ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #27 : Rule 21 : ความอ่อนแอที่น่ารังเกียจของผม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.93K
      27
      1 มี.ค. 56

    Rule 21 : ความอ่อนแอที่น่ารังเกียจของผม



                    ผมเดินกลับหออย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยอารมณ์เหม่อลอย  ที่หมอนั่นพูดว่าชอบผมมันคงจะไม่จริงซะล่ะมั้ง  คงจะอยากแกล้งคนที่ปากตะโกนอยู่ปาวๆ ว่าเกลียดเกย์ให้หวั่นไหวเล่นนั่นแหละ
     

                    นั่นสินะ  ทั้งๆ ที่เกลียดเกย์จนรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่เข้าใกล้แต่ผมกลับไม่รังเกียจที่จะถูกหมอนั่นสัมผัส  คงจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่าเกลียดอะไรได้อย่างนั้น  ทั้งๆ ที่เกลียดขนาดนี้แต่ทำไมผมถึงรู้สึก...   เฮ้อ สงสัยเราต้องเกลียดผู้หญิงซะแล้วล่ะ  เพราะงั้นเราจึงจะได้ผู้หญิงมาครองไงล่ะ
     

                    “ฮึ สมน้ำหน้า  ถูกทิ้งแล้วล่ะสิมึง” ก่อนจะถึงหอเสียงของไอ้บิลก็ดังขึ้นทำให้ผมชะงักและหันไปมองคนต้นเสียง  ยังอยู่กันครบเซ็ตรอจะรุมกัดคนอื่นเป็นหมาหมู่เชียวนะพวกมึง
     

                    “ถูกใครทิ้งเหรอ?” ผมถามหน้าซื่อๆ นั่นสิกูถูกใครทิ้ง??
     

                    “ก็พี่คิทไง” พวกนั้นยิ้มเยาะ  ผมจึงแสยะยิ้มกลับ
     

                    “กูไม่ใช่มึงนะบิลถึงจะได้ถูกหมอนั่นทิ้ง ฮึๆ อีกอย่างกูไม่ได้ถูกทิ้ง  ไม่ได้เป็นไรกันจะถูกทิ้งได้ไงมิทราบ” ผมพูดตอกหน้า  พวกนั้นถึงกับสะอึก
     

                    “พออาจารย์มามึงก็เป็นหมาหัวเน่า” พวกมันยังกัดไม่ปล่อย
     

                    “โทษทีที่กูไม่ได้เป็นหมาหัวเน่าเพราะกูไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่น  จุดนั้นกูรู้ตัวกูดี  ไม่เหมือนใครบางคนที่ทึกทักเอาเองว่าตัวเองพิเศษสำหรับมัน” ผมกอดอกพูด  อ่า...ทำไมกูกัดเจ็บจังวะ  พูดเองยังเจ็บแทนมันเลยอ่ะ ฮ่าๆ
     

                    “มึง...ไอ้เหี้ยคิท!!” ไอ้บิลปรอทแตกเดินดุ่มๆ เข้ามาหาผมก่อนจะเงื้อมือขึ้นเพื่อจะต่อย  ฮึ!!  ตอนอยู่ต่อหน้าหมอนั่นล่ะทำเป็นนิ่งๆ  ไม่อยากจะบอกเลยว่าคนเค้ารู้สันดานมึงหมดตับแล้วไอ้เสร่อ!!
     

                    วืด! ผมหลบก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบสวนกลับจนร่างไอ้บิลเซถลาจะล้มกระแทกพื้นแต่มีเพื่อนคอยช่วยพยุง  กูไม่อยากจะมีเรื่องหรอกนะ  แต่ถ้าเสนอมากูก็ยินดีสนองกลับ
     

                    เมื่อผมถีบไอ้บิลจนเซไอ้พวกนั้นก็ปรี๊ดขึ้นมาก่อนจะกรูกันเข้ามาหวังจะทำร้ายผม  เนื่องจากพวกมันมีห้าถึงหกคนผมจึงถูกต่อยหน้ามาบ้าง  ไอ้หน้าไหนที่มันต่อยถูกหน้าผมผมจัดหมัดให้มันหนักกว่าเดิมเท่าตัว
     

