Fic. Attack On Titan( xEren) Devil Of Notre Dame
วิหารใหญ่ตั้งตระหง่าน เสียงของระฆังที่ดังบอกเวลาอย่างเที่ยงตรง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เลี้ยงปีศาจไว้
ผู้เข้าชมรวม
2,147
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
"ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็มอบเด็กคนนั้นให้ข้า ศาสนจักรจะเป็นผู้ดูแลเอง"
ใบหน้าคมมองเหยียดลงมาจากหลังม้ายังชายหนุ่มสวมแว่นตาที่อยู่เบื้องล่าง
ช่างน่าสมเพชเพียงเพราะแตกต่างถึงต้องโดนทิ้งอย่างไร้ค่า
ใบหน้าคมมองชีวิตน้อยในอ้อมกอด มือแกร่งสัมผัสลงบนผิวแก้มแผ่วเบา
เด็กทารกน้อยหลังตาพริ้มรับสัมผัสอุ่นพลางส่งยิ้มร่าให้คนตรงหน้า
"ต่อไปนี้ข้าจะดูแลเจ้าเอง ข้าจะเรียกเจ้าว่า เอเลน"
.............................................................
PS. ฟิคสั้นคั่นกลางเรื่องยาวอีกแล้วค่ะ >< คราวนี้มิคาสะสาย C นะคะแหะๆ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Fic. Attack On Titan (…xEren)
Evil Of Notre Dame
แกร๊ง แกร๊งง แกร๊งงง
เสียงระฆังตีบอกเวลาอย่างเที่ยงตรงของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ นอร์ทเธอดาม มหาวิหารใหญ่ตั้งตระหง่าน ณ กรุงปรารีส เมื่อแสงอรุณขึ้นสาดส่องทั่วนครเสียงระฆังก้องกังวานดังไปทั่วทั้งเมืองเพื่อปลุกเหล่าประชาของเมืองให้ตื่นจากนิทราเข้าสู่วิถีชีวิตของวันใหม่อีกครา
แต่ใครเล่าจะรู้บ้างว่ามหาวิหารที่ตระหง่านตาและผู้ที่ตีระฆังก้องกังวานคือผู้ใด? เพราะไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้า เสียงเล่าลือถึงเด็กหนุ่มผู้ผิดแปลก คำร่ำลือว่าแท้จริงแล้วเป็นปีศาจที่ตีระฆังวิหาร ปีศาจที่สาธุคุณแห่งปารีสรับเลี้ยงไว้ให้อยู่ภายใต้ความดูแลของเขตอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะวิหารนี้ทุกชีวิตย่อมถูกเมตตาและละเว้นแม้กระทั่ง ปีศาจ……
แสงสีทองยามรุ่งอรุณที่เริ่มสาดส่องจนบาดตาให้ต้องหรี่ตาลง เด็กหนุ่มร่างบางในชุดแต่งกายเสื้อแขนยาวสีเขียวซีดหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการตีระฆังของตนก็โหนเชือกระฆังเส้นยาวลงมายังชั้นล่างถัดจากหอระฆังไม่มากนัก ที่แห่งนี้แม้จะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นบ้านของเขา แต่ก็เป็นที่ตัวเขาเติบโตและถูกเลี้ยงดูมาภายใต้สถานที่ที่ซึ่งเรียกได้ว่าอ้อมกอดแห่งพระเป็นเจ้า ตัวเขาที่ผิดแปลกไปจากผู้อื่นสามารถอยู่ที่นี้ได้อย่างสบายใจ แต่กระนั้นก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนให้ผู้คนเห็นได้ จะมีก็แต่บรรดาเหล่าบาทหลวงที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ที่เขาได้พบเจอและพูดคุยด้วยในสมัยเด็ก แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจนอายุ 15 ตัวเขากลับไม่อาจพูดคุยกับคนเหล่านั้นเพราะถูกผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่คอยดูแลสั่งห้ามเพราะเกรงว่าความแปลกแยกที่ทำให้ถูกเรียกว่าปีศาจจะทำให้คนเหล่านั้นหวาดผวา ถึงแม้ตัวเขาจะฝืนคำสั่งลองไปคุยกับพวกบาทหลวงคนอื่นในวิหารดูบ้างแต่กลับไม่มีใครคุยหรือสบตากับเขาเลยสักคนเดียว และนั่นทำให้ตัวเขาต้องโดดเดี่ยวอยู่ภายในหอระฆังของมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มร่างบางก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน เพื่อนลับๆที่ไม่หวั่นเกรงเขา นัยน์ตาสีทองอร่ามมองนกสองตัวในรังที่เขาคอยดูแลตั้งแต่ออกจากไข่ เพราะแม่นกนั้นหายไป มือเรียวลูบไล้นกสีขาวตัวเล็กกลมสองตัวอย่างเอ็นดู
“ไงโคนี่ ไงชาช่า วันนี้ชาช่าก็ยังแย่งอาหารโคนี่ตามเดิมเลยนะ” ร่างโปร่งมองนกน้อยสองตัวที่นกตัวหนึ่งใช้ปีกของตนกอบโกยเหล่าเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในรังไปไว้ยังฝั่งของตนเป็นจำนวนมากจนเหลือให้อีกตัวนั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและเอ็นดูในความตะกละของนกน้อยชาช่าและโคนี่ ระหว่างที่กำลังพูดคุยและให้อาหารเหล่านกน้อยเพื่อนของตนอยู่นั้นเสียงฝีเท้าที่ขึ้นบันไดมายังหอคอยด้านบนก็ใกล้เข้ามา ถึงแม้นไม่หันไปดูว่าต้นเสียงที่กำลไงใกล้เข้ามาเป็นผู้ใดก็สามารถรับรู้ได้ทันที เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่คอยขึ้นมาดูแลและเสวนากับคนแปลกแยกเช่นเขา
“เอเลนฉันเอาอาหารมาให้” ผู้มาเยือนวางอาหารลงบนโต๊ะไม้ยาวข้างกำแพงเหมือนเช่นทุกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านสาธุคุณรีไว” เอเลนเดินเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมยิ้มทักทายเฉกเช่นทุกวัน
รีไวหยิบขนมปังออกมาจากตะกร้าพร้อมใช้มีดผ่าแบ่งออกทาเนยและใส่จานยื่นให้กับเด็กหนุ่ม พร้อมทั้งรินนมใส่แก้วประจำส่งให้เอเลน ก่อนที่จะหยิบผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงขึ้นมาปอก
เอเลนบิขนมปังออกใส่ปาก เสียงเพลงและดนตรีจากเบื้องล่างที่สนุกสนานรื่นเริงดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มสนใจและสงสัย ใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันสามารถรับรู้ได้ทันที
“เจ้าอย่าริลงไปจากวิหารแห่งนี้เชียว” คำห้ามจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงถึงกระนั่นความอยากรู้อยากเห็นและอยากสัมผัสโลกภายนอกก็ทำให้เขาเอ่ยปากร้องขอ
“แต่วันนี้ในเมืองดูเหมือนมีงานรื่นเริง ท่านพอจะอนุญาติ…” ยังไม่ทันได้ขอร้องจนจบประโยคเด็กหนุ่มต้องกลืนคำพูดของตนกลับลงไปในคอเมื่อนัยน์ตาสีหมอกแสนเย็นชาเริ่มฉายแววไม่พอใจและส่งประกายดุมองมาที่ตน
รีไวยื่นมือแกร่งลูบไล้ใบหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทำหน้าหมองลงไป “เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้เอเลน”
ร่างโปร่งก้มมองขนมปังในมือตนพลางถอนหายใจ
“เพราะสีนัยน์ตาสีทองของข้าสินะ” สีที่แตกต่างจากคนทั่วไปและถูกผลักไสให้กลายเป็นปีศาจจนมีชีวิตอยู่ได้แค่ภายในวิหารแห่งนี้
“เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเอเลน ที่แห่งนี้ถึงปกป้องเจ้าได้ นับตั้งแต่ที่ข้าช่วยชีวิตเด็กทารกตัวน้อยที่กำลังโดนพ่อแท้ๆทิ้งลงบ่อน้ำเพียงเพราะมีนัยน์ตาของปีศาจนั่น” โชคชะตาที่น่าอาดูรแม้แต่สายเลือดเดียวกันก็มิอาจยอมรับชีวิตน้อยที่เกิดขึ้นมา ถ้าวันนั้นตัวเขาซึ่งกลับจากการไปเทศนาที่โบสถ์ข้างเคียงไม่กลับมาแล้วบังเอิญเขอบิดาของเด็กหนุ่มที่กำลังจะโยนชีวิตน้อยๆนั้นทิ้งลงบ่อน้ำ ชีวิตนั้นตอนนี้คงไม่ได้เติบโตและอยู่ตรงหน้าเขา
“ท่านคือผู้มีพระคุณของข้าครับท่านรีไว” ใบหน้ามนยิ้มบางให้กับความเอ็นดูที่คนตรงหน้ามอบให้ ถ้าไม่มีคุณรีไวตัวเขาคงอาจโดนขายเข้าคณะละครสัตว์ หรือกลายเป็นสิ่งของสะสมสำหรับผู้ชื่นชอบของแปลกก็เป็นได้ แต่กระนั้นถ้าเพียงแค่นิดเดียว “ถ้าแอบคลุมหน้าออกไปสักครู่คง…”
“อย่าขัดข้าเอเลน!” เสียงดุสั่งปรามความคิดของเด็กหนุ่มจนร่างโปร่งสะดุ้งด้วยความเกรงนัยน์ตาคมที่ถูกส่งมา “ข้าไม่อยากให้ใครทำร้ายเจ้า”
“ขอโทษครับท่านรีไว” เด็กหนุ่มเอ่ยกล่าวขอโทษพร้อมจุมพิตลงบนหลังมือของชายหนุ่ม
เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดทำให้ทั้งสองมองตามต้นเสียง บาทหลวงหนุ่มผมทองมัดผมก้มศีรษะเชิงขออนุญาติ
“มีอะไรหรือเอริ์ด?” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะขอรับท่านสาธุคุณ วันนี้กษัตริย์เอลวินเรียนเชิญท่านให้เข้าเฝ้าน่ะขอรับ ข้าเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว”
รีไวทำหน้าหงุดหงิดกับเนื้อหาที่ถูกนำมารายงาน ไม่เข้าใจว่าทำไมกษํตริย์ถึงชอบเรียกเขาเข้าเฝ้านัก เรื่องหลักคงไม่พ้นเรื่องของข่าวลือที่วิหารรับเลี้ยงปีศาจไว้เช่นเคย
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไป”
เอริ์ดรีบโค้งศีรษะกล่าวลาและลงจากหอคอย เมื่อพบว่านัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นเริ่มมองมาอย่างไม่พอใจนักกับการที่เขาเข้ามายังหอระฆังแห่งนี้
“ข้าคงต้องไปแล้ว” มือแกร่งลูบไล้ใบหน้ามนอย่างแผ่วเบาก่อนเดินจากไป
เมื่อเด็กหนุ่มมองส่งผู้มาเยือนจนลับตาร่างโปร่งจึงเดินทางหน้าต่างเพื่อมองงานรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นกลางเมือง นัยน์ตาสีทองลุกวาวทอประกายกับบรรดาเครื่องแต่งกายแฟนซีแปลกตาที่กำลังเดินพาเหรด เสียงดนตรีที่ดังอย่างสนุกสนานยิ่งขับให้หัวใจร้องหา กระตุ้นเร้าให้อยากลงไปสัมผัสกับงานเบื้องล่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้าข้าปลอมตัวลงไปสักครู่แล้วกลับมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่เป็นปัญหาใช่ไหม โคนี่ ชาช่า?” ใบหน้ามนยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับนกน้อยทั้งสองที่เอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ มือเรียวคว้าผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มที่แขวนไว้ของตนคลุมศีรษะและพยายามดึงผ้าคลุมให้ลงมาพลางนัยน์ตาของตน ขาเรียวรีบก้าวลงจากหอคอย มือเรียวค่อยๆผลักประตูวิหารบานใหญ่ออกด้วยใจที่เต้นระรัว สีสันของขบวนพาเหรดและเสียงดนตรีที่ได้ยินอย่างชัดเจนยิ่งทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มตื่นเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า มือเรียวกระชับผ้าคลุมแน่นสองขาก้าวออกจากวิหารเข้าสู่งานรื่นเริงที่ไม่เคยได้สัมผัส
“เอาอะไรดีจ๊ะพ่อหนุ่ม?”
