บ่นบ่นไทม์ : How lucky I am!? - บ่นบ่นไทม์ : How lucky I am!? นิยาย บ่นบ่นไทม์ : How lucky I am!? : Dek-D.com - Writer

    บ่นบ่นไทม์ : How lucky I am!?

    เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากจะบ่นเกี่ยวกับชีวิตประจำวันที่สุดแสนจะดวงซวยของเธอค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    99

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    99

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ส.ค. 57 / 18:45 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    สวัสดีค่ะทุกคนนน เรื่องนี้จริงๆไรท์แค่อยากเขียนขึ้นมาเล่นๆ เพราะอยากลองบรรยายอะไรหน่อยก็เลยหยิบยกชีวิตประจำวันของไรท์ขึ้นมาซักวัน ภาษาอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ว่า จะพยายามขัดเกลาภาษาให้ดีขึ้นแล้วก็จะฝึกไปเรื่อยๆค่ะ!!

    *เป็นเรื้องสั้นที่อิงจากชีวิตจริงและมีการปรุงแต่งขึ้นมานิดหน่อยนะคะเรื่องนี้*

    ปล. บี - ชื่อไรท์เองค่ะ
    บอส - ชื่อเพื่อนที่นั่งข้างไรท์ค่ะ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ว่าด้วยเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากจะบ่นนักหนาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ เรื่องดวงซวยนี่อย่างน้อยใครๆก็ต้องเจอกันซักครั้ง แต่ในวันนี้มันชักจะบ่อยเกินไปแล้วนะ!!
       
      "นี่มันวันบ้าอะไรกันฟะเนี่ย!!" เด็กสาวผมดำขมวดคิ้วพูดพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจในความเมตตาของสวรรค์ว่าทำไมช่างยุติธรรมกับเธอซะเหลือเกิน
       
      ...ใช่ ยุติธรรมมาก กับการที่เธอต้องมานั่งทำหน้าบูดอยู่ใต้ป้ายรถเมล์ในสภาพที่เปียกฝนไปเกือบทั้งตัวแบบนี้
       
      'ตั้งนานไม่เห็นท่าว่าจะตก พอก้าวเท้าออกจากประตูโรงเรียนเท่านั้นแหละ!! ทำไมฝนเจ้ากรรมมันต้องมาตกเอาตอนที่จะกลับบ้านด้วย เข้าใจมั้ยว่าจะกลับบ้าน!! วันนี้ก็วันศุกร์ด้วย มันควรจะเป็นวันที่ดีให้เหมาะกับที่คนอื่นพูดว่า 'สุขสันต์วันศุกร์' ไม่ใช่เหรอ นี่มันอะไร!! ความสุขอยู่ที่ไหน!! ความสุขคือการได้กลับไปบ้านแล้วได้เล่นคอม ได้อ่านการ์ตูนอย่างที่ตั้งใจไว้สิ ไม่ใช่ต้องมานั่งตัวเปียกแบบนี้ กางร่มก็แล้ว แต่ถ้าลมมันจะแรงขนาดนี้ ก็เหมือนตากฝนกลายๆหรือเปล่า หัวไม่เปียก แต่ทั้งกระเป๋าทั้งกระโปรง หรือจะถุงเท้ารองเท้า ก็ชุ่มน้ำแบบถ้าจะมีคนมาบอกว่า'ตากฝนมาเหรอ'ก็ไม่เชิง โอ๊ยยยยย ให้ตายเถอะ น่ารำคาญจริงๆเลยย!!!!!!!!'
       
       เด็กหญิงรัวแป้นพิมพ์โทรศัพท์เอาเป็นเอาตายอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง ถ้าเธอบ่นออกมาเป็นคำพูดได้ก็คงไม่ต้องมานั่งกดยิกๆเหมือนพวกติดโทรศัพท์แบบนี้ แต่ถ้ามานั่งบ่นอะไรคนเดียวท่ามกลางคนเยอะๆแบบนี้แถมยังร่ายยาว ชาวบ้านเขามองมาไม่หาว่าบ้าก็คงคิดว่าท่องคาถาอาคมหยุดฝนอะไรอยู่นั่นแหละ
       
       เพราะเหตุนั้นเองพื้นที่โน้ตในโทรศัพท์เลยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เธอจะระบายความรู้สึกที่แสนจะอึดอัดพวกนี้ออกไป...
       
