ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] พิษรัก สัญญาลวง [ChanBaek] [NC18+]

    ลำดับตอนที่ #9 : กลับมา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.98K
      11
      8 พ.ย. 56






     

    บนท้องถนนในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายอย่างกรุงโซลในช่วงเช้าเช่นนี้ มีรถติดจ่อท้ายกันยาวเป็นหางว่าว.. ชายหนุ่ม รูปร่างสูง ผู้ที่มีใบหน้าหล่อเหลาบาดใจใครหลายคน กำลังพยายามหักหลบรถออกจากเลน เพื่อจะเคลื่อนรถให้ออกจากสถานการณ์ช่างน่าอึดอัดเช่นนี้


     

    ชายหนุ่มในวัยยี่สิบห้าต้นๆ ซึ่งเพิ่งเรียนจบปริญญาโทมาหมาดๆ ด้วยใบประกาศแดง ทางด้านออกแบบจากต่างประเทศ.... เขากลับมาเกาหลีอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนานเป็นสิบๆปี เพื่อมาสานต่อกิจการจากพ่อของเขา ที่เพิ่งเสียชีวิตไปท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติทุกๆฝ่าย


     

    ใครต่อใครต่างก็คิดว่า เขาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ธุรกิจของรุ่นพ่อที่รุ่งโรจน์ เขาจะสืบสานมันต่อไปให้ไกลกว่าที่พ่อเขาสร้างไว้อย่างแน่นอน ทุกคนต่างก็คิดแบบนั้น


     

    เมื่อเห็นว่าไฟแดงอยู่ข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาก็รีบบับคับพวงมาลัยให้เคลื่อนตัวออกไปทันที ... ทุกวันเขาต้องพบกับสภาวะรถติดเป็นประจำ


     

    เขาไม่น่าซื้อบ้าน ที่ห่างไกลจากที่ทำงานเลย ไม่งั้นคงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงๆเหมือนอย่างตอนนี้
     

    เจ้าของร่างสูงยกแขนขึ้นมองนาฬิกาเรือนแพงหลายๆรอบ ก็พบว่า มันใกล้จะถึงเวลาเข้าทำงานแล้ว... เขาจึงตัดสินใจหักรถเลี้ยวเข้าซอยทางลัด ไม่งั้นก็คงต้องเจอกับไฟแดงข้างหน้าอีกหลายที่แน่


     

    ด้วยความที่เป็นเขตชุนชน หากตัวบ้านก็ตั้งห่างกันมากอย่างผิดปกติ เขาต้องผ่อนความเร็วลง แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ๆก็มีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ วิ่งมาตัดหน้ารถเขาอย่างกะทันหัน ซึ่งเขาก็มีสติพอจะเหยียบเบรคไว้ทัน ล้อแม็กของรถจึงถลากับพื้นถนน จนเกิดเป็นเสียงดังขึ้นทั่วบริเวณดังกล่าว

     

    “เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ร่างสูงพึมพำออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัย ผลักประตูออกไปดูเด็กคนนั้น ซึ่งกำลังยืนตลึงอยู่กับเหตุการณ์ยังไม่หาย ขณะเดียวกัน แม่ของเด็กก็วิ่งปรี่เข้ามาหาด้วยอาการตก

     


           
    “แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามวิ่งออกมาเล่น มันอันตราย” เธอดุลูกชายของอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนเด็กชายเริ่มร้องไห้หนัก





           “ฮึก ผมขอโทษครับ ฮือๆ” เด็กชายยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา พลางสะอึ้น
     



           
    “ลูกไม่ต้องขอโทษแม่หรอก คนที่ลูกควรขอโทษ คือพี่คนนี้ต่างหาก”




           “ฮึก ผมขอโทษครับพี่” เด็กชายคนดังกล่าว หันหน้าไปพูด พร้อมกับก้มหัวด้วยความสำนึกผิด



     

    “ไม่เป็นไรครับ แล้วเราเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามด้วยความเป็นห่วง แทนที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


     

    “ผมไม่เป็นไรครับ”



     

    “งั้นก็ดีแล้ว แต่คราวหน้าก็อย่ามาวิ่งเล่นกลางถนนนะ นี่ถ้าพี่เบรครถไม่ทันนะ เราต้องถูกพี่ขับรถชนแน่ๆ แล้วเราก็อาจจะไม่มีโอกาสมาพูดกับพี่แบบนี้ก็ได้”


    “ยังไง ฉันก็โทษแทนลูกชายด้วยนะคะ ที่ปล่อยให้ลูกมาวิ่งเล่นเพ่นพ่านแถวนี้” เธอกล่าวอย่างสำนึกผิด


