ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักสุดป่วนของยัยเจ้าหญิงฝึกหัด

    ลำดับตอนที่ #3 : องครักษ์?

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 56


    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา.

    หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นอาทิตย์โหดร้ายที่สุดที่ฉันนั้นเคยพบมาเลยก็ว่าได้ มันเป็นอาทิตย์ที่เบื่อและเหนื่อยที่สุดเลย

    ทั้งเรียนมารยาททางท่าทางที่ฉันต้องฝึกทำตัวให้สำรวมอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรียนมารยาทในการรับประทานอาหารกว่าจะฝึกได้ตามมาตรฐานที่ครูกีวีตั้งไว้แต่มันออกจะเข้มงวดไปหน่อยเพราะกว่าจะให้ฉันผ่านแต่ละบทฉันนี่แทบอดตาย (ถ้าไม่ผ่านไม่ได้กินข้าว Y^Y) และอีกมากมายหลายบทแต่บทเรียนที่ฉันไม่ได้แทบจะเรียนเลยนั้นคือการเรียนภาษา ก็คนมันไม่ชอบนี่นา =3= ที่บอกไม่ได้เรียนเลยนั้นก็เพราะฉันโดดเรียนไปฝึกศิลปะการป้องกันตัวกับพวกทหารนั่นเอง ช่วงโดดแรกๆ ฉันก็อ้างว่าปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำแต่ที่แท้นั้นฉันก็แอบไปดูพวกทหารเขาฝึกกันก็เลยเข้าไปฝึกด้วย พวกทหารก็คัดค้านอยู่หรอกนะแต่ฉันบอกว่า ฉันนั้นเป็นเจ้าหญิงห้ามมีใครมาขัดใจไม่งั้ยล่ะก็... ฉันพูดเพียงเท่านี้พวกทหารก็จำใจให้ฉันฝึกด้วย แต่กระนั้นครูกีวีก็ยังมาให้ฉันเรียนภาษาอยู่นั่นแหละฉันก็เลยโดทุกๆ คาบของการเรียนวิชานี้ทุกครั้งไป (เด็กเรียนโคตร = =) จนฉันโดดเรียนบ่อยๆ จนตอนนี้ก็มีวิชามาแทนที่การเรียนภาษาแสนน่าเบื่อด้วยวิชาฝึกการป้องกันตัวไปโดยปริยาย ^^

    แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะมี...

    นี่ยัยเวิร์ดนั่งเหม่ออะไรอยู่!” ยัยหนึ่งเพื่อนสุดซี้ตั้งแต่อนุบาลยันตอยนี้อยู่มัธยมปลายปีที่2 แล้ว (ม.5แหละ) เราก็ยังไม่หมดความเป็นเพื่อนกันไป ยัยนั่นหันมากระซิบถามฉันเมื่อเห็นว่าฉันนั้นมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยและนั้นก็เป็นการเรียกสติฉันให้กลับมายังปัจจุบัน

    ตอนนี้ฉันนั้นก็มาเรียนตามปกติเช่นนักเรียนทั่วไปโดยที่ทุกคนไม่รู้เลยว่าฉันนั้นหลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว

    แล้วแกเรียกฉันทำไมเนี่ย?” ฉันหันไปกระซิบตอบยัยหนึ่งถึงเหตุผลที่ถามฉัน

    ไม่เรียกได้ไง ก็อาจารย์เขาเข้าห้องมาแล้วยัยหนึ่งพูดพลางทำหน้าให้ฉันหันไปดูหน้าห้องที่ตอนนี้ที่หน้ากระดานบัดนี้ได้มีผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอาจารย์ประจำชั้นห้องเรียนฉันนั่นเอง นั้นคืออาจารย์จันทน์ผาอาจารย์สุดน่ารักของห้องเรียนฉันเอง

    เหรออาจารย์มาแล้วเหรอเนี่ยฉันพูดพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเรียนเก็บใส่ไปยังกระเป๋าเป้ใบโปรด