       ซึ่งแน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้ลำบากใจแค่เรื่องฝนตกหรอก เอาเป็นว่าขอเล่าย้อนไปเป็นตอนเช้าของวันเลยแล้วกัน
      .
      .
      .
      .
      .
      .
      .
      .
       
      "เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก!!"
       
      เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ของเธอที่ตั้งไว้ได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงไก่ขันรับอรุณ เตือนเจ้าของโทรศัพท์ว่าควรลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปโรงเรียนได้แล้ว 
       
      หากแต่นาฬิกาปลุกก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าของโทรศัพท์ได้ เสียงไก่ขันที่น่ารำคาญนั่นจึงต้องเงียบเสียงลงเพราะโดนกดปุ่ม 'ปฏิเสธ' ซึ่งหมายความว่าเจ้าของรับรู้แล้วว่านาฬิกาได้ดังขึ้น เพราะฉะนั้นเจ้าไก่นั่นก็หยุดแหกปากไปซักที อะไรทำนองนั้น
       
      "เสียงไก่นี่มันน่ารำคาญจริงๆ ง่วง..... ง่วงมาก ขอนอนต่ออีกนิดนึงนะ"
       พอพูดเสร็จก็กระชับผ้าห่มขึ้นด้วยความตั้งใจว่า 'ขออีกแปปเดียว' 'อีก 5 นาทีค่อยลุก' '
      อืม ตามนั้นแหละ คงไม่สายหรอก' ข้ออ้างสารพัดลอยเข้ามาในหัวสื่อสารกันเรียบร้อย เป็นที่เข้าใจตรงกันแล้วว่าเธอตัดสินใจจะนอนต่อ แล้วมันก็เป็นแบบนี้
       
      "เฮ้ย!! สายกว่าเวลาปกติมา 15 นาทีแล้ว !!? นี่กะเวลาผิดเหรอเนี่ย!! วันนี้ใส่ชุดเนตรนารีด้วย ใช้เวลาแต่งตัวนานอีกต่างหาก เวรละไง วันนี้ไปโรงเรียนสายกว่าปกติแน่ๆ!!"
      เด็กสาวตาลีเหลือกวิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำด้วยความรีบร้อน
       
      "ยิ่งรีบยิ่งช้า!! เอาแปรงสีฟันเข้ามาแต่ก็ลืมบีบยาสีฟันอีกโว้ยย" เมื่อสิ้นเสียงโวยวายก็ได้ยินเสียงประตูเปิดปิดดังปังสองรอบติด...คงรีบจริงๆไม่งั้นคงไม่วิ่งปานสายฟ้าแลบขนาดนี้ แต่ก็สมควรแล้วล่ะ สำหรับคนที่รอให้ไฟลนตูดก่อนแล้วค่อยทำแบบนั้น
       
      แต่ที่รีบก็ใช่ว่าจะไปโรงเรียนสายหรอก แค่มันช้ากว่าเวลาที่ไปโรงเรียนปกติคือถึงก่อน 6.30 น.เท่านั้นเอง
       แต่สาเหตุที่ไม่อยากช้าเพราะกลัวจะปั่นการบ้านไม่ทันต่างหาก...
       
      'เอาไปปั่นที่โรงเรียนน่ะ มันมีสมาธิมากกว่า!! ทำที่บ้านมันกดดัน ว่าใกล้จะถึงเวลาออกจากบ้านแล้วอาบน้ำก็ยังไม่ได้อาบ แต่ถ้าอาบแล้วก็สู้ไปโรงเรียนเลยจะดีกว่า แล้วถ้าเอาการบ้านไปทำที่โรงเรียนตอนเช้าๆมันยังเงียบๆอยู่ด้วย'
       
      'มะ..ไม่ใช่ว่าไปลอกการบ้านเพื่อนหรอกนะ!'
       
