ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กฤติกา มายารัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 57


    “ฉันอาจหลอกนายได้ แต่ฉันไม่มีวันหลอกหัวใจฉันเองได้”

                    เสียงหวานตะโกนออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับ พลันน้ำตาก็ไหลออกมาพร้อมกัน หยดน้ำไหลอาบแก้มนวล

                    ติณณาทรุดตัวลงบนพื้น ปล่อยหยดน้ำไหลรินท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนักศึกษากว่าสิบห้าคนทั้งห้องเรียน หญิงสาวยันกายด้วยแรงแขนที่สั่นรัวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนชายผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                    “ฉันไม่ได้รักนาย คนที่ฉันรักคือ ชัยเสน” ติณณาประกาศก้องออกไป

                    วีรชัยที่ยืนมองอยู่พยักหน้ารับรู้แม้จะกำหมัดในมือแน่นจนสั่นไปหมดทั้งร่างก็ตาม

                    “ก็ได้ เมื่อเธอต้องการอย่างนั้น มัทนา” เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะหันหลังเดินจากหญิงสาวไป ไม่สนว่าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงคนนี้จะดังและโศกเศร้าเพียงไหน

                    “สุดยอด สุดยอดจ๊ะ ติณณา” อาจารย์ทิพวรรณ อาจารย์สาวที่อายุน้อยที่สุดในภาควิชาการแสดงลุกขึ้นยืนปรบมือพร้อมปาดน้ำตาไปด้วย เรียกเสียงปรบมือและเสียงฮือฮาประทับใจในการแสดงเมื่อครู่ดังตามมา ติณณาลุกขึ้นจากพื้น เดินไปประสานมือกับวีรชัยเพื่อนชายแต่ใจเป็นหญิงโค้งให้กับอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียน

                    “เอาเอไปเลยจ๊ะ ทั้งคู่ ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะติณณา ยิ่งปรับบทมัทนะพาธาให้เข้ากับยุคสมัย แต่ยังแฝงความเจ็บปวดเศร้าช้ำระกำใจอยู่เต็มๆแบบนี้ เอาไปเลย เอบวกบวก” อาจารย์ทิพวรรณกระโดดชูนิ้วโป้งเรียกเสียงโห่แสดงความยินดีจากคนทั้งห้องได้อีกหนึ่ง

                    ติณณากลับมานั่งที่เดิมกล่าวขอบคุณเพื่อนข้างกายที่ยังชื่นชมอยู่ไม่ขาด หล่อนยิ้มเขินจนรู้สึกได้ว่าตัวเกือบจะลอยไปชนกับเพดาน ได้แต่ฝันว่าคัดเลือกนักแสดงละครครั้งต่อไป ถ้าหล่อนตีบทแตกกระจุยได้เหมือนในชั้นเรียนตอนนี้จะดีงามมาก

                    หล่อนเป็นสาวร่างเล็ก ผิวสองสี ไม่ขาวและไม่คล้ำ หากแต่นวลเนียน ติณณาไม่พิสมัยความขาวเหมือนอย่างที่วัยรุ่นสมัยใหม่นิยม หล่อนภูมิใจในผิวสีแทนของตัวเองและทาครีมกันแดดเพียงเพื่อป้องกันการเผาไหม้ของชั้นผิวเพราะกลัวตัวเองจะเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าจะกลัว  ดวงตากลมแต่ชั้นเดียว ออกจะดูขัดกับสีผิวทั้งที่หน้าตาของหล่อนค่อนไปทางเชื้อสายจีน หญิงสาวไม่แต่งหน้า ได้แต่ทาแป้งบางๆแต้มลิปกลอสให้ริมฝีปากดูระเรื่อและเงามัน บางครั้งอารมณ์ดี ก็จะปัดแก้มด้วยบลัชออนสีโทนส้มหน่อย ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ต้องทา หล่อนไว้ผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ปลายผมหยักศกด้วยฝีมืดดัดผมที่ผิดพลาดของช่างใต้หอพัก แต่ติณณากลับมองว่าแปลกดี เหมือนตุ๊กตาผมทองของฝรั่งที่หล่อนเคยเล่นสมัยเด็ก หวังว่าตัวเองจะดูเหมือนตุ๊กตาตัวนั้นบ้าง แม้หน้าตาจะไม่ให้เลยก็ตาม  หญิงสาวใส่เสื้อสีดำ กางเกงขายาว ผูกผมเป็นหางม้าให้เรียบร้อย เป็นชุดปกติของนักเรียนการแสดง เพื่อความคล่องตัว

