ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : "13 ตระกูลปริศนา" ผู้ทรงอิทธิพลของโลก
อันนี้เป็นลิ๊งค์ข้อมูล "13 ตระกูล" ระดับหัวๆ ของพวกอีลูมินาติ และ NWO ( New World Order )หรือการจัดระเบียบโลกใหม่
เป็น หลักฐาน "ที่สำคัญ" อีกชิ้นที่ยืนยันสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดครับ ลิ๊งของแต่ละครอบครัวยังมีแตกย่อยลงไปอีก ว่าเค้าไปทำอะไรที่ไหนบ้าง แล้วแตกไปครอบคลุม อาณาจักรธุรกิจระดับโลกอะไรบ้าง เช่น อเมริกันเอ็กเพรส ซิตี้กรุ๊ป แม้กระทั่งขนส่งมวลชน และการเดินรถไฟในบางประเทศ ในอดีต คนพวกนี้ซ่อนตัวโดยใช้องค์กรการกุศลระดับโลกต่างๆ บังหน้าหรือเป็นหน้าฉากครับ แม้กระทั่ง UNICEF ก็ด้วย ลองดูข้อมูลในนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อมโยงข้อมูลครับ จะเห็นอะไรๆ ที่ทำให้ตาสว่างมากขึ้นเองครับ
http://www.bibliotecapleyades.net/bloodlines/index.htm
เรา จะเห็นเลยว่าคนในครอบครัวเหล่านี้เข้าไปมีบทบาทในแวดวงการเมือง การเงิน การธนาคาร เศรษฐกิจระดับโลก หรือแม้แต่ "ชี้นิ้ว" ว่าจะให้ใครเป็นประธานาธิบดีของประเทศไหน แม้แต่สหรัฐครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องการเรียกร้อง "ประชาธิปไตยที่เกินเหตุ" ประสบการณ์กับข้อมูลที่ผมมีบอกผมว่าระบบที่เรามี กับ "พ่อหลวง" ของเราเรียกได้ว่าลงตัวและดีไม่แพ้ชาติใดในโลกแล้วครับ
จะ สังเกตุได้ว่า ไม่ค่อยมีใครแตะไปถึงหัวหรือเหนือจากคนกลุ่มนี้ขึ้นไปเพราะส่วนนึงคือข้อมูล ไม่พอ หาไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องไปค้นประวัติศาสตร์โลก และ Sources หรือแหล่งที่มีเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเค้าแทบจะจดบันทึกทุกอย่าง หาเจอแล้วก็ยังเชื่อไม่ได้ต้องหาเปรียบเทียบอีก เจอแล้วบางทีคิดไปแล้วก็ไม่น่าเชื่อ แต่ผมมีครับแต่ต้องบอกก่อนว่ามัน "ลึก" มากๆครับ สำหรับใครที่สนใจจริงๆ จะค่อยๆโพสต์ให้ หรือเอาลิ๊งค์ให้ไปต่อยอดกันเอง และถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วจะเห็นภาพกลุ่มอำนาจที่ครอบงำโลกใบนี้ทั้งหมด ตั้งแต่อดีตเป็นพันปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน และโลกในอนาคต อีก 25-50 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยครับ
"ลิ๊งค์ข้อมูลโดยคุณ Somcharn J. ขอบคุณครับ"
The Real Rothschilds
The Rothschilds หรือ Rothschilds Family หรือร๊อทไชลด์ เป็นครอบครัวที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดในโลกใบนี้ครับ ทรัพย์สินรวมไม่ต่ำกว่า 500-600 Trillion ไม่ใช่อย่างที่สารพัดนิตยสารจัดอันดับกันไว้ครับ ครอบครัวนี้เป็นมือทำงานทางด้านการเงิน ให้กับเครือข่ายดำขาวทั้งหมด เป็นครอบครัวเชื้อสายเยอรมัน-ยิว ทำกำไรจากสงครามโดยปล่อยกู้ให้กับคู่สงครามทั้งสองฝ่าย จัดหาอาวุธ ทำกำไรจากตรงนี้ เป็นจิ๊กซอตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวนึงบนกระดานการกำหนดความเป็นไปโลกใบนี้ครับ
ที่ เอามาเพิ่มให้เพราะไปเจอวีดีโอนึง เค้าเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วพาไปถึงตัวหัวเลยคือ Black Pope หรือ "โป๊ปดำ" ครับ ไหนๆ ก็เห็นเค้าลางอะไรหลายๆ อย่าง คงได้เวลาฉายไฟให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดซักที เข้า YT, GG, GV, Wiki แล้วใส่คีย์เวิร์ด "Black Pope" ครับ ชื่อตำแหน่งเป็นทางการคือ "Supreme General" สมญานามคือ "Black Nobility" "แล้วจะรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริงครับ"
( YT: Youtube; GG: Google, GV: Google Video, Wiki: Wikipedia )
แล้ว ถ้าอยากจะรู้จักว่าโป๊ปดำเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน มีที่มาอย่างไร ลองเข้าไปดูลิ๊งค์นี้ หมุนลงไปล่างๆ แล้วลองไปขยายความและต่อยอดกันดูครับ เค้านี่แหละครับยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกแล้ว กลุ่มที่ "ควบคุม" ทั้งสหรัฐ อังกฤษและประเทศในเครือจักรภพ ฝรั่งเศษ และกลุ่มยุโรปทั้งหมดอยู่ในมือครับ แล้วการที่ 3 ชาตินี้ออกมากดดันอิหร่าน ที่สำคัญคืออยากให้รู้ครับว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วเค้าต้องการอะไรกันแน่ นี่คือขั้วนึงของสงครามใหญ่ครั้งหน้า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=09-2009&date=29&group=1&gblog=4
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=10-2009&date=10&group=1&gblog=18
ดูรูปนี้ครับเป็นการลงนามร่วมกันในรัฐธรรมนูณฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป
แล้วดูด้านบนของภาพ ที่อยู่บนหัวของ EU ก็คือ "หัว" พวกเค้านั่นแหละครับ
"ชัดเจน" นะครับ
สรุป ว่าโอบาม่าได้รับเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโบเบลเพียง 6 วัน หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีครับ ในขณะที่ผู้ถูกเสนอชื่อท่านอื่นคุณลุง คุณป้าอายุ 60-70 กันแล้ว ทำงานเรียกร้องสันติภาพกันมา 20-30 ปี ไม่ค่อยมีด่างพร้อย
"ให้สังเกตุมือที่เปื้อนเลือด กับธงชาติอิสราเอลที่คอเสื้อครับ"
เห็น หรือยังครับว่าของเค้าแรงขนาดไหน ดูรูปนี้ครับ สังเกตุที่ "มือ" เลือดที่ติดมือยังไม่แห้งเลยครับ 55555 เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ไม่ถอนทหารจากอิรัค เปิดฉากสงคราอัฟกัน ส่งทหารเพิ่ม ความรุนแรงใน G20 เตรียมการโจมตีอิหร่าน สุดท้ายได้รางวัลโนเบล สาขาอื่นยังพอว่าครับ ได้สาขาสันติภาพอีก
ถ้า ใครตามเกมส์เค้าอยู่ตลอด จะเห็นว่าก่อน G20 โอบาม่าไป Address หรือปราศัยที่ยูเอ็นนิวยอร์ค ได้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประธานของ UN Security Council หรือกองกำลังของยูเอ็นครับ โดยที่ไม่มีการประกาศล่วงหน้ามาก่อน ภาพที่ออกมาทำให้ "งง" กันไปทั้งโลก ว่ายูเอ็นมันเล่นอะไรอีก คือการส่งสัญญาณครับว่า สหรัฐคงจะเป็นกองกำลังหลักและควบคุมกองกำลังของโลกใบนี้ทั้งหมดหลักจาก "เซ็นสนธิสัญญาโคเป็นเฮเก้น" เพื่อปูทางไปสู่การ "ตั้งรัฐบาลโลก" หรือ World Government ในเดือนธันวาคมนี้แล้ว ที่กรุงโคเป็นเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค ใครที่สนใจการเมืองหรือความเคลื่อนไหวระดับโลกอยู่ เช็คเรื่องนี้เลยครับ เค้าจะเซ็นสนธิสัญญานี้กันในเดือนธันวาคมนี้แล้ว แต่จีน อินเดีย และรัสเซียประกาศแล้วครับว่าไม่เซ็น ไม่เอา ไม่ร่วม คงรู้ทันแล้วครับ