      เด็กสาวรีบพูดแย้งสำหรับคนที่อ่านแล้วคิดว่าที่ขยันตื่นเช้าก็เพราะจะไปลอกการบ้านเพื่อน แต่จากเสียงที่ติดขัดแบบนั้นจริงไม่จริงดูก็รู้
       
      'แหม...มันก็ต้องมีบ้างแหละ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนมันก็ใช่ แต่เราก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียวนี่นา เรายังมีเพื่อนมีพ้อง มันก็ต้องมีพึ่งพาอาศัยกันบ้างสิ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าไง เนอะ'
       
      สำนวนสุภาษิตเริ่มถูกยกหยิบมาใช้เป็นข้อแก้ตัวซ้ำอีกครั้งหลังจากที่คิดได้ว่าแค่ใช้คำว่า'ไม่' มาปฏิเสธมันคงฟังไม่ขึ้น เลยตัดสินใจยอมรับแบบอ้อมๆ
       
      ในระหว่างทางไปโรงเรียนเป็นเรื่องปกติถ้าการจราจรจะติดขัดในช่วงเช้า บ้างก็รีบไปทำงาน บ้างก็ต้องไปโรงเรียนเหมือนกับเธอนี่แหละ
       
      แต่เพราะเธอมาเช้ากว่าเวลาปกติที่คนอื่นเขามาหน่อยถนนเลยจัดอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างโล่งและ...
       
      พรวด!!
       
      จากสีหน้าปกติแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าคนเบื่อโลกทันทีที่มีน้ำพุ่งเข้าใส่หน้าและชุดเนตรนารีของเธอเข้าอย่างจัง เป็นสีหน้าประเภทที่มองแล้วให้เดาความรู้สึกคงจะประมาณ 'นี่เราดวงซวยแต่เช้าเลยเหรอ'
       
      ขอบคุณที่สวรรค์ทรงโปรด รถโล่งมันก็ดี แต่รถเล่นซิ่งแล้วเบรคตอนที่กินน้ำอยู่นี่มัน..!!!
       
      ไอเช็ดมันก็เช็ดได้หรอกนะ แต่ความรู้สึกตอนใส่เสื้อผ้าชื้นนิดๆแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย ออกจะรำคาญด้วยซ้ำไป
       
      แต่นั่นยังเป็นแค่สิ่งเล็กๆที่เกิดขึ้นเท่านั้น เพราะช่วงเวลาในวันนึงมันยังอีกยาวไกล
      .
      .
      .
      .
      .
       
      "โว้ยยยยยยยยย นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!! ลืมหยิบใบเขียนชื่อคนมาสายลงมาเข้าแถว ทำไมต้องมานึกออกตอนที่มาถึงแถวแล้วด้วยนะ"
       
      เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามของวัน ทั้งๆยังไม่ถึงเที่ยงเลยด้วยซ้ำ จนกว่าจะหมดวันไปจะมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกี่รอบกัน....
       
      พ่วงด้วยนิสัยของเจ้าตัวที่เป็นคนขี้ลืม ความซวยเลยมาเยือนได้ง่ายขึ้นอีก แบบนี้
       
      "อ้าวเฮ้ย!! วันนี้เรียนภาษาไทย สมุดก็หยิบมาแล้ว อย่าบอกนะว่าเราลืมหนังสือเอาไว้ที่บ้าน... ถ้าเกิดอาจารย์หักคะแนนขึ้นมาจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย!!"
       
      หลังจากโวยวายกับตัวเองก็ค้นโต๊ะค้นกระเป๋าตัวเองยกใหญ่ แต่ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอจึงตัดสินใจขอยืมเพื่อนเอามาทำใบงานก่อน อาจารย์หักคะแนนก็เรื่องใหญ่ แต่ถ้างานไม่เสร็จแล้วกล่องใส่คะแนนในใบรายชื่อโล่งเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า
       
      "นี่ๆ บอสขอยืมหนังสือภาษาไทยหน่อยดิ"
       
      "ก็ได้ๆ ขอค้นใต้โต๊ะแปปนะ"
       
      ระหว่างนั้นเองก็เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
       
      "บี... อันนี้หนังสือภาษาไทยใครก็ไม่รู้อะ"
       
      ขวับ!!
       