                    “เอาล่ะจ๊ะ ในเมื่อทุกคนสอบกันเสร็จแล้ว ก็เตรียมรอชมเกรดของตัวเองหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้เลย อีกสองเดือนเจอกันจ๊ะ” อาจารย์ทิพวรรณกล่าวยุติการสอบเมื่อเสียงกริ่งดังบอกหมดเวลาเรียน

                    วิชาการแสดงเป็นหนึ่งในไม่กี่วิชาที่สอบในห้องเรียน ไม่ต้องเข้าห้องสอบเพื่อทำข้อสอบเหมือนวิชาอื่นๆ สำหรับปีนี้ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของติณณา เทอมหน้าซึ่งเป็นเทอมจบ สิ่งสุดท้ายที่นักเรียนการแสดงจะต้องทำส่งเพื่อให้จบ หรือที่เรียกกันว่า ทีสิส คือการแสดงละครเวทีหนึ่งเรื่อง โดยต้องรับบทเป็นตัวเอกนั้นๆ ติณณามีบทในใจอยู่แล้วว่าจะแสดงอะไร หล่อนแค่ต้องการฝึกฝนการแสดงของตัวเอง

                    ดังนั้นช่วงเวลาปิดเทอม ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเทอมสอง หล่อนจะตระเวนแคสติ้งนักแสดง จนกว่าจะได้เป็นนักแสดงตามความฝันที่ตั้งไว้ หญิงสาวคิดว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้ฝึกฝนทักษะตัวเองไปด้วย หางานเกี่ยวกับการแสดงไปด้วย

                    “โอเค ตัวโหดผ่านไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือแค่ทำข้อสอบประวัติศาสตร์การละครของวันพรุ่งนี้” ” วีรชัยเพื่อนชายใจเป็นหญิงเดินบิดก้นไปมาออกจากห้องการแสดง  นับว่าวีรชัยมีทักษะการแสดงที่ดีมาก เพราะทั้งที่บุคลิกส่วนตัวเป็นแบบนี้แต่ยังแสดงเป็นชายแท้แมนร้อยเปอร์เซ็นต์ได้

                    “เออใช่ ฉันยังไม่ได้อ่านเลยว่ะ แกติวให้ฉันหน่อยดิ” หญิงสาวหันไปเขย่าแขนเพื่อน

                    “โห คงจะไม่ได้อ่ะ ฉันไม่มั่นใจเลย วิชานี้ฉันเพิ่งอ่านไปได้แค่ห้ารอบเองแก” วีระชัยส่ายหน้าไปมา บ่นกระปอดกระแปด ติณณากลอกตามองฟ้าเบื่อหน่าย

                    ทั้งคู่เดินออกจากอาคารเรียนมุ่งตรงไปยังโรงอาหาร เวลานี้เป็นเวลาเพิ่งจะเลิกเรียนได้ไม่นาน ในโรงอาหารจึงยังไม่ค่อยมีคนมากนัก ติณณาวางกระเป๋าผ้าใบใหญ่ของหล่อนไว้บนโต๊ะว่างตัวแรกที่เจอ ถือเป็นการจองที่ วีรชัยเดินไปซื้อน้ำลำไยร้านแรกสุดแล้วจึงเดินมานั่งด้วย

                    “ไอ้น้ำมนต์ยังไม่มาอีกเหรอ ฉันว่าเราเลิกช้าแล้วนะ”  ติณณาบ่นพลางมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนสนิท

