[Fanfic Fire Emblem 7] Bettle Bofore Dawn
การปฏิบัติภารกิจของสองนักลอบสังหารจากแบล็กแฟงก์ แฟนฟิคของFire emblemภาค7ขอรับ!
ผู้เข้าชมรวม
311
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
จากผู้เขียน
แฟนฟิคFire Emblemเรื่องแรกที่ได้ออกสู่สายตาประชาชน...
ครั้งแรกสุดที่รู้จักเกมนี้คือดูน้องสาวตัวเองเล่น ไอ้เราก็คิดเกมบ้าอะไรฟะ มันทำให้เด็กสิบขวบเล่นจริงๆหรอเนี่ย ดูไปดูมาชักติดใจ สุดท้ายก็เล่น แล้วกลายเป็นว่า เวลาเรียนหนังสือก็จะมีเหล่าตัวละครในเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาตามหน้ากระดาษบ่อยๆ
ภาคที่เคยเล่นก็มี7,10,11,12 แต่นอกจากนั้นก็รู้จักหมดนั่นแหละ (ยกเว้นบางภาคที่เก่ากว่าGBA)
เข้าเรื่องละกัน แฟนฟิคของFire Emblemภาค7เรื่องนี้เกิดจากความที่ว่า อยู่ๆก็อยากเขียน เห็นไม่ค่อยมีใครแต่งฟิคของเกมนี้เท่าไหร่เลยลองเขียนดูบ้าง
พอดีคู่ที่ไอ้มิชอบที่สุดในเกมภาคนี้คือNinoกับJaffar เลยลองเอาตอนที่มี2คนนี้เป็นตัวหลักมานั่งแต่งเป็นเรื่อง ไปๆมาๆรู้สึกว่าฉากบู๊ล้างผลาญจะเด่นกว่าฉากดราม่าซะงั้น (ได้รับอิทธิพลมาจากเกมโทโฮซึ่งไอ้มิเคยติดมาก่อนจะบ้าไฟร์เอมเบลม)
ยังไงก็ฝากติชมด้วยละกันนะคะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
หนาว หนาวจังเลย...
ฉันเป่าลมออกทางปากแล้วถูฝ่ามือแรงๆหวังว่าจะรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่
ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าคืนนี้มีเมฆเต็มไปหมดทำให้บรรยากาศมืดลงไปอีก แย่จังเลยนะ แม้แต่ดาวสักดวงก็มองไม่เห็น
ชื่อของฉันคือนีโน่ ในเวลาแบบนี้ฉันควรจะนั่งอ่านหนังสือแล้วได้ดื่มโกโก้ร้อนสักแก้วอยู่ในห้องสมุดที่อบอุ่นมากกว่าจะมาอยู่ที่นี่ แต่ทำไมน่ะหรอ เพราะฉันมีภารกิจสำคัญต้องมาทำน่ะสิ
บริเวณระเบียงทางเดินอันหนาวเหน็บนอกปราสาทนี้ มีเพียงเราที่เดินอยู่สองคนเท่านั้น ก็คือฉัน กับแจฟฟาร์
เราทั้งสองคนต่างก็เป็นหนึ่งในกลุ่ม”แบล็ก แฟงก์” กลุ่มมือสังหารที่ขึ้นตรงต่อท่านนาร์กาล ซึ่งฉันก็ได้รับมอบหมายงานมาจากเขาเนี่ยแหละ นี่เป็นภารกิจแรกของฉันเลยนะ
ส่วนแจฟฟาร์ วันนี้เขาถูกส่งมาเป็นคนที่ช่วยคุมความประพฤติฉันระหว่างทำภารกิจ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ แจฟฟาร์เป็นนักลอบสังหารฝีมือดีที่สุดในแบล็ก แฟงก์ คนทั่วไปรู้จักเขาในชื่อ”เทพบุตรแห่งความตาย” เขาอายุห่างจากฉันประมาณ7-8ปี แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆคนหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเลยก็ได้นะ
ฉันกอดอก ตอนนี้หนาวจนจะหายใจเป็นควันได้แล้วมั้ง ผ้าคลุมที่นักเวทย์อย่างฉันใส่อยู่ประจำไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันได้ยินแค่เสียงพื้นรองเท้าของฉันกระทบกับพื้นหินอ่อนกับเสียงหายใจของตัวเองเท่านั้น
ฉันมองแจฟฟาร์ซึ่งเดินนำหน้าฉันอยู่ ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรจากเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนเดิน หรือแม้แต่ลมหายใจ ราวกับว่าเขาพร้อมจะหายไปในอากาศได้ตลอดเวลา
เราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานหนึ่ง ประตูไม้ที่ถูกสลักตกแต่งอย่างสวยงามให้สมฐานะกับผู้ที่เป็นเจ้าของห้อง เจ้าชายน้อยเซฟิล
“เอาละ ถึงแล้ว”ฉันกระซิบกับตัวเองเบาๆ แจฟฟาร์ไม่พูดอะไร
ใช่แล้ว ภารกิจของฉันคือลอบสังหารเจ้าชายองค์นี้แหละ...
