ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กฤติกา มายารัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 72
      0
      28 ก.ค. 57

    แสงแดดยามบ่ายไม่เคยปราณีใคร แม้จะเป็นช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงหน้าฝน ประเทศนี้ไม่เคยแน่นอนในเรื่องสภาพอากาศ ตอนเช้า ท้องฟ้าอาจจะมืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆฝนปกคลุมทั่วทั้งเมือง หากแต่ช่วงเที่ยงสภาพอากาศกลับแปรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมาแทน เมฆครึ้มที่คอยบดบังแสงอาทิตย์หายราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แสงแดดส่องลงมาแผ่กระจายความร้อนในทุกอย่างที่มันสัมผัสถึง แน่นอนว่าย่อมโดนชั้นผิวหนังของคนด้วย

                    ติณณาปาดเหงื่อ ถอนหายในโล่งอกเมื่อมาถึงอาคารพาณิชย์สูงแปดชั้น อันเป็นที่ตั้งของสตูดิโอถ่ายทำละครหลายเรื่องและเป็นบริษัทโมเดลลิ่งจัดหาดาราหน้าใหม่ในเวลาเดียวกัน สบายใจที่มาถึงที่นัดในเวลาที่กำหนด มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที แต่หล่อนก็อยากจะไปก่อนเวลา แสดงความรับผิดชอบเสียหน่อย

                    “ดีนะที่มาถึงเร็ว แกอยากเข้าห้องน้ำก่อนมั้ย น้ำ” ติณณาหันไปถามเพื่อนสนิท แต่ก็ต้องประหลาดในเมื่อพบว่าเพื่อนที่เดินตามมาด้วยหายตัวไปแล้ว หันซ้ายหันขวา จึงเห็นว่า ณภัคมนต์ ยืนเช็ดเหงื่ออยู่ใต้ต้นมะขามข้างลานจอดรถ

                    “อ้าว มาทำอะไรตรงนี้” หล่อนเดินมาถามเพื่อนที่หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กขึ้นมาพัดหน้าให้หายร้อน

                    “ใครจะไปยืนกลางแดดเหมือนแกได้ ดำตายกันพอดี” ณภัคมนต์ผู้บูชาความขาวเป็นที่หนึ่งกล่าวพลางหยิบกระดาษซับมันขึ้นมาซับหน้าตัวเอง

                    “เข้าไปข้างในกันเถอะ จะได้หายร้อน” หล่อนดึงแขนเพื่อน ณภัคมนต์รั้งไว้

                    “เดี๋ยวขอตบแป้งก่อน” ณภัคมนต์ร้องบอก หากแต่หล่อนไมได้สนใจฟัง “เข้าไปตบข้างในเถอะน่า” หล่อนหันไปบอก แล้วลากมือเพื่อนเข้าไปในอาคารจนได้

                    เมื่อมาถึงบริเวณ โถงรับแขกด้านหน้า ติณณาก็เดินเข้าไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ แจ้งว่านัดกับเจ๊จวงไว้ตอนบ่ายโมง ผู้หญิงที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์รับเรื่องไว้ แล้วจึงโทรขึ้นไปบอกเจ๊จวงก่อนจะหันมาบอกหล่อนให้นั่งรอสักครู่ 

                    วันนี้หล่อนแต่งกายด้วยกระโปรงยาวลายสก๊อตสีน้ำตาลสลับเขียว เสื้อแขนกุดสีขาว คาดที่คาดผมสีน้ำตาลเข้มและทาแป้งพร้อมปัดแก้มสีชมพูอ่อน สะพายกระเป๋าหนังสั่งตัดสีส้มเข้ม นี่ถือว่าเป็นชุดที่สวยที่สุดสำหรับหล่อนแล้ว แตกต่างกับชุดธรรมดาของณภัคมนต์ เพราะรายนั้นใส่กางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามสีเทา คลุมทับด้วยเสื้อสีดำตัวใหญ่คอปาดทำให้เห็นเสื้อกล้ามโผล่ออกมาเล็กน้อย สวมหมวกแก๊บใบหน้าปิดหน้าปิดตาป้องกันแสงแดด แต่งหน้า “แบบเบาเบา” ของณภัคมนต์คือ กรีดอายไลเนอร์สีดำรอบขอบตา ชี้หางขึ้นสี่สิบห้าองศา ปัดมาสคาร่าที่ขนตาแล้วแปะขนตาปลอมทับลงไปอีก ปัดแก้มสีชมพูเข้ม ทาปากด้วยสีส้มสด จัดเต็มกว่า ชุดสวยที่สุดของติณณาเสียอีก

