ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::ฮาหัวเกรียน...นักเรียนนายร้อยตำรวจ::

    ลำดับตอนที่ #11 : รบนอกคอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.71K
      5
      21 เม.ย. 53

    รบนอกคอก

    การฝึกหลักสูตร ตปส.นั้นจะเน้นไปที่การฝึกในรูปแบบการรบของตำรวจตระเวนชายแดนดังที่ผมได้เรียนให้ทราบกันไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ครับ

    ซึ่งยังไงก็ขอให้ท่านผู้อ่านไม่ต้องไปทำความเข้าใจอะไรมันมาก เอาแค่พอรู้ว่า มันเป็นการรบแบบใช้คนน้อยๆรบกับคนเยอะๆโดยใช้ยุทธวิธีพิเศษที่เราอาจเรียกได้ว่า “วิชาโจร” ไปใช้ในการรบ ซึ่งแตกต่างกับทหารที่เขาจะใช้วิธีการรบแบบซึ่งๆหน้า ตั้งฐานรบกัน ใช้รถถัง ใช้ปืนใหญ่ อะไรประมาณนั้นนะครับ

    การเรียนการฝึกในฐานยุทธวิธีซึ่งเป็นฐานแรกของกองร้อยผมนั้น ครูฝึกจะสอนให้เรารู้จักการลาดตระเวน การจู่โจม การซุ่มโจมตี การป้องกันฐาน และอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ซึ่งเราจะเรียนในตอนกลางวัน แล้วฝึกปฏิบัติจริงในตอนกลางคืน ซึ่ง “ข้าศึกสมมติ”นั้นก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนๆของเราที่อยู่ฐานอื่นๆอีก
    2 ฐานนั่นแหล่ะครับ

    คืนหนึ่งกองร้อยของผมได้รับมอบภารกิจจากครูฝึกให้ไปลาดตระเวนโจมตีโฉบฉวย โดยสมมติให้เพื่อนในฐานอาวุธศึกษาเป็นข้าศึก ภารกิจจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเราสามารถ “ขโมยปืน” ของเพื่อนมาได้ โดยที่เพื่อนไม่รู้ตัว
    … หมามั้ยล่ะครับ

    ผมจำได้ว่าหลังจากมื้อเย็นในวันนั้น พวกเราจัดชุดปฏิบัติการกันอย่างแข็งขัน มีชุดจู่โจม ชุดระวังป้องกัน ชุดแทรกซึม ชุดระวังหน้า ระวังหลัง กำหนดจุดรวมพลขั้นต้น จุดรวมพลขั้นสุดท้าย กำหนดเส้นทางเข้าตี และยุทธวิธีการเข้าตีไว้อย่างครบถ้วน เอาเป็นว่าสามารถย่องเข้าไปขโมยปืนของเพื่อนมาได้โดยที่เพื่อนไม่รู้ตัว

    เป้าหมายของเราในค่ำคืนนี้
    …ขอแค่ 2 กระบอกเท่านั้นครับ

    ฐานข้าศึกนั้นมีลักษณะเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ และมีสะพานคอนกรีตเป็นเส้นทางหลักเพียงเส้นทางเดียวในการเข้าสู่เกาะแห่งนี้

    เวลานัดหมายการเข้าตีคือหลัง
    21.00 น. เป็นต้นไป …เป็นเวลาหลังจากเคารพธงชาตินั่นเอง

    หลังจากที่เราเล็ดลอดหลบหลีกมาตามเส้นทางตั้งแต่ฐานเราถึงฐานข้าศึกระยะทางประมาณ
    500 เมตร จนกระทั่งสามารถเกาะฐานข้าศึกได้…คำว่าเกาะฐานข้าศึกก็หมายความว่า อยู่ประชิดติดฐาน … เราก็เริ่มประชุมขั้นสุดท้ายกันที่หน้าฐานว่าจะแทรกซึมเข้าไปในฐานกันอย่างไรดี

    ผมมองไปทางสะพานก็เห็นยาม
    2 คน ซึ่งก็คือข้าศึกสมมติในฐานข้าศึกนั่นแหล่ะ ยืนคุยกันอยู่ แน่นอนครับว่าการแทรกซึมเข้าสู่ฐานข้าศึกนั้นไม่สามารถเดินดุ่มๆข้ามสะพานไปได้

    จังหวะนั้นเอง
    …ต้น…ชมรมกรีฑา ก็อาสาข้ามลำน้ำเข้าไปในฐานข้าศึก…

    ต้นค่อยๆหย่อนตัวลงน้ำ โดยมีพวกเราคอยระวังป้องกันให้เป็นอย่างดี จนต้นสามารถลอยคอผ่านลำน้ำเล็กๆที่ล้อมรอบเกาะนั้นไปได้

    ต้นหายไปนานเท่าใดไม่แน่ใจ แต่ผมรู้ว่ามันนานมาก นานเกินกว่าที่เราจะมั่นใจว่าต้นสามารถจะขโมยปืนข้าศึกออกมาได้โดยปลอดภัย

    ผมและเพื่อนผู้กล้าอีก
    7 นายต่างหมอบคอยอยู่เชิงสะพาน เราต่างทำตัวให้แบนราบต่ำติดไปกับพื้นดินมากที่สุด เพื่อที่ยามจะไม่สามารถตรวจการณ์เห็นได้ หลายชั่วโมงที่เราต้องคลานไปคลานมาเพื่อสื่อสารกัน และต้องคอยก้มหน้าติดดินเพื่อหลบแสงไฟรถมอเตอร์ไซค์ของครูฝึกที่ทยอยขับออกมาจากฐาน ห่างช่วงประมาณคันละ 10 นาที…กลับบ้านหลังจากส่งนักเรียนเข้านอนแล้ว…