                    เสียงเอะอะโวยวายของพวกเราที่กำลังตีกันอย่างเมามันดังไปเข้าหูอาจารย์ที่มาเดินตรวจเวรเข้าทำให้ความซวยบังเกิดขึ้นแก่ผมอีกครั้ง
     

                    “นายชนินทร์!! เอาอีกแล้วนะ!!” อาจารย์เวรชี้หน้าผมก่อนจะเดินมาจดรายชื่อพวกเราไว้และพาพวกเราไปที่ห้องกรรมการนักเรียนเพื่อลงโทษ




     

     

                    พวกผมถูกจับจ้องด้วยสายตาคมดุของพวกพี่ทั้งสามคนซึ่งเป็นคณะกรรมการนักเรียน  เนื่องจากไอ้คีตะมัวแต่ไปเอ้อระเหยลอยชายกับอาจารย์คนสวยทำให้มันไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย  ดีแล้วล่ะ
     

                    “พวกนาย...ถูกเตือนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่ดินเป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากนั่งจ้องพวกผมเป็นรายตัว  ถึงจะสนิทกับพวกพี่ๆ แต่โดนแบบนี้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาตะหงิดๆ
     

                    “ครับ” ผมก้มหน้ารับ  ตอนนี้ดูยังไง้ยังไงผมก็เป็นผู้ร้ายอีกตามเคยเพราะแผลที่ผมได้รับมีเพียงสองสามจุดแต่ไอ้พวกนั้นมันเขียวไปแทบทั้งตัว  ก็ทั้งโดนเตะโดนต่อยจากผมไปเยอะเลยนี่นา  ผมจัดชุดใหญ่ให้เลยนะนั่น
     

                    “บอกมาซิว่ามีเหตุผลอะไรถึงทะเลาะต่อยตีกัน” พี่ขิมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ  พออยู่แบบนี้แล้วพี่ขิมดูน่าเกรงขามขึ้นเยอะ  ไม่เหมือนไอ้รุ่นพี่คนเดิมที่เคยทะเล้นทะลึ่งชอบนั่งแคะขี้มูกเลย
     

                    “ผมถูกหาเรื่อง” ผมตอบทันที  ก็มันจริงนี่หว่า
     

                    “ไม่จริง!! พวกผมต่างหากที่ถูกหาเรื่อง” เพื่อนในกลุ่มไอ้บิลแย้งขึ้น
     

                    “หกรุมหนึ่งแบบนี้ยังจะกล้าพูดอีกเหรอ” ผมหันไปมองพวกนั้นด้วยสายตาดุๆ พร้อมจะมีเรื่องเสมอ
     

                    “พอได้แล้วนายชนินทร์!” อาจารย์ที่เป็นคนคุมพวกผมมาตวาดผมทำให้ไอ้พวกเราะหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ  จำไว้เถอะพวกมึง!!
     

                    “เพราะอะไรถึงทะเลาะกัน  เอาเหตุผลชัดๆ” พี่ดินพูดขึ้น
     

                    “พวกผมก็แค่พูดหยอกล้อเขาตามประสาเพื่อนกันน่ะครับแต่เค้ากลับด่าว่าพวกผม ดูถูกพวกผมทำให้พวกผมไม่พอใจก็เลยขู่แต่เค้ากลับ...” ไอ้พวกนั้นทำท่าทางให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตอแหลจริงๆ พวกมึงอ่ะ
     

                    “ก็ถ้าผมไม่ถูกทำร้ายก่อนผมก็คงไม่ตอบกลับ  ผมทำไปเพราะต้องการป้องกันตัว” ผมพูด
     

                    “คิทตี้  นายมีเรื่องมาหลายครั้งมากแล้วนะ  ขอได้ไหม? ครั้งหน้าอย่าให้มีอีก  ไหนเราสัญญากับพี่แล้วไง” พี่บอลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ  ผมเองก็รู้สึกผิดที่รักษาสัญญาไม่ได้
     

                    “แต่ว่าผม...”
     

                    ปัง!!
     