    กรี๊ด!!!!!” แต่ยังไม่ทันได้เก็บของใส่กระเป๋า ก็มีเสียงร้องอย่างกับโดนน้ำมนต์สาดใส่ของนักเรียนหญิงในห้องก็ดังขึ้นมาซักก่อน ก่อนที่จะตามมาด้วยแรงเขย่าอย่างแรงซึ่งนั้นก็มาจากแรงของยัยหนึ่งนั้นเอง

    กรี๊ดแกนั่นมันนายปรินซ์ที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเราเมื่อมอต้นนี่นาคำพูดประโยคนั้นทำให้ฉันถึงกลับหันไปมองหน้ายัยหนึ่งทันทีที่ยัยนั้นพูด ทำไมนายนั่นถึงได้หล่อได้บาดใจแบบนี้นะ *///*

    เมื่อยัยหนึ่งพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองที่หน้าห้องซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงทั้งห้องนั้นร้องอย่างกับโดนน้ำมนต์นั้นก็เพราะว่าคนที่ยืนอยู่แทนร่างของอาจารย์นั้นบัดนี้ได้มีร่างสูงโปร่งยืนอยู่แทนที่เขาคือนายปรินซ์ที่คอยตามหลอกหลอนฉันตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน

    ว่าแล้วทำไมโรคประจำตัวของยัยหนึ่งและผู้หญิงในห้องฉันถึงได้กำหริบขึ้นมาฉันรู้สาเหตุนั่นแล้วล่ะ - - (โรคบ้าผู้ชาย)

    นี่เธอนั่นใครน่ะหล่อจัง *///*

    ว้าย!~ คนอะไรหล่อไม่เกรงใจใคร *///*

    กรี๊ดฉันจองคนนี้แล้วนะ

    โอย ใจจะละลายแล้วและนี่เป็นแค่เสียงเพียงส่วนน้อยที่ดังเข้ามาในรูประสาทหูของฉัน จากที่เสียงที่นับไม่ถ้วนที่ผู้หญิงในห้องสรรหามาพูดเกี่ยวกับอีตาปรินซ์ที่ยืนเก๊กหน้าหล่ออยู่หน้าห้อง - -^

    ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่ออกอาการโดนน้ำมนต์เหมือนพวกผู้หญิงในห้อง นั่นก็เพราะว่า ฉันเคยเป็นมาแล้วนั่นเอง จึงทำให้ฉันมีภูมิต้านทานความหล่อของหมอนี่อยู่(บ้าง)

    “กระแอม!” อาจารย์กระแอมขึ้นเสียงดังเพื่อที่เรียกความสนใจให้กลับมายังที่อาจารย์อีกครั้ง

    และมันได้ผลเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบกันทั้งห้อง แต่ก็ไม่วายมีบ้างส่วนที่ยังส่งสายตาราวกับจะกลืนกินไปยังนายปรินซ์ที่ยืนทำเก๊กหน้าหล่ออยู่หน้าห้อง

    “ขอบคุณที่ช่วยเงียบให้ครู...เอาล่ะนี่คือเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของพวกเธอ” อาจารย์พูดพลางหันไปบอกนายปรินซ์ให้แนะนำตัว

    “สวัสดีครับ ผมชื่อนาคา ธนาวงศ์ เรียกปรินซ์ก็ได้ครับ” นายนั่นพูดจบก็ส่งยิ้มชวนฝันไปทั่วห้อง

    “กรี๊ด!!~” และนั้นก็เป็นไปตามคาดเมื่อโปรยยิ้มไปยังสาวๆ ในห้อง ยัยพวกนั้นก็ร่วมแรงร่วมใจในการกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพียง

    < -_-> โอย หนวกหูเป็นบ้าเลย

    “เอาล่ะจ๊ะ ที่ตรงไหนว่างบ้าง...” อาจารย์พูดขึ้นเรียกความสนใจของคนในห้องเป็นอย่างดี

    \>< ตรงนี้ยังว่างอยู่ค่ะอาจารย์” อาจารย์ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็คำคนยกมือแสดงตัวว่าที่นั่งข้างตนนั้นยังว่างอยู่ และที่ๆ ตรงนั้นก็เป็นที่ของคนที่คนในโรงเรียนต่างรู้จักนั่นคือยัยเบนาเล่ คนที่ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็ยอมรับว่ายัยนี่สวยน่ารักที่สุด