                    “นั่นไงล่ะ มาโน่นแล้ว” วีรชัยกรีดนิ้วที่ถือแก้วน้ำลำไยชี้ไปทางกลุ่มนักศึกษาผู้ชายสองสามคนที่ยืนอยู่หน้าโรงอาหาร

                    “ไหน ไม่เห็นเลย” ติณณาร้องถามพลางชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทในกลุ่มนั้น

                    “ไอ้น้ำมนต์ไม่อยู่ในกลุ่มนั้นหรอก แต่ฉันเห็นท่าทางของผู้ชายพวกนั้นแล้ว เดาได้เลยว่า น้ำมนต์กำลังเดินมานี่ชัวร์” วีรชัยฟันธงพลางเขี่ยชิ้นลำไยเข้าปาก ติณณาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง

                    เป็นจริงอย่างที่เพื่อนตุ๊ดของหล่อนว่า กลุ่มนักศึกษาชายกลุ่มนั้นกำลังชี้ชวนกันให้ดูอะไรบางอย่างที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนซึ่งถ้ามองตามไปก็จะเจอกับ ณภัคมนต์ เพื่อนสนิทของติณณากำลังเดินข้ามถนนมา

                    ณภัคมนต์เป็นสาวสวยร่างผอม แต่ทรวดทรงและองเอวไม่ได้มีขนาดผอมตามไปด้วย หญิงสาวมีผิวขาวแทบจะกลืนไปกับแสงอาทิตย์ เรียกว่าถ้าหลงทางกลางภูเขาหิมะคงหาเธอไม่เจอ ผมสั้นซอยประบ่าถูกย้อมด้วยสีส้มเพลิงตัดกับความขาวของใบหน้า ดวงตากลมโตกรีดด้วยดินสอเขียนขอบตาขับให้ขอบตาเด่นชัดขึ้น พวงแก้มขาวตกกระเล็กน้อยระบายด้วยสีชมพูอ่อน ริมฝีปากเล็กบางสีชมพูโอรสกำลังฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นติณณา

                    เพื่อนสาวของติณณาสวมเสื้อนักศึกษาตัวเล็กจิ๋วขับหุ่นอวบอิ่มของหล่อนให้เด่นสะดุดตา แถมท้ายด้วยกระโปรงตัวสั้นอวดเรียวขาขาวชวนให้น้ำลายสอ เธอคลุมไหล่ด้วยผ้าพันคอผืนใหญ่พอจะปูโต๊ะได้ สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็ก ช่างตรงกันข้ามกับติณณาเสียยิ่งกว่า ขาวและดำ

    “โอ่ง!” ณภัคมนต์ร้องขึ้น เดินผ่านกลุ่มนักศึกษาผู้ชายไปโดยไม่สนใจว่า สามหนุ่มนั้นกำลังเล่นมุกถูกศรรักปักอกล้มลงไปต่อหน้าต่อตา

    ติณณาสะดุ้งเมื่อได้ยินเพื่อนเรียกชื่อนั้น  รีบทำตาเขียวใส่

    “เบาๆสิ อย่าตะโกนชื่อฉันกลางโรงอาหารได้มั้ย บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียก ชื่อจริงไปเลย” หล่อนแหวใส่เพื่อน หันซ้ายหันขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน

    “ฉันว่าเก๋ดีนะ ชื่อแปลกๆ คนจำง่ายจะตาย” เพื่อนชายยักไหล่ แต่หญิงสาวไม่เห็นด้วย

    “ประหลาดนะสิ ไม่ว่า ผู้หญิงอะไรชื่อโอ่ง” หล่อนเถียงกลับ

    “งั้นก็เปลี่ยนชื่อไปเลยดิ เหมือนฉันไง ฉันก็ชอบให้คนอื่นเรียก วีวี่ เดี๋ยวฉันช่วยคิดชื่อใหม่ให้ดีมั้ย” เพื่อนชายจีบปากจีบคอขัดกับหน้าตาแมนมาก ณภัคมนต์โบกมือไปมา

    “ชื่อนี้ยายมันตั้งให้ มันไม่เปลี่ยนหรอก” ณภัคมนต์พูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างติณณา