เกมส์ นี้ "ตัวดำขาว" เจ้าเก่ากะรวบหัว รวบหาง ใช้ UN เป็นเครื่องมือเหมือนเดิม ที่สำคัญที่สุดการประชุมรอบที่ผ่านมาเรื่องนี้เพิ่งประชุมจบไปที่่ไหนรู้ไม๊ ครับ "กรุงเทพ" บ้านเรานี่แหละ หลายรอบไปแล้วครับ ทำไมต้องเป็นประเทศเรา เราเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ทำไมหลายๆ อย่างมาใช้เราเป็นฐาน น่าคิดครับ การประชุมนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น สรุปทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือให้ไปเซ็นสัญญายอมรับการจัดตั้งรัฐบาลโลก หรือ Global Authority ที่พวกดำขาว อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ เรียกร้องกันนั่นแหละครับ คือขอให้ใครบางกลุ่มมีอำนาจสิทธิ์ขาดจัดการหลายๆเรื่องและอีกหน่อยจะเป็น ทุกๆ เรื่องในโลกใบนี้ได้ครับ
ภาพ ที่ออกมาเป็นช๊อตๆ กระจายไปทั่วโลก แล้วแต่ใครจะเห็นความเชื่อมโยงแล้วต่อติดหรือไม่ โดยเอาข้ออ้างเรื่องจะมีเงินไหลไปสู่ประเทศโลกที่ 3 เพื่อการพัฒนาในช่วง 2-3 ปีแรก ก็คือเอาเงินมา "ล่อ" ประเทศยากจนให้เค้าคิดว่าได้ประโยชน์แล้วยอมเซ็นรับ แล้วที่เหลือรัฐบาลโลกก็จะเริ่มเก็บ "ภาษี" ครับ
แล้ว ถ้าอ่านได้ลองหาสนธิสัญญาฉบับนี้อ่านเลยครับ ประมาณ 200 หน้า ถ้าจำไม่ผิด อ่านที่หลักๆก็พอแล้ว ถ้าอ่านแล้วจะเข้าใจว่า มันคือสนธิสัญญา NWO ( New World Order ) หรือการจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเองครับ และทั้งหมดอยู่ภายใต้หน้าฉากของเรื่อง Glogbal Warming หรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง นี่แหละครับพวก NWO เล่นเรื่องนี้มา 2-3 ปีก็เพื่อเรื่องนี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ "รัก" หรือ "ห่วงใย" โลกอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นครับ เราถูกเค้า "หลอก" เรื่องนี้ไปมากและไปไกลแล้ว เรือง Global Warming หรือภาวะโลกร้อนไม่มีจริงครับ ที่ร้อนขึ้นเพราะเป็นช่วงวัฐจักรขึ้นลงของธรรมชาติเท่านั้นเอง
ลอง เซิร์ชหา "Global Warming Hoax" ในอินเตอร์เน็ตแล้วหาความจริงครับ หาดูกราฟระดับความร้อนความเย็นของโลกในช่วงพันปีทีผ่านมา ก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง "โดยเฉพาะปีนี้จะเป็นปีแรกที่อากาศหนาวรุนแรงในเกือบ ทุกทวีปทั่วโลก" และจะหนาวรุนแรงขึ้นทุกปี จนอีก 15-20 ปีข้างหน้าโลกเราแทบจะเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้งแล้วครับ เป็นเพียงวัฐจักรของธรรมชาติเท่านั้นเอง มีหลักฐานไม๊ ง่ายนิดเดียวครับ เมื่อ 1-2 อาทิตย์ก่อนจนมาถึงวันนี้ ในทวีปอเมริกาเหนือแทบจะเข้าฤดูหนาวแล้วครับ หนักเข้าไปอีกหิมะตกลงมาถึง ภาคกลางตอนบนในเดือนตุลา แล้วอุณภูมิทำสถิติต่ำสุดในรอบ 40 ปี เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทั้งที่จริงๆ แล้วเพิ่งจะเข้า Fall หรือ ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง จะไปวินเทอร์อีกทีก็โน่น 21 ธันวาครับ "แล้วไหนบอกว่าโลกร้อนไง"
เรา ประเทศเล็กๆ คง "โดน" ครับแต่ไม่รู้ว่าจะกระทบมากขนาดไหน ได้แต่หวังว่าในส่วนหัวๆ ระดับบริหารประเทศเราจะตามเค้าทันครับ ตามเรื่องนี้ไว้ มันจะเป็น "กระแสโลก" ที่รุนแรงมากในอีก 5-10-15 ปีข้างหน้านี้ครับ อย่างนึงคือเงินภาษีส่วนนึงของพวกเราและคนทั้งชาติก็ต้องไปจ่ายสมทบให้กับ UN ในเรื่อง(เอาแบบตรงๆ เลยนะ) "แหกตา" เหล่านี้ครับ แล้วต้องไปยอมทำตามในหลายๆ เรื่องหลังจากที่เซ็นสนธิสัญญาฉบับนี้ไปแล้วครับ ถ้าไม่รีบจับเค้าเซ็นกันแล้วมันหนาวขึ้นมาแล้วเรื่องมันจะแตกครับ เลยต้องปลายปีนี้เลยครับ
ดูลิ๊งเหล่านี้ครับ:
http://unfccc.int/2860.php
http://www.npr.org/templates/story/story.php?storyId=113036276
http://www.eenews.net/special_reports/copenhagen/
http://en.cop15.dk/news/view+news?newsid=876
ประเด็น ตอนนี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าการ "รวมหัว" กันทุบดอลล่าแล้วครับ สถานการณ์ตอนนี้คือ ใครไม่ทิ้ง ใครไม่ทุบสิแปลกครับ แล้วเป็นการกระหน่ำทุบ ทั้งกาย วาจา และใจเลยครับทีนี้ ปัญหาคือถ้ามันเร็วเกินไป ไม่ใช่ดอลล่าอย่างเดียวที่ล่มครับ เศรษฐกิจทั่วโลกมันจะตามกันไปทั้งหมด เหมือนที่ผมเคยโพสต์ไว้ตั้งแต่ไปเขียนในบอร์ด Goldhips นั่นแหละครับ ตอนนั้นยังไม่ข่าวอะไรเกี่ยวกับดอลล่าเลย ผมเขียนไว้ว่าดอลล่าจะล้ม อาจมีหลายคนหาว่าผมบ้าแน่ๆ ไม่เท่านั้นยังแถมปอนด์อังกฤษให้อีกสกุลนึงด้วยอ้าว ยิ่งหนักเลยครับ
แต่ มาถึงตอนนี้คงจะได้คำตอบกันแล้ว แล้วเท่าที่ดูมันจะเร็วกว่ากำหนดซะด้วยครับ ให้ระวังอุบัติเหตุเรื่องค่าเงิน "ให้มากๆ ถึงมากที่สุด" เพราะมีข่าวทางลึกเค้าอาจจะใช้วิธีการล้มดอลล่าแบบ "ฉับพลัน" แล้ว ไม่เกิน 1 ปีครับ ส่วนตัวผมยังกลัวว่าจะไม่เกิน 6 เดือนซะด้วยซ้ำ วิธีการคือการก่อวินาศกรรมช๊อคโลกครับ เต็ง 1 ตอนนี้คือวอชิงตัน ดีซี เต็ง 2 คือนิวยอร์คเจ้าเก่า ลูกเดียวเท่านั้นแหละ หยุดทุกอย่างหมดเลย ล้มทั้งตลาดหุ้น เศรษฐกิจและเงินดอลล่า ในไม้เดียว ไม่เท่านั้นโยนความผิดไปให้อิหร่าน เกาหลีเหนือ และตัวการ์ตูนผู้ก่อการร้ายต่างๆ ที่่เค้าสร้างขึ้นมา แล้ว "เปิดฉากสงคราม" ทำเงิน ทำกำไรต่อเลยครับ ทั้งหนัก ทั้งเนียน และเค้าได้ประโยชน์เต็มๆ
เพราะ อเมริกาเค้าตันแล้วครับ เที่ยงคืนของวันที่ 31 ตุลาคมนี้ต้องปิดหีบงบประมาณแล้วต้องกางบัญชี เปิดเผยตัวเลขทุกอย่างทั้งของรัฐบาลกลางคือ Federal และรัฐบาลท้องถิ่นหรือ State คือต้องประกาศตัวเลขต่างๆ ถ้าไปไม่ได้ก็ต้องประกาศล้มละลายครับ เค้าจะลงมือก่อนหรือไม่ต้องจ้องไว้เลยครับ หรือเค้าจะออกทางไหน แค่ลูกเดียวเท่านั้นหรืออาจจะมีเซอร์ไพรส์เพิ่มก็แล้วแต่ จากผู้ร้ายกลายเป็นผู้น่าสงสาร กลายเป็นฮีโร่ พลิกสถานการณ์ได้เลยครับ .......
