ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Just a friend #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #7 : S C R U M [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.68K
      689
      17 เม.ย. 64



    S C R U M



         กริ้งง! 

         เสียงกระดิ่งสั่นเตือนเมื่อประตูร้านถูกเปิดออก คนตรงหน้าเคาน์เตอร์เงยขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้ผมที่เดินเงอะงะเข้าไปด้านในของตัวร้าน วันนี้ก็มาเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวานอีกเช่นเคย ช่วยไม่ได้นะที่ตอนกลางวันอากาศมันแผดเผาจนผมไม่สามารถที่จะลากตัวเองออกมาเผชิญหน้ากับพระอาทิตย์ดวงโตนั้นได้

         ก็เลยต้องมาในตอนเย็นแทน

         แต่กว่าจะผละจากลูกชายสุดที่รักได้ก็เริ่มมืด จากมืดไม่เท่าไหร่ ใช้เวลาเดินเท้ามาจนถึงร้านก็พอดีอะ..ตอนนี้ในร้านไม่มีใครเลยนอกจากพี่ธาร

         “สวัสดีค้าบบบบบ” เปิดเข้าไปในร้านได้ก็เอ่ยทักทายร่างสูงที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์

         “พี่คิดว่าจะไม่มา เตรียมขนมไว้หลายอย่างเลย นึกว่าตัวเองจะถูกน้องสาวบ่นหูชาแล้ว” เจ้าของร้านถอนหายใจเฮือกออกมา ดูเหมือนว่าการที่ผมโผล่มามันจะเป็นการช่วยชีวิตพี่เขาเอาไว้สินะ! ที่จริงถ้าผมเป็นน้องสาวพี่ธารผมก็จะว่าเหมือนกันนั่นแหละ

         ขนมที่ร้านพี่เขาโคตรจะอร่อย ผมจะกินเหลือยังเสียดายเลยอะ น้องสาวเขาก็ต้องคิดแบบเดียวกันกับผมนั่นแหละ

         “ผมสัญญาแล้วว่าจะมา ลูกผู้ชายอะพี่ คำไหนคำนั้น” ยืดอก ชูหมัดขึ้นอย่างแข็งขัน เห็นผมทำท่าแบบนี้ เจ้าของร้านก็หัวเราะร่วนเลยทีเดียว ส่ายหัวไปมาก่อนจะบอกให้ผมนั่งลงขณะที่พี่เขากำลังเช็ดทำความสะอาดแก้ว

         “นั่งก่อนสิ พี่ขอเวลาแป๊บเดียว” 

         “พี่ไม่มีลูกจ้างเลยเหรอ ครั้งก่อนที่มาผมก็เห็นว่าพี่อยู่คนเดียว” บรรยากาศในร้านนั้นเงียบสนิท ปกติแล้วก็น่าจะมีผู้ช่วยสักคนหรือสองคนไม่ใช่หรือไง ทำคนเดียวคงไม่ไหวหรอก 

         “มีสิ แต่กลับกันหมดแล้ว อีกคนมีสอบ ส่วนอีกคนก็เรียนเช้า ถ้าเข้มอยากเจอก็ต้องมาเร็วกว่านี้อีกหน่อย ส่วนใหญ่พี่จะรับพนักงานเป็นเด็กมัธยม ไม่ก็เด็กมหา’ ลัยแบบเรานี่แหละ จะได้มีค่าขนมกัน เข้มสนใจหรือเปล่าล่ะ พี่จะพิจารณาเป็นพิเศษเลยนะ” 

         “ไม่อะพี่ แค่คิดว่าจะต้องมาคอยยิ้ม ถามคนนั้นคนนี้ว่าจะรับอะไรดี ผมก็รู้สึกเมื่อยหน้าแล้ว” ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลยเหอะ 

          ผมไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้หรอก ใจผมมันไม่ได้รักงานบริการขนาดนั้น วันแรกๆ อาจจะกระตือรือร้นอยู่ แต่ทำไปนานๆ เข้าก็คงจะเบื่อ แล้วของแบบนี้จะมาขอเลิกทำด้วยเหตุผลว่าเบื่อได้ยังไงกัน

         “น่าเสียดาย แต่ก็เอาเถอะ พี่ไม่ได้คาดหวังว่าเข้มจะต้องตอบตกลงอยู่แล้ว” 

         “ขอโทษทีนะพี่ แต่วันนี้ผมมาแล้ว พี่ต้องห้ามลืมที่สัญญานะเว้ย..บอกชื่อน้องมาเลย” ความจำผมดีนะบอกไว้ก่อน ไม่ลืมหรอกที่พี่เขาพูดเมื่อวานอะ

          “โอเคๆ พี่บอกแน่ นั่งก่อนสิ..เดี๋ยวพี่หยิบขนมให้ ไม่กี่วันก่อนเพิ่งลองประบสูตรขนมใหม่ พี่อยากให้เข้มช่วยชิมหน่อยว่ารสชาติมันเป็นยังไง” เสียงทุ้มชวนฟังของพี่ธารเหมือนกับมือที่มองไม่เห็นชักจูงให้ผมเดินไปนั่งลงอย่างว่าง่าย 

         ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ได้โกโก้ปั่นมา 1 แก้ว 

         “ผมยังไม่ได้สั่งเลยนะ” 

         “อันนี้แถมครับ” 

         “ไม่เอาดิพี่ ไหนบอกไม่ฟรีแล้วไง” 

         “ไม่ได้ฟรี แต่ช่วงนี้ร้านพี่มีโปรโมชั่นน่ะ ซื้อขนม 2 ชิ้นขึ้นไป แถมฟรีน้ำ 1 แก้ว” พี่ธารยิ้มบอกดูปกติ แต่ผมว่ามันแหม่งๆ เกินไปหรือเปล่าวะ หรือว่าผมจะคิดมากไปเอง 

         เนาะ ผมอาจจะแค่คิดไปเอง

         “ได้พี่ งั้นจัดขนมมาก่อนเลย ที่เหลือพี่เอาใส่กล่องให้ผมนะ จะเอาไปฝากเพื่อน” 

         “หมดเลยเหรอ” 

         “ใช่ๆ พี่เหลือไว้ให้ผมใช่ไหมล่ะ” ก็ใช่ว่าผมจะกินพวกมันหมดหรอก จริงอยู่ว่าชอบ แต่ก็ไม่ได้ชอบถึงขนาดว่ากินได้ทีละเยอะๆ ซะเมื่อไหร่ ชิ้นหรือสองชิ้นก็มากพอที่จะทำให้ผมเลี่ยนได้แล้วล่ะ เพียงแต่ที่ซื้อกลับไปหมดเพราะพี่เขาตั้งใจเหลือเอาไว้ให้ไง 