                    “แก ฉันไปห้องน้ำแป๊บนะ มาสคาร่าเลอะเต็มหน้าเลย” ณภัคมนต์ที่เพิ่งสังเกตเห็นหน้าตัวเองในกระจกหันมาบอก ไม่ต้องรอฟังคำตอบจากติณณา สาวผมส้มก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดไป ติณณาได้แต่มองตามขำๆ

                    หล่อนหันมองรอบตัว จนเมื่อเห็นโซฟายาวบุนวมสีเขียวแก่ตั้งอยู่ริมห้อง จึงเดินเข้าไปหมายจะนั่งไม่ทันสังเกตว่า กำลังมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาทางหล่อน

                    ติณณาตัดผ่านหน้า ผู้หญิงวัยกลางคน คนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หล่อนหันมายกมือขึ้นขอโทษที่เกือบจะชนเธอเข้าให้แล้ว

                    “อุ้ย ขอโทษค่ะ” หล่อนหันหน้าไปมอง

                    ผู้หญิงคนนั้นรวบผมสูงม้วนไว้อย่างประณีต ประดับด้วยกิ๊บติดผมรูปนก แม้อายุน่าจะมากกว่าติณณาสักสามสิบปี แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่ายังดูดีอยู่มาก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสั่งตัด เสื้อแขนยาวเนื้อผ้าซีทรู มองเห็นเสื้อสายเดี่ยวสีขาวที่อยู่ด้านใน กางเกงผ้ายาวสีดำ แขนข้างขวาถือกระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดังระดับโลก ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ริมฝีปากบางทาลิปสติกสีแดงเลือดหมูนิ่งสนิท หากแต่แววตาที่เหมือนจะมองทะลุหล่อนไปทั้งร่างกลับเบิกตากว้าง

                    “ขอโทษด้วยนะคะ” หล่อนกล่าวขอโทษอีกครั้ง เมื่อหญิงสูงอายุคนนั้นจ้องหล่อนตาไม่กระพริบ ติณณาคิดในใจว่า นี่ขนาดหล่อนยังไม่ได้แตะต้องตัวเขา เขายังจ้องขนาดนี้ นี่ถ้าเผลอชนไป มีหวังโดนตบเป็นนางเอกละครแน่ๆ

                    “คุณปัทมาคะ เจ๊จวงบอกว่า ให้ขึ้นไปรอที่ห้องประชุมได้เลยค่ะ” สาวประชาสัมพันธ์เดินมากล่าวกับผู้หญิงคนนั้นอย่างนอบน้อม ติณณาเพิ่งเห็นว่า ด้านหลังยังมีคนติดตามเป็น ผู้หญิงร่างเล็ก อายุน่าจะมากกว่าหล่อนไม่กี่สิบปี มัดผมรวมตึงทรงหางม้า หันกลับไปพยักหน้าให้ประชาสัมพันธ์สาว

    “ขอบใจ” หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า คุณปัทมา กล่าวด้วยยังมองมาที่ติณณาไม่วางตา ถูกจ้องขนาดนั้นหล่อนจึงทำอะไรไม่ถูก นอกจากจะก้มหน้าลงมองพื้น

    ปัทมาเดินผ่านหล่อนไปด้วยมาดระดับคุณหญิง และแม้ว่าเจ้าตัวจะก้าวเข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้ว แต่อานุภาพของสายตาเจ้าหล่อนยังส่งมาถึงตัวติณณาได้ทุกอณู หล่อนรู้สึกขนลุกซู่ แม้ว่าประตูลิฟต์จะปิดลงแล้วก็ตามที

    “เฮ้ย แกเป็นไร ตัวสั่นเชียว” ณภัคมนต์ที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำ ถามพลางเก็บแป้งพัฟลงกระเป๋า ติณณากำลังจะบอกเพื่อนรัก หากแต่เสียงหวานจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

    “น้องที่จะมาแคสติ้งใช่มั้ยคะ เชิญชั้น 6 เลยค่ะ” ณภัคมนต์และติณณาหันไปขอบคุณ ก่อนจะมองหน้ากันเดินไปกดลิฟต์ขึ้นชั้น 6 อย่างรวดเร็ว

