คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : องครักษ์?
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา.
หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นอาทิตย์โหดร้ายที่สุดที่ฉันนั้นเคยพบมาเลยก็ว่าได้ มันเป็นอาทิตย์ที่เบื่อและเหนื่อยที่สุดเลย
ทั้งเรียนมารยาททางท่าทางที่ฉันต้องฝึกทำตัวให้สำรวมอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรียนมารยาทในการรับประทานอาหารกว่าจะฝึกได้ตามมาตรฐานที่ครูกีวีตั้งไว้แต่มันออกจะเข้มงวดไปหน่อยเพราะกว่าจะให้ฉันผ่านแต่ละบทฉันนี่แทบอดตาย (ถ้าไม่ผ่านไม่ได้กินข้าว Y^Y) และอีกมากมายหลายบทแต่บทเรียนที่ฉันไม่ได้แทบจะเรียนเลยนั้นคือการเรียนภาษา ก็คนมันไม่ชอบนี่นา =3= ที่บอกไม่ได้เรียนเลยนั้นก็เพราะฉันโดดเรียนไปฝึกศิลปะการป้องกันตัวกับพวกทหารนั่นเอง ช่วงโดดแรกๆ ฉันก็อ้างว่าปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำแต่ที่แท้นั้นฉันก็แอบไปดูพวกทหารเขาฝึกกันก็เลยเข้าไปฝึกด้วย พวกทหารก็คัดค้านอยู่หรอกนะแต่ฉันบอกว่า ฉันนั้นเป็นเจ้าหญิงห้ามมีใครมาขัดใจไม่งั้ยล่ะก็... ฉันพูดเพียงเท่านี้พวกทหารก็จำใจให้ฉันฝึกด้วย แต่กระนั้นครูกีวีก็ยังมาให้ฉันเรียนภาษาอยู่นั่นแหละฉันก็เลยโดทุกๆ คาบของการเรียนวิชานี้ทุกครั้งไป (เด็กเรียนโคตร = =) จนฉันโดดเรียนบ่อยๆ จนตอนนี้ก็มีวิชามาแทนที่การเรียนภาษาแสนน่าเบื่อด้วยวิชาฝึกการป้องกันตัวไปโดยปริยาย ^^
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะมี...
“นี่ยัยเวิร์ดนั่งเหม่ออะไรอยู่!” ยัยหนึ่งเพื่อนสุดซี้ตั้งแต่อนุบาลยันตอยนี้อยู่มัธยมปลายปีที่2 แล้ว (ม.5แหละ) เราก็ยังไม่หมดความเป็นเพื่อนกันไป ยัยนั่นหันมากระซิบถามฉันเมื่อเห็นว่าฉันนั้นมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยและนั้นก็เป็นการเรียกสติฉันให้กลับมายังปัจจุบัน
ตอนนี้ฉันนั้นก็มาเรียนตามปกติเช่นนักเรียนทั่วไปโดยที่ทุกคนไม่รู้เลยว่าฉันนั้นหลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว
“แล้วแกเรียกฉันทำไมเนี่ย?” ฉันหันไปกระซิบตอบยัยหนึ่งถึงเหตุผลที่ถามฉัน
“ไม่เรียกได้ไง ก็อาจารย์เขาเข้าห้องมาแล้ว” ยัยหนึ่งพูดพลางทำหน้าให้ฉันหันไปดูหน้าห้องที่ตอนนี้ที่หน้ากระดานบัดนี้ได้มีผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอาจารย์ประจำชั้นห้องเรียนฉันนั่นเอง นั้นคืออาจารย์จันทน์ผาอาจารย์สุดน่ารักของห้องเรียนฉันเอง
“เหรออาจารย์มาแล้วเหรอเนี่ย” ฉันพูดพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเรียนเก็บใส่ไปยังกระเป๋าเป้ใบโปรด