                    “เกิดอะไรขึ้น  ทำไมถึงโทรเรียกตัวกะทันหันวะ!” ก่อนที่ผมจะได้โต้แย้งอะไรเสียงของไอ้คีตะก็ดังขึ้น  ผมก้มหน้าไม่อยากมองหน้าหมอนั่น “นี่เอาอีกแล้วเหรอ?!” หมอนั่นทำเสียงเบื่อ  ผมกัดริมฝีปาก  วันนี้กูจะโดนอะไรบ้างวะเนี่ย
     

                    “อืม ก็อย่างที่เห็น” พี่ขิมถอนหายใจเบาๆ
     

                    “ทำยังไงถึงจะหลาบจำซักที  ทะเลาะกันแล้วมันได้อะไรขึ้นมา” ไอ้คีตะพูด  ผมก้มหน้าแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
     

                    “ก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่ทะเลาะกันไปนี่เพราะอะไร  สาเหตุมันเกิดจากอะไร  ฉันไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ เลย” นานกว่าผมจะพูดออกมา  ไม่รู้ว่าต้นเหตุของปัญหานี้จะรู้ตัวรึเปล่าว่าผมกำลังว่ามันเพราะผมไม่อยากจะสบตาของมันเลย
     

                    “ถ้ารู้จักระงับอารมณ์มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ไอ้คีตะพูดอีก
     

                    “ฮึ นั่นสินะ ขอโทษด้วยละกันที่อารมณ์ร้อนไปหน่อย  เอาไว้คราวหน้าจะยืนอยู่เฉยๆ ให้เขารุมกระทืบก็แล้วกัน  คราวนี้ฉันผิดเองที่ไม่อยากเจ็บตัว” ผมยิ้มเยาะตัวเอง  ทำอะไรก็ผิดไปหมดนั่นแหละ  กูทำอะไรไม่เคยถูกเลยซักอย่าง
     

                    “นายประชดฉันเหรอ?” เสียงไอ้คีตะแข็งกร้าวขึ้น  ดูยังไงก็กำลังโกรธอยู่ชัดๆ
     

                    “ฉันพูดจริง  นายต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นนี่...”
     

                    เพี้ยะ!!
     

                    ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามันใบหน้าของผมก็ต้องหันกลับด้วยแรงตบจากฝ่ามือใหญ่ที่เคยกอดผมอย่างอ่อนโยน  ผมกัดฟันกรอด  ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหล  แต่...ผมไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนแอของตัวเองตรงนี้หรอก!
     

                    “บทลงโทษมีแค่นี้เหรอ? เอาอีกไหมล่ะ?” ผมเงยขึ้นก่อนจะยิ้มจนตาหยีเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แสดงออกทางสายตา
     

                    ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าคนภายในห้องนี้รู้สึกอย่างไร  ผมไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้น  ความแสบจากแรงฟาดของฝ่ามือนั่นยังชาติดอยู่ที่แก้ม  หมอนั่นตบหน้าผมทับรอยที่ถูกต่อยได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ  ฮึ แก้มผมคงช้ำไปหลายวันเลยทีเดียว
     

                    “ไม่เอาอีกเหรอ? จะตบอีกกี่ทีก็ได้นะ  ฉันไม่โกรธหรอก” ผมพูดต่อ
     

                    “ฮึ่ย!! บอล ลงชื่อไว้แล้วหักคะแนนความประพฤติคนละยี่สิบคะแนน!” ไอ้คีตะทำท่าฮึดฮัดก่อนจะสั่งพี่บอลซึ่งพี่บอลก็พยักหน้ารับและหยิบสมุดรายงานความประพฤติมาเขียนยุกยิกๆ
     

                    “ถ้ามีครั้งหน้า  จะเชิญผู้ปกครองนะครับ” พี่บอลพูดก่อนที่พวกผมจะถูกปล่อยตัวออกมา
     

                    ผมลุกจากเก้าอี้เป็นคนสุดท้ายและกำลังจะออกจากห้อง  ผมหยุดยืนขณะที่จับลูกบิดประตูก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่อัดกันแน่นจนกลายเป็นความเย็นชา
     

                    “คนที่ใช้อารมณ์...ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกนะ คีตกวี” ผมพูดก่อนจะเดินออกจากห้องไป
     

