ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #35 : Rule 29 : สิ่งที่เห็น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.94K
      45
      27 มี.ค. 56

    Rule 29 : สิ่งที่เห็น



                    ในที่สุด...ในที่สุด...พวกเราก็เข้ารอบชิงชนะเลิศ!! และ...และ...และทีมของพวกเราก็เป็นฝ่ายชนะทีมของพี่กวิน!! ฮู้ว!! แม้แต้มจะห่างกันไม่มากแต่ฟอร์มของทีมเราก็ดูดีกว่ามาก  ผมเพิ่งเคยเห็นไอ้คีตะกับพี่บอลเล่นเป็นคู่หูกันก็ครั้งนี้แหละครับ  แต่ก่อนเล่นแบบต่างคนต่างเล่นแต่ครั้งนี้พี่บอลกับไอ้คีตะเล่นรับส่งให้กันซึ่งนั่นก็ทำให้คะแนนของพวกเราดีขึ้นมาก  มีไม้ตายแบบนี้ก็ไม่รู้จักใช้ตั้งแต่ทีแรก
     

                    ต่อไปก็ถึงการแข่งระดับจังหวัดแล้ว  แต่การแข่งระดับจังหวัดเริ่มเทอมหน้าเพราะงั้นแต่ละทีมจะมีเวลาเตรียมตัวอีกนานเลยทีเดียว  ในการแข่งระดับจังหวัดนี้สามารถแข่งได้ทุกทีมแม้แต่ทีมที่เคยได้บ๊วยของระดับเขตเพราะฉะนั้นการแข่งระดับจังหวัดจะใช้เวลานานกว่าการแข่งระดับเขตมาก
     

                    แต่ก่อนจะถึงการแข่งนั้นพวกเราจะต้องผ่านการสอบไฟนอลของเทอมนี้ไปเสียก่อน  เนื่องจากต้องเตรียมตัวแข่งบาสทำให้การสอบมิดเทอมผมได้คะแนนไม่ดีซักเท่าไหร่การสอบไฟนอลผมจึงต้องอ่านหนังสือหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัวเพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเรียนเสียด้วย
     

                    “โอย อีกไม่กี่วันก็สอบแล้ว  กูเข้าเรียนไม่บ่อยซะด้วยสิ  พ่อง ถ้ากูอัจฉริยะกูจะไม่บ่นเลย” ขณะที่กำลังติวหนังสือกันอยู่ที่ห้องของไอ้พีทผมก็บ่นพลางกุมขมับ
     

                    “แทนที่มึงจะเอาเวลาที่บ่นไปอ่านหนังสือนะไอ้เชี่ยคิท” ไอ้พีทตบหัวผมด้วยความรำคาญ
     

                    “บ่นแค่นี้ไม่ได้เหรอ? ชิ!” ผมทำปากยื่นก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดโน้ตลายมืออุ้งตีนหมีเขี่ยของไอ้วา  ถึงจะอ่านยากเพราะลายมือแย่แต่มันเขียนดีมากเลย  ถ้าไม่นับลายมือถือว่ามันเขียนให้อ่านได้ง่ายมาก  อย่าถามว่าทำไมผมไม่ยืมคนที่ลายมือสวยกว่าไอ้วา  เพราะพวกนั้นมันเขียนได้ไก่มากน่ะสิ! ให้ตายผมก็อ่านสมุดโน้ตของพวกมันไม่เข้าใจหรอก



     

     

                    “อ๊าก!! ข้อสอบเชี่ยไรว้า?! กูทำเหี้ยไรไม่ได้เลย” ผมเดินออกจากห้องสอบด้วยความหมดอาลัยตายอยาก  โอย ทำไม่ได้เลย  ข้อสอบข้อเขียนผมก็เขียนเดาๆ มั่วๆ ลงไป  ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกแหละรู้แต่ว่าเขียนลงไปแล้ว
     

                    “มึงจะบ่นทำบ้าอะไรวะ  กูเห็นมึงเขียนทุกข้อ! แม่ง กูไม่ได้ตอบตั้งสองข้อแน่ะ” ไอ้ลิซบ่นอย่างหัวเสีย  โอ้ ยิ่งคบกับไอ้บ้านี่ยิ่งเห็นมันโวยวายมากขึ้นแฮะ  ถ้าไม่รู้จักกันผมจะรู้สึกว่าไอ้นี่เป็นคนที่นิ่งมาก
     

                    “มึงอย่าพูดมากเชี่ยลิซ กูตอบลงไปก็ใช่ว่าจะถูก พ่อง!  พ่อเอากูตายแน่” ผมบ่น  พ่อผมเป็นถึงศัลยแพทย์จบมาจากเมืองนอกเมืองนาแต่ลูกกลับเก่งไม่ถึงครึ่งของพ่อ  โฮ  ภาษาอังกฤษผมก็ไก่มากด้วย  ทำไมนะทำไม!? ทำไมพ่อไม่พาผมไปอยู่เมืองนอกด้วยนะ ผมจะได้เก่งภาษาอังกฤษ