องครักษ์ของเจ้าชายไม่อยู่สักคน ทหารส่วนที่ดูแลปราสาทนี้ก็แทบจะไม่มี งานนี้หมูชะมัด
“พร้อมรึยัง”ฉันถาม
“ฉันไม่เกี่ยว”ผู้เป็นรุ่นพี่ตอบ น้ำเสียงเรียบๆไร้อารมณ์ ก็ตามนิสัยของเขานั่นแหละ”ถ้าเธอทำพลาดล่ะก็ คงรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ฉันพยายามส่งสายตาอ้อนวอนไปหาแจฟฟาร์ แต่ไม่ได้ผล
“อย่ามาทำตัวใสซื่อถึงขนาดหวังเอาความช่วยหลือจาก’เพื่อน’อย่างเดียวนะ”เขาส่งสายตาดุๆกลับมา ทำให้ฉันต้องรีบหลบ
“ร..รู้น่า ฉันไม่ทำอะไรพลาดหรอก”ฉันตอบกลับไป”แม่จะต้องภูมิใจในตัวฉันมากแน่ๆ”
นั่นสิ คิดๆดูแล้ว ที่ผ่านมาแม่ก็ไม่ค่อยจะสนใจฉันเลยนี่นะ คราวนี้แหละ ถ้าภารกิจไปได้สวยล่ะก็ ท่านจะต้องดีใจมากแน่ๆ แล้วก็รักฉันมากขึ้น
แจฟฟาร์ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ
ฉันแอบมองลอดรูกุญแจเข้าไปในประตูบานนั้น
หลังประตูนั้นมีเด็กชายผมทองคนหนึ่ง อายุก็คงพอๆกับฉัน คงเป็นเจ้าชายเซฟิล กำลังนั่งคุกเข่า มือทั้งสองประสานกัน เหมือนกำลังสวดมนต์ขอพรอะไรบางอย่างอยู่
ก็คนมันอยากรู้นี่นะ ฉันเลยเปลี่ยนไปแนบหูกับรูกุญแจแทน
“...ข้าขออธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ในวันฉลองพรรษาของข้าวันรุ่งขึ้น ในฐานะเจ้าชายแห่งเบิร์น ข้าจะพยายาม...ไม่ให้ท่านพ่อผิดหวังในตัวข้า”
ฉันฉันพยายามทำตัวให้เงียบที่สุด เสียงนั้นเบามาก
“ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้ เพื่อท่านพ่อ...และคำขอร้องสุดท้ายจากเด็กโง่ๆคนนี้...ได้โปรด...ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง...”
“...กิเนเวียร์ หวังว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน...เหมือนครอบครัวเดียวกันอีกนะ...”เสียงของเด็กชายลอยมาถึงหูฉันได้แค่นี้
คำพูดนั้นเริ่มทำให้ฉันลังเล
อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ฉันจะเป็นคนทำให้เขาคนนั้นหายไปจากโลกนี้
หายไปจากโลกนี้โดยที่ยังไม่ได้ทำความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของเด็กตัวเล็กๆอย่างเขาให้เป็นจริง
เหมือนกับฉัน...
ครอบครัวเดียวกัน... คำพูดนี้เหมือนจะมีผลกับฉันมาก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ หรือพี่ชายฝาแฝดสองคนของฉัน ก็ล้วนเป็นคนที่สำคัญของฉันทั้งนั้น แต่สำหรับฉันแล้ว โซเนีย แม่ของฉันเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด
แต่ว่า ไม่ว่าฉันจะพยายามทำตัวเองให้ดูมีค่าขนาดไหน ท่านก็ยังไม่เคยหันมามองฉันด้วยสายตาที่ยินดีกับลูกสาวคนนี้เลยสักครั้ง
ทำไมนะ
ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกละเลย เหมือนกับว่าไม่ได้เป็นคนในครอบครัวนี้จริงๆ
ไม่สิ ถูกละเลยจริงๆต่างหาก ฉันเลยกลายเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวในกลุ่มแบล็ก แฟงก์
คิดได้แค่นี้ ฉันก็หันหลังกลับไปมองแจฟฟาร์ที่กำลังรอคอยอย่างอดทน
เขาคงเห็นฉันทำท่าลุกลี้ลุกลน เลยจัดการสะเดาะกลอนแล้วบุกเข้าไปโดยไม่ถามอะไรฉันสักคำเลย!
“เดี๋ยว!”ฉันกำลังจะอ้าปากร้องห้ามแต่ก็ไม่ทัน เลยทำได้แต่วิ่งตามเข้าไป
ภาพที่ฉันเห็นก็คือเจ้าชายน้อยเมื่อครู่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้น โดยมีแจฟฟาร์ยืนมองอยู่
“แค่หลับไปเท่านั้นแหละ”เขาหันมาจ้องฉันที่กำลังตื่นตระหนก”ตาเธอแล้ว”
เขายื่นมีดมาให้ฉัน ใบมีดของมันเงาวับถึงแม้ว่าจะถูกใช้งานมาอย่างโชกโชน เพราะได้รับการดูแลอย่างดีมันจึงพร้อมที่จะปลิดชีพเหยื่อรายใหม่ได้เรื่อยๆ
“เอาเลย”
“ด...ได้”ฉันพูด แต่กลับหนักใจอย่างประหลาด ฉันฝืนยื่นมือไปจะรับมีดนั่น
แต่มือกลับหนักอย่างประหลาด ฉันปล่อยมือลง
“ไม่เอา...”ฉันพูด
“ทำไม”เทพบุตรแห่งความตายถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน
“ฟังนะ เขาน่ะต้องการความรักจากพ่อแม่...เขาน่ะเหมือนฉันเลยนะ!”ฉันพูด รู้ตัวว่าเสียงดังเกินไปแล้วแต่ก็ทำ
“ที่แล้วๆมา ไม่ว่าฉันจะพยายามมากเท่าไหร่ แม่ก็จะมองฉันเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดีสักอย่า เด็กคนนั้นเขาก็เจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกัน...”
