระโจนไปหมอบข้างต้นไม้ หน้าผมก็ปะทะเข้าเต็มๆกับส้นเท้าของเพื่อน … มันสองคนซุ่มอยู่ตรงนี้ด้วยกันตั้งแต่แรก…
     
    ความทะมึนของแสงเงาในคืนเดือนมืดกำบังพวกผมจากสายตาครูฝึกและข้าศึก(ถ้ามี)จนกลับมาถึงฐานได้อย่างปลอดภัย และก็พบว่าสถานการณ์ที่ฐานนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
     
    ขบวนการฟอกเงินได้กลับไปยังที่ตั้งเดิมเรียบร้อยแล้ว… มีเพียงยามเฝ้าหน้าฐานอยู่ 2-3 คน แถมยังมีหน้ามาถามอีกว่า “ไปไหนกันมา”
     
    ปรากฏว่าตลอดค่ำคืนนั้นไม่มีการเข้าตีแต่อย่างใด การเข้าตีของจริงๆกลับเกิดขึ้นในคืนต่อมาขณะที่พวกเรากำลังมีมินิปาร์ตี้
     
    เวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆของคืนนั้น พี่ๆเปิดฉากยิงข่มขวัญด้วยปืน m-16 วงไพ่แตกกระเจิง เพื่อนๆทุกคนประจำแนวรบของตัวเอง แล้วยิงต่อสู้ด้วยอาวุธสารพัดชนิดตามแต่จะจินตนาการ เสียงอาวุธใหญ่น้อยดังออกมาป้องกันรอบฐาน
     
    “ปังๆๆๆ” อันนี้เสียงปืนธรรมดา
     
     
    “ตับๆๆๆๆ” ปืนกลครับ
     
    “วี้ดดดดดดดดดดด ตั้มมมมม มมม มมม …!!!” นั่นแน่ มีจรวดอาร์พีจี
     
    “ไฟฟ์ โฟร์ ทรี ทู วัน … ออด ออด ออด ออด…” จินตนาการบรรเจิดไปจนถึงนิวเคลียร์เลยครับ
     
    คิดดูสิครับ กระสุนปากอันเกิดจากจินตนาการ มันจะเพริดพรายขนาดไหน
     
    การปะทะดำเนินไปประมาณ 15 นาที จนฝ่ายเราเริ่มใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา เริ่มมีคนตะโกนออกไป
     
    “พี่ครับ…พอเถอะครับพี่”
     
    มีเสียงตะโกนกลับมา
     
    “พวกมึงต้องยอมแพ้!!” นั่น…สมบทบาทจริงๆ จังหวะนั้นเองมีเพื่อนผมคนนึงชื่อไอ้โป่งจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นพี่รุ่น 60 ชมรมรักบี้ซึ่งเป็นพี่เชื้อ(พี่รหัส)มัน มันก็ตะโกนกลับไป
     
    “พี่อิฐครับ!! ผมน้องเชื้อพี่ครับ” เท่านั้นแหล่ะครับฮาแตก การรบดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน จนบังเกอร์ทางฝั่งตะวันตกจับการเคลื่อนไหวนอกฐานได้ เพื่อนแถบนั้นจึงส่องไฟฉายแรงสูงออกไปจี้ยังจุดที่มีการเคลื่อนไหว ปรากฏว่าเป็นข้าศึกหรือ “พี่” เรานั่นเองครับ
     
    ตำราการรบแบบกองโจรนั้น จะไม่มีการส่องไฟฉายออกไปนอกฐานเด็ดขาด เพราะศัตรูจะรู้ที่ตั้งเราและยิงสวนไฟฉายเข้ามาได้ หลักจากที่พวกเราส่องไฟฉายออกไปเพื่อนส่วนหนึ่งรวมถึงผมด้วยกันกรูกันออกไปนอกฐาน ไปจับเชลยไว้ได้ ขณะที่จับยังจำได้อยู่เลยครับว่า พี่เขาร้องว่า “เฮ่ย…มันมีที่ไหนวะ ส่องไฟแล้ววิ่งออกมานอกฐาน รบจริงพวกมึงตายห่าหมดแล้ว”
     
    เพื่อนผมคนนึงก็ยังเถียงดื้อๆ “นี่รบเล่นๆครับพี่”
     
    เรายอมปล่อยเชลยไปด้วยความเกรงใจ เพราะพี่เขาด่าไม่หยุด ลองเอาเข้ามาในฐานสิครับ เป็นเรื่อง…พี่ท่านได้จวกกันตายห่า
     
    หลังจากเราจับเชลยได้ 1 คน กองกำลังข้าศึกก็ถอนตัว
     
    พวกเราก็กลับเข้าสู่ที่ตั้งเดิม กิจการบ่อนเสรีก็เปิดดำเนินการคึกคักต่อไป จนกระทั่งเกือบๆเที่ยงคืนเสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นหน้าฐานพร้อมคำตะโกนเยาะเย้ย
     
    “เฮ่ย!! กูจับเพื่อนมึงได้ 1 คน”
     
    พวกเรากรูกันเข้าไปดู บางคนที่ยังสวมบทนักรบก็ตะโกน “ดูหลังฐานด้วย!! เผื่อเป็นกับดัก” นั่น!ดูจิตวิญญาณมัน
     
    เมื่อพวกเราไปถึงหน้าฐานก็ปรากฏว่า “ไอ้กอล์ฟ” ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนเรียกว่า “ไอ้จ๋อ” เพราะหน้าเหมือนลิง โดนจับแก้ผ้ายืนอยู่หน้าฐาน
     
    ข้อเท็จจริงก็คือมันมีอาคารเล็กๆอาคารหนึ่งอยู่ห่างฐานไปไม่ถึง 20 เมตร ตรงนั้นมีปลั๊กไฟ ซึ่งนักเรียนนายร้อยจะเอามือถือไปชาร์จตอนกลางวัน เพื่อจะเอามาโทรหากำลังใจกันในตอนกลางคืน แล้วก็ไม่ทราบว่าแบตมือถือของไอ้กอล์ฟมันเสื่อมรึเปล่า พอแบตหมดมันก็ชะล่าใจเดินออกไปชาร์จนอกฐานแล้วก็ถูกพี่ที่ซุ่มอยู่จับได้…
     
    พอพวกผมเห็นมันโดนจับแก้ผ้าอย่างนั้น ด้วยอารมณ์ที่คิดว่าการรบในค่ำคืนนี้น่าจะเอวังด้วยประการฉะนี้ หลายคนจึงหัวเราะเฮฮา บางคนตะโกนออกไป “พี่…หากล้วยให้เพื่อนผมกินด้วยนะครับ” แล้วก็ทำท่าไม่สนใจ เดินกลับไปนั่งแสวงโชค นั่งโทรศัพท์กันตามเดิม
     
    พี่เขาก็คงงงอ่ะนะครับ เพราะว่าเพื่อนไม่สนใจเชลยศึกเลย แถมยังเป็นภาระให้ต้องหากล้วยให้กินอีก ท้ายที่สุดก็เลยปล่อยเชลยกลับมาด้วยสภาพเปลือยเปล่าครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×