                    “ไอ้วา  ภาษาอังกฤษทำไมมึงไม่ให้กูลอกวะ!” ไอ้ลิซหันไปจ้องเขม็งไอ้วาที่เพิ่งเดินออกจากห้องสอบ  ไอ้วากับไอ้ลิซนั่งใกล้ๆ กันจึงลอกกันได้  อาจารย์คุมสอบก็โหดอยู่หรอกแต่ไอ้พวกนี้ก็ลอกกันเก่งเหลือเกิ๊น  ชิ! ผมน่าจะได้นั่งข้างไอ้วาบ้าง! ก็ไอ้นี่เก่งมากพอตัวเลยแหละ
     

                    “มึงไม่เห็นลุงแว่นรึไงวะ  แกจ้องพวกเราอย่างกับจะเขมือบลงพุง  กูกลัวมึงถูกกาหัวกระดาษน่ะสิ” ไอ้วาพูดพลางตบหัวไอ้ลิซเบาๆ  เป็นเพื่อนกับพวกนี้ดีจริงๆ ตอนแรกที่รู้จักผมไม่อยากจะเข้าใกล้เลยเพราะพวกนี้ดูซ่าๆ ไม่น่าคบ  แต่พอได้คบก็รู้ว่าพวกนี้นิสัยดีมาก  คำนึงถึงความรู้สึกเพื่อนเสมอเลย
     

                    “โธ่ มึงไม่ต้องบ่นเรื่องภาษาอังกฤษเลยเชี่ยลิซ กูเห็นคะแนนมึงออกมาแต่ละทีเกือบเต็มทุกครั้ง  มึงดูกูเด่ะ คาบเส้นทุกครั้งเลยภาษาอังกฤษเนี่ย!” ผมบ่นพลางขยี้ผมจนยุ่งไปหมด
     

                    “แต่วิชาวิทย์คณิตมึงก็ทำคะแนนได้เกือบเต็มเหมือนกันนั่นแหละ” ไอ้วาพูดให้กำลังใจผม  ก็นะ...ผมก็พอทำได้บ้าง เหอๆ
     

                    “แล้วตอนไหนพวกเด็กเก่งห้องคิงจะออกมาวะ  กูหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” ไอ้ลิซบ่น  ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปกินข้าวเย็นหลังสอบเสร็จ  เนื่องจากพวกผมเร่งอ่านหนังสือเพื่อสอบจึงไม่ได้กินข้าวกลางวันตกเย็นจึงหิวมากเป็นพิเศษ

                    บ่นเรื่องหิวได้ไม่นานพวกไอ้พีทก็ออกมา  สีหน้ามันไม่แย่เท่าไหร่แสดงว่าทำได้เยอะพอสมควร  ทำไมมันเป็นแบบนี้กันนะ  ตอนม.ต้นผมดูเหมือนจะเก่งกว่าไอ้พีทแต่พอขึ้นมาม.ปลายผมกลับดูอ่อนกว่า  เหอๆๆ ตอนสอบเข้าผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือเสียด้วย  เข้าห้องควีนได้ก็ดีโขแล้ว



     

     

                    เนื่องจากเป็นช่วงสอบทางชมรมจึงไม่มีการซ้อมแต่ว่าผมก็ยังต้องซ้อมตอนเช้าทุกวันเพื่อไม่ให้พละกำลังตก  แต่ว่าตอนเย็นผมไม่ซ้อมเพราะต้องติวหนังสือ  อ๊ากกกก  พรุ่งนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายหลังจากนั้นก็ปิดเทอม  ยะฮู้ว!! แต่...ผมมีเรียนพิเศษ =..=
     

                    ชีวิตของเด็กม.ปลายก็อย่างนี้แหละครับ  เรียนๆๆ  เรียนแม่งทั้งวันทั้งคืน  เซ็งชะมัดยาด!  ถ้าให้พูดถึงเป้าหมายชีวิตของผมแล้วผมก็ต้องเรียนเยอะๆ นั่นแหละครับ  พอรู้เรื่องของพ่อผมก็อยากจะเป็นเหมือนพ่อให้ได้
     

                    “ชนินทร์ สอบเป็นไงบ้าง?” ขณะที่พวกเรากำลังติวหนังสือกันอยู่ที่ห้องโถงไอ้คีตะก็เดินถือหนังสือเล่มใหญ่เข้ามาหาผมที่นั่งอยู่กับพวกเพื่อนๆ  ไอ้วาที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมเหลือบตามองไอ้คีตะนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ   ดูเหมือนไอ้วาจะปรับความเข้าใจกับพี่มันแล้วล่ะครับ
     

