เด็กสาวได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาก่อนจะหยุดลงข้างหลังเธอ แต่เป็นอีกฝั่งของรั้วบ้านเตี้ยๆ
“เมย์เดย์”
เสียงเรียกทุ่มต่ำนั้นไม่บ่งความรู้สึกใดๆ ไม่ได้รีบเร่ง ไม่ได้เอื่อยเฉื่อย กรองวิมานรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นและให้ความรู้สึกบางอย่างที่ลอยมากระทบใจเบาๆ นุ่มนวลและแนบชิดนาน จนอยากให้เขาเรียกชื่อเธอบ่อยแสนบ่อย ตราบเท่าที่เธอต้องการ
ลูกทูตจะมีสำเนียงน่าฟังอย่างนี้ทุกคนไหมหนอ?
“อะไรเหรอ ฌอน?” กรองวิมานทักก่อนจะหันกลับไปด้วยซ้ำ “เรียกซะเต็มชื่อเชียว”
เธอหมุนตัวเองทีเดียว ผมที่ปล่อยยาวเลยบ่าไปไม่ถึงคืบนั้นก็สะบัดเป็นวงเล็กๆไปด้านหลัง ฌอนคุมสติให้กลับมา อย่าปล่อยใจไปกับรอยยิ้มกระจ่างเหมือนเปิดโลกได้ทั้งใบนั้น อีกครั้งที่ถามตัวเองว่า
ผู้หญิงจากเมืองแห่งรอยยิ้มมีรอยยิ้มที่สะกดใจได้อย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าหนอ?
“เมย์ ตกลงกลับไทยเดือนนี้เหรอ?”
วันนี้เสียงฌอนเข้มกว่าเดิมหรือเปล่านะ?
“อือ ตกข่าวนะ เขารู้กันทั่วเมืองแล้วมั้ง”
“ทำไมเร็วนัก”
เธอไม่ได้บอกต่อว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ด้วยซ้ำ
“ที่ไทยเริ่มเทอมใหม่มาพักนึงแล้วน่ะ”
กรองวิมานตอบเรื่อยๆเหมือนไม่ทุกข์ร้อน ถือบัวรดน้ำเดินไปรดต้นลิลลี่สองกระถางที่มีดอกหนึ่งกำลังแย้มกลีบ ใกล้ๆแปลงดอกไม้ที่เธอรดอยู่เมื่อครู่ ฌอนมองตามร่างบางไปอย่างไม่คลาดซักอริยาบท
“ต้องไปเตรียมตัวหลายอย่างด้วย ทั้งโรงเรียนของฉันแล้วก็งานของพ่อ”
“เห็นบอกว่าที่จะกลับเพราะอยากเรียนต่อที่ไทยด้วย?”
“ใช่ ฉันอยากเรียนเกี่ยวกับภาษาในมหาวิทยาลัยที่ไทย ถ้าที่นี่ฉันคงเรียนไม่รอด ภาษายาวีพูดไม่ได้ซักแอะเลย” กรองวิมานทำปากประกอบ และเป็นการช่วยดึงมุมปากของเขาให้ยกขึ้นได้หน่อย “เธอละฌอนไม่กลับสก็อตแลนด์เหรอ?”
คราวนี้เด็กหนุ่มยิ้มได้กว้าง เขาถูกย้อนถาม
คงเป็นผลจากสายเลือดลูกหลานนักการทูตกระมังที่ทำให้เขาชอบสังเกตวิธีการพูดของคนอื่น กรองวิมานฉลาดที่จะพูด และจะไม่ยอมตกเป็นจำเลยฝ่ายเดียวเสมอ เธอจะไม่ถูกต้อน หรือถึงจะจนมุมเธอก็จะวิ่งลอดใต้แขนคนที่กันมุมไว้ออกมาจนได้
“ไม่รู้สิ อาจจะกลับไปต่อยูที่อังกฤษ พ่อก็จวนครบเวลาเรียกกลับแล้วเหมือนกัน”
นั่นสินะ ถ้าเธอไม่กลับตอนนี้ เมื่อเขาและเธอจบไฮสคูล เขาก็ต้องกลับไปอยู่ดี ผลคือจากเหมือนกัน แม้เวลาจะต่างกัน แต่นั่นย่อมหมายถึงอนาคตที่ต่างกันไปด้วย
กรองวิมานวางบัวรดน้ำบนพื้นดิน นั่งย่อเข่าลง ยกนิ้วชี้ขึ้นลูบไล้กลีบดอกลิลลี่ที่แย้มนิดๆใกล้จะบานเต็มที่บนต้น
“ดีนะ”
“อะไรดี? ลิลลี่หรือฉัน?”
น้ำเสียงลองใจของเขา ทำให้เธอหัวเราะคิก เขาเริ่มกลับมาเป็นนายฌอนขี้เล่นคนเดิมแล้ว
“ให้คิดเองดีไหม อาจจะถูกใจกว่าฟังคำตอบจริงๆ”
“ฉันยอมรับความจริงได้เสมอ”
กรองวิมานชายตามองคนที่เดินผ่านรั้วเข้ามาย่อตัวลงนั่งข้างๆกันในสวนเล็กๆของบ้าน ยิ้มอย่างนั้น คนเห็นที่คุ้นเคยย่อมรู้ว่าเธอกำลังชอบใจอะไรบางอย่าง และเขารู้
“ดีเรื่องที่เธอจะได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษไง แต่ดอกลิลลี่ก็ดีนะ ทำไมออกดอกได้ก็ไม่รู้ มาเลเซีย ประเทศเขตร้อนแท้ๆ”
“ชอบลิลลี่จังเลยนะ รู้หรือเปล่าว่าเขาเอาไว้เคารพคนตาย”
เด็กสาวหัวเราะเบาๆกับการแกล้งทำน้ำเสียงอวดรู้ของฌอน
“คนไทยเขาไม่รู้กันหรอก” กรองวิมานลูบลิลลี่อีกต้นที่ยังไม่ออกดอกอย่างถนอม “ฉันชินกับมัน แม่ฉันชอบลิลลี่ขาว บอกว่ามันเรียบร้อย น่ารักดี”
“กลับไปคราวนี้จะได้เอาไปไหว้แม่ด้วยไง?”