“ผ้าไหมชั้นดีเหมาะกับผิวขาวของเจ้านะ”
“นายเคยลองนี้แล้วรึยัง อาหารสูตรเด็ดเพื่อวันที่น่าตื่นเต้นวันนี้เชียวนะ!”
ร่างโปร่งถูกคนมากมายรายล้อมพร้อมทั้งเสนอสินค้าและอาหารต่างๆมากมาย ตัวเขาที่ไม่เคยได้สัมผัสผู้คนมาแสนนานรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจ พาเหรดและชุดแต่งกายหลากสีสันที่เดินผ่านทำให้เขาตื่นเต้นจนรีบก้าวเข้าไปด้านหน้าฝ่าฝูงคนมากมาย ด้วยความไม่ระวังและความไม่คุ้นเคยทำให้เอเลนโดนกลุ่มคนที่เบียดนั้นเบียดกระแทกไปมา จนร่างบางเซถลาไปชนกับแผ่นอกแกร่งของคนที่อยู่ข้างหน้าใบหน้าเงยมองเพื่อจะกล่าวขอโทษโดยไม่ทันรุ้ตัวเลยว่าผ้าคลุมของตนนั้นหลุดออกเสียแล้ว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงผมดำดุจราตรีใบหน้าที่นิ่งเฉยแต่แฝงด้วยความอบอุ่นมองใบหน้ามนที่ขึ้นสบตาก็ราวถูกสะกดไว้ด้วยดวงตาสีทองอร่ามที่งดงามซึ่งประดับบนใบหน้าหวานของผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้
“ข…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เพราะไม่เคยสัมผัสหรือมองหน้าคนอื่นนอกจากสาธุคุณรีไวเลยทำให้เอเลนประหม่าคนแปลกหน้าที่ได้เจอ แต่การกระทำนั่นยิ่งขับให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงความน่ารักในตัวเด็กหนุ่ม
“นัยน์ตาของเจ้าสีแปลกดี เจ้าเตรียมตัวมาประกวดแฟนซีคนงามสินะข้ามั่นใจว่านัยน์ตาสีทองที่แปลกตาของเจ้านั้นต้องชนะแน่นอน”
“เอ๊ะ? ข้าเปล่า”
ชายหนุ่มไม่ทันฟังคำปฎิเสธมือแกร่งก็ลากข้อมือบางก้าวขึ้นเวทีที่กำลังจัดประกวดกันกลางเมือง
“มิคาสะมาสักที เราจะได้ตัดสินแล้วว่าใครจะเป็นคนรูปงามที่สุดของวันนี้” เสียงโฆษกที่แต่งกายด้วยชุดพิธีการสีแดงสว่างตา ใบหน้าคมสันเหลี่ยมชัดเจนแล้วแววตาขี้เล่นช่างเหมาะสมกับตำแหน่งพิธีกรประจำงาน
“ไรเนอร์ข้ามีคนมาเข้าประกวดเพิ่มด้วย” ชายหนุ่มดันหลังร่างบางให้ไปกลางเวลทีรวมกับผู้ประกวดคนอื่นๆ
เอเลนต้องยอมเข้าไปรวมกลุ่มอย่างไม่เข้าใจและเต็มใจนัก ใบหน้ามนยกมือบางขึ้นปิดหน้าพลางลอบมองเหตุการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้นอย่างตกใจระคนตื่นเต้นเช่นกัน
“เอาล่ะครับทุกท่าน ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลือกผู้ที่รูปงามที่สุดของงานในวันนี้ ของเชิญทุกท่านช่วยตัดสินด้วยนะขอรับ คนแรกเด็กหนุ่มผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้าคนนี้” พิธีกรยื่นมือไปยังผู้ประกวดรายแรก เสียงเฮเชียร์จากบรรดากองเชียร์ต่างส่งเสียงร้องเอาใจช่วย
“อาร์มิน อาร์มิน อาร์มิน”
“แหมๆดูเหมือนจะมีคนชื่นชอบหนุ่มหน้าหวานของเราไม่น้อยทีเดียวและคนต่อไปครับ เด็กหนุ่มสูงโปร่งอัธยาศัยดี”
“เบลทรูธ เบลทรูธธธธ”
“ดูท่าจะตัดสินกันยากนะครับเนี่ย คนนี้ล่ะครับหนุ่มซื่อผู้แสนอบอุ่นและใจดี”
“มาร์โก้ นายน่ารักมากๆเลย”
“เสียงเชียร์ก็ยังคงสนั่นหวั่นไหวไม่ต่างกันนะครับเนี่ย”
ไรเนอร์ค่อยๆไล่เสียงโหวตจากการแนะนำเด็กหนุ่มทีละคนมาเรื่อยๆจนมาถึงคนสุดท้าย
“เอาล่ะท้ายที่สุดของวันนี้ ถูกส่งเข้าประกวดโดย มิคาสะ อัคเคอร์แมน หนุ่มยิปซีสุดหล่อของเรานั่นเอง”
เมื่อพิธีกรยื่นมือมาที่ตนร่างบางก็ต้องรู้สึกหวั่นเกรง การที่ไม่เคยได้พบผู้คนมากมายขนาดนี้มาก่อน รวมทั้งการที่เพิ่งเคยได้รับการเป็นจุดสนใจครั้งแรกยิ่งทำให้เอเลนรู้สึกประหม่า
“หนุ่มน้อยถ้าเจ้าเอามือปิดหน้าอยู่อย่างนั้นเราก็โหวดไม่ได้น่ะสิ ไหนช่วยเอามือลงหน่อยเร็ว!!” คำสั่งของพิธีกรทำให้มือบางต้องจำใจค่อยๆลดมือที่ปิดบังใบหน้าลง นัยน์ตาสีทองอร่ามค่อยๆมองลงไปที่ฝูงชนอย่างหวาดๆ แต่กระนั่นใบหน้ามนก็ยังพยายามส่งยิ้มให้กับเหล่าฝูงชนตรงหน้า
เหล่ากลุ่มคนหรือแม้กระทั่งพิธีกรของงานเมื่อได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนต่างต้องตะลึงกับนัยน์ตาสีทองและใบหน้าหวานที่ส่งยิ้มมาให้
“น่ารัก น่ารักสุดๆไปเลย กรี๊ดดดดดดด!!” เสียงโห่เชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอาณาบริเวณทำให้มติเป็นเอกฉันท์
มิคาสะเดินมาสวมมงกุฎดอกกุหลาบสีแดงลงบนเรือนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องได้” ใบหน้ามนยิ้มระรื่นให้กับชายหนุ่มตรงหน้า จนมิคาสะรู้สึกอกซ้านสั่นแต่ไวแปลกๆ
“เออ ข้าขอเห็นนัยน์ตาที่แท้จริงของเจ้าได้หรือไม่?” ชายหนุ่มเอ่ยขออย่างสุภาพ แต่ร่างบางกลับทำหน้าหวาดวิตกและซีดลงอย่างเห็นได้ จนมิคาสะเองต้องตกตะลึงเช่นกัน
“อย่าบอกนะว่านั่นคือสีที่แท้จริงของแก!” เสียงหนึ่งจากกลุ่มฝูงชนทำให้ทุกคนเริ่มแตกตื่น
“นั่นมันปีศาจแห่งวิหาร!!”