                    “ห่วยมาก  แล้วนายล่ะ? เล่นบาสเหมือนกันนี่คะแนนตกเหมือนฉันไหม?” ผมถาม  ไอ้หมอนี่ซ้อมเยอะยิ่งกว่าผมเสียอีก  มันคงไม่มีเวลาอ่านหนังสือเหมือนกัน
     

                    “อย่าห่วงเฮียเลย  รายนั้นถึงไม่อ่านหนังสือก็สอบได้สบายเลย” ไอ้วาพูดอย่างหมั่นไส้
     

                    “จะบ้ารึไง  เรียนก็ไม่ได้เรียนจะเอาอะไรไปสอบ” ไอ้คีตะพูดพลางส่ายหน้าไปมา
     

                    “แล้วนายกำลังจะไปไหน?” ผมถาม  ทำท่าเหมือนกำลังจะออกไปไหนอย่างนั้นแหละ
     

                    “จะไปติวกับพวกไอ้ดินที่ห้องกรรมการนักเรียนน่ะ  ไปด้วยไหม? สงบดีนะ” ไอ้คีตะชวน
     

                    “ไม่ล่ะ ติวที่นี่แหละ นายไปเถอะ” ผมบอกปัด  เพราะต้องการความสงบก็เลยไปติวที่นั่นใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นผมไม่ไปรบกวนบรรยากาศติวหนังสือของพวกเขาหรอก
     

                    “อ๋อ อืม ถ้านายไม่เข้าใจเนื้อหาตรงไหนถามฉันได้นะ  เนื้อหาม.สี่ฉันจำได้น่ะ” ไอ้คีตะพูดก่อนจะเดินจากไป  พออยู่แบบนี้แล้วไอ้คีตะใจดีกับผมมากเลยล่ะ
     

                    “เฮ้อ สงสัยงานนี้ฉันต้องตัดใจอย่างเด็ดขาดซะแล้วสิ” ไอ้วาพึมพำขึ้นมา  ผมมองหน้ามันก่อนจะยิ้มแหยๆ
     

                    “ขอโทษนะวา” ผมก้มหน้าพูด  รู้สึกเสียใจมากเหมือนกันที่ทำให้ไอ้วาเพื่อนรักของผมคนนี้เสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า  มันเป็นคนดีมันไม่ควรมาจมปลักอยู่กับผมแบบนี้หรอก
     

                    “อืม ไม่เป็นไรๆ อ่านหนังสือต่อเถอะ” ไอ้วาแสร้งยิ้มร่าเริงก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือ
     

                    “ลิซ ปลอบใจมันด้วยนะ” ผมเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูไอ้ลิซที่นั่งอยู่ข้างๆ เบาๆ  ไอ้ลิซเบิกตากว้างมองหน้าผมก่อนจะหน้าแดงก่ำ  อ่า...พอเขินแล้วไอ้บ้านี่น่ารักเป็นบ้า
     

                    “พูดอะไรของมึง” ไอ้ลิซตบหัวผมก่อนจะก้มหน้าแดงๆ นั่นอ่านหนังสือต่อ  ผมมองพวกมันด้วยรอยยิ้มก่อนจะอ่านหนังสือบ้าง  ถ้าพวกมันลงเอยกันก็คงจะดีเพราะพวกมันรู้จักกันดีกว่าใครๆ และเข้าใจกันมากที่สุดแล้ว



     

                    พอไม่ได้ซ้อมช่วงเย็นมันก็ทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ เพราะงั้นหลังติวหนังสือประมาณสองทุ่มกว่าๆ ผมจึงถือลูกบาสของตัวเองไปที่ห้องโรงยิม2 ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของชมรมบาสเก็ตบอล
     

                    ผมที่กำลังจะเปิดไฟในโรงยิมก็บังเอิญสังเกตเห็นไฟที่ห้องชมรมที่อยู่บนชั้นสองของโรงยิมเข้ามือที่กำลังจะกดสวิตช์ไฟจึงชะงักลง  และเนื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผมผมจึงค่อยๆ ย่องขึ้นไปบนชั้นสอง
     

                    ประตูที่แง้มออกเล็กน้อยทำให้สะดวกในการสอดส่องภายใจห้อง  ปกติห้องชมรมตรงนี้พวกเราไม่ใช้กันแต่พวกเราจะให้ห้องด้านล่างที่ติดกับห้องล็อคเกอร์เป็นส่วนใหญ่  พี่จิ้นเคยบอกว่าห้องนี้เป็นห้องที่ครูกิ๋งใช้
     

                    “แบบนี้มันจะดีเหรอ?” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น  ผมเบิกตากว้างก่อนจะเพ่งสายตาเพื่อมองเจ้าของเสียง
     

                    O_o!!!
     

                    “มันก็ไม่ดีหรอกนะ  แต่ว่า...เป็นถึงขนาดนี้แล้ว อือห์” ครูกิ๋งนี่!! นี่มันอะไร!?!
     