“กรี๊ด!!!!!” แต่ยังไม่ทันได้เก็บของใส่กระเป๋า ก็มีเสียงร้องอย่างกับโดนน้ำมนต์สาดใส่ของนักเรียนหญิงในห้องก็ดังขึ้นมาซักก่อน ก่อนที่จะตามมาด้วยแรงเขย่าอย่างแรงซึ่งนั้นก็มาจากแรงของยัยหนึ่งนั้นเอง
“กรี๊ด! แกนั่นมันนายปรินซ์ที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเราเมื่อมอต้นนี่นา” คำพูดประโยคนั้นทำให้ฉันถึงกลับหันไปมองหน้ายัยหนึ่งทันทีที่ยัยนั้นพูด “ทำไมนายนั่นถึงได้หล่อได้บาดใจแบบนี้นะ *///*”
เมื่อยัยหนึ่งพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองที่หน้าห้องซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงทั้งห้องนั้นร้องอย่างกับโดนน้ำมนต์นั้นก็เพราะว่าคนที่ยืนอยู่แทนร่างของอาจารย์นั้นบัดนี้ได้มีร่างสูงโปร่งยืนอยู่แทนที่เขาคือนายปรินซ์ที่คอยตามหลอกหลอนฉันตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน
ว่าแล้วทำไมโรคประจำตัวของยัยหนึ่งและผู้หญิงในห้องฉันถึงได้กำหริบขึ้นมาฉันรู้สาเหตุนั่นแล้วล่ะ - - (โรคบ้าผู้ชาย)
“นี่เธอนั่นใครน่ะหล่อจัง *///*”
“ว้าย!~ คนอะไรหล่อไม่เกรงใจใคร *///*”
“กรี๊ด! ฉันจองคนนี้แล้วนะ”
“โอย ใจจะละลายแล้ว” และนี่เป็นแค่เสียงเพียงส่วนน้อยที่ดังเข้ามาในรูประสาทหูของฉัน จากที่เสียงที่นับไม่ถ้วนที่ผู้หญิงในห้องสรรหามาพูดเกี่ยวกับอีตาปรินซ์ที่ยืนเก๊กหน้าหล่ออยู่หน้าห้อง - -^
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่ออกอาการโดนน้ำมนต์เหมือนพวกผู้หญิงในห้อง นั่นก็เพราะว่า ฉันเคยเป็นมาแล้วนั่นเอง จึงทำให้ฉันมีภูมิต้านทานความหล่อของหมอนี่อยู่(บ้าง)
“กระแอม!” อาจารย์กระแอมขึ้นเสียงดังเพื่อที่เรียกความสนใจให้กลับมายังที่อาจารย์อีกครั้ง
และมันได้ผลเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบกันทั้งห้อง แต่ก็ไม่วายมีบ้างส่วนที่ยังส่งสายตาราวกับจะกลืนกินไปยังนายปรินซ์ที่ยืนทำเก๊กหน้าหล่ออยู่หน้าห้อง
“ขอบคุณที่ช่วยเงียบให้ครู...เอาล่ะนี่คือเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของพวกเธอ” อาจารย์พูดพลางหันไปบอกนายปรินซ์ให้แนะนำตัว
“สวัสดีครับ ผมชื่อนาคา ธนาวงศ์ เรียกปรินซ์ก็ได้ครับ” นายนั่นพูดจบก็ส่งยิ้มชวนฝันไปทั่วห้อง
“กรี๊ด!!~” และนั้นก็เป็นไปตามคาดเมื่อโปรยยิ้มไปยังสาวๆ ในห้อง ยัยพวกนั้นก็ร่วมแรงร่วมใจในการกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพียง
< -_-> โอย หนวกหูเป็นบ้าเลย