         ดูเป็นคนดีเนาะ

         แต่จะบอกว่า..กระซิบเลยนะ ผมจะเอาขนมไปติดสินบนน้องสกายเว้ย ครั้งหน้ากวนตีนไอ้กำปั้นจะได้มีคนช่วยแทงค์ให้

         ความคิดโคตรจะดีเลยใช่ไหม 

         “กี่บาทอะพี่ จ่ายเงินก่อนเลย ..วันนี้ผมคงอยู่ไม่นาน เดี๋ยวเพื่อนมารับ” 

         ผมบอกกับไอ้หินเอาไว้ว่าจะเข้ามาที่ร้านของพี่ธาร ก่อนหน้าที่จะถึงก็เพิ่งส่งข้อความบอกมันไป มันก็เลยบอกว่าจะมารับหลังจากที่จัดการกับภาระงานของบ้านตัวเองเสร็จ เกิดมาในตระกูลใหญ่โต ธุรกิจรัดตัวก็อย่างนี้แหละ วุ่นวายไปหมด แถมตอนนี้ยังต้องคอยควบคุมพฤติกรรมน้องชายอีก 

         ก่อนจะมารับผมก็คงไปแวะไปรับเหมันต์ก่อนล่ะมั้ง

         น้องมันชื่อโคตรเท่เลยเนาะ

         แต่ผมชอบชื่อไอ้หินมากกว่า ดูธรรมดาดี ถึงตัวคนจะไม่ธรรมดาเหมือนชื่อก็เถอะ

         “แย่เลย พี่อุตส่าห์คิดว่าเราจะได้คุยกันนานๆ” พี่ธารทำเสียงค่อย ใบหน้าดูหม่นหมองลงจนผมรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่จะทำยังไงได้ ไอ้หินมันก็บอกแล้วว่าจะมารับอะ 

         “ไว้คราวหน้านะพี่ ผมจะมาเร็วๆ เลย ไม่มาตอนร้านปิดแล้ว” 

         แต่คงไม่ใช่วันสองวันนี้หรอก 

         มีเวลาว่างเมื่อไหร่ค่อยมานั่งเล่นที่ร้านพี่ธาร เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง จะได้มีแพสชั่นในการใช้ชีวิต

         “พูดแล้วนะ ถ้าไม่มาพี่คงน้อยใจแย่” 

         ขนาดนั้นเลยเหรอวะ

         แต่คำพูดพี่เขามันฟังดูแปลกๆ เข้าไปทุกที

         คิดไปเองอีกแล้วเหรอ

         ผมพยักหน้าลงและไม่ได้ตอบอะไรอีก เผยอริมฝีปากงับลงไปบนหลอด ดูดกลืนน้ำโกโก้ปั่นที่เริ่มละลายลงคอไปหลายอึก รสชาติหวานมันขมเล็กน้อยติดปลายลิ้นมันช่างดีจริงๆ ทำอะไรก็อร่อยไปหมดเลยอะเจ้าของร้านนี้

         “โกโก้ปั่นอร่อยว่ะพี่” 

         “ไม่หวานไปใช่ไหม” 

         “กำลังดี ผมโคตรชอบเลย” รสนี้แหละที่ใช่ ปกติผมก็ไม่ได้ติดหวานอยู่แล้ว ขอแบบพอดีๆ ก็พอ

         “เข้มชอบก็ดีแล้ว” เสียงทุ้มดังห่างออกไปเมื่อเจ้าตัวเดินไปจัดเตรียมขนมใส่ลงจานให้กับผม เอามาวางลงตรงหน้า จากนั้นก็จัดที่เหลือใส่กล่องตามคำที่ผมบอก ปล่อยให้ผมนั่งละเมียดชิมรสชาติของเค้กตรงหน้าเพียงคนเดียว 

         เนื้อสัมผัสมันแปลกๆ แต่ก็เป็นความแปลกที่ลงตัวและอร่อยมาก 

         “อันนี้ไม่เคยกิน อร่อยๆ มันชื่อเค้กอะไรเหรอพี่ธาร มีเม็ดขนุนด้านบนด้วย” 

         “เค้กเม็ดขนุนนั่นแหละ พี่ปรับสูตรมาใหม่ เมื่อก่อนจะหวานกว่านี้” เจ้าของร้านว่า เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์ขณะที่กำลังจ้องผมกิน

         “อือๆ กินกับโกโก้ปั่น โคตรจะเข้ากันเลยพี่” อยู่มาตั้งนาน เพิ่งจะรู้จักเค้กเม็ดขนุน หน้าตาและสีสันอาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนเค้กชนิดอื่นแต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่ได้เลย สำหรับผมมันอร่อยกว่าเค้กที่เอากลับไปเมื่อวานอีก

         “มีเยอะป่ะพี่” 

         “สองชิ้น อีกชิ้นพี่เอาใส่กล่องให้แล้วครับ” 

         “เยี่ยม เพื่อนผมต้องชอบแน่ๆ” ยิ้มร่านึกไปถึงไอ้หิน มันต้องไม่เคยกินเหมือนผมแน่ๆ อะ เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยได้เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองชอบกินของพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อวานที่ผมแบ่งเอาไว้ให้ชิมมันก็กินหมดนะ 

         ก็ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนแบ่งเอาไว้ให้ ถ้าไม่ใช่ผม ไอ้หินมันก็ไม่กินหรอก

         “เข้มมีเพื่อนเยอะเลยล่ะสิ” 

         “หืม? ผมเหรอเพื่อนเยอะ ทำไมคิดงั้นอะ” จะว่าเยอะก็ใช่อยู่หรอก แต่เท่าที่สนิทกันก็อย่างที่เห็นๆ นั่นแหละ กับคนอื่นไปดื่มเหล้าบ้าง เที่ยวด้วยบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าขลุกอยู่ด้วยกันที่ห้อง หรือเล่าอะไรให้ฟังเวลามีเรื่องทุกข์ใจ จะว่าไปแล้วกับคนที่ผมมักจะปรึกษาอะไรหลายๆ เรื่องด้วยก็มีแค่ไอ้กำปั้นนั่นแหละ

         มันเป็นผู้ฟังที่ดี อีกทั้งในบางครั้งก็มีข้อแนะนำกลับมาด้วย ผมก็เลยค่อนข้างที่จะไว้ใจ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจคนอื่นนะ แค่กับไอ้ปั้นนั้นเหมาะที่สุดที่จะปรึกษาด้วย