                    ภาพที่ผมเห็นทำให้แข้งขาผมจนแทบยืนไม่อยู่  ไอ้คีตะที่กำลังนั่งพิงผนังห้องถูกครูกิ๋งนั่งคร่อมอยู่บนตัว  เสื้อผ้าไอ้คีตะยังอยู่ครบดีแม้กระดุมชุดนักเรียนจะถูกปลดออกเกือบหมดก็ตาม แต่ชุดของครูกิ๋งตอนนี้ถูกถอดกองไว้อยู่ข้างๆ ตัว  มือเล็กๆ ของครูกำลังขยับเหมือนกำลังทำอะไรซักอย่างแต่เดาได้ไม่ยากว่ากำลังทำอะไรที่มันไม่สมควร
     

                    นี่มันอะไรกัน!?
     

                    “ที่นี่โรงเรียนนะกิ๋ง  เอาไว้ออกไปข้างนอกดีกว่าไหม?” นะ...นี่!?! มันพูดบ้าอะไรของมันอยู่น่ะ!?!  ไม่ได้จะปฏิเสธแต่กลับชวนออกไปข้างนอก!
     

                    “แต่ตอนนี้มันไม่ไหวแล้วนะ  ฉันอยากได้เร็วๆ” ครูกิ๋งพูดจบก็ครางเสียงหวาน
     

                    “นั่นสินะ” เฮือก! ไม่นะ!
     

                    อย่านะ...อย่าทำอะไรกันได้ไหม?!



     

     

                    ผมคิดหาวิธีที่จะขัดขวางแต่ก็คิดไม่ออกเสียที  อีกไม่นานสองคนนี้ก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว  ผมจะขัดขวางอย่างไร  ตอนนี้ผมมืดแปดด้านเลย
     

                    RRRRR
     

                    ขณะที่ผมกำลังจนปัญญาเสียงโทรศัพท์ของไอ้คีตะก็ดังขึ้น  ผมมองเข้าไปในห้องอีกครั้งเพราะอยากรู้ว่าไอ้คีตะจะหยุดไหม?  ครูกิ๋งทำหน้าไม่พอใจเมื่อไอ้คีตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
     

                    “มีอะไรวา?” ไอ้วา...ไอ้วาโทรมางั้นเหรอ?  โชคดีจัง “ให้ติวให้เหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ?  ...เออๆ เดี๋ยวจะไปติวให้” เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็หอบลูกบาสวิ่งออกจากชมรมเพราะดูเหมือนไอ้คีตะจะหยุดกลางครันเพราะไอ้วาโทรมาขอร้องให้ติวหนังสือให้  ผมต้องรีบออกไปก่อนหมอนั่นจะออกมาเจอผม
     

                    และผม...ก็จะไม่หลงคารมของมันอีกเป็นครั้งต่อไป!!

     



     

                    “แฮ่ก! วา! กูไปห้องไอ้พีทนะ” ผมเปิดประตูเข้ามาให้ห้องของตัวเองก่อนจะพูดเสียงดัง  เนื่องจากผมรีบมาผมจึงหอบเพราะความเหนื่อย
     

                    “เอ๋? ฉันเรียกเฮียให้มาช่วยติวให้นายไม่สนใจเหรอ? เฮียติวเก่งมากเลยนะ” ไอ้วาพูด  มันทำหน้างงไม่น้อยที่ผมกลับมาเร็วขนาดนี้ทั้งๆ ที่บอกว่าจะไปซ้อมบาสซักหนึ่งชั่วโมง
     

                    “ไม่ล่ะ อ้อ อย่าบอกพี่เฮียมึงล่ะว่ากูไปชมรมมา  ขอร้อง” ผมพูดก่อนจะรีบเดินออกไปทั้งๆ ที่ยังกอดลูกบาสเสียแน่น
     

                    ทำไม...ทำไมหมอนั่นถึงหลอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทำไมถึงไปยุ่งกับอาจารย์ทั้งๆ ที่บอกว่าชอบผม ชิ!! แต่นั่นผมก็ผิดที่ไม่ถามให้มันแน่ชัด  นั่นสินะ!! พวกเขารู้จักกันมานานคบกันมาก่อนที่จะรู้จักกับผม อีกอย่างผมเป็นผู้ชาย ไม่มีนม แถมยังมีของแถมติดมาด้วยหมอนั่นจะมาชอบผมจริงๆ ได้อย่างไร  อ๊าก!! ทำไมกูโง่อย่างนี้วะ!!