“คนไทยเราไม่นิยมฝังคนตายในหลุมหรอก ศาสนาพุทธเราเผากันเลย เธอยังดีนะ ยังมีแม่ให้ไปหา แต่ฉันต้องนึกเอา
ฌอนเปลี่ยนอริยาบทโดยการนั่งไปบนพื้น เอามือสองข้างเท้าไปด้านหลัง รับน้ำหนักตัวส่วนหนึ่ง
“ก็ดีนี่ เธอน่ะมีแม่อยู่ในใจเมื่อไรเมื่อนั้นก็ยังอยู่กับเธอ ฉันสิแม่ไม่ได้อยู่ในใจที่เดียว ยังมีร่างแม่อยู่ที่โน่นด้วย มันก็เลยเหมือนมีพันธะยังพะวงอยู่นั่นแหละ”
เขากับเธอเหมือนกัน ไม่ได้อยู่กับแม่เหมือนกัน ถึงแม่เขาจะนอนอยู่ใต้พิภพ แม่เธอจะลอยละล่องอยู่ในทะเล แต่ความผูกพันกับแม่มีเหมือนกัน ก่อเกิดความเข้าใจอย่างคนหัวอกเดียวกันเสมอ
“ฉันชอบคุยกับเธอนะฌอน เธอชอบพลิกอีกด้านหนึ่งมาคว่ำหน้าฉันเสมอ ทำให้ฉันต้องล้างหน้าบ่อยๆ”
ฌอนหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของเพื่อนสาวก่อนจะกล่าวตอบอย่างที่หมายความอย่างนั้นจริงๆ
“เช่นกัน”
ลมที่โชยมาพัดให้ต้นไม้ ดอกไม้ปลิวไสวมีชีวิตชีวา
“ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็คงต้องล้างหน้าเอง”
ลมโชยหยุดลงเหมือนความร่าเริงหยุดลงแค่นั้นด้วย แต่เสียงหัวเราะใสๆก็เรียกความเบิกบานกลับมาได้ทั้งหมด
“ระหว่างที่ฉันยังอยู่ก็หัดล้างหน้าเองไว้ก่อนละกัน” กรองวิมานแนะแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเดินเล่นกันไหม?”
เธอชวน เขาเพียงแต่พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น
“พ่อไม่อยู่เหรอ?”
“อือ ไปรับตั๋วเครื่องบินที่จองไว้น่ะ”
เมื่อกรองวิมานเปิดประตูรั้วแล้วปิดลงใส่กลอนเสร็จ ทั้งสองก็ออกเดินไปด้วยกัน
เส้นทางยาวไกลแต่ทั้งสองก็เดินไปเรื่อยๆ เขารู้เธอจะไปที่ไหน และเมื่อเธอชำเลืองตาขึ้นมองเขายิ้มๆเห็นสายตาคนที่ถูกลอบมองตวัดมาสบอย่างมีนัยก็รู้ว่าเขารับคำท้าที่จะเดินฝ่าเปลวแดดไปให้ถึง
เหมือนว่าไม่นานมานี้เองที่มีเด็กชายเด็กหญิงแรกรุ่นออกมาเจอกันในระแวกบ้าน เด็กชายผมสีอ่อนพูดภาษาอังกฤษสำเนียงขึ้นจมูก ยากนักสำหรับเด็กหญิงเอเชียตัวเล็กที่ยังไม่แข็งอังกฤษจะเข้าใจ เธอแอบเบ๊ะปาก ยอมเสียมารยาทที่จะเดินหนี แต่ขาก้าวสั้นๆถึงแม้จะเคลื่อนให้เร็วเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้นเด็กชายตัวโย่งที่แค่เดินสบายๆก็ตามเธอทันแล้ว เด็กหญิงกรองวิมานออกวิ่ง ทีนี้เพื่อต้องการจะหนีไปให้พ้นอย่างแท้จริง เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดถ้าต้องการจะให้เขาหยุดตาม เพราะกลายเป็นว่าเด็กชายตัวสูงนั้นเข้าใจว่าเธอต้องการจะเล่นด้วย ยิ่งวิ่งยิ่งตาม สร้างความทรมานให้กับเหยื่อที่รู้ว่าผู้ล่านั้นต้องตามมาทันอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเขาจะตะครุบเธอเมื่อไหร่เท่านั้น ในที่สุดเมื่ออ่อนแรง เด็กหญิงต้องจำใจหยุด หอบและแสบคอ เมื่อมองไปรอบๆกลับไม่คุ้นเคย ผู้คนแปลกหน้า ผิวคล้ำ หน้าเข้ม ตาคม เดินผ่านไปมามากมาย ล้วนสูงค้ำร่างกายเล็กๆทั้งสิ้น พอหันกลับไปก็เจอคนที่ตามมา กลัว
น้ำตาจึงหยด ร้องไห้แต่เพียงกระซิกเบาๆ พยายามจะกลั้น แต่เมื่อเด็กชายใกล้เข้ามาจับต้นแขนก็กลับปล่อยโฮ เขาชะงักมือกลับทำอะไรไม่ถูก ก่อนพยายามถูลากถูกังคนที่ฝืนไม่ยอมเดินตามไปด้วยดีๆให้ขยับตัว แล้วในที่สุดก็ต้องหิ้วปีกยกตัวไป
ตอนนั้นฌอนจับกรองวิมานไปนั่งตรงขอบน้ำพุบ่อกลาง หลบให้พ้นผู้คนที่จะเหยียบเด็กหญิงตัวเล็กๆ แล้วเริ่มหยอกล้ออย่างจะให้หยุดร้องไห้ แต่กลับทำให้เธอร้องมากยิ่งขึ้นด้วยความตกใจ
“อย่าตามมาได้ไหม?”
