เรื่องของเรื่อง
“คุณตา และ คุณยาย”
เรื่องราวที่จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเพียงเรื่องที่ผู้แต่งได้ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง ซึ่งไม่ได้พาดพิง หรือบ่งบอกถึงบุคคลเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการสื่อถึง มุมมองความรัก ในมุมมองที่แตกต่าง ที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้พบได้ประสบมาก่อน (เรื่องราวนี้เป็นเค้าโครงเรื่องจริงของ ต่างประเทศ)
เรื่องราวของ....
ครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่ๆห่างไกลตัวเมืองและความเจริญ ประกอบอาชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ ทำไร่มะเขือเทศ และปลูกผักต่างๆไว้ประกอบอาหารเอง ครอบครัวนี้อยู่อย่างมัธยัสถ์ พอเพียง มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ลืมบอกไป ครอบครัวนี้ ประกอบด้วยบุคคลในครอบครัวเพียง สองคน คือคู่ สามีภรรยา ซึ่งทั้งสอง ต่างมีอายุราวกลางๆ 50ปีแล้ว ทั้งสองแต่งงาน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกว่าสามสิบปีมาแล้ว ทุกๆวันของเขาทั้งสองนั้นเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย และมีความสุขปกติดี
ทั้ง ตา และ ยาย สองสามีภรรยา มักใช้เวลาร่วมกันเวลาทำอาหาร หรือเก็บผัก เก็บผลไม้ ในสวนของพวกเขาเอง ทุกๆเช้า ภรรยา คือ ยายมักจะตื่นเช้าที่สุด เมื่อยามฟ้าโบกยามเช้า ยายมักจะซื้อ นมสด ของฟาร์มเพื่อนบ้านใกล้ๆ และ ขนมปังชั้นดี นำมาวางเสิร์ฟไว้ที่โต๊ะอาหาร รอชายชราที่รัก สุดขี้เซา ซึ่งมักนอนตื่นสายตื่นขึ้นมารับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นกิจประจำวันของตา และ ยาย เสมอ (ยายไม่เคยเห็นตาตื่นเช้ากว่ายายสักครั้งเดียว)
เมื่อยามสายๆของวัน ยายมักจะเดินไปตลาดผลไม้ เพื่อซื้อผลไม้ชั้นดี สดใหม่ หอบใส่ตะกร้าและนำมาฝากตาเสมอๆ( ทุกๆครั้งที่ไปตลาด ยายจะได้ผลไม้มามากๆเป็นประจำ) ส่วนช่วงยามเย็น ยายมักจะชอบ เดินชมสวนไร่ และ ให้อาหารแก่ฝูงแกะที่อยู่แถวๆนั้น เป็นประจำทุกวัน
ยามค่ำ ทั้งสองสามีภรรยา มักจะใช้เวลาร่วมกัน ทำอาหาร และนั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ตามประสาคนสูงวัย ทั้งคู่ใช้ชีวิตแบบนี้มากว่าสามสิบปี ทั้งคู่ไม่มีบุตร ไม่มีหลาน มีเพียงกันและกันเท่านั้น
ทุกๆเช้าของตา เขามักจะตื่นสายเป็นประจำๆ ทุกวัน เขาเดินตรวจตราสัตว์ในฟาร์ม และชอบพาฝูงวัวไปเดินเล่นยามรุ่งอรุณตลอดเวลา บ่อยครั้งที่คุณตาคนนี้ ชอบขี่วัวของเขา เดินทั่วท่องไปตามหมู่บ้านต่างๆในละแวกใกล้ๆ คนส่วนในหมู่บ้านใหญ่มักคุ้นเคยกับแกดี และมักมีของฝากจากเพื่อนบ้านติดไม้ติดมือกลับมาบ้านอยู่เสมอ
บ่อยครั้งที่คุณตา ชอบออกไปเดินเล่นชมทิวทัศน์สวนไร่ และเป็นเวลาเดียวกับที่ยาย มักชอบออกไปตลาด หรือไป ทำธุระข้างนอกเช่นเดียวกัน บางวันที่ฝนตก ตาและยายไม่ออกไปข้างนอก ก็มักจะมีชาวสวนนั่งรถขนฝาง นำขนมปัง ผลไม้มาให้ทุกๆครั้ง หลายๆครั้งที่อุปกรณ์ทางการไร่ หรือ ของใช้ภายในบ้านเสียหาย ยายก็มักจะหาของใหม่มาทดแทนอยู่เสมอ ทั้งที่บ่อยครั้ง ยายมักจะได้มาจากชาวบ้านที่จิตใจดี โดยไม่เสียเงินสักแดงเดียว บางครั้ง ของเหล่านั้นก็มาส่งถึงบ้านเลยเทียว เป็นการเกื้อกูลกันของเพื่อนมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยจิตใจที่งดงาม
ความสุขอันเรียบง่าย เป็นความสุขที่ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งใดๆ เพียงมีกันและกันเท่านั้น การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากว่า สามสิบกว่าปี คงเป็นรักที่มั่นคง เหนียวแน่น และเชื่อเหลือเกินว่าทั้งสองจะครองรักกันจนวันที่จากโลกนี้ไป
แต่.........ทว่า..