    “ใช่ เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวยายน้อยใจ คราวหลังก็เรียกชื่อจริงแทนละกัน เข้าใจมั้ย น้ำมนต์!” หันไปกำชับเพื่อนสาว ณภัคมนต์หัวเราะคิกคักเอออตอบรับไปก่อน

                    “หาไรมากินดีกว่า ฉันหิวจนจะกินตึกเรียนได้ทั้งตึก” เมื่อนั่งลงสิ่งแรกที่สาวผมส้มทำคือบ่น

                    “ดีเลย อยากกินเชิญไปสั่งค่ะ แต่แกต้องเลี้ยงข้าวพวกฉันนะ เพราะฉันกับติณณาได้เอการแสดงจ้า” วีรชัยปรบมือให้ตัวเอง ณภัคมนต์ทำหน้าเหวอก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้างหันมาทางติณณาที่กำลังแลบลิ้นเขินอยู่

                    “จริงอ่ะ เก่งสุดๆเลยโอ่ง อาจารย์ว่าอะไรบ้างรึเปล่าที่ฉันปรับบทให้วัยรุ่นขึ้นมาหน่อย” ณภัคมนต์ถามเมื่อนึกขึ้นได้ ติณณาส่ายหน้า

                    “ไม่เลยแก อาจารย์ชมด้วยว่าปรับได้เข้ากับยุคดีมาก แถมยังคงความเศร้าอย่างต้นฉบับได้อีก ฝีมือเขียนบทแกนะแหละ” ติณณาลูบแขนเพื่อนด้วยความรัก ณภัคมนต์ยิ้มกว้าง

                    “อาจารย์ชอบก็ดีแล้ว แต่แกเก่งอยู่แล้วล่ะ ต่อให้ไม่เป็นบทฉันแกก็ทำได้ ตามสัญญา มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”

                    “เย้” ติณณาและวีรชัยร้องดีใจขึ้นพร้อมกัน วีรชัยลุกขึ้นยืน

                    “งั้นฉันไปสั่งส้มตำป้าแจ้วก่อนละกัน เดี๋ยวคิวยาว พวกแกเอาอะไร ตำไข่เค็มเหมือนเดิมใช่มั้ย”

                    “คอหมูย่างกับน้ำตก ที่เหลือแกสั่งเลยวีวี่” ณภัคมนต์โบกมือให้เพื่อนก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปร้านขายน้ำปั่น

                    ติณณาเลื่อนกระเป๋าไปด้านข้าง จัดการโต๊ะให้ว่างสำหรับวางอาหารแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ หล่อนลืมหนังสือมัทนะพาธาฉบับต้นฉบับที่จะต้องนำไปคืนห้องสมุดวันนี้ไว้ที่ห้องเรียน

                    “เฮ้ย แก เดี๋ยวฉันมานะ ลืมของไว้ที่ห้อง” หล่อนร้องบอกเพื่อนสาว แล้วรีบวิ่งออกไปทันที ณภัคมนต์หันมาทำหน้างง ได้แต่ส่ายหน้าให้ความขี้ลืมของเพื่อนสนิท

                    ระยะทางจากโรงอาหารมาถึงห้องเรียนการแสดงไม่ไกลมาก ติณณาวิ่งแค่ห้านาทีก็ถึง จนเมื่อเข้ามามาในตัวอาคาร หล่อนก็เปลี่ยนเป็นเดินช้าๆด้วยกลัวว่าเสียงรองเท้าจะส่งเสียงดังก้องระหว่างเดินอาจจะรบกวนสมาธิของเพื่อนคนอื่นที่กำลังเรียนอยู่ จนเมื่อถึงห้องเรียน หล่อนจึงเห็นอาจารย์ทิพวรรณเพิ่งจะวางหูโทรศัพท์

                    “สวัสดีค่ะอาจารย์ หนูลืมของไว้ในห้องค่ะ” หล่อนยกมือขึ้นไหว้อาจารย์  ทิพวรรณหันมาเห็นพร้อมยิ้มกว้าง