คำพูดนั้น ไม่มีใครเข้าใจ เด็กชายเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำไง เสียงสะอื้นที่ดังเบาๆอยู่นั้นงึมงัมไปกับภาษาไทย
ฌอนก้มตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของร่างเล็ก จ้องสบเข้าไปในนัยน์ตาของเด็กหญิง ยกมือขึ้นลูบหัวเธอที่ตัวเล็กกว่ามากอย่างปลอบโยน
“Don’t cry”
แล้วเปลี่ยนไปนั่งลงข้างๆ ไม่ห่างกันอย่างให้รู้ว่ามีเขาเป็นเพื่อนโดยไม่ทำอันตรายใดๆ
เสียงกระซิกเริ่มอ่อนลง คนร้องเริ่มเมื่อยที่จะร้องไห้ต่อและเริ่มรู้สึกคุ้นเคย คนผ่านไปผ่านมาที่คอยๆชำเลืองๆมาดูเด็กร้องไห้ บัดนี้อาจแปลกใจ ที่เด็กชาวยุโรปกับเด็กชาวเอเชียมานั่งอยู่ด้วยกันมากกว่า ดูคล้ายพี่น้องต่างเชื้อชาติ
ฌอนเริ่มชี้ไม้ชี้มือไปบริเวณรอบๆหันเหความสนใจของกรองวิมาน ภาษาอังกฤษที่เธอไม่เข้าใจและโดยที่เขาก็รู้ว่าเธอไม่เข้าใจแต่ก็ยังพูดนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากนักเมื่อมีภาษาท่าทางประกอบ กรองวิมานเพิ่งได้สังเกตว่าน้ำพุในบ่อที่เธอนั่งบนขอบนั้นขึ้นลงตามจังหวะดังสายน้ำกำลังเต้นระบำอย่างสนุกสนานโดยไม่มีวันอ่อนแรง น้ำพุที่พุ่งขึ้นแล้วร่วงลงกระแทกพื้นน้ำกระเซ็นมาเปียกหลังเป็นระยะ รอบๆบ่อน้ำพุวงกลมบ่อนี้ยังมีน้ำพุในบ่อสีเหลี่ยมพื้นผ้าแคบๆ ที่มีเสาซึ่งเชื่อมส่วนบนสุดถึงกันตั้งอยู่เป็นระยะๆกั้นเป็นอาณาเขต สายน้ำดิ่งจากแท่นที่เชื่อมถึงกันนั้นลงสู่น้ำในบ่อ ดูเป็นม่านน้ำที่แปลกตาและสวยงาม นอกจากบ่อน้ำพุ ยังมีไม้พุ่มรวมทั้งดอกไม้ที่ปลูกไว้เป็นชุดๆในแปลงใหญ่หลายๆแปลง เพิ่มความน่าดูได้อย่างกลมกลืน ทางด้านซ้ายของเธอ มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ มีเด็กๆชาวมาเลย์วิ่งเล่นกันอยู่ มีเสาธงชาติมาเลเซียสูงใหญ่ที่เธอได้มารู้ในภายหลังว่าสูงถึง 100 เมตร เป็นเสาธงที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทีเดียว ส่วนทางด้านขวาไกลสุดนู่น เลยส่วนน้ำพุและสวนต้นไม้แปลงไป เป็นถนนวงเวียนที่มองเห็นไม่ชัดนักเพราะระยะทางยาวไกล
“เมอร์เดกะ”
ฌอนพูดขึ้นซ้ำหลายครั้ง ทำมือประกอบชี้นิ้วลงพื้นและเปลี่ยนมาแบมือคว่ำลงหมุนเป็นวงไปทั่วๆอย่างจะให้คนรับฟังรับรู้ว่าเขาหมายถึงสถานที่แห่งนี้
“เมอร์เดกะ”
เด็กหญิงพยักหน้ายิ้มรับทั้งที่ยังมีคราบน้ำตา
ครั้งแรกกระมังที่ทำให้ฌอนรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นช่างมีเสน่ห์ชวนมองจนยากจะถอนสายตาเสียเหลือเกิน
ฌอนชี้นิ้วนำไปทางด้านหลัง และเมื่อกรองวิมานหันตามไปก็พบแนวอาคารยาวจากฝั่งขวาไกลจนถึงฝั่งซ้ายไกลแทบสุดสายตา อาคารสองชั้นรูปทรงยุโรปผสมศิลปะมาเลย์นั้นยาวไกลและดูแปลกตา เมื่อรวมบริเวณทั้งส่วนสนามและน้ำพุซึ่งมีแปลงต้นไม้ด้วยแล้ว ทั้งกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งงดงามลงตัว
ฌอนชี้นิ้วไปยังแนวอาคารอีกครั้ง ทำหน้าขอความเห็นว่าต้องการไปตรงนั้นไหม กรองวิมานพยักหน้าตอบรับทันที ก่อนยื่นมือไปจับมือคนตัวสูงที่ยื่นมาให้ แล้วยอมให้เขาจูงนำไป
อาคารหลังดังกล่าว ตรงกลางเป็นส่วนของหอนาฬิกาสูงกว่าตัวอาคารทั้งสองด้าน ทั้งอาคารทาสีขาว มีหลังคาทาสีส้ม และโดมของตัวหอนาฬิกาเป็นสีทองแก่ รูปทรงวิจิตร การสลักลายแปลกตาไปจากของท้องถิ่นธรรมดา บวกกับพื้นที่กว้างยาวอย่างแทบจะเรียกได้ว่าสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งบริเวณสนามหญ้า น้ำพุ แปลงสวน ประกอบเข้ากันให้เห็นอำนาจของมิติ กว้าง
ยาว
อาคารตระหง่านเป็นสง่ามีเสน่ห์แปลก รวมกับส่วนน้ำพุ สวนไม้ด้านหน้า เพิ่มความนุ่มนวล เป็นเสน่ห์ที่ลงตัวใต้แสงอาทิตย์ของดินแดนเขตร้อน สำหรับผู้เห็นเป็นครั้งแรก ไม่ว่าใครคงหลงใหลตื่นตะลึง เหมือนเธอในตอนนั้นแน่นอน