“หยุดนะ นีโน่!เธอกำลังทำลายโอกาสของตัวเองนะ”ชายหนุ่มเริ่มอารมณ์เสีย
“แต่เขาไม่สมควรตาย!”ฉันร้อง
เราทั้งสองจ้องหน้ากัน ฉันเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ภารกิจแรกของฉันล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย เพราะความอ่อนแอขี้สงสารของฉันสินะ แต่อีกด้านหนึ่งฉันก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองปฏิเสธไป อย่างน้อยก็ทำให้เขาคนนั้นรอดชีวิต ไม่มีใครมีสิทธิ์ตัดสินให้ใครมีชีวิตอยู่หรือตายได้หรอกนอกจากชะตากรรม
แจฟฟาร์กัดฟัน คิ้วขมวดเข้าหากัน ใช้สายตาเย็นชาจ้องตอบ เมื่อกี๊นี้เขากำลังจะส่งด้ามมีดให้ฉัน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขากำลังหันด้านคมเข้ามาหาฉันแทน
“รู้ใช่มั้ย กฎเหล็กของแบล็ก แฟงก์น่ะ”เขาพูด
”คนที่ทำภารกิจพลาดน่ะ มีแต่ตายกับตายเท่านั้น เพราะหนึ่งภารกิจนั่นคือหนึ่งชีวิต ถ้าไม่ใช่เหยื่อ เราก็ต้องตายซะเอง”
ถึงตอนนี้จะเห็นเพื่อนที่ไว้ใจที่สุดหันคมมีดเข้าใส่แต่ก็รู้สึกโกรธมากกว่ากลัว รู้ดีอยู่หรอกน่าเรื่องกฎบ้าๆบอๆนั่น
ฉันเข้ากลุ่มแบล็ก แฟงก์ตั้งแต่ตอนเล็กๆ นั่นก็เพราะโซเนีย แม่ของฉันอีกนั่นแหละ กว่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรฉันก็ได้รับยศเป็นมือสังหารซะแล้ว
พอได้สัมผัสกับมันจริงๆก็รู้ว่าที่นี่มันโหดร้ายกว่าที่คิด งานของแบล็ก แฟงก์ไม่ใช่งานที่สะอาด สมาชิกทุกคนที่เข้ามาก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อฉันเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยความไม่รู้ตั้งแต่แรก จะถอยกลับไปก็คงยากแล้วล่ะ
“เอาเลยสิ...”ฉันพูด
”เอาเลย! จะทำอะไรฉันก็ทำไป แต่อย่าไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเขา! ”ฉันชี้ไปที่เจ้าชายเซฟิล
ฉันไม่เคยเห็นแจฟฟาร์ทำงานมาก่อน แต่คงจะไม่ต้องห่วงอะไร ฉันคงไม่มีชีวิตรอดไปถึงพรุ่งนี้หรอก ไม่สิ พนันว่าอีกสามวินาทีข้างหน้าเลยก็ได้ แต่ไม่เป็นไร ก็เตรียมใจไว้แล้วนี่นาถึงได้กล้าพูดออกไปอย่างนั้น
แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเทพบุตรแห่งความตายยืนนิ่ง ด้วยความตกใจหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อจะต้องลงมือปลิดชีพใครสักคน
สีหน้าแจฟฟาร์เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ เขาสบถออกมาเบาๆแล้วเก็บมีดเข้าฝัก
ว่ากันว่าใครก็ตามที่ เทพบุตรแห่งความตายองค์นี้จ้องจะเอาชีวิตแล้วล่ะก็ จะไม่มีทางรอดไปเด็ดขาด
งั้นฉันคงเป็นคนแรกล่ะมั้งที่รอดจากคมมีดนั้นมา...
“แจฟฟาร์...”เสียงของฉันสั่น ทั้งประหลาดใจและตื่นตระหนก แต่ผู้ถูกเรียกกลับฉวยข้อมือฉันไว้แล้วลากออกไปนอกห้อง
“เดี๋ยว นี่ จะทำอะไรน่ะ”ฉันทั้งร้องและดิ้น แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย ในที่สุดฉันก็สะบัดข้อมือหลุดจนได้ ฉันถอยออกมาจากบุคคลตรงหน้าแต่ก็จ้องไม่วางตา
“เราต้องออกไปจากที่นี่ เร็วเข้า”เขาพูด ตรงเข้ามาจับข้อมือฉันอีกครั้งแล้วตั้งท่าจะออกวื่ง แต่ฉันรั้งไว้
“ทำไมล่ะ...”ฉันพูด”แต่ถ้านายทำแบบนี้ นายก็จะ...”
คนที่ทำภารกิจพลาดไม่สมควรมีชีวิตอยู่
ฉันทำภารกิจพลาด ตามกฎแล้วฉันควรจะถูกแจฟฟาร์ฆ่า
แต่ถ้าเขาไว้ชีวิตฉัน ก็ถือว่าเขาละเลยหน้าที่ ดังนั้นเขาอาจจะถูกคนของแบล็ก แฟงก์...