    อาจารย์หันไปบอกกับนายปรินซ์ก่อนที่นายนั้นจะเดินไปยังโต๊ะโดยมีสายตาของผู้หญิงทุกคนในห้องมองตามตาละห้อยพร้อมกับสายตาอิจฉาไปยังยัยเบนาเล่อะไรนั่นด้วยเช่นกัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำไป

    และความบังเอิญหรือโชคชะตาเล่นตลกเมื่อที่ๆ ว่างนั้นมันอยู่ด้านหลังฉันเอง จึงทำให้นายปรินซ์ต้องเดินผ่านโต๊ะของฉันและระหว่างที่นายปรินซ์กำลังเดินผ่านโต๊ะฉันไปนั้น จู่ๆ ปากกาที่ฉันยังไม่ได้เก็บใส่กระเป๋าก็ตกพื้นทำให้ต้องก้มตัวลงไปเก็บแต่ก่อนที่มือฉันจะไปถึงปากกาก็มีมือมายิบไปซักก่อน เมื่อจะเงยหน้าขึ้นมาจะพบว่าคนที่เก็บปากกาฉันขึ้นลงนั่นเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนใหม่ หรืออีกชื่อหนึ่งที่ฉันรู้จักดีนั่นคือนายปรินซ์นั้นเอง

    “ขอบ...” ขณะที่ฉันกำลังบอกขอบคุณเรื่องที่เขาช่วยเก็บปากกาให้ฉันเขาก็พุดแทรกขึ้นซักก่อน

    “สวัสดี แปลกใจมั้ยที่เจอฉันน่ะ” นายนี่ถามขึ้นมันเป็นคำถามที่ใครได้ยินก็ต้องงง แต่ฉันกลับไม่แปลกใจอะไรกับคำถามนั่นเลย

    “ไม่นี่ เจอนายจนเบื่อแล้วใครจะไปแปลกจงแปลกใจกัน” ฉันตอบ

    “งั้นเหรอ” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะวางปากกาฉันไว้บนโต๊ะเหมือนก่อนที่มันจะตกลงไป แล้วนายนั้นก็เดินอมยิ้มผ่านโต๊ะฉันไป

    “นี่ๆ ยัยเวิร์ดแกหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเจอจนเบื่อแล้วน่ะ แล้วๆ แกไปเจอสนิทกับนายปรินซ์ตั้งแต่เมื่อไรน่ะ แล้ว... -x-” ยัยหนึ่งหันมากระซิบกับฉันแล้วซักถามมากเรื่องจนทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นอุดปากยัยนี่ไว้ด้วยความรำคาญ

    แต่ด้วยความอยากรู้ของยัยหนึ่ง มันจึงพยายามเป็นอย่างสูงในการแกะมือฉันออกจากมือปากและความพยายามของมันก็เป็นผลเมื่อยัยหนึ่งใช้แรงทั้งหมดดึงมือฉันออกมาจากปากของมันได้สำเร็จ

    “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ” ยัยนี่ยังพยายามที่จะเอาคำตอบจากฉันให้จนได้

    “ฉันก็หมายความว่า...” หมายความว่าอะไรดีล่ะเนี่ย

    “บอกมาเร็วๆ ” ยัยเพื่อนบ้าฉันก็คิดอยู่นี่ไงว่ามันหมายความว่าอะไรอย่าเร่งสิเฟ้ย!!