บางอย่างผิดปกติก็เกิดขึ้น
ทุกๆวัน ของทั้งสองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ความเงียบงัน เริ่มเข้ามาแทรกแซงรอยยิ้มในแต่ละวัน ทั้งๆที่ชายชรากำลังป่วย แต่ยายกลับไม่ได้เตรียมอาหารยามเช้าเหมือนอย่างเคย ไม่มีนม ไม่มีขนมปังใดๆ และยายก็ออกไปตลาดบ่อยครั้งมากกว่าทุกวัน แต่กลับได้ผลไม้มาน้อย หรือกระทั่งไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย ยามอาหารมื้อค่ำที่เคยแสนหวาน ก็กลายเป็นละครใบ้หน้าฉาก ซุปเย็นที่เย็นเยือกเพราะความหม่นในใจที่เย็นเสียยิ่งกว่าธารน้ำแข็ง ความเฉยชาทำให้ไร้สิ้นเสียงหัวเราะใดๆ สายตาที่ละเลยผ่าน มองดูไร้วิญญาณไร้เรี่ยวแรงบังเกิดขึ้นดังกับอยู่ท่ามกลางราตรีสงัด
แม้ว่าตาพยายามจะใช้ชีวิตดังปกติทุกวันเพียงไร แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าภรรยาของตนเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้เปลี่ยนแปลงไป ตาทนคิดว่าเป็นด้วยอายุไข และอารมณ์อันแปรปรวนที่อาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่แล้วเขาก็ทน ทนแล้วทนเล่า จนกระทั่งเขา ตัดสินใจจะถามขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบสงัดของมื้อค่ำ ว่าจริงๆแล้ว ภรรยาสุดที่รักของเขา
เป็นอะไรกันแน่!