         “เราดูเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พี่ก็มีเพื่อนคล้ายๆ เข้มเหมือนกัน คุยเก่ง กับใครก็สามารถคุยด้วยได้หมด แบบเดียวกับที่เข้มเป็นเลย” 

         “แล้วมันดีไหมอะพี่” 

          “ดีสิ ใครๆ ก็ชอบคนที่เข้าหาได้ง่ายทั้งนั้นแหละ” พี่ธารยิ้มบอก จับเอาถุงใส่กล่องขนมตั้งลงมาตรงหน้าผมพร้อมกับเงินทอนหลังจากที่เราคุยเรื่องอื่นกันอยู่นานจนผมเกือบที่จะลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้รับมัน

         เก็บลงกระเป๋าพร้อมกันกับที่โทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้นมา 

         ผมคิดว่าคงจะเป็นไอ้หิน


         HIN


         จริงๆ ด้วย

         “เพื่อนผมน่าจะกำลังมาแล้ว” ผมเอ่ยบอกกับเจ้าของร้าน เงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปด้านนอกพลางกดรับสาย ยกโทรศัพท์แนบหูพลางๆ 

         “โหล” 

         [ร้านที่มึงว่าอยู่ตรงไหน] เสียงทุ้มราบเรียบดังลอดออกมา แค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าเพื่อนผมกำลังอารมณ์ไม่ดี คิดว่าคงจะเป็นเพราะน้องชายของมันหรือเปล่า พี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะถูกกันอยู่ด้วย ผมเห็นอยู่ด้วยกันทีไรก็ต้องได้ทะเลาะกันทุกที

         “กูส่งไปในไลน์แล้ว” 

         [อืม กูไปส่งไอ้เหมต์ที่ห้องก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปรับ] 

         “ที่จริงกูกลับเองก็ได้” อากาศไม่ร้อน ผมไม่ขี้เกียจที่จะเดินหรอก ถึงจะรู้ว่าไอ้หินมันชอบผมและเต็มใจที่จะมารับ แต่ผมก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน ไปส่งน้องชายที่ห้องไม่พอ ยังต้องขับรถกลับออกมาอีก “มึงไปรอที่ห้องเลยก็ได้ กุญแจมีนี่” 

         [จะไปรับมึง] 

         “งั้นก็ตามใจ ไม่ต้องรีบขับนะรถอะ กูรอได้” 

         ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับไอ้หิน พี่ธารก็มองมาเช่นกัน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลา พี่เขาดูเหมือนกำลังฟังผมคุยโทรศัพท์ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่เช่นกัน อาจจะมองเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้เจาะจงฟังอะไร เพราะเวลาที่เผลอไผลไปและได้สติคืนหลับมา ผมก็มักจะถูกจับจ้องอยู่เสมอ 

         คนหน้าตาดีก็ต้องทำใจหน่อยอ่ะนะ

         ฮ่าๆ

         ผมแค่คิดเล่นๆ จะได้ไม่ต้องใส่ใจมาก ถ้าพี่ธารอยากมองก็ให้มองไป ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาคิดอะไรอยู่ก็เถอะ

         “เพื่อนผมมันไปส่งน้องชายที่หอพักก่อน ..พอดีอะ ผมกินเค้กเสร็จพอดี พี่ยังไม่ได้บอกชื่อน้องกับผมเลยด้วย!” ผมบอกออกไป ก้มหน้าลงกินขนมเค้กที่เหลืออยู่ในจานต่อ

         “ครับๆ พี่บอกแล้ว” พี่ธารว่าพลางหัวเราะ “แมวพี่ชื่อผักกาด น้องสาวเป็นคนตั้งให้” 

         “ผักกาด? เห้ย น่ารักอะพี่” 

         “ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกพี่ก็ว่ามันแปลก แต่พอเรียกบ่อยๆ เข้าก็คิดว่ามันน่ารักอยู่เหมือนกัน” เล่าไปก็ยิ้มไปด้วย ไม่ต่างจากเวลาผมพูดถึงไอ้เสือหรอก เรามันทาสแมวเหมือนกันนี่เนอะ ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องไหนก็ดูจะเอ็นดูไปหมด

         “พี่เคยพาน้องมาที่นี่ไหมอะ” 

         “เคยนะ เข้มอยากเจอผักกาดเหรอ” 

         “อื้อๆ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะพี่” ผมก็แค่ถามไง เผื่อบังเอิญว่าวันไหนพี่เขาจะพามาอีก วันนั้นผมจะได้แวะเข้ามาหาไง แต่ถ้าไม่พามาก็ไม่ได้รบเร้าอะไรเพราะเข้าใจอยู่ว่าสถานที่มันไม่เอื้ออำนวย จะเอาสัตว์เลี้ยงมาปล่อยไว้ก็คงไม่ใช่เรื่อง

         “นั่นสิ ปกติเวลาเอาผักกาดมา น้องสาวพี่จะมาด้วย แต่ช่วงนี้เจ้าตัวเขาไม่ค่อยว่างน่ะสิ พี่เลยไม่อยากพาผักกาดมาทิ้งไว้ ..เอาแบบนี้ดีกว่าไหมครับ บ้านพี่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ วันไหนเข้มเลิกเรียนเร็วก็มาหาพี่ที่ร้าน เดี๋ยวพี่พาไป” 

         “ห้ะ แต่ผมเพิ่งรู้จักกับพี่เองนะ ชวนไปบ้านได้อ่อ” อันนี้ตกใจจริงๆ ไม่ใช่ตัวแสดงแทน ที่อ้าปากค้างอยู่นี่ก็ผมจริงๆ เพราะไม่คิดว่าพี่ธารจะชวนไปบ้าน 

         “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เอาเสือไปด้วยก็ได้ ผักกาดมันใจดี” พี่ธารไหวไหล่ ดูเหมือนจะไม่คิดอะไรจริงๆ

         ผักกาดน่ะใจดี แต่ไอ้ลูกชายผมนี่สิ กับคุณแอนดริวไม่ก้าวร้าวแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ก้าวร้าวกับแมวตัวอื่นไง

         “เสือมันโคตรดุเลยอะดิพี่” 

         “จริงเหรอ พี่ก็อยากลองปราบดูนะ พามาเถอะ บ้านพี่มีขนมเยอะ..ทั้งของคนแล้วก็ของแมว” 