    “ก็หมายความว่าฉันเกลียดขี้หน้านายนั่นน่ะสิถามได้” โอย คิดไม่ออกตอบส่งๆ ไปก่อนก็แล้วกัน

    “เกลียดขี้หน้านายนั่นเนี่นนะ?” ยัยหนึ่งยังไม่เลิกสงสัย

    “กะ ก็ใช่น่ะสิ ฉันน่ะเกลียดขี้หน้านายปรินซ์ที่สุดในห้าโลกเลยแหละ” ฉันพูดขึ้นเสียงดัง นั้นทำให้คนทั้งห้องต่างหันมายังฉันก็หมด และนั่นรวมไปถึงคนที่ฉันเพิ่งบอกว่าเกลียดขี้หน้าไปด้วยนั่นเอง

    “แกจะพูดเสียงดังทำพระแสงอะไรเนี่ย” เมื่อยัยหนึ่งเห็นว่าคนในห้องต่างมองมาทางฉันมันจึงว่าจะเป็นยกใหญ่ “เอ่อ...โทษทีไม่มีอะไรหรอกพวกเราแค่เล่นเกมพูดน่ะ จริงมั้ยยัยเวร์ด” ยัยหนึ่งช่วยแก้ต่างความผิดพลาดที่ฉันเพิ่งทำไปด้วยการให้ฉันเออออไปกับมัน

    “เอ่อ...ใช่ๆ พวกเราแค่เล่นเกมพูดกันน่ะ”

    และคำแก้ต่างของยัยหนึ่งก็ได้ผลนั่นทำทุกคนคิดว่าฉันกำลังเล่นเกมตอบคำเดียวที่เราสองคนเล่นกันประจำนั้นคือให้ฝั่งตรงข้ามถามอะไรมาก็ได้แต่ต้องตอบกลับมาแค่ประโยคเดียวเช่นฝั่งตรงข้ามให้พูดว่า น้ำ ฝั่งตรงข้ามถามอะไรมาก็ต้องตอบแค่น้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    “แกเป็นบ้าหรือไงถึงพูดขึ้นเสียงดังซักขนาดนั้น”

    “เพราะแกนั้นแหละ ถามอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ”

    “อ้าว มาโทษกันเฉยเลย”

    “ไม่รู้แหละแกแหละผิด”

    ยัยเพื่อนบ้าถามอะไรนักหนาก็ไม่รู้ นายนั่นต้องได้ยินหมดแล้วแน่ๆ แล้วนายนั่นต้องหามาทำให้ฉันต้องปวดหัวแน่หรือไม่ก็อาจจะเพิ่งวิชาเรียนให้กับฉันเป็นสองเท่าเลยก็เป็นไปได้สูงมาก T^T

    เมื่อจบคาบโฮมรูมแล้วฉันกับยัยหนึ่งก็เดินกลับไปด้วยกันเนื่องจากบ้านพวกเราสองคนนั้นอยู่ใกล้กันเพียงแต่บ้านยัยหนึ่งอยู่อีกหมู่บ้านถัดไปซึ่งเป็นหมู่บ้านสำหรับคนที่มีกะตังซื้อคฤหาสน์เป็นที่นอนนั่นหมายความว่ายัยหนึ่งนั้นเป็นลูกหนูนั่นเอง จริงๆ แล้วยัยหนึ่งนั้นมีรถมารับมาส่งเป็นประจำตั้งแต่ตอนเรียนอนุบาลจนถึงมอต้นที่บอกว่าถึงมอต้นนั้นก็เพราะว่ายัยนี่บอกกับคุณหญิงแม่ของมันว่า อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้างด้วยการเดินกลับบ้านกับเพื่อนและเพื่อนที่ว่านั่นคือ ฉันเองแหละ

    “บาย กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฉันบอกลายัยหนึ่งถึงหมู่บ้านฉันแล้ว

    “ยัยเวิร์ดแกไม่ไปค้างบ้านฉันจริงๆ เหรอ” แต่ยัยหนึ่งกลับตื่อฉันไม่เลิก เพราะระหว่างทางกลับบ้านยัยนี่ก็พยายามที่จะให้ฉันไปค้างที่บ้านมันในวันเสาร์-อาทิตย์เพราะว่าคุณหญิงแม่มันไม่อยู่บ้านเนื่องจากไปทำงานที่ต่างประเทศ

    “ไม่ได้หรอกแกฉันมีธุระน่ะ” ฉันตอบกลับไปและธุระที่ว่านั้นคือไปเรียนพิเศษการเป็นเจ้าหญิงนั้นเองฉันก็เคยประท้วงแล้วนะว่าให้ฉันพักเสาร์-อาทิตย์บ้างแต่คำตอบที่ได้ก็มีดีและร้ายเรื่องดีนั้นก็ถ้าฉันสอบปฏิบัติผ่านได้คะแนนเต็มฉันก็จะได้พักวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนเรื่องร้ายนั่นคือถ้าฉันสอบไม่ผ่านฉันจะโดนเรียนให้หนักกว่าเดิมสิบเท่า!