    ภายในห้องสตูดิโอสำหรับแคสติ้งนักแสดงละครครั้งนี้ก็เหมือนกับที่อื่นๆ ภายในห้องเป็นห้องโล่งสีขาว ติดกระจกรอบทิศทาง มีเก้าอี้วางอยู่สิบกว่าตัวริมพนังด้านหนึ่ง หล่อนเข้าใจว่าตนเองมาเร็วกว่าคนอื่นแล้ว หากแต่ในห้องกลับเต็มไปด้วยคนที่มาก่อน เมื่อทั้งสองเดินเข้าไป จึงพบกับสายตาคนทั้งสิบที่หันมามองหล่อนเป็นตาเดียวกลืนน้ำลายลงคอดังอึก กลัวเหลือเกินว่าเสียงหายใจของหล่อนจะดังจนทำลายความเงียบในห้องนี้ได้ โชคดีที่เหลือที่นั่งสองตัวสุดท้ายอยู่หลังสุดพอดี

    “โอ้โห แต่ละคน ดูมีของทั้งนั้นเลยนะ” ณภัคมนต์กระซิบเมื่อทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ ติณณาลอบมองสังเกตการณ์คู่แข่งที่มาแคสติ้งด้วยแล้วก็อดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้

    “เฮ้ย แกนั่นมันยัยฟาง ดาวคณะแกไม่ใช่เหรอ” ณภัคมนต์ชี้ไปยัง ผู้หญิงร่างเล็กผมดัดสีน้ำตาลบลอนด์คนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าสุด หล่อนชะเง้อมองแล้วหันมาพยักหน้า

    “ใช่ ที่เคยทะเลาะกับฉันแย่งบทจูเลียตกันไง” หล่อนกระซิบบอกเพื่อนสาว ณภัคมนต์ตกใจ

    “จริงดิ! แล้วใครได้บทนั้นไป”

    “ยายนั่นไง” ติณณาตอบเซ็งๆ ณภัคมนต์ส่ายหน้า “ว่าแล้วเชียว”

    “แต่ครั้งนี้ฉันไม่ยอมหรอก ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ฝึกซ้อมมากพอ ฉันมั่นใจมากว่าครั้งนี้ฉันเก่งขึ้นเยอะ” ติณณากำหมัดขึ้น ณภัคมนต์ชูหมัดขึ้นตาม

    “สู้ๆ” สองเพื่อนสาวมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ติณณาหันไปมอง ฟาง คู่ปรับเก่าอีกครั้ง ฟางเป็นสาวร่างบางหน้าตาสวยโดยที่ไม่ต้องแต่งหน้า แม้ความสวยหล่อนจะยอมถอดใจยกธงขาวไปแล้ว แต่เรื่องความสามารถหล่อนขอสู้สุดใจขาดดิ้น

    “สวัสดีค่ะ ทุกคน” ผู้ชายร่างท้วมอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาตัดผมสั้นไถข้างซ้ายเพียงข้างเดียว ใส่ต่างหูข้างซ้ายข้างเดียว สวมเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่มีผ้าคลุมสีดำพาอยู่บนบ่าซ้ายแลดูคล้ายผ้าขาวม้าของผู้ใหญ่บ้าน แต่ณภัคมนต์บอกว่ามันเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง สวมแหวนรูปหัวกะโหลกขนาดใหญ่ทุกนิ้วข้างซ้าย เห็นดังนั้นแล้ว ติณณาชักจะรู้สึกหนักซ้ายแทนคนตรงหน้า

    “เจ๊ชื่อ เจ๊จวงนะคะ เป็นเจ้าของโมเดลลิ่งแห่งนี้ อย่างที่ทุกคนทราบ ตอนนี้เจ๊กำลังมองหานางเอกอยู่ ให้ละครเรื่องใหม่อยู่ค่ะ เรื่องราวจะเศร้าๆคล้ายๆคู่กรรมยังไงอย่างนั้นเลยค่ะ เจ๊ก็เลยอยากจะให้น้องๆทุกคนลองเล่นละครดู ซึ่งเจ๊จะอัดวีดิโอไว้ คนไหนไม่ได้รับคัดเลือกก็อย่าเสียใจ เจ๊จะเก็บวีดิโอนี้ไว้ เผื่อมีละครเรื่องอื่นทื่พวกหนูสามารถเล่นได้ เจ๊จะติดต่อไปใหม่” พูดถึงตรงนี้ เจ๊จวงก็ผายมือไปยังกล้องวีดิโอและช่างกล้องที่ยืนอยู่อีกด้านของห้อง

    “ทุกคนใส่มาเต็มที่เลยนะคะ อย่ายั้งค่ะ ใส่มาให้เต็มแม๊ก เจ๊เชื่อค่ะ ว่าทุกคนมีพลังอยู่ข้างใน ปล่อยออกมาค่ะ ปล่อยออกมา” เจ๊จวงสะบัดมือ เรียกพลังและลมปราณออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ณภัคมนต์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจในท่าทางเหล่านั้น แต่ติณณากลับรู้สึกหึกเฮิมขึ้นมา