         ถึงกับต้องเอาขนมมาล่อกันเลยทีเดียว

         ผมได้แต่ยิ้มแห้ง เริ่มจะตงิดใจกับแต่ละคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมา ตอนแรกก็ใช่ว่าจะไม่เอะใจอะไรเลยนะ แต่ถ้าผมมั่นอกมั่นใจมากเกินมันก็จะดูหลงตัวเองไปหน่อย ก็เลยคิดเผื่อๆ เอาไว้ว่าท่าทางของพี่ธารมันเป็นแค่ท่าทางของคนใจดีทั่วไปก็เท่านั้น

         “ช่วงนี้ผมไม่ว่างเลยดิ งานเยอะมาก” 

         “สะดวกวันไหนก็บอกพี่นะครับ” พี่ธารพยักหน้าลง ดูเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จ้องหน้าผมสักพักก่อนจะพูดต่อ “พี่ว่าจะถามแต่ก็ไม่รู้ว่าคำถามมันจะส่วนตัวเกินไปหรือเปล่า” 

         “ถามไรอะพี่ ถ้าผมตอบได้ก็ตอบ” 

         “เข้มมีแฟนหรือยัง” 

         “พรืด! แค่กๆๆ อึก แค่ก” น้ำที่ดูดลงคอไปพุ่งพรวดออกมาหลังสิ้นสุดคำถาม สำลักขึ้นจมูกเลยด้วย โอยยย ผมหลับหูหลับตาไอ ยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองอย่างอับอาย ได้ยินเสียงพี่ธารเรียกชื่อผมดูตกอกตกใจรีบลูบหลังให้ยกใหญ่ 

        “น้องเข้ม! โอเคหรือเปล่า พี่ขอโทษครับ” 

         ผมก็รับคำขอโทษแหละนะ แต่ตอนนี้นอกจากไอออกมาแล้ว คำพูดก็ไม่สามารถที่จะเค้นออกมาได้เลย ได้แต่พยักหน้าลง ม่านตาพร่ามัวคลอด้วยหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมา มองหาทิชชูที่อยู่ใกล้มือที่สุด 

        ดีแค่ไหนที่ผมไม่ได้พ้นน้ำใส่พี่ธารน่ะ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังทำให้ร้านของพี่เขาเปื้อนอยู่ดี ไอ้เข้มเอ้ยย แค่พี่เขาถามว่ามีแฟนหรือยัง จะตกใจอะไรเบอร์นี้วะเนี่ย 

         ยื่นมือออกไปคว้ากระดาษทิชชูมาเช็ดทำความสะอาด ไอออกมาจนกระทั่งเริ่มดีขึ้น หายใจโล่งคอและน้ำตาก็หยุดไหลลงมาแล้ว ให้ผมได้กวาดสายตามองความหายนะที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมา

         แบบว่า..ฉิบหายแล้ว เปื้อนหมดเลย

         ผมรีบหันกลับไปหาเจ้าของร้านที่ยังคงวางมืออยู่บนแผ่นหลัง ทอดสายตามองมาอย่างห่วงใย

         “ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?” 

         “อื้อๆ ผมขอโทษนะพี่ ผ้าอยู่ตรงไหนเหรอ เดี๋ยวผมเช็ดให้” เสียงขึ้นจมูกเชียว ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนๆ อับอายด้วยบวกกับไอจนเหนื่อยเมื่อกี้ ลนลานไปหมดเลย ที่แน่ๆ ผมจะต้องเป็นคนเช็ดมันด้วยตัวเอง จะให้พี่ธารมาทำไม่ได้เด็ดขาด

         “ข้างหลัง เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้” 

         “เข้มไปล้างหน้าหน่อยไหม หลังเคาน์เตอร์มีก๊อกน้ำอยู่” 

         ผมพยักหน้าลงติดๆ ลุกเดินตามหลังพี่เขาไปด้านหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเปิดน้ำจากก๊อกลงบนฝ่ามือ ก้มล้างหน้าล้างตา เช็ดทำความสะอาดเสื้อของตัวเองก่อนจะกลับออกไปเก็บเอาแก้วโกโก้ที่ยังเหลืออยู่ทิ้งลงถังขยะที่อยู่ด้านนอกตัวร้าน ความจริงข้างในเองก็มี แต่ว่าพี่ธารเขาเก็บถุงดำออกไปแล้ว ผมก็เลยเอาออกไปทิ้งเองด้านนอก

         “นี่ครับผ้า” เจ้าของร้านเดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าผืนสีขาว รับมาได้ผมก็จัดการเช็ดทำความสะอาดในทันที 

         เช็ดไปสามรอบด้วยกัน แบบแห้งแล้วก็แบบชุบน้ำบิดหมาด แล้วก็เช็ดด้วยผ้าสะอาดอีกครั้งเพื่อให้โต๊ะมันกลับมาอยู่ในสภาพที่สามารถรับลูกค้าได้อีกครั้ง รู้ว่าพรุ่งนี้ก็จะต้องทำความสะอาดอีกรอบ แต่ผมก็ขอทำมันเอาไว้ให้ดีก่อนก็แล้วกัน เพราะยังไงคนที่ทำเลอะมันก็คือผมไง 

         เช็ดโต๊ะแล้วก็ต้องถูพื้นด้วย

         อันนี้พี่ธารจะไม่ให้ทำ แต่ว่าผมไม่ยอมสุดท้ายก็เลยได้ทำสมใจ

         “พี่ไม่น่าถามเราเลย” 

         “ไม่เป็นไรพี่ ..ที่จริงก็ตอบได้นะ เมื่อกี้ผมไม่ทันตั้งตัวเฉยๆ ก็เลยสำลัก” ไอ้เรื่องมีแฟนมันก็ใช่ว่าจะเป็นความลับไง แต่เพราะคนถามเป็นผู้ชายตัวโตที่เพิ่งจะรู้จักกันได้สองวัน จะตกใจผมว่ามันก็ไม่แปลกหรอกมั้ง

         “แล้วสรุปว่าเข้มมีแฟนหรือยัง? พี่เดาว่าต้องมีแล้วแน่ๆ” 

         “มีก็ดีดิพี่” ผมถูพื้นจนสะอาด ตอบคำถามพี่ธารก่อนจะส่งไม้ถูพื้นคืนให้พี่เขาไป 

         “เชื่อได้หรือเปล่าเนี่ย” 