ยายเงียบอยู่นาน ก่อนที่จะเอ่ยว่า อยากให้ตาพาไปที่ๆแห่งหนึ่ง
ตาที่แสนใจดี ยอมทำทุกๆอย่างเพื่อให้ยายนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตาตัดสินใจจะพายายไป ที่ไหนก็ได้ที่มีประสงค์จะไป
ทั้งสองคนมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ยายเดินมายังห้องผู้ป่วยคนหนึ่ง ซึ่งตาไม่ได้เข้าไปด้วย ชายชราคนนึง ที่ดูอายุราวๆคราวเดียวกับตา นอนป่วยและหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายของเขาดูอ่อนแรง แต่เหมือนว่าใจของเขายังทำงานอยู่ก็เท่านั้น
ยายเดินออกมา ด้วยอารมณ์เศร้าใจ และเดินทางกลับบ้านพร้อมกับคุณตา ขณะที่รถยนต์ขนผลไม้ของทั้งสอง กำลังแล่นไป ท่ามกลางทางถนนกลางไร่ คุณตาค่อยๆลดความเร็วลง จนกระทั่งรถหยุดกลางถนนอันเปล่าเปลี่ยว สีหน้าของทั้งสองบ่งบอกถึงความอัดอั้นตันใจ ที่มีบางอย่างอยากจะเผยออกมา ตาเปิดโอกาสให้ยายพูดในสิ่งที่ยายอยากพูดก่อน ยายไม่รอโอกาสเสียเปล่า เธอพูดขึ้นทันที ในช่วงอึดใจนั้น
ยายบอกกับตาถึงเปรยๆว่า มีเรื่องอยากจะบอกตามานานแล้ว คิดว่าตอนแรกคงจะไม่บอกจนกระทั่งวาระสุดท้าย แต่มาวันนี้เธอคงต้องบอกกับสามีของเธอเสียแล้ว
“เธอยังจำได้ไหม วันที่ฉันและเธอ แต่งงานกัน ฉันจำมันได้ดี มันคือวันที่ฉันเจ็บปวดที่สุด เพราะเราทั้งสองถูกบังคับให้แต่งงานกัน ฉันไม่เคยคิดจะชอบหรือรักเธอเลยในตอนนั้น ฉันต้องบอกเธอตอนนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ว่า ฉันรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาคือคนที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาทำให้ฉันเพราะอะไร แต่ฉันก็รักเขามานาน และไม่เคยบอกให้เขารู้ เขาช่วยเหลือฉันตั้งแต่ วันที่ฉันแต่งงาน เขาพยายามปลอบใจฉันด้วยคำพูดบางคำบนจดหมาย พร้อมกับดอกไม้ที่ให้รหัสด้วยว่า “คนข้างหลัง” หลังจากแต่งงานกับเธอ ทุกๆวันฉันก็อยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเธอมาตลอด ทั้งๆที่เค้ารู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว เขาก็ยังส่งของมาให้ฉัน เขามักมีความห่วงใยพร้อมกับมันมาด้วยเสมอมา ผ่านมาแล้วกว่าสามสิบปี เขายังคงทำอยู่อย่างนั้น ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหา เขามักจะคอยช่วยฉันอยู่ห่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องสวนไร่ของเรา อาหาร ความเป็นอยู่ ซึ่งที่เธอไม่เคยรู้ เพราะฉันไม่กล้าบอกเธอ บางครั้งฉันเคยคิดว่าอยากจะเลิกหรืออาจจะหนีเธอเพื่อไปอยู่กับเขา แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เธอจำได้ไหม ทุกๆเช้าเธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะได้กินแต่มื้อเดิมๆ คือนมสด และขนมปัง ซึ่งเธอก็คงคิดว่าฉันซื้อมัน หรือได้มามาจากที่ไหนซักแห่ง แต่อันที่จริงแล้ว มันมาจากเขา เขานำมาให้ฉันทุกเช้าที่หน้าประตู ฉันไม่เคยพบเขาหรอก