                    “อ๋อ ครูเห็นแล้วจ๊ะ หนังสือนี่ใช่มั้ย” อาจารย์สาวหันไปหยิบหนังสือมัทนะพาธาจากโต๊ะอาจารย์มายื่นให้

                    “ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์” ติณณายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนจะรับหนังสือไว้

                    “ไม่เป็นไรจ๊ะ เออนี่ ติณณา เธอเคยแคสติ้งนักแสดงละครบ้างมั้ย” ทิพวรรณถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะหมุนตัวกลับ

                    ติณณาหูพึ่งขึ้นมาทันที มีปฏิกิริยาทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “แคสติ้ง”

                    “เออ ก็เคยบ้างค่ะ” ไม่อยากจะบอกว่าบ่อยแค่ไหน เอาเป็นว่าถ้าสมมุติว่าไปแคสติ้งทุกครั้งได้เงินมาครั้งละหนึ่งบาท ตอนนี้หล่อนคงกินซูชิมื้อใหญ่ได้หนึ่งมื้อ    

                    “เหรอจ๊ะ ดีเลย” ทิพวรรรณหันไปจดรายละเอียดบางอย่างใส่เศษกระดาษแล้วส่งมาให้หล่อน ติณณาก้มลงมอง เป็นเบอร์โทรศัพท์ของคนชื่อ “เจ๊จวง”

                    “เจ๊จวงเขาเป็นรุ่นพี่อาจารย์เอง เขาเพิ่งเปิดโมเดลลิ่งได้มานาน กำลังตามหานักแสดงละครเรื่องใหม่อยู่ ติณณาลองไปแคสติ้งดูสิจ๊ะ มีฝีมืออย่างเธอ เจ๊จวงต้องเห็นแววแน่ๆ” ติณณาแววตาเป็นประกาย ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณอาจารย์สาว

                    “ขอบคุณมากเลยค่ะ อาจารย์ พรุ่งนี้หนูจะโทรหาพี่เขาเลยนะคะ” ทิพวรรณยิ้มกว้างที่เห็นหล่อนดีใจขนาดนี้ จับไหล่หล่อนไว้อย่างเอ็นดู

                    “ทุกครั้งที่เห็นเธอ อาจารย์เห็นตัวเองตอนกำลังอายุเท่าเธอ มีความฝัน มีไฟที่จะทำตามความฝัน เธอเป็นเด็กมีพรสวรรค์ ขยันและตั้งใจมาก อาจารย์อยากให้เธอได้เป็นนักแสดงอย่างที่เธอฝันนะ อาจารย์เอาใจช่วย” เมื่อทิพวรรณพูดจบ หล่อนก็โผเข้ากอดอาจารย์สาว ไม่มีอะไรมีค่าเกินไปกว่า คำอวยพรจากคนที่เราทั้งรักและเคารพ แค่นี้ก็ทำให้หัวใจของหล่อนพองโตแล้ว

    --------------------

    “ไปแคสติ้ง” วีรชัยและณภัคมนต์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

    “อีกแล้วเหรอ” วีรชัยต่อให้

    “แกนี่ไม่เข็ดรึไง” ณภัคมนต์พูดต่อ

    “โอ้ย มันเคยเข็ดอะไรบ้าง ความพยายามเป็นเลิศค่ะ นี่ถ้าเอาความพยายามนี้มาปีนภูเขา ตอนนี้คงถึงยอดเอเวอร์เรสไปแล้ว” วีรชัยหัวเราะเสียงดัง

    “วีวี่ อย่าไปพูดอย่างนั้นสิ เพื่อนก็แค่แคสติ้งไปร้อยหกสิบแปดครั้ง แห้วหมดทุกครั้งเอง” พูดจบสองเพื่อนต่างเพศก็หัวเราะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนใจสีหน้าบูดบึ้งของคนโดนพาดพิง

    “ร้อยหกสิบเก้าครั้งต่างหาก” ติณณาค้านด้วยเสียงแผ่วเบา ณภัคมนต์และวีรชัยหยุดกึก ก่อนจะหัวเราะดังสนั่นกว่าคราวแรก