     



     

                    เนื่องจากผมนอนไม่หลับทั้งคืนผมจึงอ่านหนังสือโต้รุ่งด้วยอารมณ์ขุ่มมัว  แต่นั่นก็ทำให้ผมทำข้อสอบได้มากกว่าเดิมแม้ขณะสอบผมจะง่วงเหงาหาวนอนจนทำข้อสอบช้ากว่าเดิมก็ตามที
     

                    “คิทเอ๊ย เมื่อวานนายน่าจะมาติวกับฉัน  เฮียติวได้ถูกจุดเลยนะ  ฉันมั่นใจมากว่าวันนี้ฉันทำคะแนนได้ดี” ไอ้วาพูดหลังจากที่เดินออกจากห้องสอบ  วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายและพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาโรงเรียนแล้ว  ดีแล้ว...ถ้าเป็นไปได้วันนี้ผมไม่อยากจะเจอไอ้คีตะเลย
     

                    “เมื่อวานฉันก็อ่านได้ถูกจุดเหมือนกัน  ฮ้าววว” ผมพูดพลางปิดปากหาว  อย่าพูดถึงไอ้หมอนั่นจะได้ไหม  กูหงุดหงิด!
     

                    “เอ้อนี่  ไหนๆ เราก็ปิดเทอมแล้ว  ไปเที่ยวกันหน่อยไหม  แล้วก็อีกตั้งหนึ่งอาทิตย์แน่ะกว่าพวกเราจะเริ่มเรียนพิเศษกัน” ไอ้ลิซเสนอ  พวกเราปรึกษากันเรื่องเรียนพิเศษและตัดสินใจลงเรียนคอร์สเดียวกันยกก๊ก  รักกันดีจริงๆ กลุ่มผมเนี่ย
     

                    “เอ้อนี่ งั้นเราไปกับพวกเฮียไหมล่ะ  พวกเขาจะไปเที่ยวทะเลกัน  เมื่อคืนเฮียชวนน่ะ” กูไม่ไป!!
     

                    “น่าไปนะ  ใครไปบ้างล่ะ?” ไอ้พีทถาม  เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดูเหมือนว่าไอ้พีทจะสนิทสนมกับพี่ขิมไม่เหมือนแต่ก่อนส่วนไอ้มินทร์ก็จะหงุดหงิดเสมอที่เห็นไอ้พีทคุยกับพี่ขิม  ทำตัวเป็นหมาหวงก้างเชียว
     

                    “ก็กรรมการนักเรียนทั้งสี่คน พี่จิ้น  กูก็ไป พวกมึงไปด้วยไหม? ถ้าไปเดี๋ยวบอกเฮียให้” ไอ้วาพูด
     

                    “ไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยเหรอ?” ไอ้มินทร์ถาม  ไปกันแค่เด็กๆ คงจะไม่ดีเท่าไหร่
     

                    “ก็มีคนของที่บ้านเฮียอ่ะ  ไปสองคน” ไอ้วาตอบ
     

                    “กูไปด้วยๆ” ไอ้ลิซพูด  มันสนิทกับพี่ๆ เหมือนไอ้วานั่นแหละแต่อาจจะน้อยกว่าเพราะไอ้วาเป็นญาติกับไอ้คีตะ
     

                    “กูโทรขอแม่ก่อนละกัน” ไอ้พีทพูดก่อนจะเดินไปคุยโทรศัพท์  ไอ้มินทร์ก็ทำบ้างส่วนผมยืนอยู่เฉยๆ  ก็ผมจะไม่ไปนี่นา
     

                    “คิทตี้ไม่โทรขอพ่ออ่ะ?” ไอ้วาถามเมื่อเห็นผมยืนอยู่เฉยๆ
     

                    “ไม่อ่ะ  ไม่อยากไป” ผมพูด
     

                    “ได้ไงวะ?  เรากลุ่มเดียวกันไปไหนไปกันเซ่” ไอ้ลิซพูดพลางตบหัวผม  อย่าให้กูสูงบ้างนะกูจะตบมึงคืน!
     

                    “ก็กูไม่อยากไปนี่หว่า  พ่อกูอยู่บ้านทั้งทีให้กูมีเวลาอยู่กับพ่อบ้างสิ” ผมหาข้ออ้าง  ผมคิดนะครับว่า...ครูกิ๋งจะต้องไปด้วยแน่นอนเลย  ผมไม่อยากเจ็บใจ!
     

                    “ไรวะ” ไอ้วาบ่นอุบอิบ
     

                    “เอาเถอะ ถ่ายรูป ซื้อของฝากมาฝากด้วยล่ะ” ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าหอเพื่อเก็บของเตรียมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้



     

     

                    ก๊อกๆ
     

                    ขณะที่ผมกำลังนอนตีพุงรอไอ้วาอาบน้ำเสร็จเพื่อจะอาบต่อเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น  ไอ้พวกนั้นแน่เลย  มันจะต้องมาตื๊อให้ผมไปเที่ยวด้วยกันแน่ๆ
     

                    “พวกมึงไม่ต้องมาตื๊อกู...เลยนะ” คำว่า เลยนะ ของผมแห้งหายไปเมื่อผมเปิดประตูไปเจอคนที่ยืนตัวใหญ่ขวางอยู่หน้าประตู
     

                    “ตื๊ออะไรเหรอ?” ไอ้คีตะเลิกคิ้วงงๆ
     

                    “เปล่าๆ นายมีอะไร” ผมถาม  พยายามจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
     

                    “ไม่มีอะไรหรอก  ไอ้วาอยู่ในห้องน้ำเหรอ?” ไอ้คีตะถามผมจึงพยักหน้าและไอ้หมอนั่นก็ขโมยจูบผม อ้อ ที่ถามก็เพื่อไม่อยากจะให้ไอ้วามาเห็นว่างั้น? ชิ!!
     