“แกออกมาได้ยังไง กลับไปซะเจ้าปีศาจ!!”
“ระวังอย่าจ้องตาสีทองนั่นมันจะทำให้เจ้าถูกสาปและเจอแต่โชคร้าย!!”
เสียงโห่เชียร์ในคราแรกเปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องขับไล่ดังระงมพร้อมฝูงชนที่ลุกหือขึ้นจะเข้ามาทำร้ายร่างบาง
ด้วยความตื่นตระหนกมือเรียวคว้าผ้าคลุมหน้าของตนวิ่งลงจากเวทีกลับไปทางมหาวิหาร เหล่าฝูงชนที่กำลังลุกหือขับไล่ต่างโห่เสียงร้องดังระงม ชายคนหนึ่งในฝูงชนปามะเขือเทศเข้าใส่ร่างบางที่กำลังหลบหนี ผลมะเขือเทศเละแตกลงเปรอะผ้าคลุมสีน้ำตาลถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ไม่มีเวลามาใส่ใจ สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยเพียงแห่งเดียวที่ปลอดภัยที่สุด จะต้องกลับไปให้ถึงที่นั้น
นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างระคนเจ็บใจตนเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับเด็กหนุ่ม มิคาสะรีบวิ่งเข้าไปขวางเหล่าฝูงชนที่กำลังไล่ต้อนเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งหนี ก้อนหินก้อนใหญ่ถูกปาออกมา มือแกร่งรีบคว้ารับไว้ นัยน์ตาสีราตรีที่แสนเย็นชาบัดนี้เริ่มวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โมโหจนเหล่าฝูงชนที่กำลังลุกหือต่างหยุดชะงักเกรงกลัวต่อรังสีทะมึนที่ชายหนุ่มส่งผ่านมา
ประตูมหาวิหารถูกเปิดออกและปิดลงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งร่างโปร่งที่วิ่งหนีขึ้นไปยังหอคอย สถานที่แห่งเดียวที่เป็นที่อยู่ของตน เอเลนทิ้งตัวลงบนฟูกหนาหยาดน้ำใสรินอาบแก้มเนียน เพราะแตกต่างถึงไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีสิ่งที่ผิดแปลกไปจากผู้อื่นจึงทำให้ต้องโดดเดี่ยว
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือที่กระทบลงบนแก้มใสดังไปทั่วหอระฆังที่เงียบสงบ ร่างโปร่งบางถูกมัดตรึงกับเสาข้างเตียงที่นอนประจำของตน นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่คนตรงหน้าขัดคำสั่งของตน
เอเลนก้มหน้ามองพื้นอิฐสีเทาหม่นหมอง เพราะรู้ตัวว่าทำความผิดจึงโดนลงโทษ ใบหน้ามนนิ่งเฉยยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิด เพราะถูกเลี้ยงดูมาโดยชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อกระทำความผิดมักย่อมต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการสั่งสอนวินัย บทลงโทษจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความผิดนั้นว่าร้ายแรงเพียงใด และครั้งนี้ก็ร้ายแรงมากทีเดียวถึงขนาดที่เขาจะโดนจับมัดและลงโทษ
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทำผิด เอเลน”
“ครับ… ข้าขอโทษด้วยครับท่านรีไว”
ขาแกร่งเหวี่ยงเข้าใส่กลางลำตัวของเด็กหนุ่ม จนเอเลนตัวโก่งงอจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้น
“แค่ก แค่ก แค่ก” แรงกระแทกที่หนักหน่วงช่างขัดกับส่วนสูงของคนตรงหน้าถึงขนาดทำให้เด็กหนุ่มจุกจนแทบกองไปกับพื้น แต่เพราะถูกมัดให้นั่งคุกเข้าอยู่กับเสาเอเลนจึงทำได้เพียงแต่โน้มตัวเกร็งหน้าท้องที่จุกแน่นเท่าที่แรงตึงของเชือกจะมีได้
“วันนี้ข้าจะมัดเจ้าไว้แบบนี้ สำนึกผิดซะ” ร่างเล็กแต่ทว่ายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเดินก้าวลงบันไดจากไปจากหอคอย ทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งสำนึกผิดเพียงผู้เดียว
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ใกล้เข้ามาทำให้เอเลนหันมอง แล้วนัยน์ตาสีทองต้องเบิกกว้างเมื่อพบผู้ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ
“มิคาสะ!”
ชายหนุ่มในชุดยิปซีประจำชนเผ่าของตนจ้องมองเด็กหนุ่มที่ถูกมัดด้วยความตกใจ สองขารีบก้าวเข้าไปหาหวังจะคลายเชือกที่รัดแน่นนั้นออกแต่ถูกเด็กหนุ่มปรามเสียก่อน สองมือจึงต้องหยุดชะงักลง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี้?”
“ข้าอยากมาขอโทษเรื่องเมื่อกลางวันเพราะข้าเจ้าเลยต้องเจอเหตุการณ์เลวร้าย และคงรวมถึงที่เจ้าโดนมัดอยู่แบบนี้” คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับภาพที่เห็นเด็กหนุ่มที่ถูกมัดยึดติดกับเสา แก้มใสมีรอยฝ่ามือสีแดงเห็นเด่นชัด
“ไม่หรอก ข้าทำตัวเองต่างหาก แต่ก็เพราะเจ้าข้าเลยได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ” ใบหน้ามนยิ้มร่าเริงให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยิ่งขับให้มิคาสะรู้สึกสั่นไหวกับจิตใจที่แสนเข้มแข็งและอ่อนโยนของคนตรงหน้า
“ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย”
“ข้าชื่อเอเลน ปีศาจผู้ตีระฆังแห่งพระวิหาร” แม้คำแนะนำตัวเหมือนจะประชดชีวิตของตน แต่เอเลนก็แนะนำตนเองด้วยรอยยิ้มสดใสจนมิคาสะรู้สึกชื่นชมในจิตใจที่เข้มแข็งของคนตรงหน้า
“ตอนนี้ไม่มีใครข้าจะแก้เชือกให้เจ้าก่อน รุ่งเช้าข้าจะมัดให้เจ้าใหม่” มิคาสะแก้เชือกให้กับเด็กหนุ่ม
เอเลนสะบัดข้อมือไปมา รอยแดงจากการมัดเห็นเด่นชัดบนข้อมือขาวนวล
“เจ้าไม่กลัวข้าเหมือนคนอื่นเหรอ?” ใบหน้ามนพลุบลงต่ำไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มตรงๆเพราะเกรงว่านัยน์ตาสีทองของตนจะเป็นที่หวาดเกรง อีกทั้งในยามราตรีตาสีทองยิ่งเด่นชัดในความมืดมิดราวกับจะสะท้อนและตอกย้ำความเป็นปีศาจของเขา
มือแกร่งจับคางมนคนตรงหน้าให้เงยขึ้นสบตากับตน เอเลนพยายามหลับตาปี๋ไม่กล้าให้ชายหนุ่มมองนัยน์ตาสีทองที่แสนประหลาดของตนเอง การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้มิคาสะหลุดขำน้อยๆจนเอเลนลืมตาจ้องมองด้วยความสงสัย
“ชาวบ้านนั้นก็แปลก ทั้งที่สวยงามถึงเพียงนี้ทำไมถึงต้องหวาดกลัวข้าไม่เห็นจะเข้าใจ”
คำชมจากชายหนุ่มทำให้ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเขินอาย นอกจากท่านรีไวแล้วมิคาสะเป็นคนที่สองที่บอกว่านัยน์ตาสีทองแสนประหลาดของตนนั้นสวย
“เจ้าช่างแปลกคนนัก” เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าทำให้เด็กหนุ่มดีใจเป็นอย่างมาก
“ว่าแต่เจ้าอยู่ที่หอคอยแห่งนี้คนเดียวไม่เคยได้ออกไปไหนอย่างนั้นหรือ?” จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ได้ยิน เหมือนว่าเด็กหนุ่มเติบโตและถูกห้ามไม่ให้ออกไปจากวิหารแห่งนี้ แค่คิดก็น่าสงสารเปรียบดั่งนกน้อยในกรงทองซ฿งแตกต่างจากยิปซีอย่างเขาที่เดินทางอย่างอิสระเสรีไปตามที่ต่างๆ
“ข้าไม่ได้อยู่คนเดียวนะข้ามีเพื่อน” มือบางดึงแขนชายหนุ่มไปที่ระเบียงของวิหารซึ่งมีนกน้อยสีขาวสองตัวที่กำลังขดตัวนอนกลมอยู่ในนั้นแม้หนึ่งในนั้นจะยังคงมีอาหารเต็มปากอยู่ก็ตาม “นี่เพื่อนข้า โคนี่และที่อาหารยังคาปากอยู่นั้นคือ ชาช่า” เด็กหนุ่มแนะนำเพื่อนทั้งสองของตนให้รับรู้
มิคาสะยิ้มอย่างเอ็นดูถึงความร่าเริงสดใสของร่างโปร่ง ถึงแม้จะโดดเดี่ยวและถูกจำกัดอิสรภาพ แต่ความเข้มแข็งและสดใสก็ยังคงมีอยู่ในประกายตาสีทองคู่งาม
มิคาสะยื่นมือไปตรงหน้าเอเลนพร้อมโค้งศีรษะอย่างสุภาพ ใบหน้ามนมองอย่างสงสัยว่าชายหนุ่มต้องการสื่ออะไร
“ข้า มิคาสะ ขอเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของท่านด้วยได้หรือไม่?”