    “ฉันไม่เข้าใจ ฉันเองก็เล่นละครดีนะ วิชาการแสดงฉันก็ได้เอทุกเทอม ทำไมฉันถึงไม่ได้รับเลือก” หล่อนบ่นพลางดูดน้ำกระเจี๊ยบเรียกความชื่นใจ

    “ก็ยังไงดีล่ะ ความสามารถไม่ใช่คุณสมบัติเดียวของการเป็นนักแสดงนี่” ณภัคมนต์ตอบก่อนจะปรายตามองคนฟัง

    “หือ?” ติณณาขมวดคิ้วทันที

    “ฉันไม่กล้าพูดว่ะ วีวี่ กลัวจะแรงเกิน เอาเบาๆนะ” ณภัคมนต์ใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนชายข้างตัว

    “แกไม่สวยไง” วีรชัยพูดหน้าตาเฉย ทำเอาณภัคมนต์หันขวับไปมองในทันที แล้วกระซิบลอดไรฟันออกไป “บอกว่าเบาๆ”

    “จริงๆก็ไม่ขนาดนั้น ฉันก็พูดแรงไป”  วีรชัยรีบออกตัวเมื่อเห็นเพื่อนสาวตกใจมองตาค้าง

    “แกก็แค่ดำ” ณภัคมนต์หันขวับมาอีกครั้ง แต่เพื่อนชายหัวใจสาวยังไม่รู้ตัว ยังพูดต่อ

     “อกฟีบ ตูดแฟ่บ แต่มันก็ไม่เท่าไหร่ ฉันว่าปัญหามันอยู่ที่ความสูงของแก แกเตี้ยไปนิด หน้าบานไปหน่อย ไม่ค่อยขึ้นกล้อง หน้าเรียบไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีอะไรดึงดูด มีดีหน่อยตรงจมูกแกโด่งสวยนะ ปากก็รูปกระจับ แต่ที่เหลือก็มีข้อตินิดๆหน่อยๆ”

    “เอ่อ ฉันว่าปัญหามันไม่นิดแล้วนะ”  ติณณาทำหน้าไม่เชื่อ ณภัคมนต์ส่งสายตาเตือนสติเพื่อนชาย วีรชัยจึงหยุดพูด ดูดน้ำต่อ

     “นี่หน้าตาฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” คราวนี้คนฟังเริ่มกินไม่ลง วางช้อนส้อมลงบนโต๊ะทันที

    “ไม่แย่ๆ ไม่แย่หรอก” ณภัคมนต์และวีรชัยรีบปฏิเสธพัลวัน

    “ก็แค่หน้าจืด จืดไปหน่อย” วีรชัยยังคงไม่หยุด หันไปถามสาวผมส้ม  “ฉันเคยบอกว่าหน้าไอ้โอ่งมันเหมือนอะไรนะ น้ำมนต์”

    ณภัคมนต์หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูด ก่อนจะตอบแผ่วเบา

    “เหมือนเต้าหู้ทอดไร้น้ำจิ้ม” ณภัคมนต์ต่อให้ด้วยความไม่เต็มใจนัก

    “ใช่ เต้าหู้ทอด อาหารไม่กี่ชนิดที่ต้องมีน้ำจิ้ม ไม่มีแล้วชีวิตจบ นั่นแหละ หน้าแกเป็นแบบนั้น ไอ้โอ่ง” วีรชัยทำเหมือนกับว่าสิ่งที่เพิ่งพูดไปมันทำให้อะไรดีขึ้นอย่างนั้นแหละ

    “แล้วฉันต้องทำยังไง ฉันไม่มีเงินศัลยกรรมหรอกนะ” เห็นได้ชัดว่า วีรชัยได้ฝากรอยแผลครั้งใหม่ในจิตใจของหล่อนเรียบร้อยแล้ว ณภัคมนต์กำลังจะปลอบเพื่อน หากแต่เพื่อนชายข้างตัวก็เกิดปากไว้ขึ้นมากะทันหัน