    “ขั้นแรกนะคะ เดี๋ยวเจ๊จะเรียกชื่อทีละคน ให้น้องๆออกมาแสดงบทละครเรื่องคู่กรรมก็ได้ค่ะ ทุกคนคงรู้จักกันดี เอาฉากที่อังศุมาลินตามหาโกโบริ แล้วเจอศพ เอ้ย เดี๋ยวๆ ยังไม่ตายนี่หว่า เจอร่างของโกโบริกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นอังศุมาลินรู้สึกยังไง พูดอะไร แสดงออกมาเลยค่ะ อิมโพรไวซ์เต็มที่เลยนะค้า” เจ๊จวงยังคงปลุกกำลังใจต่อ ติณณารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

    การอิมโพรไวซ์ที่เจ๊จวงพูดถึง คือ การด้นสด เป็นภาษาที่ใช้สำหรับแสดง โดยเป็นสัญญาณที่บอกให้นักแสดง แสดงไปตามอารมณ์ของตัวละครและบทบาทที่คิดว่าจะเป็นโดยไร้บท ถือเป็นการทดสอบไหวพริบและทักษะของนักแสดงเป็นอย่างมาก

    ผู้เข้าร่วมแคสติ้งคนแรกเริ่มต้นด้วยการวิ่งร้องไห้ตามหาโกโบริ แต่น้ำตากลับไม่ไหลสักหยด เจ๊จวงได้แต่ปรบมือแล้วเชิญกลับไปนั่งที่ หลังจากนั้น คนอื่นจึงทยอยออกมาแสดงทีละคน ณภัคมนต์หันมากระซิบกับหล่อน

    “โจทย์หินโคตร แกไหวเหรอวะ” เพื่อนสาวดูจะเป็นห่วงหล่อนมาก เพราะนี่เป็นการแสดงคนเดียว ทุกอย่างสมมติเองหมด ไม่มีบท ไม่มีฉาก ไม่มีอะไรทั้งนั้น ติณณายิ้มกว้าง

    “เดี๋ยวแกดูฉันละกัน” รอยยิ้มมั่นใจของติณณาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความทะนงตัวหรือมั่นใจในฝีมือตัวเอง แต่หล่อนมั่นใจในความตั้งใจของตัวเอง และคิดว่า ถ้าทำเต็มที่ ทุกอย่างจะต้องออกมาดี

    “ถึงคิวยายฟางแล้ว” ณภัคมนต์สะกิดบอก

    ฟางยืนทำสมาธิอยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตรงกลางห้อง

    “โกโบริ โกโบริอยู่ที่ไหน โกโบริ” เสียงของฟางสงบแน่นิ่งไม่มีอารมณ์แทรกอยู่ในบทพูดแม้แต่น้อย แม้หน้าตาของเธอจะพยายามตีหน้าเศร้า แต่สังเกตว่าเธอก็หมั่นยกนิ้วขึ้นปาดไรผม สะบัดผมอย่างสวยงาม หรือแม้แต่จะหมุนตัวแต่ละทีก็ดูราวจะเต้นระบำกลางสวนดอกไม้มากกว่าจะเป็นสนามรบ

    “อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว โกโบริ โกโบริ” ฟางยังคงใช้เสียงโทนเดิม มีดัดเพิ่มความน่ารักขึ้นมาเล็กน้อย ติณณาและณภัคมนต์ย่นคิ้วด้วยกันทั้งคู่

    “อังศุมาลินเวอร์ชั่นไหนวะ” หล่อนร้องถาม ไม่แน่ใจนักว่าเจ้าหล่อนรู้จักเรื่องคู่กรรมจริงรึเปล่า

    “นี่ฉันดูคู่กรรม หรือ Alice in Wonderland วะเนี่ย” ณภัคมนต์ถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่า ฟางจงใจหมุนตัวให้กระโปรงสยายเป็นวงสวยงาม

    ฟางนั่งลงกับพื้นพยายามจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา แม้กระนั่นคุณเธอยังอุตส่าห์ปัดผมตัวเองให้มาอยู่ด้านหน้าเพื่อความสวยงาม

    “โกโบริ อย่าทิ้งฉันไป ไม่นะ โกโบริ อย่าตายนะ โกโบริ!!” แล้วคุณเธอก็กรีดร้องแสบแก้วหู ทำเอาคนทั้งห้องต้องพากันปิดหูจ้าละหวั่น ติณณาทำหน้าเหยเก ณภัคมนต์งงงวยเป็นอย่างมาก

