ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : รบนอกคอก
รบนอกคอก
การฝึกหลักสูตร ตปส.นั้นจะเน้นไปที่การฝึกในรูปแบบการรบของตำรวจตระเวนชายแดนดังที่ผมได้เรียนให้ทราบกันไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ครับ
ซึ่งยังไงก็ขอให้ท่านผู้อ่านไม่ต้องไปทำความเข้าใจอะไรมันมาก เอาแค่พอรู้ว่า มันเป็นการรบแบบใช้คนน้อยๆรบกับคนเยอะๆโดยใช้ยุทธวิธีพิเศษที่เราอาจเรียกได้ว่า “วิชาโจร” ไปใช้ในการรบ ซึ่งแตกต่างกับทหารที่เขาจะใช้วิธีการรบแบบซึ่งๆหน้า ตั้งฐานรบกัน ใช้รถถัง ใช้ปืนใหญ่ อะไรประมาณนั้นนะครับ
การเรียนการฝึกในฐานยุทธวิธีซึ่งเป็นฐานแรกของกองร้อยผมนั้น ครูฝึกจะสอนให้เรารู้จักการลาดตระเวน การจู่โจม การซุ่มโจมตี การป้องกันฐาน และอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ซึ่งเราจะเรียนในตอนกลางวัน แล้วฝึกปฏิบัติจริงในตอนกลางคืน ซึ่ง “ข้าศึกสมมติ”นั้นก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนๆของเราที่อยู่ฐานอื่นๆอีก 2 ฐานนั่นแหล่ะครับ
คืนหนึ่งกองร้อยของผมได้รับมอบภารกิจจากครูฝึกให้ไปลาดตระเวนโจมตีโฉบฉวย โดยสมมติให้เพื่อนในฐานอาวุธศึกษาเป็นข้าศึก ภารกิจจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเราสามารถ “ขโมยปืน” ของเพื่อนมาได้ โดยที่เพื่อนไม่รู้ตัว หมามั้ยล่ะครับ
ผมจำได้ว่าหลังจากมื้อเย็นในวันนั้น พวกเราจัดชุดปฏิบัติการกันอย่างแข็งขัน มีชุดจู่โจม ชุดระวังป้องกัน ชุดแทรกซึม ชุดระวังหน้า ระวังหลัง กำหนดจุดรวมพลขั้นต้น จุดรวมพลขั้นสุดท้าย กำหนดเส้นทางเข้าตี และยุทธวิธีการเข้าตีไว้อย่างครบถ้วน เอาเป็นว่าสามารถย่องเข้าไปขโมยปืนของเพื่อนมาได้โดยที่เพื่อนไม่รู้ตัว
เป้าหมายของเราในค่ำคืนนี้ ขอแค่ 2 กระบอกเท่านั้นครับ
ฐานข้าศึกนั้นมีลักษณะเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ และมีสะพานคอนกรีตเป็นเส้นทางหลักเพียงเส้นทางเดียวในการเข้าสู่เกาะแห่งนี้
เวลานัดหมายการเข้าตีคือหลัง 21.00 น. เป็นต้นไป เป็นเวลาหลังจากเคารพธงชาตินั่นเอง
หลังจากที่เราเล็ดลอดหลบหลีกมาตามเส้นทางตั้งแต่ฐานเราถึงฐานข้าศึกระยะทางประมาณ 500 เมตร จนกระทั่งสามารถเกาะฐานข้าศึกได้ คำว่าเกาะฐานข้าศึกก็หมายความว่า อยู่ประชิดติดฐาน เราก็เริ่มประชุมขั้นสุดท้ายกันที่หน้าฐานว่าจะแทรกซึมเข้าไปในฐานกันอย่างไรดี
ผมมองไปทางสะพานก็เห็นยาม 2 คน ซึ่งก็คือข้าศึกสมมติในฐานข้าศึกนั่นแหล่ะ ยืนคุยกันอยู่ แน่นอนครับว่าการแทรกซึมเข้าสู่ฐานข้าศึกนั้นไม่สามารถเดินดุ่มๆข้ามสะพานไปได้
จังหวะนั้นเอง ต้น ชมรมกรีฑา ก็อาสาข้ามลำน้ำเข้าไปในฐานข้าศึก
ต้นค่อยๆหย่อนตัวลงน้ำ โดยมีพวกเราคอยระวังป้องกันให้เป็นอย่างดี จนต้นสามารถลอยคอผ่านลำน้ำเล็กๆที่ล้อมรอบเกาะนั้นไปได้
ต้นหายไปนานเท่าใดไม่แน่ใจ แต่ผมรู้ว่ามันนานมาก นานเกินกว่าที่เราจะมั่นใจว่าต้นสามารถจะขโมยปืนข้าศึกออกมาได้โดยปลอดภัย
ผมและเพื่อนผู้กล้าอีก 7 นายต่างหมอบคอยอยู่เชิงสะพาน เราต่างทำตัวให้แบนราบต่ำติดไปกับพื้นดินมากที่สุด เพื่อที่ยามจะไม่สามารถตรวจการณ์เห็นได้ หลายชั่วโมงที่เราต้องคลานไปคลานมาเพื่อสื่อสารกัน และต้องคอยก้มหน้าติดดินเพื่อหลบแสงไฟรถมอเตอร์ไซค์ของครูฝึกที่ทยอยขับออกมาจากฐาน ห่างช่วงประมาณคันละ 10 นาที กลับบ้านหลังจากส่งนักเรียนเข้านอนแล้ว
ความกดดันทวีมากขึ้นทุกขณะเมื่อเราไม่สามารถสื่อสารกับไอ้ต้นได้เลย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ภารกิจสำเร็จหรือไม่ ผมนึกไปถึงหนังสงครามที่พระเอกหรือเพื่อนพระเอกถูกข้าศึกจับได้แล้วทรมานต่างๆนานา ใจก็นึกไปว่าไอ้ต้นอาจกำลังโดนเพื่อนข้าศึกสมมติจับแก้ผ้าทรมาน เอาแส้เฆี่ยน เอาเกลือทาอยู่ในฐาน
ทันใดนั้นแสงมอเตอร์ไซค์ก็สาดออกมาจากภายในฐาน พวกเรารีบกลิ้งตัว มุดหัวซุกหน้ากับดินลูกรังข้างถนน มีเพียงหญ้ากอเล็กๆที่ช่วยอำพรางเราจากสายตาครูฝึกในยามค่ำคืน
เราหวังว่ารถคันนี้จะขับผ่านไปเหมือนเช่นคันอื่นๆ แต่ !