         “โห่ เชื่อได้ดิ ผมยังไม่อยากคบใครอะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีแล้ว” พูดแล้วก็นึกไปถึงไอ้หิน ผมในตอนนี้ไม่ได้เฝ้าหาความสัมพันธ์แบบแฟนอีกแล้ว ในช่วงหนึ่งก็ยอมรับว่ามีบ้าง ตอนที่ไอ้กำปั้นคบกับน้องสกายใหม่ๆ ไง รู้สึกอยากจะมีแต่ก็ไม่พร้อมจะดูแล เอาใจใส่ใครขนาดนั้น อีกอย่างผมก็ยังมีไอ้หินอยู่

         ในสถานะเพื่อน 

         แต่แค่มีมัน ชีวิตผมก็เหมือนจะมีครบทุกอย่าง เป็นเพื่อนพาไปได้ทุกที่ ไม่สบายมันก็ดูแล สอบตกก็ไอ้หินอีกนั่นแหละที่มาช่วยผมจนสามารถแก้ให้ผ่านได้

         “ไม่อยากลองมีบ้างเหรอ พี่ว่ามีแฟนก็ดีนะ ไม่เหงา” 

         “ผมก็ไม่เหงานะพี่ ฮ่าๆ อย่างที่พี่ว่าไปนั่นแหละ ผมมีเพื่อนเยอะ จะเอาอะไรไปเหงาอะ” ผมยังคงพูดจ้อ แสดงออกไปชัดเจนว่าไม่คิดที่จะคบใครตอนนี้เพราะผมมั่นใจแล้วว่าพี่ธารกำลังเข้าหาผมในความสัมพันธ์แบบไหน

         ไม่ใช่เพราะว่าพี่ธารเป็นผู้ชาย ผมไม่ได้ยึดติดความรักของตัวเองเอาไว้แค่กับเพศใดเพศหนึ่ง ถ้าผมชอบผมก็สามารถพูดคุย ดูใจด้วยได้ทั้งนั้นแหละ

         แต่เพราะไม่ได้ชอบและไม่ได้คิดอะไรตั้งแต่แรกไง ผมก็เลยต้องให้ความชัดเจนไปก่อน

         “แล้วเข้มชอบคนแบบไหนเหรอ?” พี่ธารยังคงถามต่อ ตอนนี้ผมกลับไปนั่งที่เดิมที่เพิ่งจะทำความสะอาดไป 

         เรื่องคนแบบไหนที่ชอบ ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน 

         ก็คงจะ..

         “เอาใจใส่ ดูแลผมในบางเรื่องที่ผมบกพร่องไป ต้องตามใจด้วย” ผมค่อนข้างเอาแต่ใจนะ ดูอย่างเรื่องไอ้เสือสิ ครั้งนั้นถ้าหินมันตัดสินใจเอาลูกชายผมไปคืนจริงๆ เชื่อเถอะว่าวันนี้ไปจนถึงพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรือเดือนต่อๆ ไปก็แล้วแต่ ผมจะไม่คุยกับมันอีกเลย

         แต่มันก็ยอมไง แลกกับสายตาที่ชอบมองสำรวจหาบาดแผลจากผมทุกครั้งเวลามาที่ห้อง

         พี่ธารยิ้ม ขยับริมฝีปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกเสียงโทรศัพท์ของผมขัดขึ้นมาก่อน 

         ผมรับสายแทบจะทันที กวาดสายตามองออกไปด้านนอกแล้วก็เจอเข้ากับรถที่คุ้นเคยดี ยกมือขึ้นโบกไปมาให้คนด้านในสังเกตเห็น

         “กูเห็นมึงแล้ว” กรอกเสียงบอกไปก่อนจะลุกจากเก้าอี้ คว้าถุงบรรจุกล่องขนมมาถือไว้ เตรียมที่จะกลับ 

         “เพื่อนผมมาถึงพอดี ผมกลับแล้วนะพี่ ขอบคุณสำหรับโกโก้ปั่น” 

         “ยินดีครับ วันหลังก็แวะมาที่ร้านอีกนะ” พี่ธารเดินตามผมมา ดันประตูเปิดให้ขณะที่ผมได้แต่ยิ้ม เลื่อนสายตามองไปยังรถที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม 

         “ถ้าว่างนะพี่” ผมตอบไป ตอนนี้ไอ้หินเปิดประตูรถก้าวเท้าลงมาแล้ว ร่างสูงยืดขึ้นจดจ้องมาด้วยนัยน์ตาสีดำเข้ม เรียวแขนยกขึ้นพาดไว้ด้านบนของประตูรถ และถ้าผมไม่ได้มองผิด เหมือนว่าสายตาของมันจะไม่ได้มองมาทางผม แต่มองเลยไปหาพี่ธารต่างหาก 

         “ครับ ว่างตอนไหนก็มาได้ตลอด พี่พร้อมต้อนรับ” 

         …

         พี่พูดเฉยๆ ไม่ต้องลูบหัวได้ไหมล่ะ

         ผมเสียวสันหลังวาบแล้วเนี่ย ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตานิ่งสงบของเพื่อนสนิท ลางสังหรณ์บอกกับผมว่า..ฉิบหายแล้วไอ้เข้ม

         ได้แต่เลื่อนสายตามองสลับระหว่างไอ้หินกับพี่ธารไปมา พอได้จังหวะผมก็รีบถอยห่าง โบกมือลาพี่เขาอีกครั้งก่อนจะเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่รถจอดอยู่ ยิ้มทักทายเจ้าของมันที่ตอนนี้ยังคงไม่มองหน้าผม 

         และพี่ธารเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มบางๆ ไม่รับรู้สถานการณ์ใดทั้งสิ้น

         “มึง..วันนี้กูซื้อขนมมาเยอะมาก เผื่อมึงด้วย” 

         “ไม่กิน” ชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเยือกเย็นชวนให้ขนกายลุกชัน ผมพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงแบบนี้ก็ไม่รู้ 

         “แต่กูซื้อมาเผื่อ” ผมว่าเสียงอ่อย จะให้ต่อปากต่อคำกับมันแบบครั้งอื่นๆ ก็ไม่ได้เพราะดูจากอารมณ์แล้ว ไอ้หินคงได้แดกหัวผมแน่นอน และอาการแบบนี้ไม่ต้องแกล้งซื่อเลย ผมรู้ดีว่ามันกำลังหึง

         หึงผมที่เป็นเพื่อนมันอะ

         มากไปกว่านั้นคือผมเองก็เสือกรู้สึกผิดด้วยต่างหาก 

         “โกรธกูเหรอวะ” 