    “อ้าว ตายซะแล้วเหรอ เพิ่งเจอเองนะ แล้วไม่ไปรอที่ทางช้างเผือกแล้วเหรอ” เพื่อนสาวรัวคำถามไม่หยุดเมื่อเห็นการแสดงที่ไม่เข้าใจ ติณณาไม่ตอบอะไร

    “เอ่อ บราโว ดีมากเลยจ๊ะ แสดงได้ดีมากเลยนะ คือแบบ ดูอินอ่ะ” เจ๊จวงก็ดูท่าจะจนปัญญาจะพูดอะไรต่อ ฟางลุกขึ้นยืนยิ้มเขินๆแล้วเดินไปนั่ง เจ๊จวงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อแล้วหันมามองทางติณณาและณภัคมนต์

    “หนูติณณาใช่มั้ยจ๊ะ คนสุดท้ายแล้ว เชิญเลยจ๊ะ” เจ๊จวงยิ้มกว้าง เรียกชื่อติณณาแต่กลับมองไปทางณภัคมนต์ ณภัคมนต์ผงะไปทันที ติณณาจึงลุกขึ้นยิ้มแห้งๆ

    “เอ่อ หนูเองค่ะ ติณณา” รอยยิ้มของเจ๊จวงหุบลงอย่างรวดเร็ว

    “อ๋อจ๊ะ เอ่อ แล้วหนูที่นั่งอยู่ข้างๆจะแคสติ้งด้วยมั้ยจ๊ะ” กระนั้นก็ยังจะพยายามยื่นข้อเสนอให้ณภัคมนต์ที่เป็นสาวสวย ซึ่งเพื่อนสาวของหล่อนก็รีบปฏิเสธแทบไม่ทัน

    ติณณาทำสมาธิเพียงแค่หนึ่งนาที หล่อนหลับตานิ่ง วางแผนทุกอย่างไว้ในหัว ฉากนี้อังศุมาลินกำลังตามหาคนรักท่ามกลางซากสงคราม เสียงปืนและเสียงระเบิดยังดังอยู่ไม่ห่างมากนัก ซากศพตายเกลื่อนกลาด เหล่าทหารญี่ปุ่นวิ่งไปมาประคองผู้บาดเจ็บผ่านหน้าไป เมื่อลืมตาขึ้น ติณณาก็มองเห็นสนามรบอยู่ตรงหน้า

    “โกโบริ โกโบริอยู่ไหน” หล่อนหน้าตาตื่นวิ่งไปมา มองซ้ายมองขวา พยายามมองศพที่อยู่ใกล้ว่ามีใครหน้าตาเหมือนชายหนุ่มที่หล่อนตามหาอยู่หรือไม่ ควันไฟจากระเบิดลอยคละคลุ้งอยู่ไม่ไกล หล่อนสำลักเขม่าควัน แต่ก็ยังคงประคองตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปข้างหน้า

    “โกโบริ โกโบริอยู่ที่ไหน” หล่อนตะโกนก้อง พลันความคิดอย่างหนึ่งก็แวบขึ้นมา ความสูญเสียที่ได้เห็น เสียงร้องไห้ดังระงมรอบตัว หากชายที่หล่อนรักเป็นหนึ่งในซากศพนั้นล่ะ หากเขากำลังจะจากหล่อนไปโดยที่หล่อนยังไม่ได้บอกความรู้สึกกับเขา ถ้าหากว่าเรื่องเศร้านี้เกิดขึ้นกับหล่อน

    แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลร่วงลงมาทั้งที่สมองยังไม่ได้สั่งการ อังศุมาลินในร่างของติณณาปาดน้ำตาเนื่องด้วยเกะกะและขวางทางการมองหาชายคนรักยิ่งนัก หล่อนเดินหลบเศษไม้และปูนที่พังอยู่ไม่ไกล ตื่นกลัวกับศพของผู้เคราะห์ร้ายคนอื่น หวั่นใจว่าหนึ่งในกองศพนั้นจะเป็นคนที่หล่อนไม่อยากให้เป็น

    และแล้วหล่อนก็เจอเขา ชายหนุ่มทหารญี่ปุ่นนอนอยู่กลางสนามรบ มีท่อนไม้ทับร่างท่อนล่างเขาไว้อยู่ ติณณาถลาเข้าไปนั่งด้านข้าง มือสั่นทำอะไรไม่ถูก รีบยกท่อนไม้นั้นออก เมื่อมองเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเป็นทาง น้ำตาของหล่อนก็ทะลักออกมา