ถ้าเอาแบบมวยก็ดูสถิติการชกที่ผ่านมาได้ก็คือ 2 ไฟลต์ที่ผ่านมา ชนะน๊อคทั้ง 2 ไฟลท์ครับ
1.สมัย คลินตัน วันที่ 19 เมษายน 1995 ( 9:02 น.) ระเบิดตึกที่ทำการรัฐบาลหลายหน่วยงาน รวมทั้ง FBI ที่โอคาโฮม่าซิติี้ รัฐโอคาโฮม่า หรือเรียกว่า "OKBOMB" ตายไป 168 บาดเจ็บ 680 แล้วลากไปสู่สงครามก่อการร้ายครับ ที่หน้าสังเกตุคือเป็นเวลาทำการช่วงเช้า แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ FBI บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว แล้วสอง วันที่ 19-04-1995 (1+9+4+1+9+9+5=38 / 3+8=11 ) เวลา 9:02 (9+2=11) มีลงลายเซ็นไว้หรือบังเอิญมั๊งครับ???
2.สมัย จอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช วันที่ 11 กันยายน 2001 เหตุการณ์การถล่มตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ หรือ 911 นั่นเอง แล้วสรุปว่ามีผู้ก่อการร้าย 19 คนแต่ตายหมด
นี่ เป็นตัวอย่างครับ สมมุติฐานนึงเท่านั้นครับ แต่ยิ่งใกล้สิ้นเดือนข้อมูล ข่าวสาร ข่าวลือเรื่องการก่อการร้ายยิ่งทะลักออกมา แล้วเอาไปโยงกับอัลไคดา และอิหร่านเจ้าเดิมครับ ได้ลุ้นอีกแล้ววววว ฝากไว้ให้คิดครับ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอให้ไม่มีดีกว่าครับ มันคงจะยุ่งน่าดูถ้ามาเกิดอะไรตอนนี้
มี ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนของเราครับ เข้ามายืนยันเพื่อเปิดเผยความจริงเรื่อง "ภาวะโลกร้อน" Global Warming หรือ Climate Change ที่เขียนไปพอดี เรามาดูครับว่า คนกลุ่มนี้เอาเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางใดบ้าง แล้วใครตอบโต้ หรือต่อต้านเรื่องนี้อย่างไรบ้าง จะเห็นว่า ทุกอย่าง "ชัดเจน" ครับ
“ลัทธิกีดกันการค้า”ด้วยข้ออ้างเรื่อง“โลกร้อน”
โดย มาร์ติน คอร์ 15 ตุลาคม 2552 21:32 น.
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Climate protectionism on the rise
By Martin Khor
09/10/2009
ลัทธิ กีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ นับวันแต่จะทวีตัว ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ยังตั้งท่าเงื้อง่าจะนำประเด็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ มาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจากับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องของการต่อสู้กับภัย คุกคามต่ออนาคตของโลก
ลัทธิกีดกันการค้าและ กีดกันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่และอันตราย กำลังปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ภายใต้หน้ากากของการมุ่งต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น มันยังส่งผลเป็นการวางยาพิษเข้าไปในสายสัมพันธ์เหนือ-ใต้ภายในการเจรจาสอง เวทีคือ การเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเจรจาด้านการค้า
ที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนว่าประเทศพัฒนาแล้วบางราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการการค้าฝ่ายเดียว อาทิ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรและภาษีประเภทต่างๆ หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างพรบ.ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอันที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนภาษีประเภทต่างๆ จากสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่สหรัฐฯเห็นว่า ยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในอันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนั้น สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ยังพยายามใช้ลัทธิกีดกันการค้ามาต่อต้านไม่ให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยผ่านร่างพรบ. 3 ฉบับที่ทางสภาแห่งนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้หากร่างเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้แทนการเจรจาของสหรัฐฯ ที่ไปเจรจาหารือในกรอบของอนุสัญญาแม่บทสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ไม่สามารถทำข้อตกลงใดๆ ในทางที่จะผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการบังคับใช้กฎหมายอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทาง ปัญญา และขณะนี้มีสัญญาณชี้แล้วว่า ประเทศพัฒนาอื่นๆ รวมทั้งพวกทางยุโรป ก็เตรียมการที่จะใช้ลัทธิกีดกันการค้าที่อิงไปกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศเช่นเดียวกัน
ด้านประเทศกำลังพัฒนา ต่างเริ่มแสดงการคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งนี้ ในระหว่างที่รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คือนางฮิลลารี คลินตัน เยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้นั้น บรรดาผู้นำทางการเมืองของอินเดียออกโรงประท้วงสหรัฐฯ ในกรณีการขู่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ไม่ลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (carbon tarrifs) ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาวิจารณ์ประเด็นการกีดกันการค้าที่แฝงอยู่ใน ร่างพรบ.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในระหว่าง การเจรจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่างๆ ก่อนที่จะถึงการประชุมที่จะเป็นบทสรุป ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคมปีนี้ กล่าวคือ ใน วันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม 77 และจีน (Group of 77 countries and China) ออกคำแถลงที่เวทีการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี โดยเตือนไม่ให้ประเทศพัฒนาแล้ว หันไปใช้มาตรการจำกัดการค้าแบบที่เป็นการประกาศใช้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินเดียยังได้เสนอด้วยว่า การประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน (ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคม ซึ่งคาดหมายกันว่านานาชาติจะสามารถทำข้อตกลงว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกฉบับใหม่ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2012 -ผู้แปล) ควรต้องมีการเขียนในข้อตกลง ด้วยข้อความที่ชัดเจนไปเลยว่า ประเทศพัฒนาแล้ว “จะไม่ใช้มาตรการฝ่ายเดียวไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการในลักษณะการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน เพื่อเล่นงานสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอิงเหตุผลในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเสถียรภาพด้านสภาพภูมิอากาศ”
ในการนี้ อินเดียอ้างถึงบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทฯ มากมายหลายข้อที่จะเข้าข่ายว่าถูกละเมิดถ้ามีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ความพยายามของอินเดียได้รับการขานรับจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน อาร์เจนตินา บราซิล สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และรวมทั้ง กลุ่ม 77 และจีน ก็ออกคำแถลงในเรื่องนี้ด้วย
