คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ขายบ้าน
“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม”
มือเหี่ยวย่นของหญิงชราคนหนึ่งสกิดให้ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นฟุตบาต เธอแน่ใจว่าพ่อหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาคนดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเธอได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่ยังคงดังสม่ำเสมอ
เมื่อมีแรงสกิดที่แขน ชายหนุ่มก็รู้สึกตัว ก่อนจะขยับเปลือกตาขึ้นในช่วงเช้าตรู่ ก็พบว่าเขานอนอยู่ริมถนนใกล้ๆกับหน้าป้ายรถเมล์ด้วยชุดเดิม
“พ่อหนุ่มฟื้นแล้ว เป็นอะไรมากหรือเปล่า” หญิงแก่ถามอาการ พลางยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ตายจริงๆ
คริส ค่อยๆช่วยตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขายังมีอาการเจ็บปวดที่ลำตัว ก่อนจะขยับปากซีดๆตอบออกไป
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ หลังจากที่สำรวจร่างกายไม่มีอะไรบุบสลายก็วางใจ
“พ่อหนุ่มมานอนอยู่ตรงนี้ทำไม” เธอถามต่อด้วยความสงสัย
คริสนิ่งไปชั่วขณะเมื่อเจอคำถามที่ตอบได้ยาก.... เขายังจำได้ดีว่าเมื่อคืนเจออะไรมา.... เมื่อหันไปมองถนนอีกฟากทาง เขาก็พบให้เห็นรถจดนิ่งอยู่ตรงนั้น กับภาพสยองขวัญที่เขาไม่มีวันลืมได้แน่
แต่น่าแปลก ทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ล่ะ ทั้งๆที่ก็ถูกชายหนุ่มร่างบอบบาง ใบหน้าสวยราวกับผู้หญิง สวมชุดฮันบกสีแดง นัยตามีเลือดไหลออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว กับเรียวแรงอันมหาศาล ที่คนตัวใหญ่อย่างเขาก็สู้ไม่ได้ กระชากคอ และผลักเขาจนปลิวข้ามมาถึงฟุตบาตอีกฟากทาง
เมื่อนึกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ใบหน้าคมเข้มก็ซีดลง ราวกับเศษผ้าขาวอย่างๆไม่มีปี่ขลุ่ย ความทรงจำเมื่อคืน มันคงจะติดตาเขาไปตลอดชีวิตแน่
โดยเฉพาะกับคำพูดคำนั้น ถ้าไม่อยากตาย ก็ห้ามไปเหยียบที่บ้านฉันอีก
“ว่าไงจ้าพ่อหนุ่ม มานอนตรงนี้ทำไม” หญิงแกทวนคำถามขึ้นอีกครั้ง เรียกสติของเขากลับคืนมาทันที
“อ่ะ เอ่อ... เมื่อคืนผมเมาครับ แล้วเดินออกมาจากรถ เพื่อจะออกมาอ้วก สงสัยผมคงเมามาก เลยไม่ได้สติ ก็เลยมาหลับอยู่ตรงนี้ครับ” เขาสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา
เพราะถ้าเขาเล่าความจริงออกไป หญิงแก่ก็คงคิดว่า เขาบ้าแน่ๆ จะเชื่อเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากจะทบทวนเหตุการณ์สยองขวัญซ้ำๆอีก
“ออ อย่างนี้เนี่ยเอง” เธอพยักหน้ารับเป็นการเข้าใจ
“ยังไงก็ขอบคุณ คุณป้ามากนะครับ ที่ปลุกผม ผมขอตัวก่อนนะครับ” คริสก้มหัวกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะเดินข้ามถนนเพื่อขึ้นรถ แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ตลอดระยะทาง เขาพยายามลบคำเตือนของวิญญาณตนนั้นให้ออกจากสมอง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คริสเชื่อแต่เรื่องที่สามารถแตะต้องได้มาตลอด แต่พอมาเจอเรื่องลี้ลับด้วยตัวเองอย่างไม่คาดคิด ก็เกือบทำเอาสติของเขาหลุดหายไปจนแทบจะกู้ไม่กลับ
ณ ตอนนี้ สิ่งแรกที่ควรจะทำ นั่นคือยอมทำตามคำขู่ อย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้ เขาไม่มีทางขับรถหวนกลับไปบ้านหลังนั้นอีกแน่ ในเมื่อเขาได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว
“RRRRRRR”
เป็นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่กระเป๋ากางเกงขายาวของคริส เขาถึงกับสะดุ้งตัวนิดๆ เรียกสติของเขากลับไม่ได้อีกครั้ง ก่อนจะล้วงมือใหญ่หนาไปหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“ฮัลโหล เฮีย ทำไมเพิ่งรับสาย ผมโทรหาเฮียเป็นร้อยๆรอบแล้วนะ จนมือผมแทบหงิกแล้วเนี่ย” พอเห็นว่าหัวหน้ารับโทรศัพท์ เฉินก็เปิดฉากถามเป็นชุด ในใจก็รุ่มร้อน กลัวว่านายจะเป็นอันตรายเหมือนอย่างนักออกแบบของเขา
“เออๆ ขอโทษว่ะ” เขาตอบด้วยเสียงที่อ่อนลง สร้างความแปลกใจให้กลับปลายสายเป็นอย่างมาก
“แล้วเฮียเป็นไรหรือเปล่า” เฉินถามต่อด้วยความเป็นห่วง ปกติถ้าเขาพูดมาก เฮียของเขาก็มักจะดุตลอดเวลา ตามอารมณ์ขี้หงุดหงิด แต่คราวนี้กลับไม่ใช่อย่างงั้น เขานิ่งเงียบไปมากจนน่าใจหาย
“เปล่า ฉันสบายดี”
“แล้ว เฮียได้ไปบ้านหลังนั้นหรือเปล่า” เฉินต่อเสียงถาม
“ฉันยังไม่ได้ไป... เพราะเจอดีซะก่อน” เขาตอบด้วยเสียงเบาๆ เหมือนไม่อยากจะพูด
“หมายความว่าไงครับ” เฉินโพลงถามต่อทันทีเพราะ ความอยากรู้
“ฉันจะไม่ตอบแก... แล้วบ้านหลังนั้น ถ้าไม่จำเป็น แกก็ห้ามเอ่ยถึงมันอีกเด็ดขาด” คริสกำชับเสียงหนักแน่น
“ทำไมครับ”
“ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของแก! ฉันมีหน้าที่สั่ง ส่วนแกก็มีหน้าที่แค่ทำตาม” คริสกระชากเสียงดังอย่างหัวเสีย ปลายสายจึงรีบรับคำทันที
“ก็ได้ครับ ไม่ถามแล้วก็ได้”
“ดี แล้วฉันจะวานให้แก ช่วยติดป้ายประกาศขายบ้านหลังนั้นซะ ตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้เลย เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ” เฉินรับคำอีกครั้ง
เขารู้แล้วว่า คริสเจอดีเข้าแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่อยากชักถามเอาความอะไรอีก
และก็เป็นวิญญาณของเจ้าของบ้านหลังแน่นอน ที่ทำให้เจ้านายเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฉินไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งของคริสเด็ดขาด อยากจะขายบ้านหลังนั้นไปเหมือนกัน
ยิ่งเก็บไว้ มันก็ยิ่งเหมือนทำให้บั่นทอนจิตใจมากขึ้นเท่านั้น
หลายวันต่อมา
ความเฮี้ยนของบ้านดังกล่าว ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคนที่พบเห็นเหตุการณ์ต่อๆกันมา บางคนก็เห็นว่ามีผู้ชายตัวเล็กมานั่งร้องไห้ที่หน้าบ้าน และหนักไปกว่านั้น ก็อยู่ตรงหลังคาของบ้าน
พวกเขาเลยหยิบเอาเรื่องเล่าปากต่อปาก ไปเขียนลงในอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเรียกความสนใจจากผู้เข้าชมตามบอร์ทได้อย่างดี จนข้อความที่ตั้งบนกระทู้ของบอร์ดมียอดวิวสูงสุด
และแน่นอน ก็มีบางกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องราวพันนั้น จนคิดอยากจะเข้าไปลองของ ด้วยความคึกคะนอง จึงมีกลุ่มวัยรุ่นบางกลุ่มประมาณสี่ห้าคน เกิดอยากจะพิสูจน์สิ่งลึกลับตามบ้านร้าง
พวกเขาขับรถมอเตอร์ไซค์สองสามคันมาจอดตรงบริเวณรั้วของหน้าบ้าน ซึ่งมีป้ายเขียนติดประกาศว่าขายด่วน พร้อมถูกคล้องโซ่เอาไว้ เหมือนจะปิดไม่ให้ใครเข้า แต่ก็ยังมีพวกมือบอน ไปทุบตรงกำแพงที่สร้างขึ้นเป็นอิฐบล็อกจนแตก เพื่อเป็นทางเข้าออกตรงนั้นแทน
พวกเขามุดเข้าไปตรงช่องที่คนทุบจนแตก ก็เห็นสภาพบ้านร้างทั่วๆไป มีหญ้าขึ้นรกจนสูงเพียงเอว แต่ก็มีทางเดินที่ปูด้วยคอนกรีตให้เป็นทางเข้าบ้าน