    “ตายซะ แล้วเกิดใหม่” วีรชัยยังพูดหน้าตายเช่นเดิม คราวนี้ณภัคมนต์หันมาจ้องด้วยสายตาจะกินเลือดอย่างเปิดเผย แล้วจิ้มคอหมูย่างชิ้นโตยัดใส่ปากเพื่อนไป

    “กินเข้าไป ปากจะได้ไม่ว่าง” ณภัคมนต์หันมาทางติณณาที่ทำหน้าเหมือนคนเป็นโรคประสาทไปแล้ว

    “แกไม่แย่ขนาดนั้นหรอก แกสวยในแบบของแกนะโอ่ง” ติณณาหันมาจ้องหน้าเพื่อนคนสวย ณภัคมนต์ทำหน้ามุ่งมั่น

    “แกสวยจริงๆนะ โอ่ง จำได้มั้ย ตอนแก ป.5 พวกผู้ชายหลังห้องต่อยกันเพื่อจะได้ยืมยางลบแก” สาวผมส้มพยายามส่งสายตากระตุ้นความเชื่อมั่นมาให้ ติณณาเพิ่งนึกเรื่องนั้นออก อ้าปากค้างตกใจ เริ่มจะเห็นด้วยกับเพื่อนสาว

    “ตอน ม.1 ก็มีรุ่นพี่มาแปะสติ๊กเกอร์หัวใจให้แกวันวาเลนไทน์ แกจำได้มั้ย คนไม่สวย ไม่มีผู้ชายมาสนใจหรอกนะเว้ย” คำปลอบของณภัคมนต์ใช้ได้ผลเสมอ ประกายตาของติณณากลับมาสดใสเหมือนดังเดิม

    “และนั่นเป็นครั้งสุดท้าย” วีรชัยที่เคี้ยวคอหมูย่างหมดแล้วพูดต่อ

    คราวนี้ณภัคมนต์คว้าใบโหระพายัดใส่ปากเพื่อนอย่างรวดเร็ว

    “ถ้ามีครั้งต่อไปฉันจะยัดรองเท้าเข้าปากแก” ณภัคมนต์ขู่ ก่อนจะหันมาปลอบติณณาที่กลับเข้ามาสู่โหมดประสาทกินอีกครั้ง

    “วีวี่พูดถูก ฉันไม่สวยจริงๆด้วย ถึงได้ไม่มีใครสนใจ แถมยังจะไม่ได้เป็นนักแสดงอีก” คราวนี้หล่อนฟุบหน้าลงบนโต๊ะในทันที ร้อนถึงณภัคมนต์ต้องกัดริมฝีปากครุ่นคิด ลูบหลังเพื่อนแผ่วเบา

    “ไอ้โอ่ง แกจะปล่อยให้ปากสุนัขของคนอื่นมาตัดสินชีวิตแกเองทำไมวะ”  วีรชัยค้อนขวับเมื่อตัวเองถูกพาดพิงถึง

    “เรื่องการแสดง มันอาจจะเพราะไม่มีบทที่เหมาะกับแก แกเลยไม่ได้รับเลือก มันไม่ได้หมายความว่าแกไม่สวยหรอกนะ” ณภัคมนต์โน้มน้าวจิตใจเก่งเป็นที่หนึ่ง  ติณณาเงยหน้าขึ้นมาทำตาละห้อย

                    “ถ้าฉันสวยจริงๆ ทำไมไม่มีผู้ชายมาจีบฉันเลยล่ะ” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพื่อนสาวรีบลูบหัวด้วยความเอ็นดู

                    “แกเป็นคนสวยนะ เชื่อฉันสิ ฉันว่าต้องมีผู้ชายแอบชอบแกอยู่มากเลย แต่เขาแค่ไม่กล้าบอกแก เราแค่ต้องรอเวลา ถ้าวันนึงคนๆนั้นปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ เชื่อเถอะว่าเขาจะเป็นคนดีสมกับที่แกรอมานาน ใช่มั้ยวีวี่” ณภัคมนต์หันไปทำตาเขียวใส่ บังคับให้เพื่อนชายพยักหน้า  วีรชัยที่กลืนใบโหระพาลงท้องไปหมดแล้วพยักหน้ารัวๆ