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า!”แจฟฟาร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
แต่ยังไม่ทันจะต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก แสงริบหรี่จากดวงจันทร์บนฟากฟ้าประกอบกับแสงเทียนตามทางเดินก็เผยให้เห็นใครบางคนซึ่งกำลังเดินออกมาจากเงามืดอย่างช้าๆ
เออร์ซุลา หญิงสาวนักเวทย์แห่งแบล็ก แฟงก์ ฉันก็ไม่ค่อยรู้จักกับเธอดีมากนักหรอก แต่ก็เคยได้ยินเรื่องความสามารถของนักเวทย์หญิงคนนี้มาบ้าง เธอก้าวเข้ามาหาเราทั้งสองอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แต่นั่นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรเท่าไหร่ ฉันรู้สึกว่าขากำลังสั่น ผิดกับแจฟฟาร์ที่ยืนนิ่ง
“ราตรีสวัสดิ์ แจฟฟาร์”เสียงของเธอเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง”ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ”
ฉันรีบพุ่งออกมาจากด้านหลังแจฟฟาร์ทันที
“ม...ไม่ใช่นะคะ แจฟฟาร์ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ มันเพราะหนูเอง เจ้าชายก็เลย...”
“นีโน่!”เขาร้องเหมือนฉันทำอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงมาก เออร์ซุลามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ก็แน่ล่ะสิ หลุดปากสารภาพไปแล้ว
“นี่มันอะไรกัน”รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของเธอ”ทำไมเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่”
“หา!”ฉันสะดุ้ง
“เธอรับคำสั่งมาจากท่านหญิงโซเนียแล้วไม่ใช่รึไง”เออร์ซุลาพูด”เรื่องเด็กคนนั้นน่ะ”
ฉันยืนตัวแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาราดใส่ทั้งๆที่อากาศหนาวแบบนี้
แม่...สั่งแจฟฟาร์ให้...
ไม่จริงน่า!..ฉันหันไปมองคนที่ฉันเรียกว่า เพื่อน แจฟฟาร์ยังยืนนิ่ง เขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทั้งนั้น
ในที่สุดเขาก้าวออกมาข้างหน้ายื่นมือออกไปด้านข้าง กันฉันไม่ให้เผชิญหน้ากับหญิงจอมเวทย์คนนั้น
“หุบปากซะ”เขาพูด ใช้มือข้างที่ว่างชักมีดออกมาจากฝักอย่างรวดเร็ว คมมีดสะท้อนเงาของเป้าหมายที่กำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจ”แกจะไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว”
คราวนี้ฉันก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
แจฟฟาร์จะยอมทิ้งหน้าที่การงานที่เขายึดถือมาโดยตลอดเพราะฉันจริงๆหรอเนี่ย
เออร์ซุลาถอนหายใจยาวๆทีหนึ่งแล้วเอ่ย”แล้วยังไง คิดจะหักหลังท่านนาร์กาลหรอ”
“ฉันให้นีโน่ตายไม่ได้”เขาพูด น้ำเสียงเด็ดขาด”ลองเข้ามาขวางทางสิ ฉันจะได้ฆ่าแกแน่”
“ฮึๆๆ ยังมีความรู้สึกของมนุษย์เหลืออยู่กับเขาด้วยเรอะ เธอน่ะ”หญิงสาวยิ้มเย้ยหยัน”พนันได้เลยว่าเธอไม่ได้ฆ่าเจ้าชายสินะ แต่ไม่เป็นไร”
กลุ่มคนในชุดเครื่องแบบของกลุ่มแบล็ก แฟงก์เดินออกมาจากเงามืดด้านหลังเออร์ซุลา ฉันจับชายผ้าคลุมของแจฟฟาร์ไว้ไม่ปล่อย
“คนที่ทำภารกิจล้มเหลวมีแต่ต้องตายเท่านั้น รู้กันดีสินะ”เธอกำลังจะก้าวเข้ามาหาเรา“ดังนั้น ฉัน...”
ปั้ก!