      ทันควัน เด็กสาวรีบหันมาอย่างไม่ลังเลด้วยความรู้สึกลุ้นสุดๆ ถ้าหนังสือเล่มนั้นเป็นของเธอก็เท่ากับว่าเธอรอดจากวิกฤตครั้งนี้แล้ว
       
      "อ้าว นี่หนังสือของเรานี่... แล้วมันไปอยู่ไหนอะ"
       
      "โทษทีตอนนั้นเราเผลอหยิบกลับบ้าน"
       
      "............................."
       
      ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอ หากแต่สิ่งที่จะสื่อสารคือสีหน้าที่เรียบเฉยแต่กลับสามารถสัมผัสได้ว่าคงจะหงุดหงิดอยู่แน่ๆ
       
      แหงล่ะ เธอนั่งค้นแทบตายนึกว่าลืมเอามา คิดไปสารพัดนู่นนี่ว่าจะโดนหักคะแนนแต่สุดท้ายหนังสือกลับไปอยู่ในกระเป๋าเพื่อนข้างๆ
       
      'รู้สึกดีสุดๆไปเลยค่ะ เมื่อกี้ที่เสียเวลาค้นตั้งนานไม่รู้สึกเสียแรงเลยจริงๆ....'
       
      ถ้าให้หาคำพูดมานิยามความรู้สึกของเธอในตอนนี้คงจะเป็นแบบประโยคด้านบนล่ะนะ
       
       
      นี่ยังไม่นับความโชคดีก่อนหน้านี้ที่ต้องยัดน้ำตะไคร้และน้ำอัญชันเข้าไปในท้องรวมกันประมาณ 6 แก้วถ้วนด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าทำแล้วกินไม่หมดจะโดนหักคะแนน.... น้ำมันคงเกินครึ่งกระเพาะไปแล้วมั้งเนี่ย อิ่มจะแย่อยู่แล้ว
       
      ดูไม่ค่อยจะอะไรเท่าไหร่ แต่ขอนับว่าเป็นความซวยอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าไม่โดนเองจริงๆคงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน
       
      "ไม่โดนอย่างฉันใครจะเข้าใจ ว่ามันทรมานมากเพียงเท่าไร ทำเหมือนกินหมดแล้วจะได้เต็ม แต่สุดท้ายหลอกกันทุกที~"
       
      เนื้อเพลงที่ผ่านการประยุกต์แล้วนำมาใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ลอยเข้ามาในหัวทันที ขอบคุณเพลงต้นฉบับจาก นิoจิ๋o 
       
       
       
      และต่อไปขอเล่าเหตุการณ์สุดอับโชคเป็นรายการสุดท้ายก่อนจะขึ้นรถกลับบ้านในวันนี้
       
       
      หลังจากที่อาจารย์สั่งเลิกคาบในวิชาสุดท้ายของวันนี้ นักเรียนก็ทำความเคารพและต่างก็ค่อยๆทยอยเก็บกระเป๋ารีบกลับบ้านกันตามปกติ
       
      อาจจะรีบกลับเพราะจะรีบเคลียร์งานที่อาจารย์ให้มาก็เป็นส่วนหนึ่ง รีบกลับเพราะจะไปเที่ยวข้างนอกต่อก็มี หรืออย่างปกติหน่อยก็จะรีบกลับบ้านไปนอนเล่นคอมเล่นเกมอย่างที่เป็นกันปกติทั่วไป
       
      ซึ่งที่ว่ามานั่นก็ไม่ได้กล่าวถึงตัวเธอเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่จะกลับบ้านเป็นคนท้ายๆของห้องต่างหาก
       
      แต่สาเหตุหลักที่กลับบ้านช้าก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทำความสะอาดห้องบ้าง อยู่ทำการบ้านต่อบ้าง กิจกรรมพวกนี้ก็คละๆกันไป จริงๆให้พูดให้ถูกควรจะเป็นหาอะไรทำฆ่าเวลามากกว่า เพราะบางวันก็กลับบ้านเอง บางวันพ่อแม่ก็สะดวกมารับแล้วแต่จังหวะ
       
      และในวันนี้ก็เป็นอีกวันที่พ่อแม่ของเธอมารับ เนื่องจากวันนี้เป็นศุกร์และอยู่ในช่วงต้นเดือน การจราจรเลยอาจจะติดขัดกว่าปกติหน่อย
       
      แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะที่โรงเรียนก็ยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน
       
      ระหว่างรอก็นั่งเล่นโทรศัพท์ คุยกับเพื่อน และก่อนจะกลับบ้านก็ช่วยจัดบอร์ดหน้าห้องเนื่องในเทศกาลฮาโลวีนเล็กน้อย ถึงจะแอบสงสัยเล็กๆก็เถอะว่าอีกตั้งเกือบสองเดือนจะรีบจัดไปทำไม
       
      และในตอนที่กำลังคิดฟุ้งซ่านไปทั่วอยู่นั่นเองก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
       
      กริ๊ง~
       
      เสียงโทรศัพท์ของเด็กสาวดังขึ้น ทันทีที่กดรับสายเสียงของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นมาบอกว่าให้เดินไปที่หน้าปากซอยได้แล้ว ทางเด็กสาวที่พยักหน้ารับทราบคุยกับปลายสายเสร็จสรรพแล้ว ก็เตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านตามระเบียบ
       
      จนกระทั่งเดินลงจนใกล้จะถึงทางออกโรงเรียน ลมเริ่มพัดแรง และฟ้าก็ครื้มเล็กๆ ดูแล้วคงเดาได้ไม่ยากว่าเดี๋ยวฝนคงตกอีกแน่ๆ
       
      "ทำไมต้องมาตกตอนที่จะกลับบ้านด้วยนะ... แต่เอาเถอะ คงไม่แรงมากหรอกมั้ง รีบเดินไปดีกว่า"
       
      ว่าแล้วก็พูดไปกางร่มไปพลางภาวนาขออย่าให้ฝนอย่าตกหนักมาก เพราะเธอยังอยากกลับบ้านในสภาพดีๆไม่ใช่ในสภาพลูกหมาตกน้ำ ไม่ใช่ว่าอายหรืออะไรแต่ด้วยความรำคาญเสื้อผ้าที่เปียกล้วนๆ
       
      แต่ทว่าฟ้าก็ไม่ได้เป็นใจให้เธอเลย ซักนิดก็ไม่
       
      ซ่าาาาาาาาาาา~
       
      เสียงเม็ดฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่ขาดสายและเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอคงไม่เป็นอะไรหรอกถ้ายังกางร่มเอาไว้ แต่มันไม่ได้มีแค่นั้นน่ะสิ
       
      'ฟิ้วววววว~'
       
      ลมที่เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพัดลมมาอย่างเดียวจะไม่ว่าแต่ดันพัดเม็ดฝนมาด้วย แบบนี้ก็เปียกหมดสิครับ!!
       
      "ไม่นะะ ไมมมมมม่!!! ...คุณฝนคะ ได้โปรดอย่าตกแรงไปมากกว่านี้เลยค่ะ แค่นี้เอกสารและหนังสืออยู่ในกระเป๋าจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ ฝนช่วยซาลงด้วยเถอะนะคะได้โปรด!!!"
       
      แต่ฝนกลับตกหนักขึ้นราวกับเสียงที่เธอได้พร่ำบ่นมาส่งไปไม่ถึง หรือไม่ก็มีคนไปกลับคำพูดเธอ ฝนจึงได้ตกหนักขึ้น...และหนักมากขึ้นอีกเรื่อยๆ
       
      "เมื่อไรจะเดินไปถึงต้นซอยซักทีนะ ฝนก็จะตกแรงเกินไปแล้ว!! ทำไม!! ทำไมต้องมาตกตอนจะกลับบ้านด้วย อย่างน้อยก็รอให้เราขี้นรถไปก่อนได้มั้ย ออกจากโรงเรียนปุ๊ปฝนก็ถล่มลงมาปั๊ป ยังกับมีคนมาตัดริบบิ้นเชิญคุณฝนถล่มลงมาสู่ผืนดินทันทีที่เราเดินออกจากโรงเรียนอยู่อย่างนั้นแหละ!!!!! ซวยจริงๆเลยเว้ยเรา!"
       