อกซ้ายของร่างบ้านเต้นระรัว ความดีใจสุขล้นเอ่อขึ้นมา มือเรียวคว้าจับมือแกร่งที่ยื่นมาให้อย่างแนบแน่น
“ได้สิ ขอบคุณนะมิคาสะ ข้าดีใจจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี” เอเลนยิ้มกว้างกับเพื่อนคนแรกที่ได้เจอ เป็นครั้งแรกที่เขาจะมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยและแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้
เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามามิคาสะเอาเชือกมัดเด็กหนุ่มไว้ที่เสาตามเดิม ใบหน้ามนยิ้มส่งชายหนุ่มเพื่อนคนแรกของตนทั้งที่คิดว่าชายหนุ่มคงเดินลงบันไดจากหอคอยเพื่อกลับไปข้างนอก แต่มิคาสะกลับปีนออกจากหน้าต่างหอคอยจนเอเลนมองด้วยความตกตะลึงและเกรงว่ามิคาสะจะได้รับบาดเจ็บ แต่จากเสียงฝีเท้าที่กระทบลงพื้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้เขารุ้ได้ว่าชายหนุ่มลงไปอย่างปลอดภัยดี และดูเหมือนตอนแรกที่เข้ามาก็คงไม่ได้เข้ามาทางประตูเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่แท้
มิคาสะกระโดดลงจากคานพระวิหารนอร์ทเทอดามลงสู่พื้นเบื้องล่าง ชายหนุ่มแหงมมองขึ้นไปยังหอนาฬิกาอย่างโหยหาก่อนวิ่งจากไป โดยไม่รู้เลยว่าตลอดทั้งคืนที่เขาใช้เวลาอยู่กับเอเลนบนหอระฆังจะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องการกระทำทั้งหมดนั้นอย่างเงียบเงียบ
.
.
.
.
.
.
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายิปซีหนุ่มจะแอบลอบปีนกำแพงพระวิหารขึ้นไปหาเด็กหนุ่ม ทุกครั้งที่มามิคาสะจะเล่าเรื่องโลกภายบอกที่เขาได้เดินทางไปพบเจอ รวมทั้งนำของแปลกตาจากที่ต่างๆมากมายมาให้กับเอเลน การมาเยือนของมิคาสะคือความตื่นเต้นที่เด็กหนุ่มเฝ้าคอยทุกวัน
“เอเลนนี่เขาเรียกว่ากล่องดนตรี ถ้าเราไขลานตรงนี้จะมีเสียงดนตรีออกมา” มิคาสะยื่นกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มสี่เหลี่ยมให้กับเด็กหนุ่ม เมื่อฝากล่องถูกเปิดออก ท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหูก็ถูกบรรเลงขึ้น
“มันน่าทึ่งมากเลยมิคาสะ ขอบคุณนะ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายมองกล่องไม้มหัศจรรย์ที่กำลังบรรเลงเพลงน่าฟังในมือ
มิคาสะเกาแก้มของตน ใบหน้าคมของชายหนุ่มขึ้นสีระเรื่อพลางยิ้มบางมองท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ถ้าเจ้าชอบข้าก็ดีใจ”
อกซ้ายกระตุกวูบไหว ยิ่งพบเจอยิ่งมั่นใจกับความรู้สึกของตนมือแกร่งกุมมือร่างบางขึ้น นัยน์ตาสีราตรีจับจ้องนัยน์ตาสีทองอร่ามจนเอเลนต้องหลุบสายตาลงต่ำเพราะความเกรงใบหน้ามนเริ่มขึ้นสีด้วยความประหม่า
“เอเลนออกไปจากที่นี้กับข้าไหม?”
คำชวนของมิคาสะทำให้เอเลนแปลกใจถึงกระนั้นความตื่นเต้นที่จะออกไปโลกภายนอกก็กำลังร่ำร้องให้เขาไป แต่….
“ขอบคุณนะมิคาสะ แต่ข้าไม่อาจออกไปจากวิหารนี้ได้เจ้าก็รู้” เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความเสียดาย เพราะความแตกต่างจึงทำให้ไม่อาจออกไปจากที่นี้ได้
มิคาสะส่ายหน้าไปมา
“ไปกับข้าเถอะเอเลน โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่ต้องมีคนอีกมากที่ยอมรับเจ้าได้ และอีกอย่างยิปซีเป็นที่รวมคนแปลกทั้งหลายอยู่แล้ว เชื่อข้าเถอะ เจ้าสามารถอยู่ร่วมกับข้า กับพวกเราได้” ชายหนุ่มพยายามเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มตอบตกลง
คำเชื้อเชิญของมิคาสะราวกับจุดประกายความหวังให้กับร่างโปร่งที่อยากออกไปสัมผัสถึงอิสระภาพในโลกกว้าง ใบหน้ามนพยักหน้ารับคำเชื้อเชิญของบุรุษตรงหน้า
มิคาสะยิ้มกว้างเมื่อเด็กหนุ่มตอบรับคำเชิญของตน อกซ้ายเต้นระรัวระคนอบอุ่นอย่างเป็นสุข
“อีกประมาณสามวันพวกเราจะเริ่มออกเดินทาง ตอนนั้นข้าจะมารับเจ้า”
มิคาสะรีบนัดแนะเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่จะมาถึงในไม่ช้า การเดินทางอย่างอิสระเสรีที่เจ้าตัวใฝ่ฝัน
“ได้ถึงตอนนั้นข้าจะพยายามจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” คงต้องขออนุญาตท่านรีไวเสียก่อน หวังว่าท่านคงจะเข้าใจ
“ข้าจะรีบกลับไปบอกทุกคนว่าเราจะมีสมาชิกเพิ่ม” มิคาสะเตรียมปีนลงกำแพงเพื่อไปแจ้งข่าว ร่างโปร่งเดินมาส่งยังหน้าต่างที่ชายหนุ่มเข้าออกประจำ ใบหน้าคมหันกลับมาเพื่อกล่าวลาก่อนจากมิคาสะยันตัวจากหน้าต่างเข้าใกล้ใบหน้ามน ริมฝีปากคมทาบทับลงบนแก้มใสของเด็กหนุ่ม
มือบางคว้าจับแก้มขวาของตนที่ถูกสัมผัสอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ามนร้อนผ่าว อุณหภูมิในกายเริ่มสูงขึ้น หัวใจเต้นระรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ภายใน
มิคาสะส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มก่อนกระโดดจากกำแพงลงไป ทิ้งเด็กหนุ่มหน้ามนที่ใจสั่นระรัวกับการกระทำของตนไว้ เมื่อเห็นปฎิกิริยาของเจ้าตัวถ้าเขาจะคิดเข้าข้างตนเองคงไม่แปลกสินะ
เมื่อยิปซีหนุ่มลงมาถึงพื้นเบื้องล่างสองขายาวเตรียมวิ่งกลับไปแจ้งพวกพ้องของตนแต่เจอเสียงหนึ่งเรียกจนต้องหันกลับไปมองยังต้นเสียง และพบชายหนุ่มร่างไม่สูงนักแต่เป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตาในเมืองเป็นอย่างดี สาธุคุณรีไว
“โฮ่ ดูเหมือนนายจะมาช่วยเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยของฉันเสมอเลยนะ” รีไวเดินออกมาจากเงาดำของมุมวิหาร
มิคาสะโค้งทักทายอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นการเจอกันครั้งแรกแต่เขากลับรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ท่านหมายถึงเอเลนอย่างนั้นหรือขอรับ ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนของเขาเท่านั้น” นัยน์ตาสีราตรีจ้องกลับนัยน์ตาสีขี้เถ้า นัยน์ตาทั้งคู่ต่างยังคงนิ่งเฉยและดูท่าทีของอีกฝ่าย
“ตอนแรกข้าก็ว่าจะปล่อยไปเพราะอีกไม่นานพวกเจ้าก็ต้องจากเมืองนี้ไป แต่การที่เจ้ามาชักชวนให้เด็กของข้าเสียคนแบบนี้เห็นทีคงยอมไม่ได้”
“ไม่ช้าก็เร็ว ท้ายสุดแล้วลูกนกจะต้องเติบใหญ่และออกจากรังเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง ท่านไม่อาจกักขังใครไว้ชั่วชีวิตของบุคลนั้น” มิคาสะเริ่มรู้สึกถึงความหวงแหนที่แปลกประหลาดที่ส่งมาจากชายร่างเล็กตรงหน้า
“ชีวิตที่ข้าช่วยย่อมเป็นของข้า การที่ใครมาขโมยของที่มีเจ้าของนั้นเขาเรียกอะไรรู้หรือไม่?” ใบหน้าคมของชายหนุ่มฉายแววไม่พอใจเด่นชัด “เขาเรียกการกระทำนั้นว่าโจร” รีไวส่งสายตาเหี้ยมให้กับคนตรงหน้า
“เอเลนไม่ใช่สิ่งของ!! เจ้าต้องให้เขาเลือกชีวิตของเขาเอง!!” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเริ่มฉายแววความไม่พอใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ คนคนนี้เห็นเอเลนเป็นสิ่งของอย่างนั้นหรือ ทำยังกับว่าจะเก็บเอเลนไว้แต่เพียงผู้เดียว มิคาสะชะงักกับความคิดของตนที่แล่นเข้ามา ……หรือว่า……
นัยน์ตาสีราตรีเริ่มฉายแววขุ่นเคืองกับคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
“เจ้าอยากเก็บเอเลนไว้สินะถึงได้ขังไว้ที่หอคอยไม่ให้พบเจอผู้ใดแม้แต่บาทหลวงในวิหารก็ตาม”
“เจ้าฉลาดไม่เบานี่ ของสำคัญที่แสนงดงามเป็นใครก็ไม่อยากเอาออกมาโชว์หรอกจริงไหม?” รีไวยังคงตีสีหน้านิ่งเฉยโต้ตอบกับยิปซีหนุ่ม