    “ใช่ๆ ดูอย่างแก้วหน้าม้าสิ ยังได้แต่งงานกับเจ้าชายเลย” คาดว่านี่คือคำปลอบที่ดีที่สุดสำหรับตุ๊ดปากไวคนนี้

    “แต่นั่นเขาถอดรูปม้าออกแล้วสวยนะ” หล่อนเถียงออกไป

    “เดี๋ยวแกก็ถอดหัวออกสิ เผื่อจะดีขึ้น” พูดจบ เพื่อนชายก็หัวเราะรัว ณภัคมนต์ปาข้าวเหนียวทั้งก้อนใส่หน้าเพื่อนฝั่งตรงข้ามไป

    “คราวนี้ถ้าอุดปากทำให้แกเงียบไม่ได้ ก็อุดจมูกตายไปเลยไป” ตามด้วยคำด่าต่อท้าย

    “โอ่งไม่ต้องไปสนใจไอ้วีวี่นะ มันปากแมวไปอย่างนั้นเอง ฉันว่าต้องมีคนแอบชอบแกอยู่แน่ๆ เชื่อฉันสิ ฉันรับรู้ได้” ณภัคมนต์ลูบแขนเพื่อนปลอบใจ

    “แกรู้ได้ยังไงน้ำมนต์” ติณณาหันมาถามอย่างสนใจใครรู้ ณภัคมนต์กระพริบตาสองสามที เรียกสติ

    “เอ่อ ฉันเดาอ่ะ บางทีฉันเดินกับแก ฉันก็เห็นผู้ชายมองตามแกกันใหญ่” วีรชัยหัวเราะเมื่อณภัคมนต์พูดจบ

    “เหรอ แต่แกบอกฉันแบบนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วนะ ไม่เห็นจะมีใครมาจีบฉันเลย” ติณณาห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที ณภัคมนต์รีบพูดขึ้นเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ

    “เขาอาจจะเขินๆกันก็ได้ แหมแก เวลามีใครมาแอบชอบเรา ตัวเราเองไม่รู้ตัวหรอก แต่คนนอกอย่างพวกฉันนะดูออก” ณภัคมนต์รีบหาพวกทันทีด้วยการหันไปพยักหน้ากับวีรชัย

    “อย่าลากฉันไปเกี่ยว ขอร้อง” วีรชัยขมุบขมิบปากส่งมาให้ ณภัคมนต์จึงเม้มริมฝีปากมองหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

    แล้วเธอก็เจอ เด็กหนุ่มรุ่นน้องโต๊ะถัดไปที่กำลังชะเง้อมองณภัคมนต์อย่างสนใจ สาวผมส้มคิดว่านี่เป็นโอกาสดี เธอสะกิดติณณาให้หันไปมอง

    “ดูอย่างรุ่นน้องคนนั้นสิ เขามองแกมาตั้งนานแล้วนะ ชัดเลย ฉันว่าเขาต้องสนใจแกแน่เลย” ณภัคมนต์พูดพลางพยักหน้า ติณณาหันไปมอง เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องส่งยิ้มกลับมาให้ หญิงสาวเกิดอาการหน้าแดงกะทันหัน รีบหันกลับมาก้มหน้ามองโต๊ะด้วยความเขินอาย

    “ฉันว่า เขามองแกนะ” วีรชัยขมุบขมิบปากส่งเสียงลอดไรฟันออกมาบอกณภัคมนต์ แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นไม่สนใจ

    “วิธีดูว่าผู้ชายคนนั้นเขาชอบเรามั้ย ก็แค่สังเกตว่า เขามองหน้าเราบ่อยๆรึเปล่า ก็แค่นั้นเอง” ณภัคมนต์ปลอบใจเพื่อนไปอีกประโยค ติณณาสบายใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีและกินอาหารต่อ

    โดยไม่สังเกตสายตาของวีรชัยที่กลอกตามองฟ้า กับณภัคมนต์ที่กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×