      ในระหว่างที่เดินไปบ่นไปอยู่นั้น เธอรู้สึกว่าซอยในโรงเรียนมันดูเหมือนจะยาวขึ้นและเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ครู่หนึ่งเพราะเดินเท่าไรก็ไม่ถึงซักที
       
      ผ่านไปสักครู่จนในที่สุดเธอก็เห็นป้ายรถเมล์ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความดีใจและรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรไปบอกแม่ว่าเดินมารออยู่ที่หน้าปากซอยแล้ว
       
      "แม่ขับรถวนเข้ามารับในซอยเนี่ย เดินออกไปทำไม อย่างน้อยถ้าจะถึงแล้วก็ช่วยโทรมาบอกก่อน 5 นาทีได้มั้ย แล้วยืนอยู่ตรงนั้นแม่จะไปเห็นไหม ดูซิ ฝนมันตกแรงขนาดไหน กระจกรถมันก็โดนฝนบังหมดแล้ว บลาๆๆๆๆๆ"
       
      "..............."
       
      ภายใต้เสียงที่เงียบเชียบนั่น ในใจของเธอกำลังประท้วงกับแม่อย่างจริงจังว่า 'ให้เดินไปมือนึงถือร่ม อีกมือนึงก็ต้องประคองกระเป๋าที่สะพายเอาไว้ข้างหน้าข้างเดียว จะให้เอาแขนที่สามจากไหนมาโทรศัพท์คะ' แต่ก็ว่าไปนั่น เพราะถ้าเธอตอบกลับไปจริงๆมีหวังได้โดนเทศน์ยาวอีกแน่
       
      สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้เลยคงเป็นแค่รับฟังหญิงผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านบ่นไปก็เท่านั้น เจอหน้ากันบนรถอีกทีไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
       
      ทันทีที่รถจอดอยู่ข้างทางเดินเท้า เด็กสาวก็รีบวิ่งไปเปิดประตูและเข้าไปในรถด้วยความเร็วแสงอย่างชำนาญ(?)ก่อนจะจัดการวางกระเป๋าของตัวเองให้เรียบร้อยและมองดูกระโปรงและสภาพถุงเท้ารองเท้าที่เปียกแบบที่ไปวิ่งตากฝนมาเลยเพียวๆก็คงมิปานด้วยสีหน้าหม่นๆ
       
      จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้นี่นะ ที่ทำได้ก็แค่รับสภาพตามความจริงไปก็เท่านั้น
       
      และความซวยประจำวันก็จบลงด้วยคำว่า 'ขอโทษค่ะ' ถี่ๆที่เด็กสาวตอบกลับทุกช่วงที่แม่ของเธอเว้นช่วงพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดหน่อยๆ
       
      เก็บตกข้อมูลจากเด็กสาวคนนี้หน่อยคือเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้เกรงใจคนแล้วก็ขอโทษคนอื่นตลอดแม้กระทั่งจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
       
      ขนาดชนเสาแล้วไปพูดขอโทษใส่เสาก็ยังทำมาแล้ว!!
       
      เพราะพูดคำว่าขอโทษจนติดปาก เลยมีเพื่อนแนะนำบอกให้นับว่าวันหนึ่งพูดคำว่าขอโทษไปกี่ครั้ง
       
      และสำหรับวันนี้คำว่า 'ขอโทษค่ะ' ก็ออกมาจากปากของเธอรวมแล้ว 32 ครั้งถ้วน โดยที่ยังไม่ได้นับคำว่า 'ขออภัยค่ะ' ไปอีก 4 ครั้ง
       
      เธอไม่ได้ใช้คำว่าขอโทษเพื่อตัดบทสนทนาหรอกนะแต่ที่ต้องพูดบ่อยคงเพราะมีเรื่องต้องชนกับคนอื่นบ่อย หรือบางทีเวลาที่เพื่อนยุ่งแล้วไปกวนบ้าง หรืออาจจะเป็นตอนที่เพื่อนทำงานกลุ่ม แต่เธอมีส่วนร่วมด้วยไม่มากรู้สึกผิดก็พูดขอโทษไป
       
      ไม่ใช่แค่พูดบางทีมีโค้งตัวให้ด้วยก็มี จนคนอื่นๆเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่พิลึกหน่อยๆแต่มันก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
       
      และหนึ่งในวันซวยๆของเธอก็ได้จบลงแบบนี้แหละ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×