มีดสีเงินจากมือแจฟฟาร์พุ่งแหวกอากาศเฉียดหัวเออร์ซุลาไปเพียงไม่กี่นิ้ว มันพุ่งไปปักอยู่ที่เชิงเทียนติดผนัง ทำเอาคนกลุ่มนั้นแตกตื่นกันใหญ่ เออร์ซุลาเองก็เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ
“วิ่ง!”แจฟฟาร์บอกแล้วหันหลังกลับ กระชากแขนฉันแล้ววิ่งไปตามทางเดินด้านหลัง
เออร์ซุลาหันกลับมาก็พบว่าเป้าหมายอันตรธานหายไปซะแล้ว
“แม็กซิเม!”เธอร้อง
“ครับท่าน!”นายทหารที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่มนั้นเดินออกมา
“ดับไฟทุกดวงในปราสาทนี้ ปิดทางเข้าออกให้หมด เป้าหมายคือเจ้าชายเซฟิลกับเจ้าทรยศอีก2คน ไป!!! ”เธอสั่งด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ผู้ใต้บังคับบัญชาผงกหัวรับคำสั่งแต่โดยดีแล้วเริ่มปฏิบัติงาน
อีกด้านหนึ่ง ฉันหอบๆแฮ่กๆอยู่ที่หัวมุมของระเบียงทางเดิน เราวิ่งมาไกลเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แจฟฟาร์กำลังดูทางอยู่
“พวกนั้นใกล้เข้ามาแล้ว...”เขากระซิบ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง
“เธอหนีไปซะ ฉันจะถ่วงเวลาให้”เขาพูด
“ไม่!นายต้องไปด้วยนะ”ฉันร้อง เรื่องอะไรเพื่อนจะต้องทิ้งเพื่อนล่ะ
“ไปซะ นีโน่ เธอน่ะมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่นะ”เขามองฉัน แววตาที่เขามองฉันนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากคนที่ได้รับฉายา’เทพบุตรแห่งความตาย’
ฉันตัดสินใจไม่ถูก จะทำยังไงดีล่ะ พวกของเออร์ซุลาเป็นสิบๆก็เก่งเกินกว่าที่นักเวทย์ฝึกหัดอย่างฉันจะสู้ไหว แต่ฉันก็ไม่อยากให้แจฟฟาร์ต้องทำแบนั้นเพียงลำพัง
ฉันเลยยืนนิ่ง พยายามส่งแววตาอ้อนวอนไปที่เขาอีกครั้ง
”วิ่ง แล้วอย่าหันกลับมามองนะ!”เขาผลักฉันออกไป
”เร็ว!”เขาร้องอย่างเกรี้ยวกราด คราวนี้ฉันไม่หันกลับไปมองเขาอีกเลย ฉันออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเท่าที่ขาของฉันจะพาไปได้ ไม่ว่าจะสะดุดล้มสักกี่ครั้งฉันก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อไปโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง เป้าหมายก็คือออกไปจากที่นี่ให้ได้อย่างปลอดภัยก็พอ ให้สมกับชีวิตที่เพื่อนคนหนึ่งตั้งใจแลกมา
ใกล้ถึงทางออกแล้วสินะ ฉันจำได้ แค่อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง!
เมฆสีดำทะมึนบดบังดวงจันทร์ทำให้บรรยากาศยิ่งมืดลงไปอีก แย่ที่สุด มองอะไรแทบไม่เห็นเลย
ใช่สิ เราจุดไฟด้วยเวทมนตร์ได้นี่นา
ฉันร่ายคาถาเบาๆแล้วดีดนิ้ว เปลวไฟเวทย์มนตร์สีแดงก็ลุกไหม้อยู่กลางอากาศเหนือปลายนิ้วของฉัน มันไม่ถึงกับร้อนมากแต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆ ตอนนี้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นแฮะ
เห็นคนของเออร์ซุลาสองคนกำลังวิ่งเข้ามาทางนี้
“!!!”ฉันลืมไปซะสนิท จุดไฟแบบนี้มันเท่ากับว่าเป็นเป้าล่อศัตรูชัดๆ ชายในชุดดำผู้บ้าคลั่งทั้งสองคนถือขวานอันบะเร่อบะเท่อวิ่งเข้ามาหาฉันอย่างมุ่งร้าย แต่ ฝันไปเถอะ!
ฉันเรียกเปลวไฟเข้ามาในมือแล้วกำไว้ ก่อนที่จะขว้างไปทางเจ้าวายร้ายสองคนนั้น
ตูม!
มันระเบิดเป็นวงกว้าง ถึงไฟนั้นจะไม่ลุกท่วมขนาดเผาสองคนนั้นให้เกรียมได้ในทีเดียว แต่มันก็ทำให้พวกมันนั้นทำอะไรฉันไม่ได้สักพักล่ะ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังสาละวนกับการดับไฟบนเสื้อผ้าของตัวเอง ส่วนฉันก็กำลังจะวิ่งผ่านไป เอาล่ะ คราวนี้ฉันเดินทั้งๆที่มืดๆแบบนี้ก็ได้
แต่คราวนี้ฉันเดินไปชนกับชายถือดาบที่วิ่งเข้ามาแทน
ฉันรีบถอยออกมาด้วยความตกใจแล้วกำลังจะวิ่งกลับไปอีกทาง แต่ก็สะดุดล้ม ช้าเกินไป...มันเหวี่ยงดาบลงมาแล้ว
ฉัวะ
เสียงเหมือนใครตวัดดาบ แต่คนที่โดนไม่ใช่ฉัน
ร่างของลูกสมุนเออร์ซุลาทรุดลงไป ดาบที่มันถือตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง
ในโถงทางเดินเริ่มสว่างขึ้น มีคนจุดไฟล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไรนะ หนูน่ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบบุรุษผู้ช่วยชีวิตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขากำลังเก็บดาบเข้าฝัก ดูจากชุดแล้วไม่ใช่กลุ่มแบล็ก แฟงก์ แล้วก็ไม่ใช่ทหารของเบิร์นด้วย และที่สำคัญคือ ฉันรู้สึกมั่นใจว่าเขาเป็นมิตร
ฉันรีบลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นตามเนื้อตัว เมื่อมองไปข้างหลังชายผู้นี้ก็พบกับกองกำลังที่น่าจะเป็นผู้ติดตามของเขา
“เฮ้!เอลิวูด มีอะไรอีก”ชายร่างสูงใส่ชุดเกราะสีเข้มเดินเข้ามาหาชายคนแรก ทั้งคู่ไม่น่าจะใช่ทหารรับจ้างหรือสามัญชนธรรมดา
บางทีเขาอาจจะช่วยฉันได้
“คุณ ช่วยพวกเราด้วยเถอะค่ะ ตอนนี้มีคนร้ายอยู่เต็มไปหมด ช่วยเจ้าชายด้วยนะคะ!”ฉันร้อง
“หา!”ทั้งสองคนมองฉันเป็นสายตาเดียว มีทหารคนหนึ่งถือคบเพลิงเดินเข้ามาใกล้ แสงไฟที่ส่องสว่างทำให้ฉันเห็นหน้าพวกเขาสองคนชัดขึ้น
“แล้วก็ มีคนกำลังแย่ เพื่อนของหนูกำลังจะถูกฆ่านะคะ”ฉันนึกถึงแจฟฟาร์ รู้สึกว่าน้ำตากำลังไหล
ชายผมแดงที่ถูกเรียกว่า’เอลิวูด’มองมาทางฉัน แสงจากคบเพลิงสะท้อนมงกุฏของเขาให้เป็นประกาย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะช่วยเธอเอง”เขาพูด”จะมากับพวกเราก็ได้นะ”
ขอบคุณพระเจ้า! รอดแล้ว!