ทางด้านการเจรจา (เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก -ผู้แปล) ที่นครเจนีวา เหล่า นักการทูตของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ก็แสดงความวิตกต่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองเห็นความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย จะใช้มาตรการข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ มาเล่นงานขึ้นภาษีศุลกากร ตลอดจนการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ การกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายเป็นการใช้ข้อพิจารณาในประเด็นว่าด้วยกระบวนการ และวิธีผลิตสินค้าเหล่านั้น ( Process and production method หรือ PPM) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอย่างยากจะหาข้อ ยุติ
ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเพิเศษ ตลอดจนการเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้า โดยใช้ประเด็นพีพีเอ็ม ถูกประเทศกำลังพัฒนาต่อต้านว่าเป็นรูปแบบแอบแฝงของลัทธิกีดกันการค้า มาตั้งแต่เมื่อคราวประชุมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ปี 1996 โดยที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาชี้ไว้ว่ามาตรการเช่นนั้นนับว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะส่งผลเป็นการกีดกันสินค้าของประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้สามารถเข้าสู่ ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎของดับเบิลยูทีโอ
อย่างไรก็ตาม มีพวกประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากทีเดียวที่อยากนำมาตรการทางการค้าไปใช้กับ เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และจึงมีการเตรียมชงเรื่องที่จะเอื้อให้มาตรการด้านการค้าที่ผูกอยู่กับพีพี เอ็ม กลายเป็นกฎระเบียบขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะผลักดันให้มาตรการการค้าที่โยงอยู่กับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้รับอนุมัติในกรอบ “ข้อยกเว้นทั่วไปเพื่อสิ่งแวดล้อม” (general exception for the environment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกรอบใหญ่ของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการ ค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT)
ด้านประเทศกำลังพัฒนาอ้างว่า การโยงมาตรการการค้าไปผูกกับเรื่องภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นับว่าไม่เป็นธรรม เพราะพวกตนมีความสามารถเชิงเทคโนโลยีต่ำกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกตนย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วได้ไหว และดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรได้รับความช่วยเหลือผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทว่า ระบอบแห่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขตามข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของดับเบิลยูทีโอ ที่เรียกกันว่าข้อตกลง TRIPS) คืออุปสรรคขัดขวางเรื่องนี้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ รัฐสภาของสหรัฐฯ ก็มาแสดงท่าทีว่าจะประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลอเมริกามีสิทธิอนุมัติให้มีการ ผ่อนปรนในเรื่องกฎว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ถ้าประเด็นการปกป้อง สภาพภูมิอากาศได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นการเปิดทางให้สารพันมาตรการเพื่อกีดกันการค้า หลั่งไหลกันเข้ามากางกั้นไม่ให้สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าสู่ตลาด ของประเทศพัฒนาแล้วด้วยข้อพิจารณาว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้า
ลัทธิกีดกันการค้าตัว ใหม่ที่ฉกาจฉกรรจ์ระดับมาตรการตัวแม่อย่างนี้ ก็ช่างเลือกเวลาแจ้งเกิดโดยแท้ เพราะจะมาเล่นกันในยามยุคเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำชาติทั้งหลายประกาศกันขึงขังว่า จะไม่ยอมหันไปใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเด็นการค้า-การปกป้องภูมิอากาศช่างเป็นระเบิดเวลาอันร้ายกาจ และมันจะกลายเป็นชนวนเปิด “กล่องแพนดอรา” (Pandora’s box) ที่ฝ่ายต่างๆ เคยนำปัญหาโลกแตกไปซุกไว้เพื่อซื้อเวลา โดยเมื่อมันถูกเปิดขึ้นมา มันจะไปสร้างราคีแปดเปื้อนให้แก่การเจรจาต่างๆ ตามกรอบ อนุสัญญาแม่บทของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเจรจาดับเบิลยูทีโอด้วย
มาร์ติน คอร์ เป็นกรรมการบริหารของศูนย์ South Centre อีเมล์ติดต่อเขาคือ director@southcentre.org ประเด็นปัญหาลัทธิกีดกันการค้าด้วยข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่นำมาเสนอในข้อเขียนนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพิเศษของจดหมายข่าว South Centre bulletin
ขอขอบคุณลิ๊งข้อมูลโดยคุณ "cool_kid" ครับ
สำหรับ ใครที่ยังคาใจเรื่องการทำนายเศรษฐกิจของโครงการเวบบอท หรือ โรบอทเวบไซท์ หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประมวลผลคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในโลกไซเบอร์ เวบโรบอท เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้ครับ เป็นทั้งประโยชน์และโทษร้ายร้าง คือจะมีหน่วยงานนึงของรัฐบาลสหรัฐ คือ NSA หรือ National Security Agency
ลิ๊งค์ของ NSA: http://www.nsa.gov
เค้า พัฒนาเจ้าโปรแกรมตัวนี้ขึ้น เพื่อเป็นฐานข้อมูลขนาดยักษ์ และเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยเรื่องความั่นคง และใช้ Webbot นี้แสกนเวบไซท์ อีเมลล์ เวบบล๊อก และอะไรก็ตามที่อยู่ในอินเตอร์เนต โดยอ้างเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก เจาะเข้าได้ทุกเวบ ทุกระบบ
โดย เฉพาะพวกฟรีอีเมลล์ต่างๆ เคยสงสัยไม๊ครับว่าทำไมถึงให้ใช้ฟรี แล้วเค้าได้อะไร ที่เค้าได้คือข้อมูลในอีเมลล์ของเรานั่นแหละครับ แล้วก็จะมีการซื้อขายข้อมูลทุกชนิดกัน เพราะฉะนั้น ทุกอีเมลล์ของเราที่ใข้ฟรี เป็นของส่วนกลางครับ ไม่มี Privacy ใดๆ ทั้งสิ้นไม่ต้องไปเชื่อเค้าครับ แล้วนโยบายการเก็บข้อมูลของแต่ละเวบไม่เหมือนกัน เช่น Hotmail, Live Mail อาจจะเก็บไว้ 3-6 เดือนในเซิร์ฟเวอร์ของเค้าแล้วจะลบออก แต่สำหรับ G Mail จะถูก "เก็บไว้ตลอดกาล" ครับ ถึงแม้เราจะลบในถังขยะใน Trash Folder ไปนานขนาดไหนแล้วก็ตาม แล้วข้อมูลพวกนี้แหละครับ "จะไปมัดตัวคุณในชั้นศาล" ถ้าเค้างัดมันออกมา เพราะฉะนั้นอะไรที่อยู่ในนี้ ใส่อะไรไปได้แค่ไหน ต้องรู้ครับ ในเมืองไทยเรื่องนี้อาจจะยังมาไม่ถึง แต่ในหลายๆ ประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา หลายคดีปิดลงไปที่อีเมลล์นี่แหละครับ
แต่ เวบโรบอท ตัวนี้เป็นของเอกชน โดย Cliff High หรือนายคลิฟ ไฮ เรามาดูว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เค้า Predict หรือคาดการณ์อะไรไว้บ้าง ตอนนี้เค้าเน้นมากๆ คือวันที่ 25 (+,- 10 วันครึ่ง) เค้ามั่นใจว่าเป็นเรื่องค่าเงินดอลลอลจะมีปัญญหารุนแรง และเค้าไม่คิดว่าเป็นการก่อการร้ายแต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นนี้ครับ ในการพยากรณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ความแม่นยำของเค้าขึ้นไปถึง 90% ครับ รวมทั้งเหตุการณ์ 911 เค้าเตือนล่วงหน้าไว้ถึง 6 เดือนแต่ไม่มีใครใส่ใจ แต่หลังจากนั้นก็ดัง และไม่มีใครมองข้ามอีกเลย.......