“แกมันนักบุญจอมปลอม” ทั้งที่เอเลนไว้ใจและศรัทธาในตัวคนคนนี้ แต่คนนี้กลับต้องการกักขังร่างบางนั้นไว้ไม่ให้ใครได้พบเห็น แบบนี้มันวิปริตชัดชัด
ใบหน้าเฉยชาส่งยิ้มเหี้ยมให้กับยิปซีหนุ่ม จนมิคาสะเริ่มรู้สึกขนลุกยามนัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นจับจ้องมองลงมา
“ไม่ว่ายังไงข้าจะพาเอเลนไปจากที่แห่งนี้ ไปจากแก!” ยิปซีหนุ่มหันหลังวิ่งกลับไปยังที่อยู่ของตน ในอกร้อนรุ่มเมื่อคิดว่าเอเลนต้องอยู่กับชายหนุ่มผู้ซึ่งแอบแฝงเจตนารมณ์ที่ร้ายกาจของตน สิ่งที่จะทำได้มีแต่ต้องพาเด็กหนุ่มออกมาจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด จากกรงขังของคนที่ชื่อรีไว
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองชายหนุ่มที่วิ่งจากไป ทั้งที่คิดว่าคงไม่เป็นปัญหามากเพราะอีกไม่นานกองคาราวานของยิปซีที่เร่ร่อนจะต้องออกเดินทาง ทั้งที่คิดว่าจะใจดีให้เจ้าหนูนั่นได้มีเพื่อนเล่นเสียบ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยปลาย่างไว้กับแมวขี้ขโมยมากเกินไปเสียแล้ว
ห้องโถงว่าราชการ ณ พระราชวังสูงใหญ่ตระหง่านของเมืองชายหนุ่มผู้มียศเป็นถึงกษัตริย์กำลังตรวจตราเหล่าฏีกาที่ถูกยื่นมาไม่เว้นแต่ละวัน แล้วต้องหยุดชะงักลงเมื่อทหารองครักษ์รายงานว่ามีผู้มาขอเข้าเฝ้าด่วน
ร่างเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งโค้งคำนับกับราชาตรงหน้าก่อนจะตีสีหน้าจริงจังเพื่อแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาที่สำคัญที่จะรายงาน
“มีเรื่องด่วนอะไรรึท่านสาธุคุณ” ราชาเอลวินเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ขณะนี้เกล้ากระหม่อมเห็นว่ายิปซีที่เดินทางมาที่เมืองเราครานี้ดูเหมือนจะก่อความเสียหายให้กับเมืองเป็นแน่แท้”
คำรายงานจากสาธุคุณผู้ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาทำให้กษัตริย์เอลวินวางฏีกาในมือและรับฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
“พวกยิปซีเร่ร่อนครานี้ดูเหมือนจะมีการเผยแพร่ลัทธิซึ่งขัดกับศาสนจักรของเรา ทำให้ผู้คนหลงเชื่องมงายและหันไปนับถือราวกับถูกเชื้อเชิญจากซาตาน”
“เป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ ท่านพอหาทางแก้ไขได้หรือไม่ท่านรีไว” ศาสนจักรคือศูนย์รวมของจิตใจรวมทั้งมีอำนาจสูงสุดแม้แต่กษัตริย์ยังต้องยำเกรง การที่ศาสนจักรสั่นคลองจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
“ข้ามีข้อเสนอให้ขับไล่เหล่ายิปซีไปให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะยิปซีที่ชื่อมิคาสะผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเหล่ายิปซีในครานี้ กระหม่อมเห็นสมควรว่าควรขับไล่นายคนนี้หรือไม่ก็จับเผาเสีย เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่จะมาทำลายเมืองของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ข้อเสนอของรีไวทำให้เอลวินครุ่นคิดสักคู่ ถึงแม้จะฟังดูโหดร้ายแต่การดับไฟตั้งแต่ต้นลมจะเป็นการดีที่สุด ราชาเอลวินจึงอนุญาตตามคำขอของรีไวที่เสนอมา
เหล่าชุมชนในชนบทและสลัมที่เป็นแหล่งกบดานของเหล่ายิปซีต่างถูกรื้อค้นและเผาเพื่อขับไล่ และบีบบังคับให้บรรดาผู้คนเร่ร่อนและยิปซีต่างตกเห็จต้องเดินทางเพื่อหาแหล่งกบดาน บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตายจากเพลิงไฟที่ลุกรามไปทั่วทั้งกรุงปารีส
มิคาสะอพยพผู้คนหนีเพลิงโลกัณฑ์ที่กำลังลุกลาม เหล่าพวกพ้องต่างวิ่งหนีเปลวไฟสีแดงฉานที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าพวกพ้องของตนหลบหนีออกไปจากแหล่งกบดานที่กำลังถูกเปลวไฟแผดเผาอยู่ ยิปซีหนุ่มจึงเตรียมที่จะลี้ภัยออกไปหาเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่แสนคะนึงหา เพราะรู้ดีว่าเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่ธรรมดาครั้งนี้จะต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน และบุคคลที่มีอำนาจมากพอที่จะสั่งการให้เผากรุงปารีสเพื่อขับไล่พวกตนไปได้นั้นก็คือคนเดียวกับที่กักขังอิสระภาพเด็กหนุ่มให้อยู่ในอุ้มมือของตน อกข้างซ้ายของมิคาสะร้อนรนเฉกเช่นเดียวกับเปลวเพลิงที่ปะทุโหมกระหน่ำ
ขาแกร่งวิ่งหลบตามซอกกำแพงเพื่ออำพรางตัวไปยังวิหารแล้วสองขาต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงผ้าตัวหนึ่งใกล้เข้ามา มิคาสะเงยหน้ามองผู้ที่นั่งบนอานม้าซึ่งกำลังขวางทางเขา ยิปซีหนุ่มกัดฟันกรอดจนขึ้นสันกรามเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่บนม้าและก้มมองลงมาเป็นผู้ใด
“กรุงปารีสลุกเป็นไฟเฉกเช่นเดียวกับตัณหาราคะในใจท่านสินะรีไว”
ชายหนุ่มไม่โต้ตอบ รีไวตวัดตัวลงจากหลังม้ามองหน้ายิปซีหนุ่มที่วาวโรจน์ไปด้วยไฟโทสะพลางนึกสะใจอยู่ข้างใน
“ข้าแค่รักษาสมบัติของตนเองไม่ให้แมวขโมยเอาไป”
สิ้นคำหมัดหนักหน่วงพุ่งเข้าใส่บาทหลวงอย่างไม่ยั้งรอ รีไวหันหลบขาแกร่งฟาดลงที่กลางหลังของยิปซีหนุ่มอย่างรุนแรง จนมิคาสะลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เมื่อรับรู้ถึงแรงลมของกำลังใกล้เข้ามายิปซีหนุ่มจึงกลิ้งหลบฝ่าเท้าที่กำลังฟาดลงมาใส่ตน แล้วสวนข้อศอกแกร่งเข้าที่ท้องของบาทหลวงหนุ่มอย่างเต็มแรง จนรีไวตัวงอด้วยความจุก
“หึ ไม่คิดว่าบาทหลวงจะทำอะไรแบบนี้เป็น แกมันบาทหลวงเถื่อนจริงๆ” ยิปซีหนุ่มแสยะยิ้ม ศอกที่กระทุ้งเข้ากลางลำตัวทำให้คาดเดาได้ว่าภายใต้เสื้อสีดำรุ่มร่ามนั้นซ่อนไว้ซึ่งร่างกายที่สมชายชาตรีไม่ต่างจากตน
“ข้าเองก็ไม่คิดว่ายิปซีที่ดีแต่หาเรื่องใส่ตัวจะทำอย่างอื่นนอกจากลักขโมยก็เป็น” รีไวตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจมที่ยิปซีหนุ่มพุ่งเข้าใส่
หมัดและความเร็วของขาที่ทั้งเตะและต่อยเข้ามาถือว่าไม่ธรรมดา แต่ยังช้าไป บาทหลวงหนุ่มรับและปัดการโจมตีของมิคาสะได้ทุกท่วงท่า เมื่อเจอช่องว่างรีไวไม่รีรอชกเข้าที่กลางลำตัวของยิปซีหนุ่ม จนมิคาสะจุกงอและกระอักเลือดออกมาจากแรงกระแทกที่ได้รับ ยังไม่ทันที่ยิปซีหนุ่มจะทันตั้งตัวแขนแกร่งก็ถูกจับบิดไคว้ไปด้านหลังอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งฝ่าเท้าที่กดศีรษะตนลงมาบนพื้นอย่างแรง หยาดเลือดอุ่นไหลทะลักจากหน้าผากที่แตก นัยน์ตาสีราตรีจ้องสบกับชายหนุ่มร่างเล็กอย่างโกรธแค้น
รีไวสั่งให้เหล่าทหารที่วิ่งเข้ามาจับตัวยิปซีหนุ่มไปคุมขังเตรียมรอรับการตัดสินโทษต่อไป
แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ราจรีที่เงียบสงัดมาเยือนอีกครา แต่ราตรีนี้เงียบจนน่าใจหาย เพราะเด็กหนุ่มไม่เห็นผู้มาเยือนยามค่ำคืนที่เฝ้าคอย จิตใจเริ่มกังวลด้วยความเป็นห่วง แต่ก็พยายามคิดว่าคงเพราะชายหนุ่มจะต้องเตรียมเรื่องการเดินทางอาจทำให้มาช้ากว่าทุกวันก็เป็นได้ ใบหน้ามนยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้
เอเลนรีบวิ่งไปยังต้นเสียงแล้วสองขาต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นร่างและใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ไม่ใช่คนที่กำลังเฝ้ารอ
“ท่านรีไววันนี้มาดึกจังนะครับ งานเสร็จแล้วหรือครับ?” ใบหน้ามนยิ้มบางให้กับท่านสาธุคุณ
มือแกร่งลูบไล้แก้มใสตรงหน้าอย่างคุ้นเคย ซึ่งใบหน้ามนก็หลับตารับสัมผัสด้วยความคุ้นชินเช่นกัน
“รอใครอยู่งั้นหรือเอเลน?”