    ความกดดันทวีมากขึ้นทุกขณะเมื่อเราไม่สามารถสื่อสารกับไอ้ต้นได้เลย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ภารกิจสำเร็จหรือไม่ ผมนึกไปถึงหนังสงครามที่พระเอกหรือเพื่อนพระเอกถูกข้าศึกจับได้แล้วทรมานต่างๆนานา
    …ใจก็นึกไปว่าไอ้ต้นอาจกำลังโดนเพื่อนข้าศึกสมมติจับแก้ผ้าทรมาน เอาแส้เฆี่ยน เอาเกลือทาอยู่ในฐาน…

    ทันใดนั้นแสงมอเตอร์ไซค์ก็สาดออกมาจากภายในฐาน พวกเรารีบกลิ้งตัว มุดหัวซุกหน้ากับดินลูกรังข้างถนน มีเพียงหญ้ากอเล็กๆที่ช่วยอำพรางเราจากสายตาครูฝึกในยามค่ำคืน

    เราหวังว่ารถคันนี้จะขับผ่านไปเหมือนเช่นคันอื่นๆ แต่
    …!

    รถคันนี้กลับจอดนิ่งอยู่กลางสะพานแล้วสาดไฟหน้าไปมาอยู่นานเกือบนาที หัวใจผมและเชื่อว่าของเพื่อนๆด้วยเช่นกัน เต้นดังรัว
    …ผมคิดไปถึงว่าถ้าเราต้องโดนจับได้จะเป็นยังไง

    และแล้วรถคันดังกล่าวก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากสะพาน ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจออกด้วยความผ่อนคลาย

    แต่ยังไม่ทันที่จะผ่อนลมหายใจสุดปอด รถคันนั้นมันก็มาหยุดอยู่ข้างๆผม

    บรรลัยแล้วครับ

    เสียงแรกจากครูฝึกหรือข้าศึกสมมติที่ฟังดูเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้นั้นคือคำว่า “พวกมึงเป็นใคร
    !!”

    ทุกคนยังคงหมอบก้มหน้าเงียบ ยังแอบคิดว่า มันคงไม่เห็นกู

    “ถามว่าเป็นใคร
    !!” ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่า เราไม่ใช่จิ้งจกที่จะสามารถพรางตัวได้แนบเนียนขนาดนั้น

    “นักเรียนครับครู
    …” เพื่อนผมคนนึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

    แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะนำไปสู่การจับกุมใดๆ พวกเราประเมินสถานการณ์แล้วว่าครูมาคนเดียว แต่พวกเรามี
    8 คน ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือการงัดเอาท่าออกกำลังกายที่เราเกลียดที่สุดออกมาใช้ครับ

    …ปล่อยม้า…

    หรือกิริยาการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม วิ่ง และวิ่งอย่างเดียวเท่านั้น

    พวกเราทั้งหมดออกตัวด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต มีเพียงเสียงตะโกนด่าสาปแช่งของครูฝึกไล่ตามหลัง และเสียงปืนเสียงปะทัดที่ดังกึกก้อง

    ผมยอมรับว่าในชีวิตนี้
    …นอกจากการโดดร่มตอนเรียนชั้นปีที่ 2 แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้…เป็นครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ห่างความตายไม่ถึงคืบ

    ผมจำได้ว่าเมื่อชุดเพื่อนที่อยู่ ณ ที่รวมพลขั้นสุดท้ายเห็นพวกผมแตกฮือมา มันก็ไม่ถาม ไม่พูดอะไร นอกจากพุ่งเข้ามาร่วมวิ่งกับพวกเราด้วย

    เราทั้งหมดกลับถึงฐานด้วยอาการหวาดผวา
    …แต่สิ่งที่ทำให้เราหวาดผวามากกว่าก็คือ …ไอ้ต้น… มันกลับมาถึงฐานแล้ว

    มันกลับมาถึงนานแล้วด้วย กลับมาพร้อมปืนข้าศึก
    2 กระบอก

    สรุปว่าเราเสี่ยงตายเพื่อรอมัน แต่เรากลับจะตายห่าเพราะมันไม่รอเรา เล่าไปเล่ามาชักงง

    เพื่อนผมที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองร้อยสั่งระวังป้องกันเต็มอัตราทันที แล้วก็ไม่ผิดคาดครับ เพราะอีกไม่นานต่อมาครูฝึกฐานอาวุธศึกษาก็ค่อยๆย่องเข้ามาโจมตีเราถึงหน้าฐาน
    …แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก

    ผมเชื่อแน่ว่าป่านนี้เพื่อนๆข้าศึกสมมติคงแตกตื่น วงไพ่คงแตกกระเจิงระเนระนาด และแน่นอนว่าคนที่ปืนหายต้องแค้นใจเป็นยิ่งนัก

    วันรุ่งขึ้นเมื่อเราส่งตัวแทนเอาปืนไปคืน ก็ไม่ได้ยินคำพูดใดจากเพื่อนฐานนั้น นอกจากคำว่า “เดี๋ยวกูจะเอาคืน
    … เดี๋ยวกูจะเอาคืน…” แฮ่ะๆ

    แล้วต่อมา
    …เมื่อผมย้ายไปอยู่ฐานอื่น แล้วไอ้เพื่อนฐานนั้นมาอยู่ฐานยุทธวิธีเราก็โดน “เอาคืน” จริงๆครับ แต่มันไม่ได้บุกมาตอนเราหลับ ตอนที่เรานั่งลุ้นไพ่เหมือนที่เราทำกับมัน  … มันมาตอนเราอาบน้ำครับ…

    แม่งแสบจริงๆ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×