แต่มันมีกระดาษเขียนไว้เสมอทุกๆครั้งว่า “คนข้างหลัง” เมื่อไหร่ที่ฉันเห็นมัน ฉันจะมีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด และเหตุผลที่ฉันชอบไปซื้อผลไม้ แทนที่จะเก็บเองเพราะ ฉันเคยพบเขาที่นั่น ที่โรงผลไม้ เขาจะใส่ชุดนั้นทุกวัน เสื้อยืด กางเกงขายาว พร้อมด้วยหมวกทรงกลม ถึงแม้เขาจะยืนหันหลังให้ฉัน ฉันก็ดีใจ ที่อย่างน้อยก็ได้พบเขา แม้แต่ตอนฉันไปซื้อผลไม้ แม่ค้าก็มักจะแถมให้ พร้อมกับกระดาษเล็กๆที่แนบมาว่า “คนข้างหลัง” เหมือนทุกๆครั้ง ฉันต้องซ่อนความจริงนี้อย่างมากมายที่สุด ฉันไม่อยากทำให้เธอเสียใจ จนกระทั่งฉันทราบว่าเขาป่วยหนัก และตั้งใจจริงจะไปเยี่ยมเขาให้ได้ พร้อมกับบอกความในใจของฉัน ในวันนี้วันที่เขาป่วยลง ฉันไม่ได้รับสิ่งใดๆอีกเลย ทั้งสิ่งของ จดหมาย และ อักษรที่เขียนบนกระดาษว่า “คนข้างหลัง” ทุกเช้าฉันไม่อยากตื่นขึ้นมา เพราะจะไม่ได้พบเขา หริอสิ่งที่เขาทำให้ทุกๆวัน ฉันไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเธอเลย ฉันขอโทษจริงๆ ที่ไม่ซื่อสัตย์ ที่ไม่ได้รักเธอทั้งๆที่ควรจะรัก ทั้งๆที่เธอคือคนที่อยู่ข้างๆฉันแท้ๆ ฉันเสียใจจริงๆ”
เมื่อความในใจที่ยายระบายให้ตาฟังจบลง ตาไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพียงแต่พูดขึ้นว่า “เธอพูดจบแล้วใช่ไหม ฉันจะได้พูดบ้าง”
ตายิ้มอย่างเปรยๆแล้วพูดอย่างเรียบๆ
“เธอบอกว่าฉันจำได้ไหมในวันแต่งงาน ฉันจะขอบอกตรงๆว่า ฉันจำมันได้ดีที่สุด เพราะเป็นวันที่วิเศษสุดในชีวิต ฉันแอบรักเธอมานานเสียเหลือเกิน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่าเธอคงจะรักผู้ชายคนนั้น เขาคือคนที่เธอสมควรได้รัก ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรให้เธอมีความสุขในวันแต่งงาน ฉันจึงต้องฝืนเขียนข้อความในกระดาษจดหมาย แล้วให้คนอื่นส่งจดหมายให้เธอ โดยทำเป็นว่า ชายที่เธอแอบรัก เขียนมาถึงเธอ เธอไม่เคยรู้ และฉันก็ไม่อยากบอก เพราะจดหมาย และดอกไม้ สิ่งนั้นทำให้วันแต่งงานของฉันและเธอ เธอเปี่ยมไปด้วยร้อยยิ้มเล็กๆ ที่รู้ดีว่าเธอมีความสุขจากจดหมายจอมปลอมที่ฉันทำขึ้นมา
ฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่าแต่งงานกลับเธอไป แล้วเธอจะยังคงเศร้าหมองเพราะมีฉันร่วมชีวิตคู่ ฉันทนเสียเธอไม่ได้ ฉันต้องเล่นละคร แกล้งแสดงเป็นเขาเพื่อทำอะไรหลายๆอย่างให้เธอ เธอไม่คิดบ้างหรือ ว่าทุกๆอย่างที่เธอได้รับจากเขา ทำไม...เธอจึงไม่เคยได้เห็นหน้า หรือได้ฟังคำพูดบางอย่างจากเขาเลย มีเพียงกระดาษแนบที่เขียนว่า “คนข้างหลัง” เท่านั้น
ใครกันล่ะ ที่เป็นคนนำนมสด และขนมปังสุดวิเศษยามเช้า มาวางใส่ตะกร้าที่หน้าบ้าน ถ้าฉันไม่ตื่นนอนก่อนเธอ แล้วไปหาสิ่งเหล่านั้นมาเตรียมไว้เสียก่อน แล้วจึงกลับไปนอนโดยให้เธอตื่นมาเจอมัน ฉันกลัวเหลือเกินว่าเธอจะตื่นมาเห็นฉัน ฉันจึงตื่นเช้ามากทุกๆวัน บางครั้งก็ฟ้ามืดอยู่ และทำให้เธอคิดว่ามันคงเป็นความห่วงใยจากเขาคนนั้นอย่างทุกๆวัน ทั้งๆที่ฉันก็ปวดใจทุกครั้งที่ทำ