    “โกโบริ ไม่เป็นไรนะ ฉันมาแล้ว ฉันจะช่วยคุณเอง” สองมือค่อยๆยกใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้ววางไว้บนตักของหล่อน เกรงกลัวเหลือเกินว่าหากออกแรงมากกว่านี้ เขาจะเจ็บ โกโบริมองหน้าหล่อนด้วยรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน

    “ผมดีใจเหลือเกินที่เจอคุณ” เขาพูดภาษาไทยกระท่อนกระแท่น  ติณณายิ้มทั้งน้ำตา

    “คุณต้องอดทนไว้นะ คุณจะไม่เป็นไร” ไม่รู้ว่าตามบทประพันธ์พูดอย่างไร แต่หล่อนก็คิดว่าอังศุมาลินในตัวหล่อนพูดแบบนี้

    “คุณสวยเหลือเกิน อังศุมาลิน” โกโบริบอกหล่อนแบบนั้น “ผมจะไปรอคุณบนทางช้างเผือกนะ” น้ำเสียงสั่งลาของเขาช่างเศร้าสร้อย นาทีนี้ติณณาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

    “ไม่! คุณห้ามทำแบบนี้กับฉัน อย่าทิ้งฉันไปนะ โกโบริ” รู้ดีว่าการร้องขอไม่สามารถเรียกเวลาให้กลับมาได้ หากแต่หล่อนก็ยังตะโกนราวคนบ้า

    “คุณต้องมีชีวิตต่อไปนะ ผมจะไปรอคุณอยู่ที่ทางช้างเผือก” ชายคนรักกล่าวด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาหล่อน

    “ผมรักคุณ” เสียงของชายหนุ่มกลืนหายไปกับเสียงระเบิดจากที่ห่างไกล ติณณากรีดร้องเมื่อเปลือกตาของเขาปิดสนิทลง

    “ฉันก็รักคุณ โกโบริ โกโบริ!!” ขอเพียงแค่เขาได้ยินสิ่งที่หล่อนอยากจะบอกมาเนิ่นนาน ขอเพียงแค่เขาได้ยินเสียงนั้น ไม่ว่าจะได้ยินจากภพไหน หล่อนก็เต็มใจร้องเรียก แม้รู้ดีว่ามันจะไร้ประโยชน์ก็ตาม

    ทั่วทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบ ติณณาลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองทุกคนในห้อง ไร้เสียงปรบมือ ไร้คำโห่ร้อง ทุกคนกำลังอึ้งกับการแสดงของหล่อน บางคนถึงขั้นซับน้ำตา

    “เอ่อ ขอบคุณค่ะ” หล่อนยกมือขึ้นขอบคุณแล้วเดินกลับที่นั่งตนเองไป แล้วเสียงปรบมือดังลั่นห้องก็ดังขึ้น

    “ดีมากจ๊ะ คือ แสดงดีมาก ฮือๆ เจ๊อยากจะกลับไปอ่านนิยายต่อ” เจ๊จวงสั่งน้ำมูกแล้วออกมายืนกลางห้อง

    “เดี๋ยวเจ๊จะเข้ามาบอกผลการตัดสินอีกทีนะจ๊ะ” พูดจบเจ๊จวงก็เดินออกจากห้องไป ติณณาแอบสังเกตว่าเจ๊จวงยังร้องไห้ไปตลอดทาง

    “เป็นไงบ้างแก เฮ้ย!” หล่อนหันมาถามเพื่อนสนิท แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็น ณภัคมนต์ร้องไห้เป็นเผาเต่า

    “แก แกเล่นดีมาก ฮือ ฉันซาบซึ้งความรักของแกกับโกโบริ” ณภัคมนต์สะอึกสะอื้นตอบ

    “แต่เมื่อกี้ฉันเล่นคนเดียวนะ แกจะมาซาบซึ้งกับโกโบริได้ไง ฉันยกอากาศขึ้นมาวางบนตักนะ” ติณณาส่งสีหน้ามึนงงกลับไป ณภัคมนต์หยิบทิชชู่ขึ้นมาซับใต้ตา

    “ตายล่ะ มาสคาร่าฉันเลอะอีกแล้ว” เพื่อนสาวของหล่อนกรี๊ดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันมาพูดกับหล่อน

    “แกเล่นดีที่สุดในนี้เลย ฉันว่า แกได้บทนี้ชัวร์” ณภัคมนต์คอนเฟิร์มทำให้ติณณาใจชื้นขึ้น