                    ผมทำหน้าเซ็งก่อนจะถูกดันเข้ามาให้ห้องจากนั้นไอ้คีตะก็ปิดประตูลง  มือปลาหมึกของมันยึดข้อมือผมไว้ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดและพยายามที่จะจูบแต่ผมเบือนหน้าหนีสุดชีวิต
     

                    “ทำไมล่ะ?” หมอนั่นถามเมื่อเห็นผมมีท่าทางต่อต้าน
     

                    “ไม่ทำไมหรอก  ไม่อยากทำ” ผมบอกก่อนจะสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม
     

                    “น่านะ ขอนิดเดียว” หมอนั่นเดินมาขวางหน้าผมไว้ ผมถอนหายใจและส่ายหน้าปฏิเสธ
     

                    “ไปหาคนอื่นไป” ผมพูดก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง
     

                    “งอนอะไรรึเปล่าเนี่ย?” หมอนั่นนั่งลงบนเตียงของผมก่อนจะถาม
     

                    “ไม่นี่” ผมยักไหล่ส่ายหน้า  ถามอย่างกับเป็นแฟนกูเลยนะมึง  แล้วกูก็เสือกตอบอย่างกับเป็นแฟนมันซะงั้น
     

                    “เอ้อ นายไม่ไปเที่ยวกับพวกฉันเหรอ? ทำไมล่ะ?” ไอ้คีตะถาม  สงสัยไอ้พวกนั้นจะบอกมันแล้วว่าผมไม่ไป
     

                    “จะอยู่กับพ่อ ไม่อยากไป” ผมตอบเลี่ยงๆ ฮึ่ม!! เห็นไอ้บ้านี่ตีหน้าซื่อตาใสแล้วเจ็บใจชะมัดที่โง่ถูกมันหลอกแต๊ะอั๋งอยู่ตั้งนาน  มึงนะมึง!
     

                    “งั้นเหรอ  แล้ววันนี้ทำข้อสอบได้ไหม?” หมอนั่นพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะถาม
     

                    “อืม พอได้” ฉันต้องขอบใจนายที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับจนท่องหนังสือจบไปหลายเล่ม
     

                    “ดีแล้วล่ะ  งั้นฉันกลับก่อนนะ” หมอนั่นลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหวังจะหอมแก้มผมแต่ผมเบือนหน้าหนี  หมอนั่นมองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกก่อนจะเดินออกจากห้องไป



     

     

                    พวกนั้นจะเดินทางไปเที่ยวในเย็นวันนี้ส่วนผมก็จะกลับบ้านภายในเช้าวันนี้  พวกนั้นออกมาส่งผมที่หน้าหอก่อนที่ผมจะขึ้นรถกลับบ้านไปพร้อมคุณพ่อคนหล่อ  ไอ้คีตะเองก็แอบมองผมผ่านระเบียงของชั้นสามพอผมหันไปมองมันมันก็เดินกลับเข้าไป  มันอาจจะรู้สึกก็ได้ว่าช่วงนี้ผมต่อต้านมันเหลือเกิน
     

                    เฮ้อ ทั้งๆ ที่บอกเองแท้ๆ ว่าเกลียดเกย์แต่สุดท้ายตัวเองกลับเป็นเสียเอง  ผมนี่มันบ้าจริงๆ!  โอ๊ยยยยย!! ผมเกลียดตัวเอง!  ถ้ามีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตผมตอนนี้ผมจะรีบคว้าไว้โดยไม่ลังเลเลย! ฮึ่ม!!
     

                    RRRRR
     

    ขณะกำลังหอบกระเป๋าเข้าบ้านโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น  พอยกโทรศัพท์ขึ้นดูเบอร์ผมก็อยากจะตัดสายไปทั้งๆ อย่างนั้น  จะเป็นใครอีกล่ะ
     