ใครกันล่ะ ที่เป็นคนช่วยเหลือเธอทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องสวน เรื่องอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ทุกๆอย่างที่เธอมีปัญหา ถ้าฉันไม่เป็นคนจัดการเอง แล้วเขียนจดหมายจอมปลอมนั่นหาเธอแล้วมันก็ทำให้เธอมีความสุขทุกๆครั้ง หลายครั้งที่เธอนำสิ่งของเหล่านั้นกลับมาบ้าน แล้วแกล้งทำเป็นโกหกฉัน ทั้งๆที่ฉันเป็นคนทำมันเอง แต่ฉันก็รู้สึกดีที่เธอสุขใจที่ได้รับมัน ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นก็ตาม
ใครกันล่ะ ที่จะยอมเดินทางไกลไปตลาดผลไม้นั่น แล้วเสแสร้งแต่งตัวปลอมเป็นชายที่เธอแอบรักมานาน ถ้าวันไหนเธอไม่เห็นฉันที่ปลอมเป็นเขา ฉันรู้ได้เลยว่าเธอคงจะไม่ยอมกลับบ้านแน่ ที่เธอเชื่อสนิทใจว่าฉันเหมือนเขา เพราะเธอไม่เคยพบเขาเลยกว่าสามสิบปี เธอไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไม เวลาเธอไปตลาด ถึงตรงเวลากับที่ฉันชอบออกไปชมไร่ข้างนอก ฉันรู้มาว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งนานแล้ว ผมของเขาร่วงหมดหัว จึงใส่หมวกตลอดเวลา จึงไม่ยากที่จะปลอมเป็นเขา เพียงแค่ฉันจ่ายเงินให้แม่ค้าเป็นค่าหน้าม้า ให้เล่นละครให้เธอเชื่อใจ เธอก็หลงเชื่อสนิท ผลไม้ที่เธอได้กลับมามากมายทุกๆวัน จะเป็นเพราะใครถ้าฉันไม่เป็นคนบอกให้แม่ค้าเอาส่วนผลไม้ที่ฉันซื้อให้เธอ พร้อมกับจดหมายจาก”คนข้างหลัง” ที่หลอกลวงเธอตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา
ใครกันล่ะที่จะคอยอยู่ข้างเธอ เป็นห่วงเป็นใยเธอ ดูแลเธอ คอยปกป้องเธอให้ความรักแก่เธอ ซึ่งที่รู้ๆว่าไม่มีวันใดเลยที่เธอจะให้รักกลับมา แต่อย่างน้อยฉันก็มีความสุขใจ ถ้าในวันนี้ สามสิบปีที่ผ่านมา ที่เธอไม่เคยรู้ หรืออาจจะทั้งชีวิต ฉันก็คงจะยังทำให้เธอ เพราะฉันคงอยากเห็นรอยยิ้มของเธอทุกวัน ทุกๆอย่างที่ฉันทำลงไปไม่ได้มีอะไรเลย เพียงหวังแค่ให้เธอมีความสุขสุดใจกับสิ่งที่ คนข้างหลังคนนี้ ทำให้ตลอดมา”
เมื่อยายได้ยินคำพูดทุกอย่างจากปากของตา เพื่อนกาย ที่อยู่ข้างกายเธอมาตลอดสามสิบปี เธอก็ร้องไห้ออกมา เธอไม่ถามซักคำว่าทำไมคนที่อยู่กับเธอมาตลอดสามสิบปี ถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเธอให้เร็วกว่านี้ หรืออย่างไร เพียงแต่ร้องไห้เพราะเธอ อาจจะเสียใจ ที่มองข้าม คนข้างๆกาย โดยที่ไม่เคยจะใส่ใจเขาเลย
คุณตาเอามือลูบหัวภรรยาของเขา เขายิ้มอย่างกว้างๆพร้อมกับพูดสั้นๆว่า“เย็นนี้เราจะทำอาหารด้วยกันไหม?”
{*บทความนี้ถูกดัดแปลงจากเรื่องจริง ของสามีภรรยา ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเคยนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในแถบยุโรปเมื่อนานมาแล้ว}
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น