         “เปล่า ขึ้นรถได้แล้ว” อาการแบบนี้ยังจะบอกว่าเปล่าอีก เห็นชัดๆ เลยว่ากำลังโกรธอยู่ แต่ไอ้หินมันไม่ยอมรับไง หนีกลับขึ้นรถไปแล้วเรียบร้อย ทิ้งผมเอาไว้กับเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่านพาใบไม้ให้เสียดสีกัน

         ผมรีบเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งพลางหันไปมองฝั่งคนขับ มือก็ดึงเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาด แกล้งออกแรงมากไปให้มันติดเพื่อหันไปขอความช่วยเหลือ

         “ติดอะ” 

         “ปล่อยก่อน แล้วค่อยๆ ดึง” 

         “มึงก็ทำให้ดิ รถมึง” 

         ไอ้หินมองหน้าผมตอบ เหมือนว่ามันจะมองเห็นถึงสิ่งที่ผมคิดได้ทะลุปรุโปร่ง กายหนาขยับใกล้เข้ามาจนได้กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายเจือจาง ลอยกรุ่นอยู่เหนือจมูกขณะที่อีกฝ่ายกำลังดึงเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้กับผม

         “กูไม่ได้อะไรกับพี่ธารเลยนะ” เอ่ยบอกไปเสียงเบา คนฟังเลื่อนสายตามามองเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับไป ขับเคลื่อนรถออกมาตามเส้นทาง

         “...” 

         “ทำไมเสื้อเปียก ซุ่มซ่ามอะไรอีก” พอเปิดปากก็มาว่ากันเลยนะ ไอ้หินไม่ได้มองหน้าผมในตอนที่ถาม จดจ่ออยู่กับเส้นทางทอดยาว มันก็เลยไม่ได้เห็นว่าผมกำลังบิดปากคว่ำ ทำหน้ามุ่ยใส่มันอยู่ 

         “กูสำลักน้ำหรอก พี่ธารเขาถามว่ามีแฟนหรือยัง กูตกใจก็เลยสำลักออกมา” 

         “เขาจีบมึง?” 

         ถามตรงไปตรงมาไม่อ้อมเลยสักนิด แต่ก็เป็นปกติของหิน

         “มั้ง” 

         “ทีหลังไม่ต้องมาแล้ว” ถ้อยคำหนักแน่นชัดเจน คราวนี้ปรายตามามองผมอีกด้วย กดดันกลายๆ ไม่ให้ผมได้ปฏิเสธ ใบหน้าหล่อเหลาเบี่ยงมาเล็กน้อยให้พอเห็นจมูกที่โด่งเป็นสัน เส้นผมตกปรอยลงมาคลอเคลียข้างแก้ม

         “ก็คงไม่มาบ่อยหรอก” 

         “แปลว่ายังจะมาอีก” 

         “...” 

         โถ่ การที่พี่ธารจีบผม แล้วผมไม่ได้คิดอะไรด้วย มันก็ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องหนีหายไปเลยสักหน่อย

         ว่ากันจริงๆ แล้วพี่เขาก็นิสัยดี พอให้พูดคุยด้วยได้

         ไอ้หินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศในรถมันอึมครึมชวนให้อึดอัดมากกว่าในตอนแรก จะพูดก็อ้ำอึ้งไม่กล้า ได้แต่เผยอริมฝีปากขึ้นและเงียบลงเหมือนเดิม เลื่อนสายตามองไปที่เพื่อนสนิทเกือบจะตลอดเวลาที่รถวิ่งอยู่บนถนน

         จนกระทั่งมาถึงห้อง ผมก็เป็นฝ่ายทำใจกล้าเอ่ยขึ้นก่อน

         “มึงกินอะไรหรือยังอะ” 

         คนถูกถามหันหน้ากลับมา คิ้วเลิกขึ้น ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ยัง ถามทำไม” น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์เชียว

         “ก็เปล่า จะชวนไปกินไง” 

         “...” ไอ้หินยกมือขึ้นกอดอก จ้องผมจนผมรู้สึกอยากจะสลายหายไปในอากาศเพราะความกดดันที่แผ่ออกมา 

         “เออๆ กูไม่ไปแล้วก็ได้ มึงหยุดทำตาขวางใส่กูสักที” 

         “กูไม่ได้ทำ” 

         “มึงทำ เมื่อกี้อะ” ผมเถียงแทบจะทันที พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้หินกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนก็รีบหุบปากฉับ ก้มหน้าลงมองนิ้วเท้าของตัวเอง เลี่ยงที่จะสบกับนัยน์ตาดุดันของคนเป็นเพื่อนสนิทที่กำลังจ้องอยู่

         “กูแค่อารมณ์ไม่ดี แต่ไม่เกี่ยวกับมึง” 

         “เชื่อตายล่ะว่าไม่เกี่ยว ตอนพี่ธารลูบหัวกู มึงเหมือนจะพุ่งเข้ามาแดกหัว” ขยับปากว่าออกไปเสียงเบา พูดดังไม่ได้เพราะเหมือนจะมีความผิดติดตัว ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิดในเมื่อพี่ธารเขาลูบของเขาเอง 

         “มึงก็ยืนให้เขาลูบ” 

         “กับมึงกูก็ให้ลูบหรอก” 

         “เหรอ” 

         “เออดิ” ยังจะมาถามอีก มันอะลูบหัวผมบ่อยกว่าใครเพื่อนเลย 

         ไร้บทสนทนาต่อสักพัก ไอ้หินก็ขยับเข้ามาใกล้ ตอนแรกผมคิดว่ามันจะทำตัวเป็นพระเอกนิยายเข้ามาลูบหัวผมเพื่อจะลบรอยของคนอื่น แต่เปล่าเลย เพราะมันยิ่งกว่าลูบหัวอีกเมื่อเรียวแขนแกร่งสอดเข้ามากอดรอบเอวของผมแน่น ใบหน้าคมคายซุกซบลงมาบนไหล่ตามด้วยเสียงถอนหายใจยืดยาว

         “ขอโทษที่กูเป็นแบบนี้” 

         “เป็น..อะไร?” 

         “หวงมึง ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีสิทธิ์”



         วันนั้นขอโทษเพราะหึงหวงผมก็พอจะเข้าใจได้หรอกนะ

         แต่ไอ้ขอโทษแล้วมาชวนไปเดทต่อจากนั้นในวันเสาร์นี่คืออะไร? เดทไม่พอ สถานที่เดทแทนที่จะเป็นห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะหรือไม่ก็ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ กลับกลายเป็นสนามชกมวยใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ! 