                    ด้านหลังประตูผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกแต่ตอนนี้น้ำอุ่นๆ จากดวงตาของผมมันหยดแหมะลงบนพื้น  ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะบอกกับตัวเอง
     

                    “ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะชนินทร์ที่นายจะร้องไห้กับเรื่องพรรค์นี้” ผมบอกตัวเอง




     

     

                    วันต่อมา ผมกลับมาเรียนตามปกติเพราะวันนี้พวกเราไม่มีแข่ง  ดีแล้วแหละที่ยังไม่ได้แข่งวันนี้  สภาพจิตใจของผมมันยังไม่ฟื้นจากเมื่อวานเลย  ถ้าวันนี้จะต้องไปเจอกับศัตรูตัวฉกาจของผมสภาพจิตใจผมคงย่ำแย่กว่านี้
     

                    เอ...ผมบอกหรือยังครับว่าเมื่อวานทีมพวกเราชนะ
     

                    “เที่ยงนี้มาพบกับผมอีกเช่นเคยนะครับ  แหม...หายไปนาน  ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ” เสียงใสที่ผมเคยหลงใหลดังขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินมาเป็นเดือน  ทั้งๆ ที่เคยเคลิบเคลิ้มกับเสียงของคนคนนี้แต่วันนี้ผมกลับหดหู่ที่ได้ยินเสียงของเขา
     

                    “วันนี้หลายคนอาจจะกำลังทะเลาะกับใครอยู่เพราะเรื่องอะไรก็ตามแต่  การทะเลาะกันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยนะครับ...” พูดถึงกูอยู่รึเปล่านะ?
     

                    “วา กูยืมหูฟังหน่อย” ขณะที่กำลังจะเดินไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารผมก็แบมือขอยืมหูฟังด็อกเตอร์เดรย์สุดรักสุดหวงของไอ้วา  มันที่กำลังจะสวมหูฟังชะงักก่อนจะยื่นให้ผม
     

                    “ทำไมล่ะ? ชอบช่วงนี้ไม่ใช่เหรอ?” ไอ้วาถาม  ปกติช่วงเที่ยงที่มีเสียงของคุณนักดนตรีลึกลับผมจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ  แต่วันนี้เป็นข้อยกเว้นครับ
     

                    “มันเป็นอดีตไปแล้ว” ผมพูดก่อนจะสวมหูฟัง  หลังจากสวมแล้วเสียงของหมอนั่นก็ไม่เล็ดลอดเข้ามา(ของเขาดีจริง)ในหัวของผมเลยซึ่งนั่นก็เป็นการดี

                    แม้วันนี้ใบหน้าของผมจะมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุดแต่ก็ไม่มีใครถาม  ก็แน่ล่ะสิ  ข่าวจากปากพวกไอ้บิลมันกระจายไปเร็วจะตาย  อีกอย่าง ผมก็เล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟังหมดแล้วด้วย  ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวพวกมันจะเป็นห่วงเปล่าๆ  และแน่นอนว่าผมไม่เล่าเรื่องที่กำลังมีปัญหากับไอ้คีตะ




     

     

                    ทำไงดี...วันนี้ผมไม่อยากเข้าชมรมเลย  แต่ช่วงนี้มันอยู่ในเทศกาลแข่งบาส  ถ้าไม่เข้าผมอาจจะถูกตำหนิเอาได้อีกอย่างผมเป็นนักกีฬาเสียด้วย
     

                    และวันนี้ก็เป็นวันอันแสนโชคร้ายของผมเมื่อไอ้คีตะมันเข้าชมรม
     

                    “คิทตี้ของพี่  ใบหน้าน่ารักๆ ไปโดนอะไรมา” พวกพี่ๆ นักบาสกรูกันเข้ามาถามผมพลางจับหน้าผมซุกอก  ทำไมชมรมนี้ถึงชอบจับผมซุกอกไม่ก็ซุกรักแร้??
     