     

    “ไม่เป็นไรครับ น้องปลอดภัยก็ดีแล้ว” เขาพูดยิ้มๆ เพราะไม่คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไรมาก เมื่อไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เขาก็ต้องการให้เรื่องมันจบๆไป

     

    “ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ ไป กลับบ้าน” แล้วคราวหลังก็อย่ามาวิ่งเล่นอีก เธอหันไปดุ ลูกชายแล้วจูงมือผละออกจากบริเวณนี้ไป


     

    เมื่อเห็นว่าหมดเรื่อง ร่างสูงก็หมุนกายเตรียมตัวจะขึ้นรถเพื่อไปทำงาน... หากไม่ทันเขาจะเดินหายไปไหน จู่ๆ ก็มีสายลมพัดมาประทะใบหน้าคมเข้มอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาจึงต้องยกมือขึ้นบังเศษละอองของฝุ่นไม่ให้เข้าตา

    เมื่อสายลมพัดผ่านไป เขาจึงเอามือลง และในขณะนั้น สายตาคมเข้มก็พบเห็นบ้านหลังหนึ่ง มีป้ายติดประกาศขายด่วนตรงหน้ารั้ว ส่วนบริเวณข้างๆรั้ว มีรอยทุบเป็นรูขนาดใหญ่


     

     

    แวบแรกที่ชายตามองเข้าไปบ้านสองชั้น มันก็เหมือนมีมนต์สะกดทำให้เขาหยุดมองไปในชั่วขณะ ก่อนจะตามมาด้วยหนึ่งคำถาม


     

    ทำไมนะ เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากเหลือเกิน ราวกับว่าเขาเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน เขาพยายามนึกที่ไรก็นึกไม่ออกสักที


     

    ร่างสูง ขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อสำรวจรอบๆตัวบ้าน พร้อมทั้งเลื่อนมือใหญ่หนาลงไปหยิบโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกงสแล็ค


     

    เขาต้องการจะกดโทรไปหาคนขาย เพื่อซื้อบ้านหลังนั้น เพราะเกิดสนใจมันขึ้นมา ในเมื่อมันสวยและถูกออกแบบได้อย่างไร้ที่ติในสายตาเขา


     

    ร่างสูงร่ำเรียนและเริ่มทำงานเกี่ยวกับการออกแบบมานานหลายปี เขายังไม่เคยเห็นบ้านหลังไหนสะดุดตาเขามาก่อน ถึงแม้สภาพบ้านจะดูเก่าแก่ไปก็ตามที แต่ทว่ามันไม่มีความทรุดโทรมหรือรอยแตกร้าวสักนิดเดียว


     

    เขากดเบอร์โทรศัพท์ของคนบ้านหลังนี้ ไม่นานปลายสายก็รับสายของเขา


    “ฮัลโหล เถ้าแก่คริสพูดครับ” คริสเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสุภาพ


     

    “สวัสดีครับ คุณคริส คือผมเห็นคุณติดป้ายขายบ้านครับ แล้วผมเกิดสนใจอยากจะซื้อบ้านต่อจากคุณครับ"

     

     

    “บ้านหลังไหนครับ” คริสถาม เพราะเขาประกาศขายบ้านหลายหลัง เขาจึงไม่แน่ใจ

     

    “เอ่อ แต่ว่าผมก็ไม่ทราบครับว่าตอนนี้ผมอยู่แถวไหนกันแน่ ผมรู้แค่ว่า บ้านที่ผมต้องการจะซื้อ มันเป็นบ้านสองชั้น ลักษณะเป็นบ้านแบบผสม ส่วนข้างๆรั้ว มีรอยทุบเป็นรูขนาดใหญ่ครับ"


     

    เมื่อชายหนุ่มอธิบายคร้าวๆ คริสถึงกับเบิกตากว้างขึ้นทันที เขาแน่ใจทันทีว่าเป็นหลังไหน


    “คุณจะซื้อจริงๆหรอครับ” คริสทวนคำถามขึ้นอีกครั้งเพราะความไม่แน่ใจ ในเมื่อผ่านมาหลายวันเรื่องลึบลับภายในบ้านหลังนั้นก็ยังไม่จางหายไป ประวัติก็ใช่ว่าจะไม่โด่งดังซะที่ไหน หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้เรื่องเลย หรือไม่ก็ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเหมือนอย่างเขามาก่อน


     

    “จริงครับ บ้านหลังนี้สวยมากเลยครับ ผมรู้สึกชอบตั้งแต่แรกเห็น ถึงจะดูรกๆไปหน่อย แต่ได้รับการตกแต่งใหม่ ผมคิดว่าน่าจะโอเคเลย”