“ในที่สุดก็กลับมาที่นี่อีกจนได้ ถ้าหาเธอไม่เจอละก็ต้องเป็นมาที่นี่แหละ ตรงน้ำพุกลมบ่อกลางนี้”
ฌอนมองมาทางกรองวิมานอย่างแฝงทั้งความหมายและความรู้เท่าทัน
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ? เวลาจะหาก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
กรองวิมานหัวเราะกลั้วไปกับคำตอบ
ทั้งสองหาพื้นที่นั่งแถวริมขอบอ่างน้ำพุอ่างหนึ่ง
“เหนื่อยสิ เดินไกลออกอย่างนี้ ว่าไปนึกถึงเมื่อตอนนั้นวิ่งกันมาได้ยังไงก็ไม่รู้”
เสียงหัวเราะใสๆนำมาก่อน
“ตอนนั้นมาถึงได้เพราะความกลัวน่ะสิ ฉันกลัวเธอเลยวิ่งหนีมา”
“ใช่
เหมือนกวางวิ่งหนีสิงโตชะมัดเลย”
“มีสิงโตอย่างเธอหยอกให้กวางวิ่งจนหมดแรงไงล่ะ”
“อ้าว
ก็นึกว่าเธออยากเล่นไล่จับกัน ก็เลยตาม แต่ถ้าจับได้เร็วไปหน่อยก็ไม่สนุกสิ”
“ไม่สนุกแถมเหนื่อยอีกต่างหาก”
“ว่าไปตอนนั้นฉันยังไม่ทันเหนื่อยเลย”
ฌอนพูดหน้าตาย ทำให้กรองวิมานหมั่นไส้อดแกล้งผลักจะให้ตกน้ำไปไม่ได้
“เฮ้ย!”
เขาร้องเสียงหลง ขณะที่กว่าเด็กสาวจะรู้ว่า คนที่ถูกรังแกกำลังจะตกลงไปจริงๆโดยไม่ได้เสแสร้งนั้นเขาก็แทบจะลงไปแช่อยู่ในน้ำแล้ว แต่มือหนึ่งที่ยื่นเข้ามารั้งแขนของเขาช่วยไว้ทัน
ทั้งสองหันไปทางคนมาใหม่ เพิ่งสังเกตเห็นอีกคนที่เดินเข้ามาจนอยู่ใกล้ขนาดนี้
“ติ๋มเมอย?”
“หวัดดี” ติ๋มเมอยยิ้มให้ “มาทำอะไรกันน่ะ?”
“เจอกันแล้วเดินมาเรื่อยๆน่ะ” กรองวิมานไม่ได้ขยายความ ปล่อยให้ความหมายกำกวมระหว่างความบังเอิญที่เจอกันกับความจริงที่ไม่ได้ขัดแย้ง “ติ๋มเมอยละ?”
“เดินเรื่อยๆเหมือนกันมั้ง”
เธอตอบอย่างไม่จริงจัง
“ดีเลย งั้นไปด้วยกันไหม?”
กรองวิมานเอ่ยชวน
“เอาสิ ดีเหมือนกัน มีเพื่อนเดินด้วย”
ติ๋มเมอยยิ้มกว้าง กรองวิมานมองอย่างรู้ใจ ติ๋มเมอยสาวน้อยเวียดนามห้องข้างเธอที่โรงเรียน แอบมองคนตัวสูงข้างๆอยู่นานแล้ว มีหรือจะปฏิเสธลงเมื่อโอกาสมาถึงอย่างนี้ เธอแอบมองเลยไปด้านหลังเด็กสาวที่เพิ่งพบ นาฬิกาบอกเวลาใกล้ครบชั่วโมงในอีกไม่กี่นาที เธอลุกขึ้นยืน ฉุดมือคนที่นั่งใบ้มาตลอดตั้งแต่จวนจะตกน้ำให้ลุกขึ้นมาด้วย เขาเพียงแต่จับมือเธอ ยังไม่ทันที่กรองวิมานจะออกแรงฉุดมากมายเขาก็ลุกขึ้นมาเอง แถมยังไม่ยอมปล่อยมือเธอนั้นให้เป็นอิสระ เธอชำเลืองมองเขานิดหนึ่งที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กำลังจะเอ่ยคำพูด แต่มีอีกเสียงขัดจังหวะซะก่อน
“สนิทกันจังเลยนะ เป็นแฟนกันหรือเปล่าเนี่ย?”
กรองวิมานรู้ว่าคนถามคงตั้งใจรอฟังคำตอบอยู่ แม้ท่าทางเฉยๆและดูไม่ใส่ใจ แต่เธอก็รู้ว่าภายใต้ท่าทีอย่างนี้ ติ๋มเมอยสังเกตทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่ตัวเองชอบ กรองวิมานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอบ
“ไม่ใช่นะ แค่สนิทกันเฉยๆ”
กรองวิมานยิ้มกว้างอย่างให้ทั้งความมั่นใจและกำลังใจ มือที่กุมมือเธออยู่ค่อยๆปล่อยออก ค่อยๆเลื่อนจากมือเธอที่ละนิด ในที่สุดทีละนิ้ว คล้ายๆจะเสียดายสิ่งที่อยู่ในมือเมื่อครู่ ลมเย็นพัดวูบผ่านมาพร้อมๆกับความอบอุ่นจากคนตัวสูงกว่าที่ส่งผ่านมือนั้นหายไป และขณะเดียวกันเธอก็ทำเป็นว่าหันไปทางหอนาฬิกาทรงยุโรปเข้าพอดี
“อุ้ย! จะบ่ายสามโมงแล้วเหรอ?” เสียงนั้นเรียกให้สายตาอีกสองคู่หันไปทิศทางเดียวกับเธอ “ฉันต้องไปแล้วละ พ่อไปทำธุระน่ะ แต่กุญแจบ้านอยู่ที่นี่” กรองวิมานอธิบายความมากขึ้นให้ติ๋มเมอยเข้าใจด้วย “ยังไงฉันไปก่อนนะ บายจ๊ะติ๋มเมอย บ๊ายบายเธอด้วยฌอน”
กรองวิมานพูดสำทับตอนท้ายกึ่งๆแนะให้ฌอนอยู่ต่อ เขาแอบยิ้มอีกครั้ง รู้ว่าเธอเล่นจิตวิทยากับเขาทางคำพูด ยังสงสัยอยู่ในใจว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาดูเธอทะลุแทบปรุโปร่งเลยเชียวหรือ
“เดี๋ยว เธอจะกลับประเทศไทยแล้วใช่ไหม?”