         ผมควรจะต้องรู้สึกโรแมนติกใช่หรือเปล่า เดทครั้งแรกกับคนที่ชอบเราเขาก็พามาสถานที่สุดว้าว เสียงหมัดกระทบเหนือดังหนักแน่นเข้าโสตประสาท แต่ก็ไม่ดังเท่ากับเสียงเชียร์กึกก้องของเหล่าคนที่นั่งดู คำด่าทอหยาบคายถูกตะโกนข้ามหัวผมคำแล้วคำเล่าจนตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพูดน้อย เรียบร้อยขึ้นมาทันที

         “มึง..ชินจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ” นี่คงเป็นประโยคแรกที่ผมเอ่ยออกมา จับจ้องไปยังร่างปราดเปรียวบน Boxing ring ที่กำลังถูกไล่ต้อนจนมุม ทั้งสองฝ่ายมีรอยช้ำบนใบหน้าไม่ต่างกัน แต่คนที่ดูจะอ่อนแรงแล้วน่าจะเป็นคนของไอ้หิน

         “มึงคิดว่ามันจะแพ้เหรอ” ไอ้หินเลิกคิ้วขึ้น มองผมพลางยกมุมปากขึ้นยิ้มเป็นนัยอะไรบางอย่าง

         ‘เวรเอ้ย อะไรกันวะเนี่ย!’ 

         ‘ชนะเหรอ เมื่อกี้เหมือนจะแพ้อยู่เลยนะ’ 

         ‘เห้ย โกงหรือเปล่าวะ’ 

         ในตอนนั้นเสียงอุทานปะปนกับเสียงสบถก็ดังขึ้นจนผมสะดุ้ง หันกลับเข้าไปมองที่สนามก่อนจะพบว่าคนที่ดูเหมือนจะได้เปรียบและไล่ต้อนชินอยู่ก่อนหน้านี้ ล้มพับลงไปนอนกองอยู่กับที่แล้วเรียบร้อย ขณะที่ผู้ชนะชูแขนขึ้นสุดหัว กระโดดโลดเต้นอยู่ด้านบนพลางหันมาทางพวกผม

         “ไปเถอะ จบแล้ว” เพื่อนสนิทว่าอย่างอารมณ์ดี ลุกขึ้นยืนก่อนจะดึงผมให้ลุกตามขึ้นไปด้วย ไอ้หินบอกว่าผู้ชนะนั้นมีเงินรางวัลที่สูงมาก รวมไปถึงเงินเดิมพันด้วยเช่นกัน หลายๆ คนทุ่มเงินทายผลว่าคนที่ชนะคือคู่ต่อสู้ของชิน แต่ผลในตอนนี้ก็ออกมาชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ คนส่วนน้อยที่หลับหูหลับตาเสี่ยงทายจึงได้รับทรัพย์ก้อนโต 

         และหนึ่งในนั้นก็คือ.. 

         “สุดยอด! คิดถูกแล้วที่ผมเชื่อใจไอ้ชิน” อลันยิ้มกว้าง นัยน์ตาเป็นประกายกับจำนวนเงินที่เจ้าตัวคำนวณมันคร่าวๆ จากโทรศัพท์ในมือ 

         แล้วเนี่ย..ผมถามหน่อย

         ชวนเดท สถานที่ก็ผิดแปลกไปจากคนอื่น นอกจากนั้นยังจะหอบหิ้วเอาลูกน้องของตัวเองติดมาด้วยอีก นี่มันเดทประสาอะไรของไอ้หินก่อน แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะตัวผมเองก็รู้สึกไม่ชินกับคำว่าเดทสักเท่าไหร่ ให้มากันแค่สองคนก็ยิ่งแล้วไปกันใหญ่เลย

         “ก่อนหน้านี้มึงยังบอกว่าไอ้ชินแพ้แน่ๆ อยู่เลย” เชนที่เป็นฝาแฝดกันกับชินเอ่ยขึ้น ใบหน้านั้นไม่คล้ายกันเลยสักนิด ทั้งนิสัยเองก็ด้วยเช่นกัน อีกคนดูชื่นชอบการเตะต่อย ส่วนอีกคนก็สุภาพประหยัดคำพูด จะมีก็แค่สีตาและสีผมล่ะมั้งที่เหมือนกัน

         “น่า คนเราก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างแหละ” 

         ผมพยักหน้าลงเห็นด้วยกับคำพูด

         อย่าว่าแต่อลันเลย นี่ขนาดว่าเห็นกับตาผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชินชนะ สนามชกมวยที่นี่ไม่ใช่สนามที่มีกฎเกณฑ์เหมือนสนามทั่วไป คู่ชกของชินนั้นมีขนาดตัวใหญ่โตกว่าเป็นเท่าตัว กล้ามแขนและขาเป็นมัดๆ ดูยังไงก็ชนะแน่นอน และก็อย่างที่บอกว่าคนส่วนใหญ่เองก็คิดแบบเดียวกัน หลังจากที่เจ้าของร่างใหญ่สลบเหมือดไป สถานการณ์ก็ดูจะวุ่นวายสุดๆ ในตอนที่ไอ้หินพาผมออกมา

         “เพราะมึงอะชวนคุย กูเลยไม่ทันได้ดูเลยว่าชินชนะได้ยังไง” หันไปต่อว่าเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างกันอย่างไม่จริงจัง 

         ชนะได้ก็ดีแล้วล่ะ

         ผมโคตรกังวลตอนที่เห็นชินขึ้นไปด้านบนเวที ถึงจะไม่ได้สนิทแต่ก็เคยเห็นหน้าคร่าตาและก็รู้ดีว่าอยู่บ้านเดียวกันกับไอ้หิน ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือเป็นอะไรก็ตามแต่ ยังไงก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี ชนะได้แต่ก็เจ็บตัวไม่น้อย

         “มึง ..เราจะพาชินไปโรงพยาบาลกันไหมอะ” 

         “โอ้ย ไปทำไมอะพี่ ไอ้ชินมันไม่ไปหร้อกกก พี่หินเขาจัดการตามหัวใจของมันมาให้เรียบร้อยแล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย” อลันแทรกหัวเข้ามาระหว่างกลางผมกับไอ้หิน ยิ้มทะเล้น ส่งสายตากวนส้นตีนสลับไปมาจนผมนึกหมั่นไส้

         ขอเขกหัวสักทีเถอะ

         ปึก! 