                    “อ๋อ มันเป็นกรรมของผมเองล่ะครับ” ผมยิ้ม
     

                    “ไม่เป็นไรนะ  ถึงจะมีรอยแบบนี้แต่คิทตี้ก็ยังน่ารักสำหรับพี่เสมอ” พี่คนหนึ่งที่ชอบทำท่าจีบผม(แบบเล่นๆ)ทำหน้าหวานเยิ้ม(แบบหยอกๆ)ก่อนจะแตะลงที่แผลผมเบาๆ ทำเอาผมสะดุ้ง
     

                    “โอ๊ย!” ดันแตะโดนแผลที่ถูกตบซ้ำ T^T
     

                    “เจ็บเหรอ? พี่ขอโทษ” พี่แกทำหน้าตื่นเมื่อเห็นผมทำท่าเจ็บมากมาย  ไม่ได้เจ็บธรรมดานะพี่  เจ็บแสบบบบบ
     

                    “ไม่เป็นไรพี่  แผลแค่นี้สบายมาก  ต่อให้โดนใครต่อยหน้าอีกผมก็ไม่เป็นไรหรอกฮะ” ผมตั้งใจพูดเสียงดังๆ ให้ไอ้คนที่นั่งไขว้ขากร่างเป็นนักเลงโตคุมซอยได้ยิน
     

                    “ช้ำตั้งหลายที่  ทายารึยัง?” พี่นักบาสถาม
     

                    “ยังเลยครับ  ช่างมันเถอะ  แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย” ผมพูดก่อนจะแอบแตะแก้มตัวเองเบาๆ  เจ็บชะมัดว่ะ
     

                    “ทาซักหน่อยเถอะ  เดี๋ยวพี่ทาให้  เฮ้ยจิ้น  ขอยาทาแผลฟกช้ำกับผ้าห่อน้ำแข็งหน่อยดิ” พี่นักบาสอีกคนเดินไปขออุปกรณ์ทำแผลกับพี่จิ้นซึ่งพี่จิ้นก็รีบหาให้โดยเร็ว




     

     

                    “โอ๊ยยยยยยย  พี่! ผมเจ็บ! ซี้ดด!” ผมแหกปากร้องลั่นเมื่อมือหนักๆ กดลงบนใบหน้าของผมพร้อมกับยาที่ทาแล้วรู้สึกเย็บวาบไปทั้งหน้า  ยานี่จะทำให้หน้าผมเป็นสิวมั้ยอ่ะครับ?? T^T
     

                    “มึงถอยเลย มือหนักอย่างกับควายแน่ะ” พี่จิ้นที่ทนดูการทำแผลของหมีควายไม่ได้จึงผลักพี่คนนั้นออกก่อนจะเข้ามาทำให้แทน
     

                    พี่จิ้นมือเบามากจึงไม่ทำให้ผมร้องลั่นเหมือนครั้งที่พี่นักบาสอีกคนทำให้  และหลังจากพิจารณาแผลจากใบหน้าของผมแล้วพี่จิ้นก็ไม่ให้ผมซ้อมหนักเหมือนเคย
     

                    “เรามีแข่งอีกวันจันทร์เพราะงั้นช่วงนี้คิทพักผ่อนเยอะๆ อย่าซ้อมเพราะมันจะสะเทือนถึงแผลที่หน้า  ดูสิ บวมเป่งเลย” พี่จิ้นพูดพลางมองผมด้วยสายตาเห็นใจ  เห็นหน้าผมบวมเป่งแบบนี้แต่หน้าของพวกไอ้บิลน่ะบวมกว่าผมอีก ฮ่าๆ สงสัยอายมั้งวันนี้พวกมันเลยไม่มาเข้าชมรม
     

                    “ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะลุกยืนเพราะพี่จิ้นอนุญาตให้ผมกลับได้ 
     

                    วันนี้อยากกลับบ้านจัง  ไหนๆ วันนี้ก็วันศุกร์แล้ว  ชวนไอ้พีทกลับบ้านดีกว่า  อีกอย่าง...เพราะพ่อรออยู่ที่บ้านผมจึงอยากกลับมากกว่าเดิม




     

     

                    ผมที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตากดหาเบอร์โทรศัพท์ของพ่อถูกมือใหญ่ที่แสนคุ้นเคยคว้าลำแขนเอาไว้  ผมถอนหายใจไม่หันไปมองคนจับเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร
     