ติ๋มเหมอยรีบเรียกรั้งไว้ก่อนที่กรองวิมานจะหายไปในฝูงชน
“อือ
”
กรองวิมานยิ้มให้พร้อมพยักหน้า
“เดินทางสวัสดิภาพนะ หวังว่าซักวันจะพบกัน”
“จ๊ะ ขอบใจนะ วันหนึ่งอาจจะได้พบกันอีก”
กรองวิมานยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดอดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางผู้ชายคนเดียวที่เธอรู้จักตรงนั้น แอบเห็นติ๋มเมอยยิ้มเขินๆจากปลายตา แต่แววตาที่สบเธออยู่ดูวับแวมคล้ายกำลังยิ้มอยู่ด้านในลึกๆ ใจเธอกระตุกไปนิดอย่างไม่มีเหตุผล
“ไปละ บายนะ”
กรองวิมานรีบผละจากไป ไม่แน่ใจว่าฌอนจะตามเธอกลับมาหรือเปล่า จนเว้นระยะไปช่วงหนึ่ง หันกลับไปมองอีกครั้งไม่เห็นเขา ใจเธอกลับรู้สึกโหว่งๆเหงาๆทั้งที่เป็นคนอยากออกมาจากตรงนั้นเอง
เส้นทางเดิมกับขามา สำหรับเธอมันกลับแตกต่างออกไป... เช่นเดียวกับเมื่อครั้งเพิ่งมาถึงมาเลเซีย ตอนนี้...ทางเดิมที่กำลังจะกลับไป...ต่างจากเดิม...
กรองวิมานเดินไปช้าๆ ปล่อยลมให้เล่นกับผมโดยไม่สนว่าเมื่อถึงบ้านผมจะยุ่งพัน บรรยากาศรอบๆที่เห็นเป็นประจำ วันนี้เธอบรรจงจดจำเก็บรายละเอียดเอาไว้เพราะจะไม่ได้เห็นมันอย่างเคยอีก วันข้างหน้าเมื่อคิดถึง สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกดึงขึ้นมา เป็นหนึ่งความทรงจำที่แสนดี
-------------------------------------------------
“ฌอน...”
ติ๋มเมอยเอ่ยเรียกเพื่อทำลายความเงียบหลังจากที่ฌอนทิ้งตัวกลับลงไปนั่งที่เดิม ออกอึดอัดที่เขาอยู่เฉยๆไม่พูดอะไรกับเธอตั้งแต่กรองวิมานลาไป
“หืม...?”
ฌอนไม่ได้หันหน้าไปทางคนทักด้วยซ้ำ
“ปกติมาที่นี่บ่อยไหม?”
ติ๋มเมอยถามอย่างไม่รู้จะถามอะไร หวังว่าเขาคงจะตอบอะไรกลับมายาวๆ แต่ก็คงหวังไม่ได้มากจากคำถามที่เธอตั้งกระทู้ไป
“อืม...” ติ๋มเมอยปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆยาวๆ อาจจะดีกว่าถ้าเธออยู่เฉยๆ แค่ได้นั่งข้างๆเขา เธอก็พอใจแล้ว “ส่วนใหญ่ถ้ามาก็มีเมย์มาด้วย”
ติ๋มเมอยรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อมีการตอบสนองนอกจากคำตอบรับสั้นๆ ภูมิใจนิดๆกับคำถามของตัวเองเมื่อจับความรู้สึกอยากเล่าของฌอนได้บ้าง เธอแอบเหลือบตาไปดูฌอนที่เปลี่ยนท่านั่งหันข้างมาทางเธอ แต่สายตาจับลงไปในบ่อน้ำพุที่เขากำลังกวักน้ำเล่นอย่างสบายอารมณ์ เธออดดีใจไม่ได้ที่เขาไม่รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องมาอยู่กับเธอ
“มาเดินเล่นเหรอ?”
ติ๋มเมอยเริ่มถามต่อ อยากได้ยินเสียงเขาต่อ
“ก็แล้วแต่นะ...”