คำถามจากชายหนุ่มทำให้นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
มือแกร่งที่ลูกไล้อย่างแผ่วเบาในคราแรกบีบเข้าสันกรามของเด็กหนุ่มจนเอเลนเบ้หน้าด้วยความเจ็บจากแรงบีบ
“ท….ท่านรีไว…..?” นัยน์ตาสีทองสว่างมองการกระคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาทำอะไรผิด? ถึงได้โดนลงโทษ
“ถ้ากำลังรอเจ้ายิปซีอยู่ล่ะก็เลิกหวังได้เลยเอเลน มันจะไม่มีทางมาหาเจ้าได้อีก” เลือดในกายพลันกลายเป็นน้ำแข็งเย็นวูบกับคำบอกกล่าวของคนตรงหน้า
“ท…ทำไม?”
“เพราะเจ้านั้นคิดจะขโมยของล่ำค่าของข้ายังไงล่ะ”
เมื่อแสงรุ่งอรุณมาถึงรีไวขึ้นแจกแจงเสื้อผ้าของตนเอง มือแกร่งปลดพันธนาการให้กับข้อมือบางของคนที่นอนสลบไศล แล้วออกไปทำภารกิจช่วงเช้าของตนที่ได้สั่งไว้ การกำจัดเสี้ยนหนามและแมลงที่เข้ามายุ่มย่ามกับสมบัติของเขา
ร่างเล็กในชุดสาธุคุณเต็มยศลงมายังลานประหารซึ่งอยู่หน้ามหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ยิปซีหนุ่มถูกมัดตรึงกับเสาไม้ทั้งภายใต้มีฝืนขนาดใหญ่มากมายเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการสำเร็จโทษชายหนุ่ม รีไวเดินเข้าไปหามิคาสะที่ถูกพันธนาการเตรียมรอคำตัดสินโทษจากตัวเขา นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองใบหน้าของยิปซีหนุ่มอย่างผู้มีชัย
“ข้าจะเมตตาเจ้าสักครั้ง ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับสมบัติของข้าข้าจะปล่อยเจ้าไปดีไหม?” รีไวกระซิบยื่นข้อเสนอต่อรองให้กับยิปซีหนุ่ม
มิคาสะถ่มน้ำลายใส่จนเปรอะหน้าชายหนุ่มร่างเตี้ยกว่า การกระทำนั้นยิ่งขับให้รีไวขุ่นเคืองมากขึ้น
“หึในเมื่อเจ้าไม่รักชีวิตตนเอง ข้าก็จะสงเคราะห์ให้” พูดจบบาทหลวงหนุ่มหันไปทางเพชฒฆาต เพื่อส่งสัญญาณคำตัดสินของตน ท่อนฟืนหนาถูกจุดเพลิงสีแดงช่วงโชติ เพชฒฆาตร่างใหญ่จุดไฟลงบนกองเชื้อเพลิงใต้ร่างเด็กหนุ่ม
เสียงเซ็งแซ่โวยวายภายนอกขับให้ร่างบางที่อ่อนแรงค่อยๆปรือตาขึ้นมือเรียวคว้าเสื้อผ้าที่โดนถอดกระจัดกระจายข้าสวมใส่ ร่างโปร่งพยายามลุกขึ้นอย่างปวดร้าวกับความเจ็บปวดของสะโพกและความแสบของช่องทางด้านล่างที่ถูกกระทำอย่างโหดร้าย ใบหน้ามนตื่นตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องล่าง ยิปซีหนุ่มถูกพันธนาการบนท่อนไม้ขนาดใหญ่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ เอเลนไม่รอช้าคว้าเชือกระฆังของพระวิหารทะยานตัวลงสู่เบื้องล่าง เด็กหนุ่มฝ่ากองเพลิงแก้เชือกที่พันธนาการยิปซีหนุ่มออก การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้สาธุคุณรีไวตื่นตระหนกรีบสั่งเหล่าทหารที่อยุ่บริเวณนั้นช่วยกันดับไฟเพราะเกรงว่าเอเลนจะได้รับอันตราย
เมื่อเชือกที่รัดแน่นคลาย เอเลนและมิคาสะรีบวิ่งฝ่าฝูงคนตรงเข้ายังพระวิหารที่ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ละเว้นทุกชีวิตแม้กระทั่งนักโทษประหารก็ตาม เหล่าทหารที่วิ่งไล่ล่านักโทษต่างต้องหยุดชะงักหน้าประตูทางเข้าวิหารใหญ่ ไม่อาจไล่ตามหรือจับกุมได้อีกต่อไป คิ้วเรียวขมวดมุ่น นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ รีไวฝ่าฝูงชนตามเข้าไปในมหาวิหารด้วยใจที่ร้อนรน
“มิคาสะไม่เป็นไรใช่ไหม” ร่างโปร่งพยุงยิปซีหนุ่มให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องของตนบนหอระฆัง
“ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก” นัยน์ตาสีราตรีวาวด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นรอยตีตรามากมายบนคอร่างบาง
เอเลนเมื่อมองตามสายตาของมิคาสะมือเรียวต้องรีบยกขึ้นปิดร่องรอยน่าอับอาย ใบหน้ามนขึ้นสีได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาชายหนุ่ม แขนแกร่งโอบกอดไหล่บางตรงหน้า ใบหน้าคมซุกลงบนซอกคอขาวของเด็กหนุ่ม
เจ็บใจ แค้นเคือง ที่ไม่อาจปกป้องคนสำคัญของตนให้พ้นจากอุ้มมือของปีศาจร้ายในคราบนักบุญได้
“มิคาสะ?” เอเลนเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า ทั้งที่คิดว่าตัวเองคงโดนรังเกียจแต่ชายหนุ่มกลับโอบกอดเขาด้วยความอบอุ่นจนเด็กหนุ่มรู้สึกตื้นตัน
“ข้ารักเจ้าเอเลน” ร่างบางผละออกจากอ้อมกอดแกร่ง ใบหน้ามนมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
“แต่ข้า…” นัยน์ตาสีทองสั่นระริกกับเรื่องที่เกิด ตัวเขาตอนนี้ไม่คู่ควรที่จะได้รับความรู้สึกลึกล้ำเช่นนั้นจากชายหนุ่ม
มือแกร่งจับไหล่บางอย่างแน่วแน่ นัยน์ตาสีราตรีฉายแววจริงจังและความตั้งใจหวังให้อีกฝ่ายรับรู้
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใครหรือโดนทำอะไร ข้ารักเจ้าเอเลน” อกซ้ายของร่างบางสั่นไหว ความอบอุ่นและตื้นตันเออล้น ยังมีคนที่ยอมรับเขาไม่ว่าเขาจะเจอกับอะไร แต่คนตรงหน้านี้ก็พร้อมที่จะยอมรับตัวตนของเขา
“โฮ่ ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับสมบัติของผู้อื่น”
“ท่านรีไว!” เด็กหนุ่มสั่นเกร็งเมื่อบุรุษตรงหน้าส่งสายตาเย็นเฉียบจับจ้องมาที่ทั้งคู่
“เอเลนไม่ใช่สิ่งของ ข้าจะไปเขาไปจากที่นี้” มิคาสะส่งแววตาหาเรื่องและขุ่นเคืองกลับไปไม่ต่างกัน
รีไวสบถอย่างหัว ยิ่งเห็นว่ายิปซีหนุ่มโอบกอดแตะต้องสิ่งล้ำค่าของตน ยิ่งทำให้เส้นอารมณ์ของบาทหลวงหนุ่มขาดผึง
หมัดแกร่งพุ่งเข้าใส่ยิปซีหนุ่มเต็มแรง มิคาสะเหวี่ยงตัวเอเลนเพื่อหลบการปะทะที่กำลังเกิดขึ้น ยิปซีหนุ่มหลบหมัดหนักที่พุ่งเข้ามาได้แต่ต้องจุกกับขาแกร่งที่ฟาดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว รีไวไล่ต้อนยิปซีหนุ่มจนไปถึงลานกว้างหน้าหอนาฬิกา ด้วยความเป็นห่วงทั้งสองเอเลนรีบวิ่งตามมาดูเหตุการณ์
มิคาสะหลบหลีกไปมาเมื่อเห็นจังหวะยิปซีหนุ่มเอี้ยวตัวหลบก่อนจะศอกเข้ากลางหลังบาทหลวงหนุ่มอย่างเต็มแรง รีไวเซถลาไปเกาะระเบียงหิน มือแกร่งยกขึ้นปาดเลือดที่มุมปากนัยน์ตาสีขี้เถ้ามองยิปซีหนุ่มอย่างโกรธเคือง มิคาสะไม่รีรอรีบสวนเตะเข้าที่ช่องท้องคนสูงน้อยกว่าไม่ให้ทันตั้งตัว แขนแกร่งพยายามกันรับแรงปะทะที่เกิด รีไวร่นถอยหนีจนเท้าพลาดพลั้งไปจนสุดขอบพระวิหาร ร่างแกร่งร่วงหล่นจากระเบียง
“ท่านรีไว!!!!” ใบหน้ามนตื่นตกใจรีบวิ่งมาทางที่ชายหนุ่มร่วงหล่นลงไป
โชคดีที่แขนแกร่งของบาทหลวงยึดจับชานระเบียงหินไว้ทันก่อนที่จะตกลงไปจากยอดวิหารสูง
“ท่านรีไวข้าจะรีบช่วยท่านขึ้นมาเดี๋ยวนี้” มือเรียวกำลังจะคว้าข้อมือแกร่งที่พยายามยื้อชีวิตของตนไว้ แต่มือหนาของอีกคนจับข้อมือบางไว้เสียก่อน
“เอเลนนี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะหนีไปจากที่นี้ จากพันธนาการของชายผู้นี้” นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างกับทางเลือกที่ยิปซีหนุ่มยื่นเสนอ “ไปกับข้าเถอะเอเลนไปสัมผัสโลกกว้างที่อยู่ข้างนอกกับข้า”
ใบหน้ามนครุ่นคิดกับทางเลือกที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเขาช่วยบาทหลวงหนุ่มขึ้นมายิปซีหนุ่มคงไม่พ้นโทษประหารและตัวเขาก็คงไม่พ้นต้องอาศัยอยู่แต่ในมหาวิหารแห่งนี้เท่านั้น แต่ถ้าเขาเลือกมิคาสะตัวเขาก็จะเป็นอิสระได้ออกไปยังโลกภายนอก ได้พบเจอผู้คนมากมายได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใฝ่ฝัน เด็กหนุ่มเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ทางเลือกทั้งสองทางช่างยากเย็น หนึ่งคือบุคคลผู้มีพระคุณที่นับถือมาตลอดเวลา 15 ปี อีกหนึ่งคือบุรุษผู้ซึ่งมอบความฝันที่ชีวิตดั่งที่ต้องการ
“เอเลน”
“เอเลน”
เด็กหนุ่มมองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองสลับไปมา ความหนักอึ้งถาโถมเข้าใส่ สิ่งที่เขาต้องเลือก สิ่งที่ข้าต้องเลือก…..