    “อืม” ผมรับสายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่
     

    “ถึงบ้านรึยัง?” หมอนั่นถาม  น้ำเสียงเย็นๆ นั่นทำให้ผมแอบสะท้านในใจ  ผมเคยคิดนะครับว่าอยากจะให้ไอ้คีตะอ่อนโยนบ้างแม้บ้างทีจะอ่อนโยนแต่โดยบุคลิกแล้วไอ้หมอนี่เป็นคนเย็นชา  บางทีผมก็มองไม่ออกว่าหมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่  บางทีคำพูดหวานๆ ที่หมอนั่นพูดออกมาผมก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะสีหน้าของหมอนั่นไม่ได้เป็นเหมือนคำพูดเลย  รอยยิ้มของหมอนั่นก็ทื่อๆ มุมปากยกขึ้นก็จริงแต่ตากลับไม่ยิ้มด้วย  นั่นอาจจะเป็นนิสัยแต่ผมก็กลัว...กลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หมอนั่นแสดงออกมาจะเป็นของปลอม
     

    “อืม” ผมตอบเนือยๆ
     

    “ฉันไปหานายที่บ้านได้ไหม?” หมอนั่นถามเล่นเอาผมตกใจเลย  นั่นไง...ผมเริ่มใจอ่อนกับหมอนี่อีกแล้ว
     

    “นายจะมาทำไม?  เตรียมตัวไปเที่ยวเถอะน่า” ผมบอก
     

    “ดูเหมือนนายจะโกรธอะไรฉันอยู่  ฉันไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวหรอก” หมอนั่นพูด
     

    “ทำไมฉันจะต้องโกรธนาย?  นายทำเรื่องอะไรให้ฉันโกรธเหรอ?” ผมถามกึ่งประชด
     

    “เปล่า ไม่มีอะไร”
     

    “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? งั้นฉันจะวาง”
     

    “อืม เดี๋ยวจะโทรไปหาอีกครั้ง” หมอนั่นพูดก่อนจะตัดสายไป  ฮึ! ผมจะต้องดัดหลังไอ้หมอนั่นให้ได้



     

     

    ผมจะต้องหาแฟนอย่างจริงจังเสียแล้วสิ!! ฮึ่ม!!

     



     

    วันต่อมา  ผมนัดกับเจ๊พริมไปดูหนังรอบเย็นและที่โรงหนังทำให้ผมได้เจอกับคนที่ผมลืมไปนานแล้ว  เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่แจกเบอร์ผม  เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่สนใจผมและเธอจำผมได้ด้วย
     

    “คิท คิทใช่ไหม?” แคทเดินเข้ามาทักผมก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ
     

    “ครับ แคทใช่ไหม?” ผมถามกลับบ้าง  ถามกลับเป็นมารยาทครับ
     

    “นี่คิท  แคทรอให้คิทโทรมาตั้งนาน  ทำไมคิทไม่โทรมาเลยล่ะ?  แล้วนี่สูงขึ้นนี่นา” แคทพูด  แอบภูมิใจที่สูงขึ้น ฮ่าๆ
     

    “คิทอายไม่กล้าโทร” ผมพูดพลางทำท่าเขินอาย  ที่จริงไม่ใช่ไม่กล้าแต่ว่าผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
     

    “แล้วว่าแต่...มากับใครเหรอ?” แคทถามพลางมองไปที่เจ๊พริมก่อนจะยิ้มแหยๆ คงเข้าใจว่าเป็นแฟนผมล่ะสิเพราะเจ๊ควงแขนผมอยู่
     

    “อ๋อ พี่สาวน่ะ” ผมบอกพลางแกะมือเจ๊ออกแต่เจ๊กลับเกาะแน่น  เจ๊แกต้องแกล้งผมแน่เลย
     

    “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคิทตี้  ชอบบอกว่าฉันเป็นพี่สาวตลอดเลย  งอนแล้ว” เจ๊พริมทำแก้มป่องพลางเอนศีรษะซบไหล่ผม
     

    “เฮ้ยเจ๊! เดี๋ยวแคทก็เข้าใจผิดหรอก” ผมแกะมือเจ๊ออกอีกครั้ง
     

    “ฮ่าๆ เจ๊ล้อเล่นน่า” เจ๊หัวเราะร่าก่อนจะปล่อยแขนผม  แอบเห็นว่าแคทแอบถอนหายใจด้วย
     

    “อ้อ แคทครับนี่เจ๊พริมเป็นพี่สาวของไอ้พีทน่ะครับ  ส่วนนี่แคทครับเจ๊” ผมแนะนำให้ทั้งสองได้รู้จัก  เจ๊ยิ้มและรับไหว้แคท  ดูจะเข้ากันได้ดีนะเนี่ยสองสาว
     

    “น้องแคทมาคนเดียวเหรอคะ?” เจ๊พริมถาม
     

    “ใช่ค่ะ  เบื่อๆ ก็เลยมาเดินเที่ยว” แคทตอบยิ้มๆ
     

    “งั้นเหรอ? พวกเรากำลังจะไปกินเค้กกันน่ะ  ไปด้วยกันไหมล่ะ?” เจ๊ชวน
     

    “ได้เหรอคะ?” แคททำหน้าดีใจ
     

    “ได้ซี่ ให้ไอ้เด็กเตี้ยนี่เลี้ยง” เจ๊ชี้มาที่ผม  แคทเองก็ทำหน้าอ้อนๆ  เสน่ห์ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ
     