         “โอ้ยย! พี่ทำร้ายผมทำไมเนี่ย” เสียงโวยวายดังขึ้นทันทีที่ถูกผมแจกมะเหงกให้ไป อลันบิดริมฝีปากคว่ำลง เปลี่ยนเป็นเสียงสองเสียงสามอ้อนเพื่อนสนิทผมหลังจากนั้น “พี่หินดูแฟนพี่ดิ โคตรใจร้าย” 

         “มึงอยากโดนอีกรอบสินะ” ผมว่าเสียงดุ กดสายตาลงมองไอ้เด็กตัวแสบที่รีบถอยกรูดไปเดินอยู่กับเพื่อนตัวเองแทน

         ใครคือแฟน! 

         ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเพื่อน บอกทุกวัน ย้ำทุกตอน! คำพูดของผมมันไม่น่าเชื่อถือตรงไหน

         “มึงจะไปว่ามันทำไม มันก็พูดถูกแล้ว” ไอ้หินหัวเราะ หันมามองผมที่ยังควหน้าบอกบุญไม่รับ นี่ก็อีกคนไง พอมีช่องทางก็เนียนไหลตามน้ำมาเลยเชียว 

         “ไม่ต้องพูด” 

         “วันนี้กูพามึงมาเดทนะ เป็นแฟนกันหนึ่งวันไง” ไปตกลงกันตอนไหนวะ เอาจริงๆ ตอนที่ชวนมาด้วยกันผมก็ยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร พอตอนเช้าวันเสาร์ก็มัดมือชกให้มาด้วยกันเฉยเลย แล้วก็ย้ำจังว่ามาเดท!.. แม่มึง จะมีสักกี่คู่ที่มาเดทกันในสถานที่แบบนี้ เชื่อผมเถอะว่ามันไม่มี! มีแต่ไอ้หินเนี่ยแหละที่หาทำ

         กูล่ะปวดหัวจริงจริ๊งงงง

         นี่ต้องให้สอนหรือเปล่าว่าถ้าจะเดตกันควรจะพาแฟนไปเดตที่ไหนอะ

         “กูอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนแนะนำให้มึงพากูมาเดทในที่แบบนี้” ก้าวเดินไปผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา กวาดสายตามองไปรอบด้าน มันก็ดูเป็นสถานที่ที่ดีอยู่หรอกนะ ถ้าหากไม่ใช่ว่าผมเพิ่งจะนั่งดูคนชกกันจนเลือดตกยางออกจบไป

         “ไม่ชอบเหรอ?” 

         “ไม่ชอบ! ไปเดทเขาก็ต้องไปสถานที่ที่มันบรรยากาศดีๆ ดิวะ กินข้าว ดูหนัง หรือไม่ก็ไปสวนสนุกอะไรพวกนั้นอะ แล้วดูดิ้ว่ามึงพากูมาที่ไหน ..สนามมวย เยี่ยมเลย กูนึกว่ามึงจะพากูมาขึ้นชกแทนนะ” 

         แฮ่กกก เหนื่อย พูดออกไปรวดเดียวไม่ได้พักหยุดหายใจเลย

         ไอ้หินมองหน้าผม เผยรอยยิ้มมุมปาก แสดงความเจ้าเล่ห์ผ่านดวงตาเรียวสวยที่กำลังมองผมอยู่

         “งั้นกูขอแก้มือใหม่” 

         “ไม่เว้ย” ใครมันจะไปหลวมตัวตกปากรับคำอีกครั้งกันเล่า

         “จะพาไปคาเฟ่แมว” 

         “...” 

         “เหมาให้มึงคนเดียวทั้งวันเลย แบบนี้เรียกว่าเดทได้แล้วใช่หรือเปล่า?” 

         ผมกำลังคล้อยตามไปกับคำพูดของไอ้หิน แค่ได้ยินคำว่าแมวก็เผลอพยักหน้าลงอย่างเต็มใจ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายตาเหมือนจะจับภาพของใครบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยแม้จะเห็นแค่เพียงแผ่นหลังก็ตาม

         “พี่ธาร?” 

         ใช่หรือเปล่าวะ

         แต่..พี่เขาจะมาทำอะไรที่นี่อะ 

         “มึงบอกว่าคนที่จะเข้ามาที่นี่ได้ต้องมีเส้นสายใช่ป่ะ แบบว่า ถ้าเป็นคนทั่วไปก็เข้าไม่ได้” ถามไอ้หินออกไปโดยที่ตัวผมก็ยังคงมองตามเจ้าของแผ่นหลังนั้นโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของเพื่อนตัวเองเลยสักนิด

         “ไม่ใช่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ แต่คนทั่วไปไม่มีใครรู้จักที่นี่” 

         “...” 

         ผมตาฝาดเหรอ หรือไม่ก็คงจะจำผิดไปเองนั่นแหละ ทำอย่างกับว่าตัวเองสนิทกันกับพี่ธารมากจนจดจำลักษณะของพี่เขาได้อย่างนั้นแหละ 

         แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะต่อให้เป็นพี่ธารจริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมสักหน่อย

         “มึงรับผิดชอบกูเลยด้วย หิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย” กลับไปพูดคุยไอ้หินต่อ โยนเอาเรื่องที่มันรกสมองทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ

         “หิวแล้วเหรอ” 

         “เออดิ” 

         “อาหารที่นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ไปกินที่อื่นดีกว่า..ทนได้ไหม?” 

         ทนไม่ได้ก็ต้องทนแล้วไหมอะ 

         “ได้ แล้วอีกนานไหมอะกว่าจะกลับ” 

         “ไม่นาน ถ้ามึงทนไม่ได้จริงๆ” ไอ้หินหันไปมองลูกน้องมัน ยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาชิด ริมฝีปากเฉียดติ่งหูผมไปเพียงนิดทำเอาสะดุ้งเฮือก ใบหน้าเห่อร้อน แต่ก็ยังไม่ร้อนเท่ากับตอนที่เสียงกระซิบของปนะโยคถัดมาดังขึ้น

         “กินกูได้ ในนี้ก็น่าจะมีแค่กูที่อร่อยสำหรับมึง” 





    --100%--

    น่าสงสารได้แป้บเดียว กลับมาอ่อยต่อ 55555555



    โถ่ พิหินนนนน สงสารรรร จริงๆ เข้มก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย เชื่อเถอะ ไม่งั้นนังคงไม่ปล่อยให้พี่วนเวียนอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ แค่นังเองก็มีเหตุผลอยู่ลึกกกกกกๆๆ 55555555 


    ฉันกลับมาแน้ว

    ขอโทษที่ติดเกมไปนิดด5555

     เรียนจบแล้ว มันเลยเพลิน 

    มา มาอัพกันต่อออ 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×