แต่ฌอนกลับตอบสั้นเหลือเกิน เหมือนอยากอธิบาย แต่อีกใจก็เหมือนอยากเก็บเอาไว้เพียงแค่ในใจ
“เล่า...ให้ฟังได้ไหม?” ติ๋มเมอยตัดสินใจถามอย่างไม่แน่ใจ อยากรู้เรื่องของเขามากขึ้น แต่ก็กลัวเขาไม่ชอบใจ เมื่อเห็นฌอนนิ่งไปจึงรีบแก้ “ไม่เป็นไรนะ ไม่เล่าก็ได้ แค่ถามๆดู”
“ขอโทษนะ...ฉันคงเป็นนักเล่าที่ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก”
ความจริงจะเล่าน่ะไม่ยากอะไร แต่เรื่องที่จะเล่าถ้าเล่าไปไม่รู้จะทำให้ติ๋มเมอยรู้สึกอย่างไร เพราะเรื่องเหล่านั้น...ก็มีแต่กรองวิมานอยู่ด้วยเต็มไปหมด ฌอนเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะบอกติ๋มเมอยว่าจะกลับซะที ยังไงก็อยู่กับติ๋มเมอยตามใจกรองวิมานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นหน้าเจื่อนๆของคนตรงหน้าก็อดรู้สึกผิดในใจนิดๆไม่ได้
“แต่ถ้าอยากฟังจริงๆก็จะลองพยายามดูละกัน”
ติ๋มเมอยเงยหน้าขึ้นมาทันทีพอดีสบตา แต่ก็รีบหลบสายตาไปทันทีเช่นกัน ริมฝีปากที่แย้มขึ้นนิดๆ อ้าเปล่งคำตอบรับว่าอยากฟังก่อนที่ฌอนจะเริ่มเรื่อง
“วันที่ฉันเจอกับเมย์วันแรก เรามาที่นี่กันน่ะ เวลาเมย์มาที่นี่ก็เลยมักจะชวนฉันมา ไม่งั้นฉันก็จะชวนเมย์... หรืออีกทีก็มาตามเมย์เวลาเขางอนหรือโมโหหรือน้อยใจใคร”
“ใครคนนั้น...เธอเหรอฌอน?”
ติ๋มเมอยถามโดยที่สายตาจับจ้องลงไปในบ่อ เธอเริ่มเอื้อมมือลงไปเล่นกับน้ำบ้าง อย่างน้อย...ก็บนผิวน้ำเดียวกับฌอน ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือเขา
“ก็แล้วแต่...บางครั้งก็พ่อเขาเอง”
ฌอนหยุดกวักน้ำ เอามือขึ้นมาเช็ดกับกางเกงให้แห้ง ติ๋มเมอยเริ่มจับสัญญาณว่าเขากำลังจะจากไปได้ จึงรีบถามต่อเพื่อให้เขายังอยู่
“เมย์ชอบมาที่นี่มากเหรอ?”
ฌอนที่กำลังจะลุกขึ้นหยุดตัวลง ยิ้มและหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างสุขในความนึกคิด สายตาเขาเหมือนกำลังนึกถึงใครบางคน
“อืม...คงอย่างงั้นมั้ง”
ผู้หญิงที่แอบชอบใครสักคนจะสังเกตคนคนนั้นทุกอย่างทุกตอนทุกอริยาบถเหมือนเธอไหมนะ ติ๋มเมอยอดสงสัยไม่ได้ ที่เธอเห็น เห็นมานาน ไม่อยากจะคิดว่าเข้าใจถูกว่าฌอนชอบกรองวิมาน ใจจริงอยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่อีกใจก็ไม่อยากได้ยินคำตอบที่ไม่ตรงกับความต้องการของหัวใจ
“เธอชอบมาที่นี่เหมือนกันหรือเปล่า?”
“อืม...”
“ต่อไปถ้าไม่มีเมย์...เธอจะยังมาอยู่หรือเปล่า?”
ฌอนนิ่งไป เขากำลังคิดถึงคำตอบของวันหน้า เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน วันที่ไม่มีกรองวิมาน...
“ไม่รู้สินะ”
เขาตอบอย่างเลี่ยงที่จะคิดถึงมัน
“ทำไมล่ะ? แค่ไม่มีเมย์ มันต่างออกไปเหรอ? ทำให้เธอต้องคิดหนักมากเลยเหรอ?”
เสียงที่ถามนั้นเบาและเรียบ แต่แฝงความรู้สึกอ้อนวอนปลิวมากับสายลม ฌอนหาคำตอบให้ติ๋มเมอยได้ แต่เขายังไม่สามารถพูดมันออกมาได้ จึงได้แต่นิ่งเฉย
“ฌอน...เธอชอบเมย์ใช่ไหม?”
ฌอนชะงักลมหายใจ หันไปมองติ๋มเมอยช้าๆ สบสายตาของเด็กสาวได้เพียงครู่เดียว ดวงตาคู่นั้นก็เบนหลบไป ความไม่มั่นใจเห็นได้จากท่าทาง ติ๋มเมอยรู้สึกตัว...เธอรุกผิดจังหวะ
“ใช่”
ฌอนตอบอย่างหนักแน่น และยังรอที่จะสบสายตาคนตรงหน้าอยู่
เสียงของฌอนครั้งนี้ทำให้ติ๋มเมอยสั่นครอน ความรู้สึกหลายอย่างท่วมท้นประดังเข้ามา มากเกินกว่าที่จะพอรับได้โดยไม่ระบาย น้ำตาที่ขึ้นมาคลออยู่ที่เบ้าตานั้นกำลังจะล้น เธอไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขา ไม่อยากให้เขาสงสัยว่าร้องไห้เพราะอะไร อยากจะหนี แต่ก่อนไปห้ามเสียน้ำตา
“ฌอน...” ติ๋มเมอยเรียกชื่อเขาโดยไม่หันขึ้นมามอง “ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ”
และทันทีที่พูดจบติ๋มเมอยก็ลุกอย่างจะกระโจน เท้าคู่นั้นหมุนกลับตัวไปแล้ว แต่ก่อนที่จะขยับพาร่างกายให้ไกลจากฌอนไปนั้น เขาก็คว้าแขนติ๋มเมอยยื้อไว้ได้ วันนี้เป็นโอกาสของเขาแล้วที่จะบอกกับเธอตรงๆซะที
“เดี๋ยวก่อนติ๋มเมอย”
ฌอนเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าคนที่ถูกดึงเอาไว้ หัวใจของติ๋มเมอยที่เต้นถี่เร็วขึ้นนั้นเพราะมือของเขาที่สัมผัสอยู่บนแขนของเธอและ...สังหรณ์กับสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไป
“ฉันเสียใจถ้าเป็นต้นเหตุให้เธอร้องไห้ ฉันชอบเมย์จริงๆ และความรู้สึกนี้คงไม่จางไปง่ายนัก ฉันขอบคุณความรู้สึกที่เธอมีให้ แต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเธอยังจะยืนยันให้ฉันต่อไป”