    หลังการรอคอยกว่าสองชั่วโมง ลุกไปเข้าห้องน้ำสองรอบ ตบยุงไปสามตัว เมาท์กับณภัคมนต์ในเรื่องตั้งแต่สมัยมัธยมยันมหาวิทยาลัย จนในที่สุดการรอคอยก็มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเจ๊จวงเดินเข้ามาในห้อง

    “เราได้ตัวนักแสดงละครเรื่องนี้แล้วนะคะ” เจ๊จวงประกาศด้วยมาดของพิธีกรประกาศรางวัลออสการ์ ติณณาและณภัคมนต์จับมือกันลุ้นตัวโก่ง

    “ปรบมือให้กับ….น้องฟางด้วยค่ะ”  สองสาวที่ลุ้นอยู่เกือบตกเก้าอี้ ฟางลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดโลดเต้นดีใจ ติณณาปรบมืออย่างมีข้อกังขา

    “เอาน่า ครั้งหน้าเอาใหม่นะ” ณภัคมนต์ที่หันมาเห็นหน้าเพื่อนตบบ่าให้กำลังใจ

    ทุกคนค่อยๆทยอยเดินออกจากห้อง ณภัคมนต์กอดไหล่ติณณาที่หน้าตามู่ทู้อยู่ข้างๆ

    “เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวมันไก่ปลอบใจเอามั้ย ร้านซอยหนึ่งเป็นไง” ได้ยินคำปลอบอย่างนั้น ติณณาจึงมีสีหน้าดีขึ้น

    “ดีๆฉันจะกินให้พุงกางเลย จะสั่งพิเศษเลยด้วย” หล่อนบอก พยายามนึกถึงความหอมนุ่มของข้าวมันกระเทียมและไก่ทอดชิ้นโต กรอบๆ

    “ไอ้นี้ ต้องล่อด้วยของกินตลอด” ณภัคมนต์หัวเราะขำในความหลอกล่อง่ายของเพื่อนสาว ทั้งสองคนเดินหัวเราะด้วยกันไปกดลิฟต์

    ระหว่างที่รอลิฟต์จอดอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของณภัคมนต์ก็ดังขึ้น เป็นวีรชัยที่โทรมาถามผลการแคสติ้ง ณภัคมนต์บ่นให้เพื่อนตุ๊ดฟัง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ณภัคมนต์จึงก้าวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ติณณาที่กำลังจะเดินตามไปหันไปเห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องประชุมพอดี

    ปัทมา ผู้หญิงสูงอายุที่เดินผ่านหล่อนด้านล่างส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้อีกเช่นเคย คราวนี้หญิงคนนั้นจงใจหยุดนิ่งจ้องมองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้ายากจะบอกได้ว่าคิดอะไรอยู่ ติณณาแน่ใจแล้วว่าหล่อนไม่ได้คิดไปเอง ผู้หญิงคนนี้มองหล่อนอย่างประหลาดที่สุด ราวกับรู้จักหล่อน

    “โอ่ง เร็วๆซิ” ณภัคมนต์ส่งเสียงเรียกหล่อนจากในลิฟต์ ไม่มีทางเลือกติณณาจำต้องเดินเข้าลิฟต์ไปโดยดี กระนั้นแล้ว หล่อนก็ยังรู้สึกว่าสายตาของหญิงคนนั้นยังตามเข้ามาในลิฟต์ ความรู้สึกขนลุกซู่กลับมาอีกครั้ง

    --------------------

    ภายในห้องประชุมทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มู่ลี่หน้าต่างทุกบานถูกปิดไม่ให้แสงอาทิตย์ใดๆรอดผ่านเข้ามาได้ ในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ทำงานอยู่ ปัทมานั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะประชุมยาว อิงกายเอนหลังเก้าอี้ทำงาน กระนั้นก็ยังรักษามาดของอดีตนางงามระดับประเทศ

    เบื้องหน้าของปัทมา คือ โปรเจคเตอร์ที่กำลังเล่นภาพวีดิโอการแสดงของติณณาบนกระดานไวท์บอร์ด

    “เหมือน เหมือนจริงๆค่ะ คุณปัท” กานดา ผู้ช่วยคนสนิทของปัทมา พูดขึ้นหลังการแสดงของติณณาจบลง

    “ทั้งหน้าตา ส่วนสูง เด็กคนนี้เหมือนหนูปิ่นทุกอย่างเลยค่ะ” กานดายังคงพูดต่อ ปัทมาพยักหน้า