มือแกร่งที่ยึดเกาะผนังเริ่มอ่อนล้า รีไวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่สามารถเลือกหนทางของตน เพราะเป็นครั้งแรกที่เอเลนได้มีสิทธิที่จะเลือกชีวิตของตนเอง ตราบใดที่ตัวเขายังคงอยู่เด็กหนุ่มจะไม่มีวันเป็นอิสระตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด
เอเลน……สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะให้…….คืออิสระแก่ตัวเจ้า……
ใบหน้าคมหลับตาลง ความรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ตัดสินใจจะปล่อยมือจากเด็กหนุ่มทำให้รีไวรู้สึกเบาสบายและไม่กลัวความตายที่อยู่เบื้องหน้า มือแกร่งคลายมือที่ยึดกับพนังของตนเอง เฉกเช่นเดียวกับปลดปล่อยพันธนาการที่ตนยึดไว้กับเด็กหนุ่ม
หมับ!!
มือเรียวคว้าแขนแกร่งตรงหน้า รีไวมองการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ
“โลกภายนอกเป็นสิ่งที่ข้าหลงใหล ฮึก” ใบหน้ามนจ้องมองใบหน้าคมที่คุ้นเคยมาตลอดเวลาสิบห้าปีที่เฝ้าดูแลตนพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่โลกภายนอกที่ไร้ท่านมันก็ไร้ความหมาย”
มือเรียวทั้งสองพยายามดึงชายหนุ่มที่ร่วงหล่นขึ้นมาแต่น้ำหนักชองรีไวนั้นมีมากเหลือเกิน จึงไม่อาจดึงขึ้นมาได้ง่าย
“เอเลนปล่อยมือซะนี่เป็นคำสั่ง” ถ้าเด็กหนุ่มยังคงยื้อเขาไว้แบบนี้จะต้องตกลงด้วยกันอย่างแน่นอน
“ไม่ครับ!! ขอข้าขัดคำสั่งท่านเถอะแล้วข้าจะยินดีรับโทษทีหลัง”
แขนเรียวเริ่มหมดแรงมือแกร่งค่อยๆเลื่อนหลุด ก่อนที่ทั้งสองจะร่วงหล่นมือแกร่งอีกคู่ก็ช่วยดึงบาทหลวงหนุ่มขึ้นมา
“มิคาสะ!!” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อชายหนุ่มอีกคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“เจ้ายิปซี?” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองใบหน้าอีกคนที่ดูไม่เต็มใจนัก
“หึข้าไม่อยากช่วยเจ้าหรอกนะไอบาทหลวงเตี้ย แต่ข้าทนเห็นใบหน้าที่หม่นหมองของเอเลนไม่ได้”
ยิปซีและเด็กหนุ่มฉุดร่างของบาทหลวงรีไวขึ้นมาบนระเบียงได้อีกครั้ง เอเลนและมิคาสะต่างเหนื่อยหอบกว่าจะดึงคนน้ำหนักเยอะอย่างน่าแปลกใจขึ้นมาได้
“ข้าช่วยท่านไว้คงไม่ต้องไปกลับลงไปถูกย่างแล้วสินะ?” ยิปซีหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นถามบาทหลวง
ท่าทางที่น่าจับไปอบรมสั่งสอนช่างยียวน แต่ถึงกระนั่นเขาก็ถูกยิปซีหนุ่มที่เขาไม่ชอบหน้าช่วยเอาไว้
“หึ เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร คำสั่งและการคาดการณ์ของข้าคงผิดพลาดที่จับหนุ่มอวดดีอย่างเจ้ามา ข้าคงต้องหาข้อแก้ตัวกับพระราชา”
เอเลนมองท่าทางของบุคคลสำคัญตรงหน้าทั้งสองที่ต่างไม่ยอมลดลงให้แก่กันก็ได้แต่กลั้นขำในใจ
“สำหรับความเสียหายที่เกิดศาสนจักรจะขอรับผิดชอบ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย” สาธุคุณรีไวก้มศีรษะสำนึกผิดของตนให้กับหนุ่มยิปซี
มิคาสะแปลกใจกับการกระทำของบาทหลวงหนุ่ม แท้จริงแล้วบาทหลวงนี้ถ้าไม่ได้มีตัณหาบังตาคงเป็นบาทหลวงที่ดีมากทีเดียว
“พวกเราชาบยิปซีขอรับน้ำใจของท่าน” ยิปซีหนุ่มค้อมศีรษะตอบรับบาทหลวง
รีไวหันมองใบหน้ามนเด็กหนุ่มที่รักยิ่งมือแกร่งสัมผัสลงบนแก้มใสแผ่วเบา ใบหน้ามนหลับตาลงรับสัมผัสเฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มยังคงศรัทธาในตัวเขาแม้จะทำเรื่องที่โหดร้ายลงไปก็ตาม อกข้างซ้ายของบาทหลวงหนุ่มรู้สึกหน่วงและปวดหนึบกับความรู้สึกผิดที่กอบกุมในใจ เขาใช้อารมณ์และตัณหาที่หวังครอบครองคนตรงหน้าจนทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายต่างๆมากมาย ถึงกระนั่นเด็กหนุ่มก็ยังคงมอบความไว้วางใจให้เขา
“โดยเฉพาะเจ้าที่ข้าต้องขอโทษมากที่สุด ถ้าเจ้าอยากเดินทางร่วมไปกับมิคาสะข้าจะไม่ห้าม”
นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างกับอิสรภาพที่ชายหนุ่มยื่นให้อย่างไม่คาดฝัน เป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวที่เขาจะได้ออกไปผจญโลกกว้างดั่งที่เคยวาดฝันไว้ เด็กหนุ่มยิ้มบางสบนัยน์ตาสีขี้เถ้าคุ้นชินตรงหน้า
“ไม่ครับ ข้าจะอยู่ที่นี้” คำตอบของเอเลนทำให้รีไวเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “ข้าบอกแล้วไงโลกภายนอกที่ไม่มีท่านก็ไม่มีความหมายสำหรับข้าเช่นกัน” เขาได้ตัดสินใจแล้วถึงโชคชะตาของตนเอง ได้เลือกแล้วซี่งหนทางที่จะก้าวเดินและบุคคลที่อยากจะเดินไปด้วยกัน
มือบางประคองมือแกร่งที่จับแก้มของตน ริมฝีปากบางประทับจุมพิตลงบนฝ่ามือแกร่งอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ทุกอย่างกลับมาเป็นดังเดิมแต่ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทำให้วันนี้ท้องฟ้ากว้างใหญ๋ที่มองจากยอดสูงของมหาวิหารนั้นสดใสแล้วงดงามกว่าที่แล้วมา….
“ต้องไปแล้วสินะมิคาสะ” นัยน์ตาสีทองหม่นหมองเมื่อถึงเวลาที่เพื่อนคนแรกที่แสนสำคัญของตนต้องจากไป
“อืม ยิปซีอย่างพวกข้าเดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย แต่สักวันข้ากับเจ้าจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน” มิคาสะยิ้มตอบกลับให้ใบหน้าเด็กหนุ่มคลายเศร้าลงบ้าง “แล้วครั้งหน้าข้าขอเจอแค่เอเลนแต่ไม่เจอท่านนะขอรับท่านสาธุคุณ” ยิปซีหนุ่มหันไปยิ้มเหยียดชายหนุ่มในชุดบาทหลวงที่ส่วนสูงน้อยจากตน
“โฮ่ งั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะกลับมาหาเอเลนได้โดยไม่ตายเสียก่อนล่ะ” รีไวเข้ามาโอบกอดเอวเด็กหนุ่มแสดงความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เอเลนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสงครามปะทะคารมของทั้งคู่ได้แต่ยิ้มเฝื่อนทำอะไรไม่ถูก
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าบาทหลวงเตี้ยๆแบบนี้น่านับถือตรงไหน” มิคาสะอดที่จะถากถางไม่ได้ ไม่เข้าใจเสียเลยว่าชายหนุ่มคนนี้มีอะไรดี เอเลนถึงได้เลือกและละทิ้งซึ่งความใฝ่ฝันของตนเองลง
“หืม? ข้าว่าเจ้าคงยังอยากกลับไปนอนในคุกสักวันสองวันนะพ่อหนุ่ม”
“ของแบบนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอขอรับ” นัยน์ตาสีราตรีจ้องมองใบหน้ามนอย่างอาวรณ์ “เจ้าจะไม่ไปกับข้าจริงๆหรือเอเลน?”