                    “เมื่อวาน  นายมีอะไรจะพูดกับฉัน?” หมอนั่นถามขึ้นก่อนจะเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้าผม
     

                    “ลืมไปแล้ว” ผมทำเป็นไม่สนใจหมอนั่นด้วยการก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์
     

                    “นายไม่ได้ลืม” หมอนั่นพูด
     

                    “ฮึ โทษทีนะ ฉันลืมไปแล้วจริงๆ สงสัยมันเป็นเรื่องที่ไม่อยากจำมั้งเลยลืมไปง่ายๆ” ผมยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส 
     

                    “นั่นสินะ  ฉันลืมไปเลยว่าฉันไม่ได้อยู่ในฐานะรุ่นพี่ของนาย” หมอนั่นปล่อยมือออกจากต้นแขนของผม
     

                    “รู้ตัวก็ดี  รุ่นพี่ที่ไม่ยอมรับตัวเองแล้วเอาแต่ต่อว่าคนอื่นแบบนี้ฉันก็ไม่อยากจะเคารพหรอกนะ”
     

                    “นายคงจะโกรธที่ฉันตบนายเมื่อวาน” หมอนั่นก้มหน้า
     

                    “เปล่าเลย  ตรงข้ามเสียอีก  ฉันดีใจนะ  เพราะฉันรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรติดค้างกับนายอีก” ผมยิ้มแม้ตาจะไม่ยิ้มด้วยก็ตาม
     

                    “หมายความว่าไง” หมอนั่นหมอหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
     

                    “หายกันกับตอนที่ฉันต่อยหน้านายในวันแรกที่เจอกันไง  ให้มันจบซักที เหนื่อยจะตายห่ะ” ผมบ่น
     

                    “นายหมายความว่ายังไง”
     

                    “ฉันกำลังบอกนายว่า...อย่ามายุ่งกับฉันอีกไงล่ะ  เหม็นขี้หน้าจะตายอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะกอดจะจูบอะไรก็ตามอย่ามาทำกับฉันอีก  ขยะแขยง” ผมเบะปาก
     

                    “งั้นเหรอ? ก็เห็นรู้สึกดีทุกครั้งที่กอดที่จูบกันไม่ใช่หรือไง?” หมอนั่นแสยะยิ้ม
     

                    “ก็แค่ถูกกระตุ้น  ผู้ชายน่ะ...รู้ๆ กันอยู่ว่าถ้าถูกกระตุ้นแค่นิดเดียวก็ปล่อยตามอารมณ์แล้ว  ไม่ว่าจะกับคนที่รัก...หรือเกลียด”
     

                    “งั้นขอลองอีกสักครั้งดีไหม  อยากจะรู้จังว่าใบหน้าของนายตอนถูกกระตุ้นเป็นอย่างไร” หมอนั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้
     

                    “อย่าเลย  แต่ถ้านายเป็นผู้หญิงเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที” ผมยักไหล่ก่อนจะเดินออกจากโรงยิม
     

                    ตุบ!
     

                    แต่เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ร่างของผมก็ถูกผลักเข้าผนังโรงยิมด้านนอกซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย  ใบหน้าของผมกระแทกผนังโรงยิมเบาๆ ก่อนแขนผมจะถูกรวบและตรึงไว้เหนือหัว
     

                    แต่ก่อนที่ปากของผมจะถูกทาบทับด้วยปากบางสีส้มที่น่าหลงใหลผมก็พูดออกมาทำให้หมอนั่นชะงัก
     

                    “แค่นี้...นายยังทำร้ายฉันไม่พอใช่ไหม?” ผมถามออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
     

                    “อึก!” หมอนั่นคลายมือที่กำมือผมแน่นออกแต่ก็ยังจับเอาไว้หลวมๆ
     

                    “แค่นี้ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของฉันมันก็ย่ำแย่พอแล้ว  หรือนายอยากจะทำให้มันย่ำแย่ไปกว่านี้ล่ะ  เอาสิ!  ทำใหฉันทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เลยยิ่งดี  จะได้ลาออกให้มันจบๆ  เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงเทอมก็ถูกหักคะแนนความประพฤติจนเหลือไม่ถึงครึ่ง  อยู่ต่ออีกซักเดือนฉันคงถูกไล่ออก  ผลลัพธ์มันไม่ต่างกันเลยใช่ไหมล่ะ?” ผมกัดฟันเค้นเสียงออกมาจากลำคอ
     