คำพูดที่ตรงๆของเขา ทำให้สิ่งที่อัดอั้นอยู่ในตัวเด็กสาวถูกปล่อยออกมา ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้วหนิในเมื่อเจ้าตัวเขารู้แล้ว เสียงสะอื้นของติ๋มเมอยเริ่มดังขึ้น มือสองข้างถูกยกมาปิดใบหน้า น้ำตานองไหลลงมาไม่ขาดระยะ ฌอนออกจะทำตัวไม่ถูก อดคิดไปถึงกรองวิมานไม่ได้อยู่ดี เวลาเธอร้องไห้ เขาจะขยี้หัวเธอแล้วจับลงมาพิงกับไหล่ของเขา โอบไหล่เธอไว้บางๆให้เธอได้ผ่อนคลายและให้รู้ว่าเขาอยู่ข้างๆพร้อมที่จะเป็นคนคอยปลอบโยน ส่วนติ๋มเมอย...เขาทำอย่างนั้นให้ไม่ได้ แต่เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นกับติ๋มเมอย รอให้เธอร้องไห้จนพออย่างเต็มใจ ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือเหนื่อยหน่าย
“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ”
เมื่อติ๋มเมอยหยุดร้องไห้ แม้คราบน้ำตาจะยังมีอยู่ แต่น้ำเสียงก็สดชื่นขึ้น ฟังดูโล่งขึ้น ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมาสบอย่างไม่ต้องหลบเหมือนครั้งก่อนๆ ติ๋มเมอยขอบคุณจากความรู้สึกข้างในอย่างจริงใจ
“ฉันไม่เสียใจกับความรู้สึกที่ให้เธอไปเลย ขอบใจจริงๆที่เธอทำให้ฉันได้รู้สึกอย่างนี้”
ติ๋มเมอยไม่ได้บอกลาเขา เพียงแค่ยกมือหนึ่งขึ้นมาโบกก่อนจากไป ริมฝีปากยังแย้มเมื่อเธอหมุนตัวกลับหันหลังให้เขา ฌอนมองตามเธอจนลับสายตา ด้วยความห่วงใย...แต่ที่ให้ได้คือในระดับเพื่อนเท่านั้น
-------------------------------------------------
ฌอนวิ่งมาตามทางและหยุดลงตรงหน้ารั้วเตี้ยๆที่คุ้นเคย ชุดนักเรียนที่สวมใส่หลุดลุ่ยและเปียกไปด้วยเหงื่อ เมื่อมองเข้าไป บนทางเดินโรยกรวดที่นำเข้าไปสู่ประตูของตัวบ้านมีกระถางต้นไม้วางอยู่ไม่ไกลจากรั้วนัก สีน้ำตาลของกระถางและสีเขียวของใบตัดกับสีเทาขาวของทางเดินอย่างเด่นชัด เขาผลักรั้วไม้ที่ไม่ได้ล็อกให้เปิดออกและเดินเข้าไปหามัน
ต้นลิลลี่ของกรองวิมาน ฌอนสังเกตเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่วางไว้บนดินใต้ใบลิลลี่ จึงก้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมา
ฌอน
ลิลลี่ต้นนี้ยังไม่ออกดอกเลย ถ้าเอาไปสก็อตแลนด์ได้ด้วยก็ดีนะ
ออกดอกแล้วฝากไปไหว้แม่เธอด้วย
บ๊ายบาย
เมย์
ฌอนมองไปรอบๆ บริเวณสวนที่กรองวิมานเคยดูแล ต้นลิลลี่แสนรักของเธออีกกระถางก็ไม่อยู่ในที่ที่มันเคยอยู่อีกแล้ว เขาเดินต่อเข้าไปจนถึงประตูบ้าน ประตูบานนั้นถูกล็อคเรียบร้อย เมื่อมองส่องเข้าไปข้างใน แม้เฟอร์นิเจอร์ยังพอเหลืออยู่บ้าง แต่รู้สึกเหมือนมันขาดชีวิต ขาดวิญญาณ กรองวิมานไปแล้ว
ไปโดยที่ไม่แม้แต่จะบอกลาเขาหรือเพื่อนๆที่โรงเรียน จากไปโดยที่ไม่ให้เวลาคนที่รักเธอได้ทำใจทัน
-------------------------------------------------
แสงอาทิตย์สาดส่องร้อนแรงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แผ่รังสีความร้อนมาเต็มที่ทีเดียวแม้ว่าจะยังไม่ทันเข้าหน้าร้อนของเมืองไทยดีก็ตาม กรองวิมานออกจะเคยชินกับความร้อน แม้จะรู้สึกว่าที่มาเลเซียร้อนน้อยกว่ากรุงเทพฯอยู่เหมือนกัน ถ้าเธอยังอยู่ที่นั่น ยามบ่ายแก่ๆอย่างนี้ อากาศอย่างนี้ คงกำลังเดินกลับบ้านพร้อมฌอนละมั้ง แต่วันนี้ เธอเดินคนเดียว
ป่านนี้คนที่เธอจากมาจะเป็นยังไงบ้างนะ? .... เปล่าหรอก ไม่ได้เจาะจงแค่ใครบางคน
เพื่อนๆเธอคงไม่โกรธที่เธอจากมาโดยไม่บอกลา จดหมายและโปสการ์ดที่ส่งมาหามีต่อว่าต่อขานเหมือนกัน แต่เธอก็รู้ พวกที่ติดต่อมานี่แหละให้อภัยเธอหมดแล้ว ยังขาดก็แต่ของใครคนหนึ่งที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีกระดาษซักแผ่นมาถึง จนเดี๋ยวนี้กรองวิมานก็ยังสับสนอยู่ว่าตัวเองทำถูกไหมที่จากมาโดยไม่บอกกล่าวเขา คนที่เธอไม่อยากจะบอกที่สุด เขาจะรู้สึกยังไงนะ จะโกรธกันหรือเปล่า ทั้งๆที่เคยบอกที่ติดต่อไว้แล้ว แต่ก็ไม่เคยติดต่อมา
ก่อนเข้าบ้านกรองวิมานยังชำเลืองมองกล่องไปรษณีย์สีแดงกล่องเล็กใกล้ประตูรั้ว หวังนิดๆด้วยความคิดถึง อยากให้มีจดหมายซักฉบับมานอนแอ่งแม้งรอเธอหยิบมันขึ้นมาอ่าน อยากเห็นลายมือตวัดที่คุ้นตาเขียนมา happy valentine แค่ประโยคเดียวก็ยังดี ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีความคาดหวังต่างๆผุดขึ้นมามากมาย จนกรองวิมานรู้สึกตัว
....เปล่านะ ลายมือที่เธออยากอ่านน่ะขอเป็นของใครก็ได้ เธอก็คิดถึงทั้งนั้น....