เด็กส่ายหน้าช้าๆไปมาเป็นการปฏิเสธ เพราะที่แห่งนี้คือที่ที่เขาได้เลือกแล้ว
“งั้นเหรอ” มิคาสะถอนหายใจอย่างเสียดาย “ไหนๆท่านก็ได้ทั้งตัวและใจของเอเลนไปแล้วข้าขอแค่นี้คงไม่ว่ากันนะ” มิคาสะโอบเอวร่างบางแย่งเข้าหาตน ริมฝีปากคมจุมพิตลงบนริมฝีปากบางในอ้อมกอด ลิ้นร้อนกระหวัดไปมากอบโกยความหวานภายในอย่างอ้อยอิ่งอ่อนโยน
“อื้อ!” ร่างบางครางประท้วงกับการกระทำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของยิปซีหนุ่ม เมื่อริมฝีปากคมถอดถอนออกไป ยิปซีหนุ่มรีบเอี้ยวหลบฝ่าเท้าแกร่งที่ตวัดเข้ามาอย่างเฉียดฉิว
“ข้าสัญญาว่าจะจำรสสัมผัสนี้ตลอดไปนะเอเลน”
“มิคาสะ!!” เอเลนหน้าขึ้นสีกับการกระทำจาบจ้วงของมิคาสะที่ไม่เกรงกลัวชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายตนเสียเลย
“ไอยิปซี!!!” เสียงคำรามเค้นรอดจากลำคอของบาทหลวงหนุ่ม ถึงกระนั้นก็ไม่อยากถือสาหาความเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำกับเด็กหนุ่มอย่างจาบจ้วงแล้ว สิ่งที่ยิปซีหนุ่มทำนับว่าน้อยกว่าอยู่มาก
มิคาสะยิ้มบาง โบกมือลาหันหลังเดินกลับเข้ากองคานิวานที่ซึ่งพวกพ้องของตนเฝ้ารออยู่ เด็กหนุ่มร่างโปร่งคลุมผ้าคลุมออกมาหน้าวิหารโบกมือลาเพื่อนคนสำคัญของตนและกองคานิวานที่กำลังเคลื่อนพลไปจนลับสายตา ร่างโปร่งย่างก้าวกลับเข้ามายังสถานที่ที่อยู่ของตน ใบหน้าคมมองเด็กหนุ่มนิ่ง
“แบบนี้ดีแล้วเหรอเอเลน นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้ามีสิทธิไปจากข้า” ไปจากความโหดร้าย จากอุ้มมือที่พันธนาการเขาไว้
“ดีแล้วล่ะครับ” เอเลนก้าวเท้าเข้ามาโอบกอดบาทหลวงหนุ่ม เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ตราตรึงผู้ที่ได้ฟังอย่างเอ่อล้น มือแกร่งขึ้นโอบกอดตอบเด็กหนุ่มใบหน้าคมซุกลงกับบ่าบาง ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างเป็นสุข ความรู้สึกตื้นตันถูกเติมเต็มเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ แต่ฝังแน่นตราตรึงและเสนาะกว่าบทเพลงหรือคำกลอนใดใดในโลกนี้
“ข้ารักท่าน….ท่านรีไว”
นับจากวันนั้นหอระฆังยังคงดังก้องกังวานเฉกเช่นเดิม ปีศาจแห่งหอระฆังยังคงเป็นหวาดกลัวกับผู้คน สาธุคุณรีไวยังคงเป็นที่นับถือและชื่นชมกับประชาชนทุกคนในเมือง ราชาเอลวินยังคงไว้เนื้อเชื้อใจในสหายและที่ปรึกษาคนสนิทไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงสำหรับเด็กหนุ่ม เหล่าผู้คนในวิหารที่เคยถูกสั่งห้ามไม่ให้เสวนาหรือพบเจอกับเอเลน ตอนนี้ร่างโปร่งได้เข้ามาช่วยงานในครัวหรือทำความสะอาดวิหารพร้อมกับเหล่าผู้คนในวิหาร ทุกคนก็ยินดีและต้อนรับเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่นไม่เกรงกลัวต่อนัยน์ตาสีทองที่ผิดแปลกแยกจากผู้คน จะมีก็แต่เมื่อสาธุคุณรีไวมาร่วมทำกิจกรรมพร้อมเอเลน ทุกคนต่างพยายามที่จะไม่เข้าใกล้หรือแตะต้องตัวเด็กหนุ่มจนมากเกินไป ซึ่งเอเลนก็เข้าใจตรงจุดนี้ได้และเขาก็นึกขำกับท่าทีที่ทุกคนต้องสะดุ้งทุกครั้งเมื่อเจอสายตาดุดุของสีหน้านิ่งเฉยนั่นปรายมองมา แม้บางครั้งจะเพียงแค่มองเฉยๆก็ตาม สิ่งที่แปลกไปอีกอย่างบางวันในเมืองผู้คนจะพบเห็นบาทหลวงหนุ่มพาลูกศิษย์ที่คุมกายอย่างมิดชิดออกมาซื้อของในตลาด หรือออกไปนั่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างบ้างเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่มนั้น ถึงกระนั่นเพราะคนที่อยุ่ด้วยเป็นถึงบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นที่ไว้วางใจแม้กระทั่งกับองค์ราชาของเมืองเหล่าผู้คนจึงมิได้สงสียหรือใส่ใจเด็กหนุ่มผู้ติดตามมากนัก
สายลมเย็นพัดผ่านร่างสองร่างที่นั่งซ้อนกอดกัน เด็กหนุ่มในชุดคลุมกายมิดชิดและบาทหลวงหนุ่มผู้มีใบหน้าเฉยชาแต่เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน เอเลนเบียดกายให้แนบชิดอกอุ่นของคนซ้อนท้ายอีกคนเมื่อสายลมพัดผ่านนำความหนาวเหน็บมาด้วย แขนแกร่งโอบกอดให้ความอบอุ่นเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ใบหน้ามนเงยหน้ามองคนที่กำลังกอดตน ใบหน้าคมก้มมองลงมาพร้อมมอบรอยยิ้มบางให้กับคนในอ้อมกอด จนเอเลนยิ้มตอบจนแก้มปริ ทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนแปลงและเข้าหากันทีละนิดอย่างลงตัว เพราะต่างรักและเข้าใจจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทีล่ะน้อยจนในที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่อาจตัดขาดหรือแยกจาก
“ตอนนี้ข้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากท่าน ได้เห็นโลกภายนอกและทุกอย่างพร้อมกับท่าน” มือเรียวกอดกระชับอ้อมกอดแกร่งที่กอดตน
“ข้าเองก็มีความสุขเช่นกันเอเลน”
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แล้วอีกไม่นานรุ่งสางของวันใหม่จะมาเยือน ทุกวันที่ซ้ำซากและน่าเบื่อเปลี่ยนไปเมื่อมีใครอีกคนที่เข้าใจและต่างยอมรับซึ่งกันและกัน ยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อส้รางความสุขที่ไม่ใช่ความสุขแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นความสุขของทั้งตนเองและคนที่สำคัญล้ำค่าจนไม่อาจสูญเสีย
Fin.
PS. ต้องขอแก้ไขเนื้อหาเพื่อความเหมาะสมนะคะ
รบกวนขอฝากบล็อกใหม่ด้วยนะคะ http://trendyblood.exteen.com/
ขอฝากเพจของกลุ่มด้วยจ้า https://www.facebook.com/beru89club
…………………………………………………………………………………….
Talk:
ไม่อยากบอกเลยว่าแก้ตอนจบเพราะตอนจบแรกจะวางให้นู๋เอเลนเลือกอีกคนแต่พิษรักแรงหวงของคนที่คุณก็รุ้ว่าใครเข้าครอบงำค่ะ ผลสุดท้ายเลยจบอย่างที่ทุกท่านได้อ่านไป ><”
อยากบอกว่าฟิคนี้เป็นฟิคที่ตอนแรกพับเก็บโครงการไปแล้วแต่อยู่ดีๆก็ไฟลุกอยากเขียนต่อซะงั้น เลยออกมาเป็นฟิคสั้นเรื่องนี้ค่ะ เค้าโครงมาจากเรื่องที่ทุกท่านอาจรู้จักหรือคุ้นหูกันค่ะ คนค่อมแห่งนอร์ทเทอดาม นั้นเอง แต่เอเลนไม่ค่อมนะฮาๆ เลยเปลี่ยนเป็นปีศาจแห่งวิหารแทนค่ะ
ถ้ายังไงขอฝากเรื่องนี้ให้นักอ่านทุกท่านอีกเรื่องนะคะ(ตอนแรกเกือบกลายเป็นซีรี่ย์ละพยายามรวบรัดตอนมากค่ะไม่อยากมีภาระเพิ่มTTwTT) รุ้สึกจะกลายเป็นตำนานและนิทานพื้นบ้านเดอะซีรี่ย์ชอบกลครั้งที่แล้วก็หนูน้อยหมวกแดงแหะๆ><”””” คนเขียนเป็นพวกบ้าตำนาน นิทาน เรื่องเล่าน่ะค่ะเลยชอบพล็อตอะไรแบบนี้เป็นพิเศษ
รบกวนขอเม้นทุกท่านเป็นกำลังใจสำหรับงานเขียนในครั้งต่อไปด้วยนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะ>3<
ผลงานอื่นๆ ของ Trendy Blood ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Trendy Blood
ความคิดเห็น