     

    “ครับ แล้วคุณชื่ออะไรครับ”

     

    “ผมชื่อ ปาร์ค ชานยอล


    “ครับ คุณชานยอล แล้วเราจะติดต่อกันอีกครั้งที่ไหน แล้วก็วันไหนดีครับ”


    “อืม  ผมคิดว่า พรุ่งนี้เลยครับ ส่วนสถานที่ ก็เป็นบ้านหลังนี้แหละครับ ผมอยากเข้าไปถ่ายรูปข้างใน เผื่อจะเอาไปปรับปรุงใหม่ทั้งหมด พอดี ผมมีบริษัท ที่ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบบ้าน”


     

    “โอเคครับ แต่ผมจะไม่ไปด้วยตัวเองนะครับ ผมจะให้ส่งลูกน้องผมไปแทน ผมเพราะมีธุระ” คริสพูดเสนอออกไปก่อนทันที ในเมื่อเขาสัญญาแล้วว่าจะไม่ไปเหยียบที่บ้านหลังนั้นอีกเด็ดขาด



     

    “ออครับ ส่วนเวลานัดเดี๋ยวผมจะโทรนัดคุณอีกที”

     

    “โอเค ครับ”


    “งั้นแค่นี้นะครับ" ชานยอล วางสายลง ก่อนจะหมุนกายขึ้นรถ แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้น โดยไม่ทันสังเกตว่ากำลังมีสายตาของใครสักคน จ้องมองเขาจนหายลับไป พร้อมทั้งน้ำตา



            

           ในที่สุด คุณก็กลับมา

     

     


     


     

    ร่างสูงขับรถมาถึงบริษัท ก็ในช่วงเวลาของเข็มนาฬิกานั้นเดินผ่านเวลาทำงานเกือบครึ่งชั่วโมง


     

    ชานยอล รีบปลดเข็มนิรภัยออกจากตัว หยิบกระเป๋าทำงาน ก่อนจะผลักประตูแล้วปิดมันเข้า รีบเดินผละออกจากรถไปอย่างรวดเร็ว

     

    ตำแน่งของเขาเป็นถึง ท่านประธานบริษัท แต่กลับมาทำงานสายเป็นเวลาถี่กัน เขาได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นตัวอย่างที่แย่ที่สุด แต่จะทำไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อ บ้านเขาไกลจากที่ทำงาน ส่วนวันนี้เขาเกือบจะขับรถชนเด็กอีก มันก็เลยเป็นการถ่วงเวลา ทำให้เขาเข้าบริษัทสาย


     

     

    ถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าต่อว่าอะไรเขาได้ นอกจาก โอเซฮุน รุ่นน้องที่สนิทกับเขา รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัท

     

    “วันนี้มาสายอีกแล้วนะครับพี่” โทนเสียงต่ำของ เซฮุนร้องทัก ขณะที่ชานยอลกำลังเดินผ่านหน้าห้องของเขาไป เลยทำให้ชานยอลหยุดชะงัก แล้วเดินเข้าไปหาเขาแทน


     

    “โทษทีว่ะ รถมันมันติดน่ะ”


     

    “ทั้งปีอ่ะพี่”

     

    “ก็มันจริงนี่ นายเองก็รู้ว่าบ้านของฉันไกลจากที่ทำงาน... แล้วอีกอย่างวันนี้ ฉันก็เกือบจะขับรถชนเด็ก”


     

    “หรอครับ...” เซฮุนมีท่าทางตกใจอยู่ไม่น้อย


    “อืม”


     

    “ยังไงก็ระวังหน่อยนะพี่ อย่าขับรถเร็ว ที่นี่ไม่ใช่เมืองนอก จะได้เหยียบจนสุดมิด” เขากล่าวอย่างห่วงใย ก่อนจะก้มหน้ามองจอโน๊ตบุคอย่างตั้งหน้าตั้งตา ซึ่งไม่เกี่ยวกับงานของเขาเลยสักนิด

     

    “ฉันรู้แล้ว ยังไงก็ขอบใจที่เป็นห่วง แล้วนายกำลังดูอะไรล่ะนั่น”  ชานยอลหันไปให้ความสนใจเมื่อเห็นว่าเซฮุนกำลังดูอะไรสักอย่างที่โน๊ตบุ้คของเขา

     

     

    “ผมดูเขาประมูลปืนกันครับ พี่” เซฮุนหมุนจอคอมไปโชว์ให้ชานยอลดู  เผยให้เห็น ปืนเก่าๆ ในสมัยก่อน และมีสนิมเกาะติดรอบๆกระบอก แวบแรกที่เขาเห็น ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ


     

    ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก ในเมื่อ เหมือนว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกเสียที คล้ายๆกับความรู้ว่าเห็นบ้านหลังนั้นเป็นครั้งแรก

     

     

    “นายสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรอ”


     

    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ... นี่พี่รู้มั้ย ปืนกระบอกนี้ มีคนเข้ามาเรียกในราคาที่สูงมากเลยนะ”


     

    “แล้วเขาประมูลกันเท่าไหร่ล่ะ”


     

    “เริ่มต้นห้าสิบล้านวอนครับ”

     

    “โห ทำไมประมูลแพงอย่างงั้นล่ะ แล้วจะมีคนประมูลจริงๆหรอ” เขาถามอย่างสงสัย เพราะมันก็แค่ปืนธรรมดา ไม่ใช่ว่าทำมาจากทองสักหน่อย แถมยังเก่าจนสนิมเกาะติดเต็ม


     

    “มีสิ ตอนนี้เขาประมูลกันถึงห้าร้อยล้านแล้ว คาดว่าจะเรียกขึ้นสูงกว่านี้อีกแน่”

     

     

    “ทำไมคนถึงอยากได้กันนักล่ะ” เขาขมวดคิ้ว ต่อเสียงถามด้วยความสนใจ


     

    “ก็ปืนกระบอกนี่ เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว มันเป็นปืนของผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ยิงศัตรูหัวใจของเธอจนเสียชีวิตคาที่.. จากนั้นไม่นาน สามีของเธอจะทิ้งเธอไป เธอก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา แล้วก็หยิบเอาปืนกระบอกนี้มายิงสามีอีกคนจนเสียชิวิต ก่อนจะยิงตัวเองตายตาม.. แล้วปืนกระบอกนี้ มันขลังมากเลยครับ ว่ากันว่า มันสามารถยิงทั้งคน ยิงทั้งวิญญาณให้ตายได้ด้วยกระสุนนัดเดียว... ก็อย่างนี้แหละครับ พวกมาเฟีย หรือ พวกหมอผี ถึงต้องการมันนัก”

     

     

    “อย่างนี้เนี่ยเอง สมัยนี้ยังมีคนเชื่อเรื่องวิญญาณอีกหรอวะ” เขาเบ้ปากพูด


     

    “ก็มีสิ ไม่งั้นเขาก็ไม่ประมูลซื้อมันมาหรอก แล้วถ้าพี่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะครับ เดี๋ยวจะเจอดีเข้า”


     

    “ฉันก็ไม่ได้ลบหลู่อะไรสักหน่อย ฉันก็แค่เชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น แล้วก็แตะต้องได้เท่านั้น.. ว่าแต่นายเหอะ นายก็เชื่อเรื่องนี้ด้วยหรอ”


     

    “เชื่อครับ” เซฮุนตอบออกไปทันที “เพราะผมเคยเห็นกับตามาก่อน แล้วผมก็มีเซ้นส์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ผมสามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับได้”


     

    “จริงหรอ” ชานยอลถึงกับทวนคำถาม เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทางของรุ่นน้องจริงจังกับมาก

     

    “จริงสิครับ” เซฮุนยืนยันอย่างหนักแน่อีกครั้ง “แต่ผมก็กลัวทุกครั้งที่เจออ่ะ จนบางครั้งก็ทำให้ผมถึงกับไข้ขึ้น”

     

    “แต่ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่ะ เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริงหรือเปล่า บางทีนายอาจจะตาฝาดก็ได้มั้ง”


     

    “จริงๆนะพี่ ผมสามารถมองเห็นได้จริงๆ แล้วก็สื่อกับวิญญาณได้เป็นบางครั้ง.... แต่ช่างเหอะ ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วถ้าพี่เห็นกับตาเมื่อไรล่ะก้อ ผมจะล้อพี่แน่”


     

    “ตามสบายเลย... เดี๋ยวฉันไปทำงานก่อนแล้วกัน เอกสาร กองท่วมหัวเลย”


     

    “ครับๆ ถ้าทำไม่เสร็จ เดี๋ยวผมจะไปช่วยเคลียร์ให้”

     

     

     

    “อืม ขอบใจ ฉันไปล่ะ”



     


    ตัวละครใหม่เพิ่มมาแล้ว อีหยอยมันกลับมาเกิดใหม่แล้ว มีเซฮุนเข้ามาด้วย
    อีเน่มันสัมผัสถึงวิญญาณได้ แต่มันก็กลัว ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันนะครับ



     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×