“เอาล่ะทุกคน เคลื่อนพลต่อได้ รีบตามหาเจ้าชายเซฟิล ป้องกันเขาจากศัตรูด้วย”เอลิวูดสั่ง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับฉัน”แล้วเพื่อนของเธอล่ะ อยู่ไหน”
“ทางนี้ค่ะ”คราวนี้ฉันกล้าเดินกลับไปทางเดิมแล้ว แจฟฟาร์ ขอให้ฉันได้ช่วยเธอมั่งเถอะ
....................
เรา...เราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ผมควงมีดในมือ แล้วกดปลายลงไปที่ต้นคอของศัตรูอย่างชำนาญ ของเหลวสีแดงจากเส้นเลือดใหญ่พุ่งออกมาเป็นสาย แต่ก็ไม่มีสักหยดที่ถูกตัวผม
มีสองคนพุ่งมาจากทางด้านหลัง ผมสังเวยชีวิตมันทั้งคู่ด้วยการตวัดมีดเพียงครั้งเดียว
เคยกลัวมั่งมั้ย...ว่าสักวัน เราจะกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า แบบที่เราทำกับพวกนั้น
ไม่
เพราะไม่เคยคาดหวังอะไรอยู่แล้ว
ผมโยกตัวหลบปลายดาบที่ฟาดเข้ามาอย่างมุ่งร้าย ใช้มีดเล่มเดียวรับขวานของศัตรูแล้วจัดการปลิดชีพพวกมันทั้งหมด
ชีวิตเรามันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้วนี่ จะอยู่ หรือจะตาย มันไม่เห็นจะต่างกันเลย
ผมหันไปทางด้านขวา เห็นเออร์ซุลากำลังหันมายิ้มเยาะ ก่อนที่จะเดินหายไปในเงามืด สมองไม่สั่งอะไรนอกจากให้วิ่งตามไป
“ฮึๆๆๆ”เสียงหัวเราะที่เย็นเยือกดังสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินว่างเปล่า ชิ! ยัยนี่มันแม่มดชัดๆ
ตอนนี้ในโถงทางเดินว่างๆ มีแค่ผมยืนอยู่คนเดียว กับเออร์ซุลาที่แอบอยู่ตรงไหนสักแห่งที่ผมมองไม่เห็น ผมมองไปรอบๆ นี่เป็นกับดักรึเปล่านะ
ตึกๆๆๆ
เสียงคนเดิน ใครตามมา!?
“แจฟฟาร์!”เสียงแหลมเล็กดังแสบแก้วหูนี้จะเป็นของใครไม่ได้นอกจากยัยตัวแสบนีโน่ ทำเอาผมตกใจนิดๆ มีคนเดินตามหลังเธอมาด้วยสองคน
“นีโน่ ฉันบอกให้เธอหนีไปไม่ใช่รึไง!”ผมร้อง
“ฉันไปตามคนมาช่วยแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอก เรารีบไปกันเถอะแจฟฟาร์”เธอเอื้อมมือเข้ามา แต่ผมหันหลังกลับ
“อ้าว...”เสียงของเธอแสดงความผิดหวัง“ท...ทำไม”
“ฉันตายแล้ว ตายมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ”ผมพูด
ใช่ ชีวิตเรามันไม่มีความหมายอะไรเลย
ถูกนาร์กาลเลี้ยงมา ฝึกให้ฆ่าคนตั้งแต่ก่อนจะเขียนหนังสือได้ซะอีก
ทำลายชีวิตคนอื่นไปมากมายอย่างไม่รู้คุณค่า เพราะมองไม่เห็นแม้กระทั่งคุณค่าของชีวิตตัวเอง
เลยเอามันไปเสี่ยงตายได้เป็นว่าเล่น
ใครสั่งอะไรมาก็ทำ เพื่อหน้าที่อย่างเดียว จะสกปรกมืดมนแค่ไหนก็ทำได้เพราะไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง
“ไปเถอะ อย่าพยายามช่วยชีวิตที่ไม่มีค่าอย่างฉันเลย”ผมพูด
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างเงียบสนิท
“ใครว่าไม่มีค่าล่ะ”นีโน่เอ่ย ผมนิ่ง จะเถียงอะไรอีกล่ะ
“ถ้าไม่มีแจฟฟาร์ ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอกนะ! ถ้านายไม่เอาตัวเองเป็นตัวล่อให้ฉันหนีไปตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็คง...”เธอก้มหน้า ดูเหมือนจะพูดต่อไปไม่ออก
“เพราะอย่างงั้น ฉันต้องการให้นายมีชีวิตอยู่นะ!”นีโน่ร้อง ทำเอาผมนิ่งอึ้ง
ครั้งแรกล่ะมั้ง ที่ได้ยินคนพูดแบบนี้
“นีโน่...”ผมเอ่ยออกมาเบาๆ
เปรี้ยง!