เค้า คาดากการณ์ไว้ว่า วันที่ 25 เป็นต้นไป เงินดอลล่าจะมีปัญหา ถูกปฏิเสธจากหลายๆ ชาติอย่างชัดเจน แล้วจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกา ธันวา ไล่ไปมกรา จนไม่เกินกลางปี 2010 จะเกิดวิกฤติการค่าเงินดอลล่าแล้วลุกลามไปทั่วโลก กลับมาที่วันที่ 25-26 นี้เค้าคาดว่าจะมี Event หรือเหตุการณ์ที่ Cliff บอกว่ามันจะไป Trigger หรือกระตุ้นให้ปัญหาของเงินดอลล่าแดงออกมาอย่างชัดเจน
ถึงขั้นที่จะทำให้การเงินโลกระบบรวน แล้วมีการล๊อคตายระบบการเงินการธนาคารทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ครับ ผมใส่วีดีโอไว้ให้ครับ ทำความเข้าใจแล้วตีความกันเองดีกว่า เพราะข้อมูลมัน Sensitve หรืออ่อนไหวมากครับ แล้วช่วงท้ายๆของตอนที่ 1 ไปต่อตอนที่่ 2 เค้าพูดถึงผลกระทบต่อเอเซีย แล้วก็เงินบาทของเราด้วยครับ
ที่มาhttp://jimmysiri.blogspot.com/2009/10/webbot-project-predictiion.html
เป็น หลักฐาน "ที่สำคัญ" อีกชิ้นที่ยืนยันสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดครับ ลิ๊งของแต่ละครอบครัวยังมีแตกย่อยลงไปอีก ว่าเค้าไปทำอะไรที่ไหนบ้าง แล้วแตกไปครอบคลุม อาณาจักรธุรกิจระดับโลกอะไรบ้าง เช่น อเมริกันเอ็กเพรส ซิตี้กรุ๊ป แม้กระทั่งขนส่งมวลชน และการเดินรถไฟในบางประเทศ ในอดีต คนพวกนี้ซ่อนตัวโดยใช้องค์กรการกุศลระดับโลกต่างๆ บังหน้าหรือเป็นหน้าฉากครับ แม้กระทั่ง UNICEF ก็ด้วย ลองดูข้อมูลในนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อมโยงข้อมูลครับ จะเห็นอะไรๆ ที่ทำให้ตาสว่างมากขึ้นเองครับ
http://www.bibliotecapleyades.net/bloodlines/index.htm
เรา จะเห็นเลยว่าคนในครอบครัวเหล่านี้เข้าไปมีบทบาทในแวดวงการเมือง การเงิน การธนาคาร เศรษฐกิจระดับโลก หรือแม้แต่ "ชี้นิ้ว" ว่าจะให้ใครเป็นประธานาธิบดีของประเทศไหน แม้แต่สหรัฐครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องการเรียกร้อง "ประชาธิปไตยที่เกินเหตุ" ประสบการณ์กับข้อมูลที่ผมมีบอกผมว่าระบบที่เรามี กับ "พ่อหลวง" ของเราเรียกได้ว่าลงตัวและดีไม่แพ้ชาติใดในโลกแล้วครับ
จะ สังเกตุได้ว่า ไม่ค่อยมีใครแตะไปถึงหัวหรือเหนือจากคนกลุ่มนี้ขึ้นไปเพราะส่วนนึงคือข้อมูล ไม่พอ หาไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องไปค้นประวัติศาสตร์โลก และ Sources หรือแหล่งที่มีเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเค้าแทบจะจดบันทึกทุกอย่าง หาเจอแล้วก็ยังเชื่อไม่ได้ต้องหาเปรียบเทียบอีก เจอแล้วบางทีคิดไปแล้วก็ไม่น่าเชื่อ แต่ผมมีครับแต่ต้องบอกก่อนว่ามัน "ลึก" มากๆครับ สำหรับใครที่สนใจจริงๆ จะค่อยๆโพสต์ให้ หรือเอาลิ๊งค์ให้ไปต่อยอดกันเอง และถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วจะเห็นภาพกลุ่มอำนาจที่ครอบงำโลกใบนี้ทั้งหมด ตั้งแต่อดีตเป็นพันปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน และโลกในอนาคต อีก 25-50 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยครับ
"ลิ๊งค์ข้อมูลโดยคุณ Somcharn J. ขอบคุณครับ"
The Real Rothschilds
The Rothschilds หรือ Rothschilds Family หรือร๊อทไชลด์ เป็นครอบครัวที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดในโลกใบนี้ครับ ทรัพย์สินรวมไม่ต่ำกว่า 500-600 Trillion ไม่ใช่อย่างที่สารพัดนิตยสารจัดอันดับกันไว้ครับ ครอบครัวนี้เป็นมือทำงานทางด้านการเงิน ให้กับเครือข่ายดำขาวทั้งหมด เป็นครอบครัวเชื้อสายเยอรมัน-ยิว ทำกำไรจากสงครามโดยปล่อยกู้ให้กับคู่สงครามทั้งสองฝ่าย จัดหาอาวุธ ทำกำไรจากตรงนี้ เป็นจิ๊กซอตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวนึงบนกระดานการกำหนดความเป็นไปโลกใบนี้ครับ
ที่ เอามาเพิ่มให้เพราะไปเจอวีดีโอนึง เค้าเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วพาไปถึงตัวหัวเลยคือ Black Pope หรือ "โป๊ปดำ" ครับ ไหนๆ ก็เห็นเค้าลางอะไรหลายๆ อย่าง คงได้เวลาฉายไฟให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดซักที เข้า YT, GG, GV, Wiki แล้วใส่คีย์เวิร์ด "Black Pope" ครับ ชื่อตำแหน่งเป็นทางการคือ "Supreme General" สมญานามคือ "Black Nobility" "แล้วจะรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริงครับ"
( YT: Youtube; GG: Google, GV: Google Video, Wiki: Wikipedia )
แล้ว ถ้าอยากจะรู้จักว่าโป๊ปดำเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน มีที่มาอย่างไร ลองเข้าไปดูลิ๊งค์นี้ หมุนลงไปล่างๆ แล้วลองไปขยายความและต่อยอดกันดูครับ เค้านี่แหละครับยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกแล้ว กลุ่มที่ "ควบคุม" ทั้งสหรัฐ อังกฤษและประเทศในเครือจักรภพ ฝรั่งเศษ และกลุ่มยุโรปทั้งหมดอยู่ในมือครับ แล้วการที่ 3 ชาตินี้ออกมากดดันอิหร่าน ที่สำคัญคืออยากให้รู้ครับว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วเค้าต้องการอะไรกันแน่ นี่คือขั้วนึงของสงครามใหญ่ครั้งหน้า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=09-2009&date=29&group=1&gblog=4
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=debunk&month=10-2009&date=10&group=1&gblog=18
ดูรูปนี้ครับเป็นการลงนามร่วมกันในรัฐธรรมนูณฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป
แล้วดูด้านบนของภาพ ที่อยู่บนหัวของ EU ก็คือ "หัว" พวกเค้านั่นแหละครับ
"ชัดเจน" นะครับ
สรุป ว่าโอบาม่าได้รับเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโบเบลเพียง 6 วัน หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีครับ ในขณะที่ผู้ถูกเสนอชื่อท่านอื่นคุณลุง คุณป้าอายุ 60-70 กันแล้ว ทำงานเรียกร้องสันติภาพกันมา 20-30 ปี ไม่ค่อยมีด่างพร้อย
"ให้สังเกตุมือที่เปื้อนเลือด กับธงชาติอิสราเอลที่คอเสื้อครับ"
เห็น หรือยังครับว่าของเค้าแรงขนาดไหน ดูรูปนี้ครับ สังเกตุที่ "มือ" เลือดที่ติดมือยังไม่แห้งเลยครับ 55555 เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ไม่ถอนทหารจากอิรัค เปิดฉากสงคราอัฟกัน ส่งทหารเพิ่ม ความรุนแรงใน G20 เตรียมการโจมตีอิหร่าน สุดท้ายได้รางวัลโนเบล สาขาอื่นยังพอว่าครับ ได้สาขาสันติภาพอีก