“เอาล่ะจ๊ะ ที่ตรงไหนว่างบ้าง...” อาจารย์พูดขึ้นเรียกความสนใจของคนในห้องเป็นอย่างดี
“ \>< ตรงนี้ยังว่างอยู่ค่ะอาจารย์” อาจารย์ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็คำคนยกมือแสดงตัวว่าที่นั่งข้างตนนั้นยังว่างอยู่ และที่ๆ ตรงนั้นก็เป็นที่ของคนที่คนในโรงเรียนต่างรู้จักนั่นคือยัยเบนาเล่ คนที่ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็ยอมรับว่ายัยนี่สวยน่ารักที่สุด
อาจารย์หันไปบอกกับนายปรินซ์ก่อนที่นายนั้นจะเดินไปยังโต๊ะโดยมีสายตาของผู้หญิงทุกคนในห้องมองตามตาละห้อยพร้อมกับสายตาอิจฉาไปยังยัยเบนาเล่อะไรนั่นด้วยเช่นกัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำไป
และความบังเอิญหรือโชคชะตาเล่นตลกเมื่อที่ๆ ว่างนั้นมันอยู่ด้านหลังฉันเอง จึงทำให้นายปรินซ์ต้องเดินผ่านโต๊ะของฉันและระหว่างที่นายปรินซ์กำลังเดินผ่านโต๊ะฉันไปนั้น จู่ๆ ปากกาที่ฉันยังไม่ได้เก็บใส่กระเป๋าก็ตกพื้นทำให้ต้องก้มตัวลงไปเก็บแต่ก่อนที่มือฉันจะไปถึงปากกาก็มีมือมายิบไปซักก่อน เมื่อจะเงยหน้าขึ้นมาจะพบว่าคนที่เก็บปากกาฉันขึ้นลงนั่นเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนใหม่ หรืออีกชื่อหนึ่งที่ฉันรู้จักดีนั่นคือนายปรินซ์นั้นเอง
“ขอบ...” ขณะที่ฉันกำลังบอกขอบคุณเรื่องที่เขาช่วยเก็บปากกาให้ฉันเขาก็พุดแทรกขึ้นซักก่อน
“สวัสดี แปลกใจมั้ยที่เจอฉันน่ะ” นายนี่ถามขึ้นมันเป็นคำถามที่ใครได้ยินก็ต้องงง แต่ฉันกลับไม่แปลกใจอะไรกับคำถามนั่นเลย
“ไม่นี่ เจอนายจนเบื่อแล้วใครจะไปแปลกจงแปลกใจกัน” ฉันตอบ
“งั้นเหรอ” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะวางปากกาฉันไว้บนโต๊ะเหมือนก่อนที่มันจะตกลงไป แล้วนายนั้นก็เดินอมยิ้มผ่านโต๊ะฉันไป
“นี่ๆ ยัยเวิร์ดแกหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเจอจนเบื่อแล้วน่ะ แล้วๆ แกไปเจอสนิทกับนายปรินซ์ตั้งแต่เมื่อไรน่ะ แล้ว... -x-” ยัยหนึ่งหันมากระซิบกับฉันแล้วซักถามมากเรื่องจนทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นอุดปากยัยนี่ไว้ด้วยความรำคาญ
แต่ด้วยความอยากรู้ของยัยหนึ่ง มันจึงพยายามเป็นอย่างสูงในการแกะมือฉันออกจากมือปากและความพยายามของมันก็เป็นผลเมื่อยัยหนึ่งใช้แรงทั้งหมดดึงมือฉันออกมาจากปากของมันได้สำเร็จ
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ” ยัยนี่ยังพยายามที่จะเอาคำตอบจากฉันให้จนได้
“ฉันก็หมายความว่า...” หมายความว่าอะไรดีล่ะเนี่ย
“บอกมาเร็วๆ ” ยัยเพื่อนบ้าฉันก็คิดอยู่นี่ไงว่ามันหมายความว่าอะไรอย่าเร่งสิเฟ้ย!!