สายฟ้าไม่ทราบที่มาฟาดลงมาเหมือนตั้งใจจะเล็งเราสองคน พวกเราวงแตกกันไปคนละทาง ผมซึ่งคว้าตัวนีโน่กระโดดหลบได้หวุดหวิดนั้นไม่ค่อยเป็นอะไรมากนัก ส่วนคนที่นีโน่บอกว่าตามมาช่วยอีกสองคนนั้นท่าทางอาการหนัก ถึงกับลุกไม่ขึ้นทีเดียว
เหมือนมีม่านบางๆสีเขียวปรากฏขึ้นมาขวางระหว่างเราสองคนกับกลุ่ม’ผู้ช่วย’ที่นอนสลบไม่ได้สติ ที่สำคัญคือมันกั้นทางออกไว้ ม่านพลังนั้นคงเป็นของเออร์ซุลา
ผมรีบหันไป เห็นเออร์ซุลายืนอยู่ในเงามืดตรงนั้นห่างไปจากเราพอสมควร ในมือขวาของเธอมีประจุไฟฟ้าอยู่รอบๆ คิดจะย่างสดด้วยไอ้คาถาแบบนั้นเรอะ
“รออยู่ตรงนี้นะ!”ผมบอกนีโน่โดยทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงโวยวายที่เธอแย้งมา
เออร์ซุลาไม่ใช่แค่เหยื่อกระจอกๆ แต่เป็นศัตรูที่มีฝีมือสูสีกับเราเลยทีเดียว
ประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ผมกระชับด้ามมีดในมือแล้วพุ่งเข้าใส่เป้าหมายทันที
เออร์ซุลาก็รวดเร็วไม่แพ้กัน เธอชูมือขึ้นแล้วปัดลงอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่เกิดจากเวทมนตร์พุ่งลงมาอีกครั้งเป็นสิบๆสาย ผมหลบหลีกพวกมันพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้าไปหาเธออย่างเร็วที่สุด
เออร์ซุลาแสดงสีหน้าขัดเคืองก่อนที่จะเริ่มร่ายคาถาใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เธอเสกสายฟ้าให้พุ่งออกมาหาผมโดยตรง ผมกระโดดหลบพร้อมกับเป็นการพุ่งตัวเข้าไปหาเธอทางอากาศ เล็งมีดไปกะโจมตีครั้งเดียวดับ นักเวทย์หญิงเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม จังหวะเดียวกับที่อีกนิดเดียวปลายมีดกำลังจะถึงต้นคอ เออร์ซุลาก็เอานิ้วเรียวยาวทั้งห้าทาบที่อกของผม ตรงหัวใจพอดี
เปรี้ยงงงงง!!!!
สายฟ้าเวทมนตร์ถูกยิงออกไป
....................
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง อยากจะให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นความฝันเหลือเกิน
ร่างของแจฟฟาร์ร่วงลงมาที่พื้นเสียงดังพลั่ก เสียงนั้นก้องสะท้องไปมาในหัวของฉัน
เขานอนอยู่ตรงนั้น แน่นิ่งไปเลย
“...”ฉันพูดอะไรไม่ออก จะกรีดร้องก็ทำไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ
ฉันนั่งอยู่เฉยๆ มองดูเพื่อนที่พยายามเยื้อชีวิตเราอย่างลำบากยากเย็น ตายลงต่อหน้าต่อตา!
“เหลืออีกคน”เสียงของเออร์ซุลาเรียกสติฉันกลับคืนมาอีกครั้ง
ตัวฉันสั่นระริก ทั้งโกรธแค้นและเศร้าโศกปนกัน โกรธที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง จนแจฟฟาร์ต้อง...