                    “ชนินทร์  ฉันขอโทษ” หมอนั่นทำหน้าเศร้าก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด
     

                    “ไม่ต้องหรอก  นายไม่ได้ผิด  มันผิดที่ฉันเองที่อ่อนแอเกินไป  มันเป็นความซวยของชั้นเองที่ทำอะไรก็ผิดไปหมด  แต่ต่อไปนี้...มันคงจบแล้วล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ  ขอบตาร้อนผะผ่าว
     

                    “ขอโทษ...ขอโทษ”
     

                    “ฉันไม่น่า...รู้จักนายเลยจริงๆ” ผมพูดก่อนจะหลับตาลงเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา  ทำไมกัน...ทำไมผมถึงอ่อนแอขนาดนี้  เจอเรื่องหนักหนากว่านี้มาก็ใช่ว่าจะน้อยแต่ผมกลับไม่เคยร้องไห้เลยซักครั้ง  แต่ทำไมตอนนี้  ผมถึงร้องไห้ล่ะ
     

                    “แต่ฉันดีใจที่ได้เจอกับนาย” หมอนั่นกระซิบแผ่วเบาก่อนน้ำตาผมจะไหลเป็นทางยาว  ขอให้ครั้งนี้...เป็นครั้งสุดท้ายที่จะร้องไห้กับคนคนนี้จริงๆ นะชนินทร์
     

                    “คำพูดแบบนั้นน่ะเก็บไว้ใช้กับคนอื่นเถอะ  ฉันเบื่อเต็มทนกับการที่จะต้องมานั่งฟังนายพูดแก้ตัวให้ตัวเองฟังดูดี  ครั้งนี้นายก็คงจะพูดเหมือนครั้งที่แล้วตอนที่ฉันทะเลาะกับพวกไอ้บิล  เบื่อ เบื่อ เบื่อที่สุด!! ทำไมฉันจะต้องถูกหาเรื่องเพราะเรื่องไร้สาระ ปัญญาอ่อนนี่ด้วย!!” ผมตวาดเสียงดังในตอนท้ายประโยค  น้ำเสียงฟังออกชัดเลยว่าผมกำลังร้องไห้

                    “ชนินทร์ฉันขอโทษ  ขอโทษ” หมอนั่นเอ่ยซ้ำก่อนจะจูบซับน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของผม
     

                    “หยุดพูดคำน่าเบื่อพรรค์นั้นได้แล้ว  คำขอโทษมันก็มีไว้แค่ให้คนผิดแก้ตัวเท่านั้นแหละ  มันเป็นคำที่พูดแล้วทำให้ตัวเองดูดีขึ้น  พูดแล้วจะพ้นผิด!  ฉันไม่ได้อยากรับคำขอโทษที่มันไม่มีความจริงใจ!!” ผมตวาดก่อนมือไม้จะอยู่ไม่สุก  เริ่มทุบตีคนที่กำลังโอบกอดผมอยู่
     

                    “เฮีย!! เฮียทำอะไรคิทตี้น่ะ!!” ก่อนที่ผมจะทุบตีไอ้คีตะให้หนำใจเสียงอันทรงพลังของไอ้วาก็ดังขึ้น  ผมผลักไอ้คีตะออกก่อนจะวิ่งไปหลบหลังไอ้วากับไอ้พีทที่เดินมาด้วยกัน  พวกมึงมาได้จังหวะพอดีเลยว่ะ
     

                    “คิท” ไอ้พีทเรียกชื่อผมก่อนจะดึงผมไปกอดไว้
     

                    “วา เรื่องนี้มึงไม่เกี่ยว!” ไอ้คีตะหันกลับมาแล้วตวาดไอ้วา
     

                    “ทำไมผมจะไม่เกี่ยว! ผมเป็นเพื่อนคิทตี้และเป็นรูมเมทเขาด้วย” ไอ้วาตวาดกลับ
     

                    “อย่ามายุ่ง  เรื่องนี้มันเรื่องของกูกับชนินทร์” ไอ้คีตะพูด
     

                    “เฮียนั่นแหละอย่ามายุ่ง  มาชุบมือเปิบไปไม่พอยังจะมีหน้ามาทำให้คิทตี้ร้องไห้” ไอ้วาพูดก่อนจะเดินไปผลักอกไอ้คีตะ
     