    “ผมไม่เลี้ยงคนที่ว่าผมเตี้ยหรอกนะ” ผมเชิดหน้าใส่เจ๊พริม
     

    “อ๊ายยยย คนนี้สูงที่สุด” สองสาวเดินเข้ามาควงแขนประจบเอาใจ  ผมยิ้มก่อนจะยืดให้เต็มความสูง  เนื่องจากทั้งเจ๊และแคทใส่ส้นสูงทำให้พวกเธอสูงกว่าผมแต่โดยพื้นฐานส่วนสูงแคทเตี้ยกว่าผมแต่เจ๊สูงกว่าผมเล็กน้อย



     

     

    หลังจากผมหมดไปกับของหวานสำหรับพวกสาวๆ ผมก็ถูกสาวๆ ลากเข้าร้านเส้อผ้าผู้หญิงยกใหญ่  มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าพวกสาวๆ จะให้ผมเลือกเสื้อผ้าให้เฉยๆ แต่นี่...
     

    “อ๊ายยยย น่ารักที่สุดเลย” สาวๆ กรี๊ดกร๊าดหลังจากบังคับให้ผมใส่ชุดกระโปรงสีหวานๆ  กู...อยาก...ตาย!! โฮ!!!
     

    “เอ่อ...พอได้ยังคร้าบ?” ผมถามขณะกำลังนั่งชันเข่าด้วยความเศร้าสร้อย  สองคนนี้...น่ากลัวเป็นบ้าเลย T^T
     

    “ไปลองมาอีก  ชุดนี้เลย” เจ๊หยิบชุดเดรสยาวสีชมพูระบายลูกไม้ส่งมาให้ผม
     

    “ได้โปรดไว้ชีวิตผมเถอะครับ โฮ!” ผมคลานไปกอดขาเจ๊อย่างอ้อนวอนทำเอาแคทหัวเราะคิกคักด้วยความขำ  เวลานี้ผมไม่อายแคทแล้วครับ
     

    “เจ๊คะ  น่าสงสารคิทให้เขาพอเถอะค่ะ” แคทพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
     

    “แคทอ่ะตัวดี” ผมหันไปมองแคทอย่างงอนๆ
     

    “แคทหยอกเล่นนิดหน่อยเอง  ไม่โกรธนะ” แคทง้อ  น่ารักขนาดนี้ผมให้อภัยครับ ฮ่าๆ

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    พอมาอัพถึงตอนนี้ไรเตอร์อยากจะขอสารภาพว่าช่วงนี้ไม่กล้าอ่านคอมเม้นของเรื่องนี้เลยอ่ะ ฮ่าๆๆ 

    จนถึงตอนนี้ไรเตอร์คงจะขอแค่อย่าเพิ่งด่า บ่น ว่า หรือทวงนิยายเรื่องนี้เลยนะคะ
    ไรเตอร์สัญญาว่าจะลงเรื่อยๆ แน่นอน  ช่วงนี้ก็กำลังรีที่ต้นฉบับและมีแพลนจะทำเล่ม แบบเล่นๆ 

    ถ้ารีดคนไหนสนใจอยากจะได้ก็บอกน้า  เดิมทีก็กะจะทำสักห้าสิบเล่มสำหรับคนที่สนใจจริงๆ แต่ถ้ามีคนอยากจะได้เยอะก็จะเพิ่มยอด
    เอาไว้ให้มันจบก่อนค่อยคุยกันอีกทีแต่ไรเตอร์จะพิมพ์แน่ๆ  ถึงจะไม่มีใครเอา (หะ?) ไรเตอร์ก็จะพิมพ์ ฮ่าๆๆ

    ตอนนี้ก็กำลังหาคนทำปก  เอาปกภาพวาด  ถ้าใครสนใจอยากได้หนังสือเรื่องนี้ฟรีๆ ติดต่อไรเตอร์มาได้ที่ J-ROME1168@hotmail.com
    แต่ถ้ามีหลายคนเดี๋ยวเค้าขอพิจารณานะเออ (จะมีไหมเนี่ย)


    หรือถ้าใครรับทำแล้วแต่ไม่อยากได้หนังสือเรื่องนี้คุณสามารถรีเควสเป็นเรื่องอื่นได้  เช่น ลันไอ หรือ ลุกซ์เปอร์ ค้าบ
    อย่าลืมติดต่อกันมาเยอะๆ น้า ><


    ปล.ช่วงนี้จะมาลงเรื่องนี้ให้อ่านทุกวันเลยน้า
    อ้อๆ ช่วงนี้เค้าจะไม่สิงอยู่ที่ทวิตหรือเฟสบุ๊คน้า  ถ้าใครมีอะไรให้ติดต่อมาที่เมล์

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×