ถ้า ใครตามเกมส์เค้าอยู่ตลอด จะเห็นว่าก่อน G20 โอบาม่าไป Address หรือปราศัยที่ยูเอ็นนิวยอร์ค ได้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประธานของ UN Security Council หรือกองกำลังของยูเอ็นครับ โดยที่ไม่มีการประกาศล่วงหน้ามาก่อน ภาพที่ออกมาทำให้ "งง" กันไปทั้งโลก ว่ายูเอ็นมันเล่นอะไรอีก คือการส่งสัญญาณครับว่า สหรัฐคงจะเป็นกองกำลังหลักและควบคุมกองกำลังของโลกใบนี้ทั้งหมดหลักจาก "เซ็นสนธิสัญญาโคเป็นเฮเก้น" เพื่อปูทางไปสู่การ "ตั้งรัฐบาลโลก" หรือ World Government ในเดือนธันวาคมนี้แล้ว ที่กรุงโคเป็นเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค ใครที่สนใจการเมืองหรือความเคลื่อนไหวระดับโลกอยู่ เช็คเรื่องนี้เลยครับ เค้าจะเซ็นสนธิสัญญานี้กันในเดือนธันวาคมนี้แล้ว แต่จีน อินเดีย และรัสเซียประกาศแล้วครับว่าไม่เซ็น ไม่เอา ไม่ร่วม คงรู้ทันแล้วครับ
เกมส์ นี้ "ตัวดำขาว" เจ้าเก่ากะรวบหัว รวบหาง ใช้ UN เป็นเครื่องมือเหมือนเดิม ที่สำคัญที่สุดการประชุมรอบที่ผ่านมาเรื่องนี้เพิ่งประชุมจบไปที่่ไหนรู้ไม๊ ครับ "กรุงเทพ" บ้านเรานี่แหละ หลายรอบไปแล้วครับ ทำไมต้องเป็นประเทศเรา เราเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ทำไมหลายๆ อย่างมาใช้เราเป็นฐาน น่าคิดครับ การประชุมนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น สรุปทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือให้ไปเซ็นสัญญายอมรับการจัดตั้งรัฐบาลโลก หรือ Global Authority ที่พวกดำขาว อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ เรียกร้องกันนั่นแหละครับ คือขอให้ใครบางกลุ่มมีอำนาจสิทธิ์ขาดจัดการหลายๆเรื่องและอีกหน่อยจะเป็น ทุกๆ เรื่องในโลกใบนี้ได้ครับ
ภาพ ที่ออกมาเป็นช๊อตๆ กระจายไปทั่วโลก แล้วแต่ใครจะเห็นความเชื่อมโยงแล้วต่อติดหรือไม่ โดยเอาข้ออ้างเรื่องจะมีเงินไหลไปสู่ประเทศโลกที่ 3 เพื่อการพัฒนาในช่วง 2-3 ปีแรก ก็คือเอาเงินมา "ล่อ" ประเทศยากจนให้เค้าคิดว่าได้ประโยชน์แล้วยอมเซ็นรับ แล้วที่เหลือรัฐบาลโลกก็จะเริ่มเก็บ "ภาษี" ครับ
แล้ว ถ้าอ่านได้ลองหาสนธิสัญญาฉบับนี้อ่านเลยครับ ประมาณ 200 หน้า ถ้าจำไม่ผิด อ่านที่หลักๆก็พอแล้ว ถ้าอ่านแล้วจะเข้าใจว่า มันคือสนธิสัญญา NWO ( New World Order ) หรือการจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเองครับ และทั้งหมดอยู่ภายใต้หน้าฉากของเรื่อง Glogbal Warming หรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง นี่แหละครับพวก NWO เล่นเรื่องนี้มา 2-3 ปีก็เพื่อเรื่องนี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ "รัก" หรือ "ห่วงใย" โลกอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นครับ เราถูกเค้า "หลอก" เรื่องนี้ไปมากและไปไกลแล้ว เรือง Global Warming หรือภาวะโลกร้อนไม่มีจริงครับ ที่ร้อนขึ้นเพราะเป็นช่วงวัฐจักรขึ้นลงของธรรมชาติเท่านั้นเอง
ลอง เซิร์ชหา "Global Warming Hoax" ในอินเตอร์เน็ตแล้วหาความจริงครับ หาดูกราฟระดับความร้อนความเย็นของโลกในช่วงพันปีทีผ่านมา ก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง "โดยเฉพาะปีนี้จะเป็นปีแรกที่อากาศหนาวรุนแรงในเกือบ ทุกทวีปทั่วโลก" และจะหนาวรุนแรงขึ้นทุกปี จนอีก 15-20 ปีข้างหน้าโลกเราแทบจะเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้งแล้วครับ เป็นเพียงวัฐจักรของธรรมชาติเท่านั้นเอง มีหลักฐานไม๊ ง่ายนิดเดียวครับ เมื่อ 1-2 อาทิตย์ก่อนจนมาถึงวันนี้ ในทวีปอเมริกาเหนือแทบจะเข้าฤดูหนาวแล้วครับ หนักเข้าไปอีกหิมะตกลงมาถึง ภาคกลางตอนบนในเดือนตุลา แล้วอุณภูมิทำสถิติต่ำสุดในรอบ 40 ปี เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทั้งที่จริงๆ แล้วเพิ่งจะเข้า Fall หรือ ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง จะไปวินเทอร์อีกทีก็โน่น 21 ธันวาครับ "แล้วไหนบอกว่าโลกร้อนไง"
เรา ประเทศเล็กๆ คง "โดน" ครับแต่ไม่รู้ว่าจะกระทบมากขนาดไหน ได้แต่หวังว่าในส่วนหัวๆ ระดับบริหารประเทศเราจะตามเค้าทันครับ ตามเรื่องนี้ไว้ มันจะเป็น "กระแสโลก" ที่รุนแรงมากในอีก 5-10-15 ปีข้างหน้านี้ครับ อย่างนึงคือเงินภาษีส่วนนึงของพวกเราและคนทั้งชาติก็ต้องไปจ่ายสมทบให้กับ UN ในเรื่อง(เอาแบบตรงๆ เลยนะ) "แหกตา" เหล่านี้ครับ แล้วต้องไปยอมทำตามในหลายๆ เรื่องหลังจากที่เซ็นสนธิสัญญาฉบับนี้ไปแล้วครับ ถ้าไม่รีบจับเค้าเซ็นกันแล้วมันหนาวขึ้นมาแล้วเรื่องมันจะแตกครับ เลยต้องปลายปีนี้เลยครับ
ดูลิ๊งเหล่านี้ครับ:
http://unfccc.int/2860.php
http://www.npr.org/templates/story/story.php?storyId=113036276
http://www.eenews.net/special_reports/copenhagen/
http://en.cop15.dk/news/view+news?newsid=876
ประเด็น ตอนนี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าการ "รวมหัว" กันทุบดอลล่าแล้วครับ สถานการณ์ตอนนี้คือ ใครไม่ทิ้ง ใครไม่ทุบสิแปลกครับ แล้วเป็นการกระหน่ำทุบ ทั้งกาย วาจา และใจเลยครับทีนี้ ปัญหาคือถ้ามันเร็วเกินไป ไม่ใช่ดอลล่าอย่างเดียวที่ล่มครับ เศรษฐกิจทั่วโลกมันจะตามกันไปทั้งหมด เหมือนที่ผมเคยโพสต์ไว้ตั้งแต่ไปเขียนในบอร์ด Goldhips นั่นแหละครับ ตอนนั้นยังไม่ข่าวอะไรเกี่ยวกับดอลล่าเลย ผมเขียนไว้ว่าดอลล่าจะล้ม อาจมีหลายคนหาว่าผมบ้าแน่ๆ ไม่เท่านั้นยังแถมปอนด์อังกฤษให้อีกสกุลนึงด้วยอ้าว ยิ่งหนักเลยครับ
แต่ มาถึงตอนนี้คงจะได้คำตอบกันแล้ว แล้วเท่าที่ดูมันจะเร็วกว่ากำหนดซะด้วยครับ ให้ระวังอุบัติเหตุเรื่องค่าเงิน "ให้มากๆ ถึงมากที่สุด" เพราะมีข่าวทางลึกเค้าอาจจะใช้วิธีการล้มดอลล่าแบบ "ฉับพลัน" แล้ว ไม่เกิน 1 ปีครับ ส่วนตัวผมยังกลัวว่าจะไม่เกิน 6 เดือนซะด้วยซ้ำ วิธีการคือการก่อวินาศกรรมช๊อคโลกครับ เต็ง 1 ตอนนี้คือวอชิงตัน ดีซี เต็ง 2 คือนิวยอร์คเจ้าเก่า ลูกเดียวเท่านั้นแหละ หยุดทุกอย่างหมดเลย ล้มทั้งตลาดหุ้น เศรษฐกิจและเงินดอลล่า ในไม้เดียว ไม่เท่านั้นโยนความผิดไปให้อิหร่าน เกาหลีเหนือ และตัวการ์ตูนผู้ก่อการร้ายต่างๆ ที่่เค้าสร้างขึ้นมา แล้ว "เปิดฉากสงคราม" ทำเงิน ทำกำไรต่อเลยครับ ทั้งหนัก ทั้งเนียน และเค้าได้ประโยชน์เต็มๆ
เพราะ อเมริกาเค้าตันแล้วครับ เที่ยงคืนของวันที่ 31 ตุลาคมนี้ต้องปิดหีบงบประมาณแล้วต้องกางบัญชี เปิดเผยตัวเลขทุกอย่างทั้งของรัฐบาลกลางคือ Federal และรัฐบาลท้องถิ่นหรือ State คือต้องประกาศตัวเลขต่างๆ ถ้าไปไม่ได้ก็ต้องประกาศล้มละลายครับ เค้าจะลงมือก่อนหรือไม่ต้องจ้องไว้เลยครับ หรือเค้าจะออกทางไหน แค่ลูกเดียวเท่านั้นหรืออาจจะมีเซอร์ไพรส์เพิ่มก็แล้วแต่ จากผู้ร้ายกลายเป็นผู้น่าสงสาร กลายเป็นฮีโร่ พลิกสถานการณ์ได้เลยครับ .......