    โคตรโหดร้ายกับชีวิตของเวิร์ดผู้นี้ยิ่งนัก

    “ธุระอะไรเยอะเนี่ย เออๆ ฉันไปก็ได้” ยัยหนึ่งพูดจบก็เดินไปที่จักรยานที่ยัยนี่ปั่นมาจอดที่จอดรถหน้าหมู่บ้านฉัน

    ฉันเดินเข้าหมู่บ้านเข้าไปได้สักพักก็ถึงตัวบ้านที่เริ่มโทรมไปบ้างแล้วเนื่องจากพ่อกับแม่ฉัน ไม่สิต้องเรียนว่าคนที่เลี้ยงฉันมาเพราะพ่อแม่เป็นถึงกษัตริย์...จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

    เมื่อฉันเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบมาคนในบ้านมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งกันหมดทุกคนและสีหน้าแต่ละคนเหมือนมีความกังวลเรื่องอะไรกันอยู่ โดยไม่รู้สึกเลยว่าฉันนั้นได้เก้าเข้ามาในบ้านแล้ว

    “ทำไมวันนี่บ้านเงียบจัง” ฉันเอ่ยทักขึ้นเพื่อที่เรียกสติทุกคนให้กลับมา

    เมื่อทุกคนได้ยินเสียงทักของฉันทุกคนในบ้านก็พร้อมใจกันหันมามองทางหน้าประตูที่ฉันยืนอยู่

    “เวิร์ด...” ทุกคนในบ้านเอ่ยชื่อฉันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอึ้งๆ

    “ทำไมวันนี้ทุกคนอยู่กันครบทุกคนเลยล่ะเนี่ย วันนี้เป็นวันธรรมดาไม่ใช่...” ฉันยังพูดไม่จบประโยค แม่ก็ลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินมาสวมกอดฉันเอาไว้แน่

    “แม่...” แล้วเมื่อฉันกำลังจะถามว่า แม่เกิดอะไรขึ้น แม่ก็พูดขึ้นแทรกสักก่อน

    “ลูกหายไปไหนมาตั้งสามวัน รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นห่วงขนาดไหน” ดูแล้วแม่คงเป็นห่วงฉันน่าดู เพราะถ้าเมื่อฉันจะไปไหน ฉันจะต้องโทรมาบอกแม่ทุกครั้ง

    “ลูกรู้มั้ยว่าคนที่ตลาดเขามาบอกแม่ว่าลูกโดนลักพาตัวไป แล้วลูกก็หายไปหลายวันแบบนี้เราเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน TT TT” แม่ร่ายยาวถึงความเป็นห่วงที่มีต่อฉัน

    “หนูขอโทษนะ ที่หนูหายไปโดยไม่บอกแม่ คือหนูไปอยู่เป็นเพื่อนยัยหนึ่งมาน่ะ” ตอบเท่าที่ตอนนี้คิดได้ ก็นึกเรื่องที่ยัยหนึ่งชวนไปค้างบ้านมันขึ้นมาพอดี

    “แต่แม่โทรไปหาหนึ่ง หนึ่งบอกว่าลูกไม่ได้อยู่กับหนึ่งนะ” ซวยแล้วไง จะแก้ยังไงดีเนี่ย

    “โถ่ แม่ก็ไปเชื่อยัยหนึ่งมัน ยัยนั่นมันชอบแกล้งหนูขนาดไหนแม่ไม่รู้รึไง” ขอโทษนะยัยหนึ่งที่ฉันกล่าวหาว่าร้ายแกน่ะ Y/\Y