    “แถมยังมีสำเนียงราชบุรีหน่อยๆ ตามข่าวที่เราได้รับมาล่าสุด ยายอิ่มมันพาหนูปิ่นไปหลบอยู่ที่นั่น ถ้าเราเอาเรื่องนี้ประกอบด้วย คุณภภีมต้องเชื่อเราแน่ๆค่ะ” กานดายังคงทำตัวเป็นผู้ช่วยที่ดี ปัทมายังไม่ตอบอะไรเช่นเคย

    ประตูห้องประชุมเปิดออก เจ๊จวงผงะที่เห็นบรรยากาศในห้องมืดและอึมครึมขนาดนี้

    “เป็นไงบ้างคะ คุณปัท มีเด็กคนไหนเข้าตาบ้างมั้ยคะ” เจ๊จวงกำลังจะเดินไปเปิดไฟ แต่เมื่อเห็นสายตาห้ามของกานดาแล้ว จึงหยุดนิ่งแล้วเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามแทน

    “ยังมีเด็กคนอื่นๆอีกนะคะ นี่เป็นแค่ไฟล์วีดิโอของเด็กที่มาแคสติ้งวันนี้เท่านั้น จะว่าไปวันนี้จวงเห็นเด็กคนนึง สวยมากค่ะ ทำผมสีส้มเด่นเชียว ว่าจะชวนมาแคส…..” เจ๊จวงทำทีจะลุกขึ้นยืน หากแต่ปัทมาปรามด้วยเสียง

    “ไม่ต้อง ฉันเจอเด็กที่ฉันต้องการแล้ว” น้ำเสียงของปัทมาเยือกเย็นและสยบทุกความเคลื่อนไหวในห้อง เจ๊จวงหันไปทำหน้าเหลอหลากับกานดา ผู้ช่วยส่วนตัวเพียงแต่พยักหน้ายืนยัน

    “เจอแล้ว เอ่อ ไม่ใช่เด็กคนนี้หรอก ใช่มั้ยคะ” เจ๊จวงชี้ไปยังหน้าของติณณาในโปรเจคเตอร์

    ปัทมาหันหน้ามามองแทนคำตอบ เจ๊จวงหลุดหัวเราะขึ้นมาทันที

    “จวงยอมรับนะคะ คุณปัท ว่าเด็กคนนี้เล่นดีมาก แต่จวงว่า ถ้าจะปั้นเด็กคนนี้ต้องทุ่มทุนหลายอย่าง พาไปทำสวยน่าจะหมดไปเยอะ น้องไม่ได้น่าเกลียดนะคะ แต่น้องธรรมดามากกกกก มากเกินไป” เจ๊จวงลากเสียงยาว

    “ฉันเลือกเด็กคนนี้” ปัทมาตัดบท แต่เจ๊จวงยังไม่ละความพยายาม

    “เอ่อ เอาเพื่อนของน้องดีมั้ยคะ ที่มาด้วยกัน สวยมากนะคะคนนั้น ชื่ออะไรนะ ไม่ได้ถามไว้ด้วยซิ”

    “ฉันเลือกเด็กคนนี้” ปัทมาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบแต่ดังกว่าเดิม เจ๊จวงพยักหน้าขึ้นลง

    “ได้ค่ะ เดี๋ยวจวงจะเรียกน้องมาคุยกับคุณปัท” เจ๊จวงจึงจำยอมโดยทันที

    “เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของรุ่นน้องจวงเองค่ะ เห็นรุ่นน้องจวงบอกว่า น้องเป็นเด็กดีมาก ว่านอนสอนง่าย มองโลกในแง่ดี ซื่อๆ เชื่อคนง่าย ฝากดูแลด้วย” เจ๊จวงสาธยายประวัติเท่าที่รู้มา

    “รุ่นน้องจวงฝากมาค่ะ เห็นว่าน้องอ่อนต่อโลก และอยากเป็นนักแสดงเพราะหลงรักการแสดงจริงๆ” เจ๊จวงลุกขึ้นจีบปากจีบคอ เดินไปยังประตู  ปัทมานิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ในใจไม่พูดอะไร

    “เอ๊ะ ว่าแต่คุณปัทอยากได้เด็กใหม่ไปทำไมเหรอคะ หรือคุณปัทอยากจะผันตัวมาเป็นผู้จัดละครบ้าง” เจ๊จวงหันมาถามก่อนจะเปิดประตูออกไป กานดากำลังจะตอบ หากแต่ปัทมายกมือขึ้นห้ามแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

    “เป็นรายการเรียลลิตี้กึ่งละคร เชื่อเถอะว่า เด็กคนนั้นได้เป็นนักแสดงสมใจแน่ๆ ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×