“ก็หมายความว่าฉันเกลียดขี้หน้านายนั่นน่ะสิถามได้” โอย คิดไม่ออกตอบส่งๆ ไปก่อนก็แล้วกัน
“เกลียดขี้หน้านายนั่นเนี่นนะ?” ยัยหนึ่งยังไม่เลิกสงสัย
“กะ ก็ใช่น่ะสิ ฉันน่ะเกลียดขี้หน้านายปรินซ์ที่สุดในห้าโลกเลยแหละ” ฉันพูดขึ้นเสียงดัง นั้นทำให้คนทั้งห้องต่างหันมายังฉันก็หมด และนั่นรวมไปถึงคนที่ฉันเพิ่งบอกว่าเกลียดขี้หน้าไปด้วยนั่นเอง
“แกจะพูดเสียงดังทำพระแสงอะไรเนี่ย” เมื่อยัยหนึ่งเห็นว่าคนในห้องต่างมองมาทางฉันมันจึงว่าจะเป็นยกใหญ่ “เอ่อ...โทษทีไม่มีอะไรหรอกพวกเราแค่เล่นเกมพูดน่ะ จริงมั้ยยัยเวร์ด” ยัยหนึ่งช่วยแก้ต่างความผิดพลาดที่ฉันเพิ่งทำไปด้วยการให้ฉันเออออไปกับมัน
“เอ่อ...ใช่ๆ พวกเราแค่เล่นเกมพูดกันน่ะ”
และคำแก้ต่างของยัยหนึ่งก็ได้ผลนั่นทำทุกคนคิดว่าฉันกำลังเล่นเกมตอบคำเดียวที่เราสองคนเล่นกันประจำนั้นคือให้ฝั่งตรงข้ามถามอะไรมาก็ได้แต่ต้องตอบกลับมาแค่ประโยคเดียวเช่นฝั่งตรงข้ามให้พูดว่า น้ำ ฝั่งตรงข้ามถามอะไรมาก็ต้องตอบแค่น้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“แกเป็นบ้าหรือไงถึงพูดขึ้นเสียงดังซักขนาดนั้น”
“เพราะแกนั้นแหละ ถามอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ”
“อ้าว มาโทษกันเฉยเลย”
“ไม่รู้แหละแกแหละผิด”
ยัยเพื่อนบ้าถามอะไรนักหนาก็ไม่รู้ นายนั่นต้องได้ยินหมดแล้วแน่ๆ แล้วนายนั่นต้องหามาทำให้ฉันต้องปวดหัวแน่หรือไม่ก็อาจจะเพิ่งวิชาเรียนให้กับฉันเป็นสองเท่าเลยก็เป็นไปได้สูงมาก T^T
เมื่อจบคาบโฮมรูมแล้วฉันกับยัยหนึ่งก็เดินกลับไปด้วยกันเนื่องจากบ้านพวกเราสองคนนั้นอยู่ใกล้กันเพียงแต่บ้านยัยหนึ่งอยู่อีกหมู่บ้านถัดไปซึ่งเป็นหมู่บ้านสำหรับคนที่มีกะตังซื้อคฤหาสน์เป็นที่นอนนั่นหมายความว่ายัยหนึ่งนั้นเป็นลูกหนูนั่นเอง จริงๆ แล้วยัยหนึ่งนั้นมีรถมารับมาส่งเป็นประจำตั้งแต่ตอนเรียนอนุบาลจนถึงมอต้นที่บอกว่าถึงมอต้นนั้นก็เพราะว่ายัยนี่บอกกับคุณหญิงแม่ของมันว่า อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้างด้วยการเดินกลับบ้านกับเพื่อนและเพื่อนที่ว่านั่นคือ ฉันเองแหละ
“บาย กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฉันบอกลายัยหนึ่งถึงหมู่บ้านฉันแล้ว
“ยัยเวิร์ดแกไม่ไปค้างบ้านฉันจริงๆ เหรอ” แต่ยัยหนึ่งกลับตื่อฉันไม่เลิก เพราะระหว่างทางกลับบ้านยัยนี่ก็พยายามที่จะให้ฉันไปค้างที่บ้านมันในวันเสาร์-อาทิตย์เพราะว่าคุณหญิงแม่มันไม่อยู่บ้านเนื่องจากไปทำงานที่ต่างประเทศ
“ไม่ได้หรอกแกฉันมีธุระน่ะ” ฉันตอบกลับไปและธุระที่ว่านั้นคือไปเรียนพิเศษการเป็นเจ้าหญิงนั้นเองฉันก็เคยประท้วงแล้วนะว่าให้ฉันพักเสาร์-อาทิตย์บ้างแต่คำตอบที่ได้ก็มีดีและร้ายเรื่องดีนั้นก็ถ้าฉันสอบปฏิบัติผ่านได้คะแนนเต็มฉันก็จะได้พักวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนเรื่องร้ายนั่นคือถ้าฉันสอบไม่ผ่านฉันจะโดนเรียนให้หนักกว่าเดิมสิบเท่า!