พวกเขาจับกลุ่มกันเดินเข้าไปพลางสำรวจไปมองรอบๆบ้านที่เงียบสนิท จะมีก็แค่เสียงร้องของแมลงไม้ดังขึ้นรอบๆบริเวณรอบหญ้า ถึงแม้จะมืด แต่ก็ยังมีแสงจันทร์ส่องลงมาที่พอจะทำให้เห็นทาง
แต่พอเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าว เด็กหญิงคนหนึ่ง ภายในกลุ่ม รูปร่างกระทัดรัด ตัดผมสอยสั้น ชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะ พร้อมทั้งดึงแขนของเพื่อนสาวอีกคนให้หยุดตามเธอ
“แกเป็นอะไร” เด็กหญิงที่ถูกดึง หันศรีษะ ที่ไว้ผมยาวประหลัง มาถามด้วยความสงสัย
“เฮ้ย ฉันไม่เข้าไปนะ” เด็กสาวส่ายหัวเพื่อห้ามเพื่อน ตัวก็เริ่มสั่นเทิ่มขึ้นมา
“ทำไม” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งต่อเสียงถาม
“ใครก็ไม่รู้ อยู่ชั้นสอง”
เธอตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียง แต่ภาพที่เธอเห็นตอนนี้มันหายไปแล้ว หากเธอก็มั่นใจได้ว่า ไม่ได้ตาฝาดแน่นอน
“ขึ้นไปเหอะ เรามากันแล้ว เสียเที่ยวเปล่าๆ” เพื่อนคนที่ถูกดึงแขนกำชับเสียงนักแน่น
“แต่ฉันไม่อยู่นะ กลับเหอะ ฉันไม่อยากเข้าไปแล้ว”
เธอตีสีหน้าขอร้อง เหมือนจะร้องไห้ออกมาไห้ได้ อยู่ๆเธอก็รับรู้ถึงความน่ากลัวของใครสักคนที่อยู่ข้างใน ราวกับจะเตือนให้พวกเธอได้รับรู้ไว้ว่า อย่าก้าวก่ายเข้ามารบกวนอีก
“เออๆ ก็ได้ งั้นก็กลับกันเหอะ” เด็กสาวที่ถูกดึกพยักหน้ารับ
หญิงสาวผมสั้นจึงรีบคว้าแขนเพื่อนให้เดินออกไปจากบริเวณบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วมุดออกไปจากทันที เธอไม่มีวันหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกแน่
ซึ่งด้วยความที่เด็กสาวผมยาวถูกดึงแขนออกมาอย่างเร็ว และด้วยความที่เธอใส่รองเท้าผ้าใบเพียงคน สายเชือกรองเท้าจึงหลุด โทรศัพท์ก็เลื่อนตกออกจากกระเป๋าเสื้อ เธอจึงก้มเก็บและมองตรงไประหว่างขา
และบริเวณ ช่องหินที่ถูกทุบแตก เธอเห็นเป็นใครก็ไม่รู้อยู่ที่นั่น กำลังเอื้อมมือมาหา โผล่หน้ามาเพียงครึ่งเดียว ขอบตามีเลือดไหลออกมาเป็นทางยาว
“กรี๊ด!!”
เธอกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นั้น พร้อมทั้งฉี่ราด และร้องไห้ เหมือนกับสติแตก ไม่คิดว่าเธอจะเจอดีได้ขนาดนี้ เธอเห็นชัดเจน และร้องไห้อยู่ในท่านั้น
“แก เป็นอะไร” เพื่อนๆในกลุ่มเข้ามารุมถามด้วยสีหน้าที่ช๊อคไปตามๆกัน
“ฮือๆๆ ฉันเห็น ฉันเห็น” แต่คำตอบของเธอก็เป็นเพียงแค่เสียงสะอื้นและคำพูดที่ฟังอย่างไม่ได้ใจความ
“เห็นอะไร แกเห็นอะไร” ทุกคนในกลุ่มถามเป็นเสียงเดียวกัน
“ฮึก อย่าถามฉันเลย ฉันกลัว ฉันไม่อยู่แล้ว พาฉันกลับบ้านที ฮือๆ”
“ก้อได้ๆ” ทุกคนที่อยู่บริเวณดังกล่าว รีบหิ้วเธอขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ แล้วขับรถหนีออกไปอย่างรวดเร็วตามคำขอร้อง
หลังจากที่เธอเห็นทุกอย่าง ก็ดูเหมือนว่าภาพมันถูกตัดฟึบไป เธอเอาแต่ร้องไห้ แต่เธอก็ตอบไม่ได้พูดไม่รู้เรื่องอีก น้ำลายไหลยืด ราวกับเสียสติไปแล้ว
สิ่งที่เห็น มันยังติดตาเธอ โดยที่ไม่จางหายไปไหน และอยู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงของใครสักคนมากระชิบที่หูด้วยคำพูดที่รุนแรงว่า
ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่ามาเหยียบที่บ้านฉันอีก
ตอนหน้า ชานยอลมาแล้วนะ เรื่องยิ่งจะเข้มข้นมากขึ้นอีก แล้วก็ตามมา
ด้วยตัวละครอีกมากมายเช่น มักเน่ แล้วก็คู่ของมักเน่ด้วย
ฝากด้วยแล้วกันนะ
ความคิดเห็น