    “เหรอ” ดูท่าแม่น่าจะเชื่อที่ฉันพูด (โกหก) ไปขึ้นแล้วสินะ

    “แล้วที่หนูกลับมาบ้านก็เพราะมาเตรียมเสื้อผ้าไปอยู่กับยัยหนึ่งที่บ้านประมาณหนึ่งเดือนน่ะ”

    “ห๊า พี่จะไปอยู่บ้านพี่หนึ่งตั้งหนึ่งเดือนเลยเหรอ” ยัยสายลมน้องสาวสุดที่รักของฉันถามขึ้น

    “ใช่ แม่หนึ่งไปทำงานต่างประเทศ หนึ่งมันเหงาเลยชวนอยู่ต่อน่ะ” ฉันพูดพลางเดินขึ้นบันไดขึ้นบ้านไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง

    เมื่อลงมาชั้นล่างก็ได้พบว่าสีหน้าของคนในบ้านกลับมาดีกว่าตอนที่ฉันเปิดประตูบ้านเข้ามา มันทำให้ฉันโล่งอกของเยอะที่ทุกคนหาเป็นห่วงฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านแล้วจะได้ไปอยู่ที่วังได้สบายใจ

    “งั้นหนูไปแล้วนะค่ะ” เมื่อฉันลงมายังชั้นล่าง ฉันก็กล่าวลาทุกคนในบ้านทันที

    “จะไปแล้วเหรอลูก เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายวันนอนที่บ้านสักคืนจะเป็นไรไป”

    แต่ดูว่าแม่จะไม่ยอมแพ้ในการที่จะให้ฉันไปนอนนอกบ้าน

    “คงไม่ได้หรอกค่ะ  คือหนูกับยัยหนึ่งต้องทำรายงานที่อาจารย์สั่ง หนูจึงต้องไปทำรายงานกับยัยหนึ่งน่ะ”

    “มาทำที่นี่ก็ได้นี่นา” ยัยสายลมออกความเห็น

    “อืม ใช่ทำไมลูกไม่พาหนึ่งมาอยู่บ้านเราล่ะ” ดูแม่จะเห็นด้วยกับความคิดของยัยสายลมอยู่ไม่น้อย

    “เอ่อ...ยังไงก็ไม่ได้หรอก แม่ก็รู้นิว่ายัยหนึ่งมันเป็นลูกคุณหนูแล้วยัยนั่นก็มาอยู่บ้านเราได้ยังไงเมื่อบ้านมันเอาจะอยู่สบายกว่าบ้านเราตั้งเยอะ” ฉันพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะให้ทุกคนไม่ห้ามให้ฉันไปนอนบ้านยัยหนึ่ง (ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตามทีอะนะ)

    “หนูต้องไปจริงๆ แล้ว เดือนหน้าเจอกันนะค่าาาา” ฉันตัดบทไม่รอให้ใครที่บ้านได้คัดค้านอีก แล้วรีบวิ่งเอามาจากบ้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบโปรดที่มีของที่จำเป็นที่สุดในชีวิตเอามาด้วย

    แต่เมื่อฉันวิ่งออกมาจากประตูรั้วบ้านไม่เท่าไร หัวฉันก็ชนไม่อะไรที่แข็งๆ กว้างๆที่อยู่ด้านหน้าฉันอย่างจัง จนทำให้ตัวฉันเซถอยหลังไปหลายสองสามก้าว

    “อูยย~” ฉันร้องขึ้นเบาๆ พลางยกมือจับบริเวณหัวชนเข้า

    เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้รู้เต็มๆ ตาว่าที่ฉันวิ่งไปชนนั้นเป็นคนไม่ใช่กำแพงและคาดว่าสิ่งที่หัวฉันชนนั้นก็คงเป็นบริเวณแผนอกกว้างที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตตัวในเป็นเครื่องแบบของนักเรียนชายโรงเรียนฉัน

    และเขาเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน หรือที่คนในราชวงศ์เรียกกันว่า องครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงอะไรทำนองเนี่ย...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×