โคตรโหดร้ายกับชีวิตของเวิร์ดผู้นี้ยิ่งนัก
“ธุระอะไรเยอะเนี่ย เออๆ ฉันไปก็ได้” ยัยหนึ่งพูดจบก็เดินไปที่จักรยานที่ยัยนี่ปั่นมาจอดที่จอดรถหน้าหมู่บ้านฉัน
ฉันเดินเข้าหมู่บ้านเข้าไปได้สักพักก็ถึงตัวบ้านที่เริ่มโทรมไปบ้างแล้วเนื่องจากพ่อกับแม่ฉัน ไม่สิต้องเรียนว่าคนที่เลี้ยงฉันมาเพราะพ่อแม่เป็นถึงกษัตริย์...จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
เมื่อฉันเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบมาคนในบ้านมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งกันหมดทุกคนและสีหน้าแต่ละคนเหมือนมีความกังวลเรื่องอะไรกันอยู่ โดยไม่รู้สึกเลยว่าฉันนั้นได้เก้าเข้ามาในบ้านแล้ว
“ทำไมวันนี่บ้านเงียบจัง” ฉันเอ่ยทักขึ้นเพื่อที่เรียกสติทุกคนให้กลับมา
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงทักของฉันทุกคนในบ้านก็พร้อมใจกันหันมามองทางหน้าประตูที่ฉันยืนอยู่
“เวิร์ด...” ทุกคนในบ้านเอ่ยชื่อฉันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอึ้งๆ
“ทำไมวันนี้ทุกคนอยู่กันครบทุกคนเลยล่ะเนี่ย วันนี้เป็นวันธรรมดาไม่ใช่...” ฉันยังพูดไม่จบประโยค แม่ก็ลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินมาสวมกอดฉันเอาไว้แน่
“แม่...” แล้วเมื่อฉันกำลังจะถามว่า แม่เกิดอะไรขึ้น แม่ก็พูดขึ้นแทรกสักก่อน
“ลูกหายไปไหนมาตั้งสามวัน รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นห่วงขนาดไหน” ดูแล้วแม่คงเป็นห่วงฉันน่าดู เพราะถ้าเมื่อฉันจะไปไหน ฉันจะต้องโทรมาบอกแม่ทุกครั้ง
“ลูกรู้มั้ยว่าคนที่ตลาดเขามาบอกแม่ว่าลูกโดนลักพาตัวไป แล้วลูกก็หายไปหลายวันแบบนี้เราเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน TT TT” แม่ร่ายยาวถึงความเป็นห่วงที่มีต่อฉัน
“หนูขอโทษนะ ที่หนูหายไปโดยไม่บอกแม่ คือหนูไปอยู่เป็นเพื่อนยัยหนึ่งมาน่ะ” ตอบเท่าที่ตอนนี้คิดได้ ก็นึกเรื่องที่ยัยหนึ่งชวนไปค้างบ้านมันขึ้นมาพอดี
“แต่แม่โทรไปหาหนึ่ง หนึ่งบอกว่าลูกไม่ได้อยู่กับหนึ่งนะ” ซวยแล้วไง จะแก้ยังไงดีเนี่ย
“โถ่ แม่ก็ไปเชื่อยัยหนึ่งมัน ยัยนั่นมันชอบแกล้งหนูขนาดไหนแม่ไม่รู้รึไง” ขอโทษนะยัยหนึ่งที่ฉันกล่าวหาว่าร้ายแกน่ะ Y/\Y
“เหรอ” ดูท่าแม่น่าจะเชื่อที่ฉันพูด (โกหก) ไปขึ้นแล้วสินะ
“แล้วที่หนูกลับมาบ้านก็เพราะมาเตรียมเสื้อผ้าไปอยู่กับยัยหนึ่งที่บ้านประมาณหนึ่งเดือนน่ะ”