ถ้าเอาแบบมวยก็ดูสถิติการชกที่ผ่านมาได้ก็คือ 2 ไฟลต์ที่ผ่านมา ชนะน๊อคทั้ง 2 ไฟลท์ครับ
1.สมัย คลินตัน วันที่ 19 เมษายน 1995 ( 9:02 น.) ระเบิดตึกที่ทำการรัฐบาลหลายหน่วยงาน รวมทั้ง FBI ที่โอคาโฮม่าซิติี้ รัฐโอคาโฮม่า หรือเรียกว่า "OKBOMB" ตายไป 168 บาดเจ็บ 680 แล้วลากไปสู่สงครามก่อการร้ายครับ ที่หน้าสังเกตุคือเป็นเวลาทำการช่วงเช้า แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ FBI บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว แล้วสอง วันที่ 19-04-1995 (1+9+4+1+9+9+5=38 / 3+8=11 ) เวลา 9:02 (9+2=11) มีลงลายเซ็นไว้หรือบังเอิญมั๊งครับ???
2.สมัย จอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช วันที่ 11 กันยายน 2001 เหตุการณ์การถล่มตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ หรือ 911 นั่นเอง แล้วสรุปว่ามีผู้ก่อการร้าย 19 คนแต่ตายหมด
นี่ เป็นตัวอย่างครับ สมมุติฐานนึงเท่านั้นครับ แต่ยิ่งใกล้สิ้นเดือนข้อมูล ข่าวสาร ข่าวลือเรื่องการก่อการร้ายยิ่งทะลักออกมา แล้วเอาไปโยงกับอัลไคดา และอิหร่านเจ้าเดิมครับ ได้ลุ้นอีกแล้ววววว ฝากไว้ให้คิดครับ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอให้ไม่มีดีกว่าครับ มันคงจะยุ่งน่าดูถ้ามาเกิดอะไรตอนนี้
มี ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนของเราครับ เข้ามายืนยันเพื่อเปิดเผยความจริงเรื่อง "ภาวะโลกร้อน" Global Warming หรือ Climate Change ที่เขียนไปพอดี เรามาดูครับว่า คนกลุ่มนี้เอาเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางใดบ้าง แล้วใครตอบโต้ หรือต่อต้านเรื่องนี้อย่างไรบ้าง จะเห็นว่า ทุกอย่าง "ชัดเจน" ครับ
“ลัทธิกีดกันการค้า”ด้วยข้ออ้างเรื่อง“โลกร้อน”
โดย มาร์ติน คอร์ 15 ตุลาคม 2552 21:32 น.
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Climate protectionism on the rise
By Martin Khor
09/10/2009
ลัทธิ กีดกันการค้าและกีดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ นับวันแต่จะทวีตัว ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ยังตั้งท่าเงื้อง่าจะนำประเด็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ มาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจากับประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องของการต่อสู้กับภัย คุกคามต่ออนาคตของโลก
ลัทธิกีดกันการค้าและ กีดกันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่และอันตราย กำลังปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ภายใต้หน้ากากของการมุ่งต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น มันยังส่งผลเป็นการวางยาพิษเข้าไปในสายสัมพันธ์เหนือ-ใต้ภายในการเจรจาสอง เวทีคือ การเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเจรจาด้านการค้า
ที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนว่าประเทศพัฒนาแล้วบางราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการการค้าฝ่ายเดียว อาทิ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรและภาษีประเภทต่างๆ หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างพรบ.ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอันที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนภาษีประเภทต่างๆ จากสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่สหรัฐฯเห็นว่า ยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในอันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนั้น สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ยังพยายามใช้ลัทธิกีดกันการค้ามาต่อต้านไม่ให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยผ่านร่างพรบ. 3 ฉบับที่ทางสภาแห่งนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้หากร่างเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้แทนการเจรจาของสหรัฐฯ ที่ไปเจรจาหารือในกรอบของอนุสัญญาแม่บทสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ไม่สามารถทำข้อตกลงใดๆ ในทางที่จะผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการบังคับใช้กฎหมายอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทาง ปัญญา และขณะนี้มีสัญญาณชี้แล้วว่า ประเทศพัฒนาอื่นๆ รวมทั้งพวกทางยุโรป ก็เตรียมการที่จะใช้ลัทธิกีดกันการค้าที่อิงไปกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศเช่นเดียวกัน
ด้านประเทศกำลังพัฒนา ต่างเริ่มแสดงการคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทั้งนี้ ในระหว่างที่รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คือนางฮิลลารี คลินตัน เยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้นั้น บรรดาผู้นำทางการเมืองของอินเดียออกโรงประท้วงสหรัฐฯ ในกรณีการขู่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ไม่ลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (carbon tarrifs) ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาวิจารณ์ประเด็นการกีดกันการค้าที่แฝงอยู่ใน ร่างพรบ.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในระหว่าง การเจรจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่างๆ ก่อนที่จะถึงการประชุมที่จะเป็นบทสรุป ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคมปีนี้ กล่าวคือ ใน วันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม 77 และจีน (Group of 77 countries and China) ออกคำแถลงที่เวทีการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี โดยเตือนไม่ให้ประเทศพัฒนาแล้ว หันไปใช้มาตรการจำกัดการค้าแบบที่เป็นการประกาศใช้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินเดียยังได้เสนอด้วยว่า การประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน (ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคม ซึ่งคาดหมายกันว่านานาชาติจะสามารถทำข้อตกลงว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกฉบับใหม่ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2012 -ผู้แปล) ควรต้องมีการเขียนในข้อตกลง ด้วยข้อความที่ชัดเจนไปเลยว่า ประเทศพัฒนาแล้ว “จะไม่ใช้มาตรการฝ่ายเดียวไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการในลักษณะการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน เพื่อเล่นงานสินค้าและบริการที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา โดยอิงเหตุผลในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเสถียรภาพด้านสภาพภูมิอากาศ”
ในการนี้ อินเดียอ้างถึงบทบัญญัติต่างๆ ในอนุสัญญาแม่บทฯ มากมายหลายข้อที่จะเข้าข่ายว่าถูกละเมิดถ้ามีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ความพยายามของอินเดียได้รับการขานรับจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน อาร์เจนตินา บราซิล สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และรวมทั้ง กลุ่ม 77 และจีน ก็ออกคำแถลงในเรื่องนี้ด้วย
ทางด้านการเจรจา (เพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก -ผู้แปล) ที่นครเจนีวา เหล่า นักการทูตของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ก็แสดงความวิตกต่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมองเห็นความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย จะใช้มาตรการข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ มาเล่นงานขึ้นภาษีศุลกากร ตลอดจนการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ การกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายเป็นการใช้ข้อพิจารณาในประเด็นว่าด้วยกระบวนการ และวิธีผลิตสินค้าเหล่านั้น ( Process and production method หรือ PPM) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรงอย่างยากจะหาข้อ ยุติ
ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเพิเศษ ตลอดจนการเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เอากับสินค้านำเข้า โดยใช้ประเด็นพีพีเอ็ม ถูกประเทศกำลังพัฒนาต่อต้านว่าเป็นรูปแบบแอบแฝงของลัทธิกีดกันการค้า มาตั้งแต่เมื่อคราวประชุมองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ปี 1996 โดยที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาชี้ไว้ว่ามาตรการเช่นนั้นนับว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะส่งผลเป็นการกีดกันสินค้าของประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้สามารถเข้าสู่ ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎของดับเบิลยูทีโอ
อย่างไรก็ตาม มีพวกประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากทีเดียวที่อยากนำมาตรการทางการค้าไปใช้กับ เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และจึงมีการเตรียมชงเรื่องที่จะเอื้อให้มาตรการด้านการค้าที่ผูกอยู่กับพีพี เอ็ม กลายเป็นกฎระเบียบขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะผลักดันให้มาตรการการค้าที่โยงอยู่กับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้รับอนุมัติในกรอบ “ข้อยกเว้นทั่วไปเพื่อสิ่งแวดล้อม” (general exception for the environment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกรอบใหญ่ของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการ ค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT)
ด้านประเทศกำลังพัฒนาอ้างว่า การโยงมาตรการการค้าไปผูกกับเรื่องภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นับว่าไม่เป็นธรรม เพราะพวกตนมีความสามารถเชิงเทคโนโลยีต่ำกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกตนย่อมไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วได้ไหว และดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรได้รับความช่วยเหลือผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทว่า ระบอบแห่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขตามข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของดับเบิลยูทีโอ ที่เรียกกันว่าข้อตกลง TRIPS) คืออุปสรรคขัดขวางเรื่องนี้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ รัฐสภาของสหรัฐฯ ก็มาแสดงท่าทีว่าจะประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลอเมริกามีสิทธิอนุมัติให้มีการ ผ่อนปรนในเรื่องกฎว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ถ้าประเด็นการปกป้อง สภาพภูมิอากาศได้รับการอนุมัติ มันจะเป็นการเปิดทางให้สารพันมาตรการเพื่อกีดกันการค้า หลั่งไหลกันเข้ามากางกั้นไม่ให้สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าสู่ตลาด ของประเทศพัฒนาแล้วด้วยข้อพิจารณาว่าด้วยกระบวนการและวิธีผลิตสินค้า
ลัทธิกีดกันการค้าตัว ใหม่ที่ฉกาจฉกรรจ์ระดับมาตรการตัวแม่อย่างนี้ ก็ช่างเลือกเวลาแจ้งเกิดโดยแท้ เพราะจะมาเล่นกันในยามยุคเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำชาติทั้งหลายประกาศกันขึงขังว่า จะไม่ยอมหันไปใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเด็นการค้า-การปกป้องภูมิอากาศช่างเป็นระเบิดเวลาอันร้ายกาจ และมันจะกลายเป็นชนวนเปิด “กล่องแพนดอรา” (Pandora’s box) ที่ฝ่ายต่างๆ เคยนำปัญหาโลกแตกไปซุกไว้เพื่อซื้อเวลา โดยเมื่อมันถูกเปิดขึ้นมา มันจะไปสร้างราคีแปดเปื้อนให้แก่การเจรจาต่างๆ ตามกรอบ อนุสัญญาแม่บทของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเจรจาดับเบิลยูทีโอด้วย
มาร์ติน คอร์ เป็นกรรมการบริหารของศูนย์ South Centre อีเมล์ติดต่อเขาคือ director@southcentre.org ประเด็นปัญหาลัทธิกีดกันการค้าด้วยข้ออ้างเรื่องสภาพภูมิอากาศ ที่นำมาเสนอในข้อเขียนนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพิเศษของจดหมายข่าว South Centre bulletin
ขอขอบคุณลิ๊งข้อมูลโดยคุณ "cool_kid" ครับ
สำหรับ ใครที่ยังคาใจเรื่องการทำนายเศรษฐกิจของโครงการเวบบอท หรือ โรบอทเวบไซท์ หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประมวลผลคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในโลกไซเบอร์ เวบโรบอท เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้ครับ เป็นทั้งประโยชน์และโทษร้ายร้าง คือจะมีหน่วยงานนึงของรัฐบาลสหรัฐ คือ NSA หรือ National Security Agency
ลิ๊งค์ของ NSA: http://www.nsa.gov
เค้า พัฒนาเจ้าโปรแกรมตัวนี้ขึ้น เพื่อเป็นฐานข้อมูลขนาดยักษ์ และเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยเรื่องความั่นคง และใช้ Webbot นี้แสกนเวบไซท์ อีเมลล์ เวบบล๊อก และอะไรก็ตามที่อยู่ในอินเตอร์เนต โดยอ้างเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก เจาะเข้าได้ทุกเวบ ทุกระบบ
โดย เฉพาะพวกฟรีอีเมลล์ต่างๆ เคยสงสัยไม๊ครับว่าทำไมถึงให้ใช้ฟรี แล้วเค้าได้อะไร ที่เค้าได้คือข้อมูลในอีเมลล์ของเรานั่นแหละครับ แล้วก็จะมีการซื้อขายข้อมูลทุกชนิดกัน เพราะฉะนั้น ทุกอีเมลล์ของเราที่ใข้ฟรี เป็นของส่วนกลางครับ ไม่มี Privacy ใดๆ ทั้งสิ้นไม่ต้องไปเชื่อเค้าครับ แล้วนโยบายการเก็บข้อมูลของแต่ละเวบไม่เหมือนกัน เช่น Hotmail, Live Mail อาจจะเก็บไว้ 3-6 เดือนในเซิร์ฟเวอร์ของเค้าแล้วจะลบออก แต่สำหรับ G Mail จะถูก "เก็บไว้ตลอดกาล" ครับ ถึงแม้เราจะลบในถังขยะใน Trash Folder ไปนานขนาดไหนแล้วก็ตาม แล้วข้อมูลพวกนี้แหละครับ "จะไปมัดตัวคุณในชั้นศาล" ถ้าเค้างัดมันออกมา เพราะฉะนั้นอะไรที่อยู่ในนี้ ใส่อะไรไปได้แค่ไหน ต้องรู้ครับ ในเมืองไทยเรื่องนี้อาจจะยังมาไม่ถึง แต่ในหลายๆ ประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา หลายคดีปิดลงไปที่อีเมลล์นี่แหละครับ
แต่ เวบโรบอท ตัวนี้เป็นของเอกชน โดย Cliff High หรือนายคลิฟ ไฮ เรามาดูว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เค้า Predict หรือคาดการณ์อะไรไว้บ้าง ตอนนี้เค้าเน้นมากๆ คือวันที่ 25 (+,- 10 วันครึ่ง) เค้ามั่นใจว่าเป็นเรื่องค่าเงินดอลลอลจะมีปัญญหารุนแรง และเค้าไม่คิดว่าเป็นการก่อการร้ายแต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นนี้ครับ ในการพยากรณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ความแม่นยำของเค้าขึ้นไปถึง 90% ครับ รวมทั้งเหตุการณ์ 911 เค้าเตือนล่วงหน้าไว้ถึง 6 เดือนแต่ไม่มีใครใส่ใจ แต่หลังจากนั้นก็ดัง และไม่มีใครมองข้ามอีกเลย.......
เค้า คาดากการณ์ไว้ว่า วันที่ 25 เป็นต้นไป เงินดอลล่าจะมีปัญหา ถูกปฏิเสธจากหลายๆ ชาติอย่างชัดเจน แล้วจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกา ธันวา ไล่ไปมกรา จนไม่เกินกลางปี 2010 จะเกิดวิกฤติการค่าเงินดอลล่าแล้วลุกลามไปทั่วโลก กลับมาที่วันที่ 25-26 นี้เค้าคาดว่าจะมี Event หรือเหตุการณ์ที่ Cliff บอกว่ามันจะไป Trigger หรือกระตุ้นให้ปัญหาของเงินดอลล่าแดงออกมาอย่างชัดเจน
ถึงขั้นที่จะทำให้การเงินโลกระบบรวน แล้วมีการล๊อคตายระบบการเงินการธนาคารทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ครับ ผมใส่วีดีโอไว้ให้ครับ ทำความเข้าใจแล้วตีความกันเองดีกว่า เพราะข้อมูลมัน Sensitve หรืออ่อนไหวมากครับ แล้วช่วงท้ายๆของตอนที่ 1 ไปต่อตอนที่่ 2 เค้าพูดถึงผลกระทบต่อเอเซีย แล้วก็เงินบาทของเราด้วยครับ
ที่มาhttp://jimmysiri.blogspot.com/2009/10/webbot-project-predictiion.html
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น