“ใจร้ายที่สุด!!!”ฉันกรีดร้อง น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ฉันร่ายคาถาที่ฉันคิดว่ารุนแรงที่สุด ลูกไฟสีแดงฉานปรากฏขึ้นบนมือ ฉันขว้างออกไปกะให้โดนหน้ายัยแม่มดนั่น เปลวไฟระเบิดลุกท่วมบริเวณนั้น ยกเว้นตรงกลางที่เออร์ซุลายืนอยู่
ฉันตะโกนร้องสารพัดคำด่าที่คิดว่าจะทำให้เธอรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างพร้อมกับเสกเวทย์ไฟยิงไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่มีสักนิดที่จะทำอันตรายจอมเวทย์ผู้นี้ได้ ก็ฉันเป็นนักเวทย์ฝึกหัดนี่นา จะไปสู้อะไรกับฝีมือระดับปรมาจารย์อย่างเออร์ซุลาได้ มิหนำซ้ำเธอยังยิ้มและเดินตรงเข้ามาหาฉันที่กำลังจนมุม
ในที่สุดวาระสุดท้ายก็มาถึง ฉันทรุดตัวคุกเข่า ทั้งร้องไห้ ทั้งหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน หมดเวลาของฉันแล้วสินะ
”ท่านหญิงโซเนียเมตตาเธอแค่ไหนรู้มั้ย “ออร์ซุลาเอ่ย”แต่จริงๆ สำหรับท่านหญิงแล้วเธอมันก็ทำได้แค่ถ่วงการงานของเราไปวันๆเท่านั้นแหละ จะถูกกำจัดทิ้งมันก็ไม่ผิดหรอกนะ”
“ไม่จริง! แม่ไม่มีทางพูดแบบนั้นหรอก ฉันไม่เชื่อ!!!”ให้ตายสิ หมดแรงแทบจะพูดไม่ได้อยู่แล้วฉันก็ยังฝืนตะโกนออกไป
“เด็กหนอเด็ก”เธอหัวเราะหึๆ”จะพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย”
ฉันหันไปมองอาสาสมัครสองคนจากกลุ่มของคนที่ชื่อเอลิวูดที่อุตสาห์ถ่อตามฉันมาถึงตรงนี้ สองคนนั้นสลบเหมือดไม่ได้สติทั้งคู่อยู่หลังบาเรียเวทมนตร์
ช่วยอะไรใครไม่ได้สักอย่างเลยเรา ดีแต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ฉันหันกลับไปเตรียมเผชิญหน้ากับเออร์ซุลา ตอนนี้เธอเหมือนปีศาจร้ายที่หมายจะเอาชีวิตของฉันไปอย่างทรมานที่สุด ฉันมองผ่านตัวเธอไปข้างหลังหวังว่าจะได้เห็นร่างของแจฟฟาร์เป็นครั้งสุดท้าย
แต่เขาไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ฉึก
ฉันเห็นกองเลือดสีแดงตกลงมาที่พื้นด้านหลังเออร์ซุลา และขาอีกคู่ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลัง ฉันเงยหน้าขึ้นทันที เออร์ซุลาแสดงสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุดแต่ก็ไม่กรีดร้องออกมา เธอพยายามเอี้ยวคอไปมองด้านหลังอย่างยากลำบาก
แจฟฟาร์ เทพบุตรแห่งความตายยืนอยู่ตรงนั้น มือที่จับมีดเล่มเดียวของเขาที่เหลืออยู่เนั้นพยุงร่างนักเวทย์หญิงที่กำลังจะล้มทั้งยืนไว้ สายตาดุดันของเขาจ้องประสานกับเหยื่อที่กำลังจะหมดลม
“ก...แก...”เออร์ซุลาพูด เสียงแผ่วๆของเธอแฝงความโกรธแค้น”แล้วแก...จะ..เสียใจ...ที่ทำ...”
“ขอโทษนะ ฉันปล่อยให้นีโน่ตายไม่ได้”แจฟฟาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆเช่นเคย ก่อนที่จะปล่อยมือที่ย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงเข้มจากด้ามมีด นักเวทย์หญิงล้มโครมลงไปกับพื้น เธอไม่หายใจแล้ว บาเรียเวทมนตร์ที่กั้นทางออกไว้หายไปแล้ว
ฉันจ้องมองร่างของเธออย่างขนลุกขนพองก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนผู้ช่วยชีวิตฉันอีกครั้ง
“อึก!”เขาทรุดลงไปกับพื้นเช่นกัน เวทมนตร์ที่โดนไปเมื่อครู่คงมีผลต่อร่างกายของเขามากทีเดียว
“แจฟฟาร์!”ฉันร้องเสียงหลง พุ่งเข้าไปพยุงร่างของเขา
ทำยังไงดีล่ะ! ทำยังไงดี! น้ำตาของฉันเริ่มไหลออกมาอีกแล้ว โธ่เอ๊ย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย
“ตื่นสิ! ตื่น!”ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย พลางเขย่าร่างของเขา
“ไม่เอา อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้สิ! ไม่!!!!!”
เจ็บจนปางตายแล้วยังอุตส่าห์เป็นห่วงฉัน ฉันติดหนี้บุญคุณนายอยู่นะ ลุกขึ้นมาซี่! อย่างน้อยก็ตื่นขึ้นมาฟังคำขอบคุณจากปากของฉันบ้าง!
อย่าตายนะ
“ยัยบ้าเอ๊ย...”
หา!ฉันสะดุ้ง น้ำเสียงของแจฟฟาร์เหมือนจะเจ็บปวดนิดหน่อย
“จะตะโกนหาอะไร ยังไม่ตายสักหน่อย”เขาเหลือบตามองมาทางฉันอย่างรำคาญหรือโกรธก็ไม่ทราบ
“อะ...”น้ำตาฉันเริ่มจะไหลอีกระลอกซะแล้ว
“โฮ~!!!!!”เขื่อนแตกทำนบพังแล้วสิฉัน ฉันพุ่งเข้าไปกอดแจฟฟาร์ทันที
“เฮ้ย!!”เขาร้องเสียงหลง”ปล่อยนะ ปล่อย!”
ฉันร้องไห้ไม่หยุด“ไม่เอาแล้ว ฉันจะไม่ยอมเสียนายไปอีกแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากทางด้านหลัง เหมือนพวกของคนที่ชื่อเอลิวูดที่เหลือจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เจ้าชายคงจะปลอดภัยแล้ว นับเป็นตอนจบที่ดี
แจฟฟาร์ดูเหมือนจะยอมแพ้ เขาถอนหายใจยาวๆแล้วลูบหัวฉันเป็นการปลอบโยน นับเป็นเรื่องที่ฉันจะจำไปจนตายเลยสำหรับคืนที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของฉัน กับแจฟฟาร์ เทพบุตรแห่งความตาย
ผลงานอื่นๆ ของ ลุงแบล็คใจดี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ลุงแบล็คใจดี
ความคิดเห็น