รถคันนี้กลับจอดนิ่งอยู่กลางสะพานแล้วสาดไฟหน้าไปมาอยู่นานเกือบนาที หัวใจผมและเชื่อว่าของเพื่อนๆด้วยเช่นกัน เต้นดังรัว ผมคิดไปถึงว่าถ้าเราต้องโดนจับได้จะเป็นยังไง
และแล้วรถคันดังกล่าวก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากสะพาน ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจออกด้วยความผ่อนคลาย
แต่ยังไม่ทันที่จะผ่อนลมหายใจสุดปอด รถคันนั้นมันก็มาหยุดอยู่ข้างๆผม
บรรลัยแล้วครับ
เสียงแรกจากครูฝึกหรือข้าศึกสมมติที่ฟังดูเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้นั้นคือคำว่า “พวกมึงเป็นใคร!!”
ทุกคนยังคงหมอบก้มหน้าเงียบ ยังแอบคิดว่า มันคงไม่เห็นกู
“ถามว่าเป็นใคร!!” ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่า เราไม่ใช่จิ้งจกที่จะสามารถพรางตัวได้แนบเนียนขนาดนั้น
“นักเรียนครับครู ” เพื่อนผมคนนึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะนำไปสู่การจับกุมใดๆ พวกเราประเมินสถานการณ์แล้วว่าครูมาคนเดียว แต่พวกเรามี 8 คน ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือการงัดเอาท่าออกกำลังกายที่เราเกลียดที่สุดออกมาใช้ครับ
ปล่อยม้า
หรือกิริยาการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม วิ่ง และวิ่งอย่างเดียวเท่านั้น
พวกเราทั้งหมดออกตัวด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต มีเพียงเสียงตะโกนด่าสาปแช่งของครูฝึกไล่ตามหลัง และเสียงปืนเสียงปะทัดที่ดังกึกก้อง
ผมยอมรับว่าในชีวิตนี้ นอกจากการโดดร่มตอนเรียนชั้นปีที่ 2 แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ห่างความตายไม่ถึงคืบ
ผมจำได้ว่าเมื่อชุดเพื่อนที่อยู่ ณ ที่รวมพลขั้นสุดท้ายเห็นพวกผมแตกฮือมา มันก็ไม่ถาม ไม่พูดอะไร นอกจากพุ่งเข้ามาร่วมวิ่งกับพวกเราด้วย
เราทั้งหมดกลับถึงฐานด้วยอาการหวาดผวา แต่สิ่งที่ทำให้เราหวาดผวามากกว่าก็คือ ไอ้ต้น มันกลับมาถึงฐานแล้ว
มันกลับมาถึงนานแล้วด้วย กลับมาพร้อมปืนข้าศึก 2 กระบอก
สรุปว่าเราเสี่ยงตายเพื่อรอมัน แต่เรากลับจะตายห่าเพราะมันไม่รอเรา เล่าไปเล่ามาชักงง
เพื่อนผมที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองร้อยสั่งระวังป้องกันเต็มอัตราทันที แล้วก็ไม่ผิดคาดครับ เพราะอีกไม่นานต่อมาครูฝึกฐานอาวุธศึกษาก็ค่อยๆย่องเข้ามาโจมตีเราถึงหน้าฐาน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก
ผมเชื่อแน่ว่าป่านนี้เพื่อนๆข้าศึกสมมติคงแตกตื่น วงไพ่คงแตกกระเจิงระเนระนาด และแน่นอนว่าคนที่ปืนหายต้องแค้นใจเป็นยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นเมื่อเราส่งตัวแทนเอาปืนไปคืน ก็ไม่ได้ยินคำพูดใดจากเพื่อนฐานนั้น นอกจากคำว่า “เดี๋ยวกูจะเอาคืน เดี๋ยวกูจะเอาคืน ” แฮ่ะๆ
แล้วต่อมา เมื่อผมย้ายไปอยู่ฐานอื่น แล้วไอ้เพื่อนฐานนั้นมาอยู่ฐานยุทธวิธีเราก็โดน “เอาคืน” จริงๆครับ แต่มันไม่ได้บุกมาตอนเราหลับ ตอนที่เรานั่งลุ้นไพ่เหมือนที่เราทำกับมัน มันมาตอนเราอาบน้ำครับ
แม่งแสบจริงๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น