คำแก้ตัวโผล่ขึ้นมาอ้างให้ตัวเองทันที
.ก็ไม่มีเหตุผลอะไรนี่ ที่จะไปคิดถึงใครโดยเฉพาะ
.
แต่ที่อีกด้านหนึ่งในหัวใจก็มีคำถามด้วยความไม่แน่ใจโผล่ตามขึ้นมาหลังข้ออ้างนั้น
....จริงหรือ?....
กรองวิมานไม่ได้หาคำตอบให้คำถามเล็กๆในใจ ด้วยสายตาทอดมองไปเห็นอะไรบางอย่างที่เธอรอคอย
จากด้านนอกกล่องมองผ่านแผ่นพลาสติกใสทางด้านหน้าเห็นจดหมายมากกว่าหนึ่งฉบับนอนรออยู่ กรองวิมานเปิดกล่องหยิบจดหมายทั้งหมดออกมา มีโปสการ์ดจากเพื่อนที่มาเลเซีย และจดหมายสองฉบับ เธอไล่ดูชื่อผู้ส่งบนซองจดหมาย และเมื่อเธอรู้สึกตัวว่ากำลังกลั้นลมหายใจเบาๆอย่างรู้สึกลุ้นนั้นอีกคำถามก็ปรากฎขึ้นมา
....หวังอะไร?....
กรองวิมานไม่ทันได้คำตอบ เพราะจดหมายฉบับที่สองที่เธอหยุดสายตาอยู่ นั่นคือซองจดหมายที่ถูกจ่าหน้าด้วยลายเส้นตวัดแสนคุ้นเคยที่เธอจำได้แม่นยำ มุมขวาบนของซองมีแสตมป์ติดอยู่สองสามดวงเพื่อให้ครบจำนวนค่าบริการ เธอรีบเข้าบ้านหาอุปกรณ์มาเปิดซองกระดาษ แล้วหยิบกระดาษในนั้นออกมาอ่านทันที อดรู้สึกใจหายไม่ได้นิดหน่อยที่เพื่อนรักของเธอส่งกระดาษมาแค่แผ่นเดียว แถมยังเขียนมาแค่นิดเดียวอีกต่างหาก ประโยคเดียวที่เธอเคยบอกตัวเองว่าพอดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว
แต่เมื่ออ่านจบ ความรู้สึกน้อยใจก็ค่อยๆจางหาย มันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกงุนงง ทิ้งไว้กับความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไป กรองวิมานอ่านทวนเนื้อความในจดหมายอีกครั้งด้วยความรู้สึกสับสนพอๆกับรู้สึกหัวใจพองโตโดยที่เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไม
Mayday,
May you be my valentine?
Because...I love you
Sean
หัวใจที่แทบจะหยุดเต้นก่อนจะเต้นใหม่ด้วยความถี่ผิดปกติพร้อมกับความรู้สึกยินดีมากมายนี้หรือเปล่าที่กำลังบอกคำตอบให้กับตัวเธอเอง ความรู้สึกแปลกๆที่เธอเคยรู้สึกเมื่อติ๋มเมอยหาทางเข้าใกล้ฌอนอยู่เสมอไม่ใช่แค่ความหวงเพื่อนที่เธอต้องการกำจัดทิ้งโดยการขัดใจตัวเองผลักฌอนให้ติ๋มเมอย มันมากกว่าความเป็นเพื่อนหรือเปล่า เวลาที่เธออยากอยู่ใกล้เขา อยากได้ยินเสียงเขา เวลาที่เขาจับมือหรือโอบกอด เวลาอย่างนั้นความรู้สึกในเวลาอย่างนั้นที่ไม่อยากให้หายไป เวลาที่เธอไม่แม้แต่จะอยากบอกลาฌอนต่อหน้าเขา ไม่อยากลาจากเขา คือคำตอบหรือเปล่า
กรองวิมานพลิกซองจดหมายดูลายมือของเขาที่เขียนชื่อเธอด้วยความรู้สึกอบอุ่นและหัวใจก็พองโตยิ่งขึ้นคล้ายกับได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อเธออยู่ริมหู เหมือนเสียงนั้นยังดังอยู่ใกล้ๆ เพราะมันมาจากความทรงจำที่คุ้นเคยและไม่เคยลืม แสตมป์ดวงหนึ่งบนนั้นเป็นรูปวาดหัวใจสีแดงติดปีกสีขาวกำลังบินอยู่บนฉากหลังที่เป็นฟากฟ้า ตอนนี้
.หัวใจของเธอก็ติดปีกบินไปหาเขาแล้ว
คำตอบของคำถามทั้งหมด...รู้แล้วว่าเพราะเธอเองก็รักเขาเช่นกัน...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น