“ห๊า พี่จะไปอยู่บ้านพี่หนึ่งตั้งหนึ่งเดือนเลยเหรอ” ยัยสายลมน้องสาวสุดที่รักของฉันถามขึ้น
“ใช่ แม่หนึ่งไปทำงานต่างประเทศ หนึ่งมันเหงาเลยชวนอยู่ต่อน่ะ” ฉันพูดพลางเดินขึ้นบันไดขึ้นบ้านไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง
เมื่อลงมาชั้นล่างก็ได้พบว่าสีหน้าของคนในบ้านกลับมาดีกว่าตอนที่ฉันเปิดประตูบ้านเข้ามา มันทำให้ฉันโล่งอกของเยอะที่ทุกคนหาเป็นห่วงฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านแล้วจะได้ไปอยู่ที่วังได้สบายใจ
“งั้นหนูไปแล้วนะค่ะ” เมื่อฉันลงมายังชั้นล่าง ฉันก็กล่าวลาทุกคนในบ้านทันที
“จะไปแล้วเหรอลูก เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายวันนอนที่บ้านสักคืนจะเป็นไรไป”
แต่ดูว่าแม่จะไม่ยอมแพ้ในการที่จะให้ฉันไปนอนนอกบ้าน
“คงไม่ได้หรอกค่ะ คือหนูกับยัยหนึ่งต้องทำรายงานที่อาจารย์สั่ง หนูจึงต้องไปทำรายงานกับยัยหนึ่งน่ะ”
“มาทำที่นี่ก็ได้นี่นา” ยัยสายลมออกความเห็น
“อืม ใช่ทำไมลูกไม่พาหนึ่งมาอยู่บ้านเราล่ะ” ดูแม่จะเห็นด้วยกับความคิดของยัยสายลมอยู่ไม่น้อย
“เอ่อ...ยังไงก็ไม่ได้หรอก แม่ก็รู้นิว่ายัยหนึ่งมันเป็นลูกคุณหนูแล้วยัยนั่นก็มาอยู่บ้านเราได้ยังไงเมื่อบ้านมันเอาจะอยู่สบายกว่าบ้านเราตั้งเยอะ” ฉันพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะให้ทุกคนไม่ห้ามให้ฉันไปนอนบ้านยัยหนึ่ง (ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตามทีอะนะ)
“หนูต้องไปจริงๆ แล้ว เดือนหน้าเจอกันนะค่าาาา” ฉันตัดบทไม่รอให้ใครที่บ้านได้คัดค้านอีก แล้วรีบวิ่งเอามาจากบ้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบโปรดที่มีของที่จำเป็นที่สุดในชีวิตเอามาด้วย
แต่เมื่อฉันวิ่งออกมาจากประตูรั้วบ้านไม่เท่าไร หัวฉันก็ชนไม่อะไรที่แข็งๆ กว้างๆที่อยู่ด้านหน้าฉันอย่างจัง จนทำให้ตัวฉันเซถอยหลังไปหลายสองสามก้าว
“อูยย~” ฉันร้องขึ้นเบาๆ พลางยกมือจับบริเวณหัวชนเข้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้รู้เต็มๆ ตาว่าที่ฉันวิ่งไปชนนั้นเป็นคนไม่ใช่กำแพงและคาดว่าสิ่งที่หัวฉันชนนั้นก็คงเป็นบริเวณแผนอกกว้างที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตตัวในเป็นเครื่องแบบของนักเรียนชายโรงเรียนฉัน
และเขาเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘บอดี้การ์ด’ ส่วนตัวของฉัน หรือที่คนในราชวงศ์เรียกกันว่า ‘องครักษ์’ พิทักษ์เจ้าหญิงอะไรทำนองเนี่ย...
ความคิดเห็น