                    “ก็กำลังเคลียร์กันอยู่นี่ไง”
     

                    “จริงไหมคิทตี้” ไอ้วาหันมาถามผม
     

                    “ไม่จริง  เรื่องมันเคลียร์แล้ว” ผมพูดพลางปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากใบหน้า
     

                    “นายจะฟังฉันก่อนได้ไหมล่ะ?” ไอ้คีตะถามอย่างไม่พอใจที่ผมไม่ยอมฟังอะไรเลย
     

                    “ฟังไปแล้วได้อะไรขึ้นมา  ได้แต่คำแก้ตัวที่ไม่มีประโยชน์อะไร  จะบอกว่าที่ตบกูอยู่คนเดียวเพราะไม่อยากให้พวกนั้นพูดว่ามึงให้ท้ายกูใช่ไหมล่ะ ฮึ คำพูดควายๆ พรรค์นั้นกูไม่อยากฟังว่ะ” ผมแสยะปาก
     

                    “ที่ตบเพราะนายไร้เหตุผล” หมอนั่นพูด
     

                    “เหตุผลเหรอ? เหตุผลที่ว่ากูป้องกันตัวเองนี่ยังไม่พอใช่มะ? กูบอกแล้วไงว่าคราวหน้าเดี๋ยวกูจะยืนนิ่งๆ ในพวกมันกระทืบ  กูจะได้ไม่ต้องทนคำด่าคำประณามทั้งๆ ที่กูไม่ผิด!” ผมตะคอกเสียงดัง  ตอนนี้ใบหน้าผมปราศจากน้ำตาเหลือทิ้งไว้เพียงคราบเท่านั้น
     

                    “พอแล้ว  เรากลับกันเถอะคิท” ไอ้พีทส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะดึงผมที่ทำท่าอยากจะตั๊นหน้าคนกลับมา
     

                    “อืม วันนี้กูจะกลับบ้าน  มึงกลับกับกูไหม” ผมหันไปถามไอ้พีทด้วยเสียงที่อ่อนลง
     

                    “มึงกลับกูก็กลับ  เดี๋ยวกูโทรเรียกพ่อมารับ” ไอ้พีทพูดพลางเดินนำกลับไปที่หอผมกับไอ้วาจึงเดินตามปล่อยไอ้คีตะให้ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น
     

                    “นี่ อยากไปค้างบ้านพวกมึงอ่ะ” ไอ้วาพูดยิ้มๆ ออกแนวอ้อน
     

                    “ค้างบ้านกูไม่ได้หรอก  พี่สาวกูหนวกหูน่ารำคาญ” ไอ้พีทพูด  บ้านผมกับบ้านไอ้พีทติดกันนี่เนอะ  บ้านไอ้พีทน่ะหลังใหญ่แต่บ้านผมอ่ะหลังเล็กๆ ที่มีสามห้องนอนสี่ห้องน้ำ  ห้องนั่งเล่นก็ไม่ค่อยกว้างเท่าไหร่แต่ห้องครัวค่อนข้างกว้างเพราะพ่อชอบทำกับข้าว  มีสวนหย่อมเล็กๆ หน้าบ้านที่ตอนนี้คงจะกลายเป็นดงหญ้าขนาดย่อมไปแล้วเพราะไม่มีคนดูแล
     

                    “บ้านกูก็ได้  เดี๋ยวไปชวนไอ้ลิซกะไอ้มินทร์ไปด้วยละกัน  เล่นไพ่กันทั้งคืนเลยเป็นไง” ผมเสนอ  อยากลบความเครียดโดยใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ
     

                    “เจ๋งงงงง!” ไอ้พีทกับไอ้วาพูดแทบจะพร้อมกันจากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งกลับหอโดยมีไอ้พีทวิ่งกลับมาถึงช้าที่สุด ฮ่าๆๆ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×