ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #17 : Rule 12 : ความรักมันห้ามกันไม่ได้

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 56


    edit : 21/01/14
    Rule 12 : ความรักมันห้ามกันไม่ได้



                    หลังจากนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลาย  คนอื่นๆ ก็แยกกันไปซ้อมเหมือนเดิมแต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะซ้อมต่อก็เลยได้แต่นั่งปล่อยออร่าสีดำจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้  พวกพี่ๆ นักบาสมองผมอย่างเห็นใจแต่ก็ไม่กล้าเข้ามาหา  สายตาเป็นห่วงของพวกพี่ๆ เป็นเพียงส่วนน้อยแต่สมาชิกชมรมคนอื่นๆ กลับมองผมด้วยสายตาที่แปลกออกไป  โดยเฉพาะพวกชั้นปีเดียวกัน สงสัยรู้จักกับไอ้เชี่ยบิลเลยพลอยจะไม่ชอบผมไปด้วย
     

                    ผมนั่งชันเข่ามองเท้าตัวเองได้ซักพักพวกพี่ๆ นักบาสก็เดินเข้ามาหา  คงจะอึดอัดที่เห็นผมเป็นแบบนี้
     

                    “น้องคิทครับ  อย่าเครียดไปเลย” พี่บอลนั่งยองๆ ลงตรงหน้าผมก่อนจะตบบ่าเบาๆ  พี่แกยิ้มได้อ่อนโยนมาก  ผมไม่ได้เครียดแต่ผมโกรธ ผมเกลียดพวกมัน!!
     

                    “นั่นสิ  เครียดไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมารังแต่จะทำให้การซ้อมของนายติดขัดไปนะ” พี่จิ้นให้กำลังใจอีกคน
     

                    “ครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ คิ้วที่ขมวดก็ค่อยๆ คลายออก
     

                    “บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงไปท้าทายเขาแบบนั้น” พี่บอลถามเสียงอ่อนโยน  พี่บอลนี่ดีจังไม่เหมือนไอ้คีตะที่ไม่ได้เข้าใจอะไรผมเลย  ทั้งๆ ที่น่าจะรู้จักนิสัยของไอ้บิลดีแท้ๆ
     

                    “มันบอกว่า...ผมประจบพวกพี่...เพราะอยากเป็นนักกีฬา” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบา
     

                    “ไม่หรอก  นายไม่ได้ประจบพวกพี่เลย  พวกพี่ต่างหากที่เข้าหานายเอง” พี่นักบาสคนหนึ่งพูดขึ้น  ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพวกพี่ๆ ก่อนจะเผยยิ้มบางๆ ออกมา
     

                    “พี่เห็นพรสวรรค์ของนายก็เลยตั้งใจจะปั้นนาย  อย่าไปฟังคำคนอื่นเลย  เชื่อมั่นในตัวเองสิคิท!” พี่จิ้นพูด  ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พี่บอลจึงลุกขึ้นตาม
     

                    “ขอบคุณพวกพี่ๆ มากนะครับ  ผมคิดว่าพวกพี่จะมองผมเหมือนที่คนอื่นๆ มองเสียอีก  พี่บอลครับ ผมขอโทษนะครับที่สัญญาไว้แล้วทำตามไม่ได้  ผมจะพยายามไม่ใช้กำลังตัดสินนะครับ” ผมหันไปไหว้ขอโทษพี่บอล  พี่บอลยิ้มอ่อนโยนก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ

                    “อืม พี่ไม่ถือโทษโกรธเราหรอกแต่พี่ต้องตัดคะแนนคิทนะ  ถ้าทำอีกเดี๋ยวคะแนนก็ไม่เหลือให้ตัดหรอก” พี่บอลดึงผมเข้าไปหาก่อนจะจับหัวผมซุกไปที่ใต้วงแขนของพี่แกและขยี้ผมของผมเสียจนยุ่งเหยิง
     

                    “คร้าบ” ผมหัวเราะ
     

                    “เฮ้ยบอล  มึงคิดว่ารักแร้มึงหอมเหรอวะ  เดี๋ยวน้องก็เป็นลมหรอก” พี่จิ้นแซวก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้น
     

                    “ไม่จริงน่า ตัวฉันหอมจะตาย  ใช่ไหมคิทตี้” พี่บอลพูดพลางกดศีรษะของผมให้จมไปกับรักแร้
     

                    “ช่วยผมด้วย  ผมเหม็น ฮ่าๆๆ” ผมแกล้งพี่บอล  ที่จริงก็ไม่ได้เหม็นหรอกครับ  แม้จะมีเหงื่อออกมากแต่แปลกนะที่พี่แกยังตัวหอมอยู่เลย

     



     

                    ผมกลับมาที่หอหลังจากซ้อมเสร็จ  อาบน้ำทำธุระเสร็จแล้ว  ก็กะจะชวนเพื่อนก๊วนเดียวกันไปเล่นไพ่ห้องไอ้พีท  ผมยืมสำรับไพ่ของพี่จิ้นมาแล้วและโทรบอกเพื่อนๆ แล้วด้วยว่าให้ไปรวมตัวกันที่ห้อง
     

                    “เฮ้ย เชี่ยวา กูลืมของอยู่โรงยิม  มึงไปก่อนเลยนะ” ผมพูดพลางยัดสำรับไพ่ใส่มือไอ้วา  ผมดันลืมกระเป๋าเป้ไว้ที่โรงยิมน่ะสิ  ถ้าไม่รีบไปเอามาคืนนี้ผมไม่ได้ทำการบ้านแน่

                    “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” ไอ้วาพูด
     

                    “ไม่เป็นไรเดี๋ยวเพื่อนรอ  เออ เล่นไปก่อนเลยนะไม่ต้องรอกู” ผมพูดพลางเข้าไปใส่รองเท้าแตะในห้องก่อนจะรีบวิ่งออกจากหอ  ปกติเวลาเดินไปห้องไอ้พีทพวกผมไม่ใส่รองเท้ากันหรอก



     

     

                    ผมเดินกล้าๆ กลัวๆ ไปที่โรงยิม  นี่ก็มืดแล้วโรงเรียนก็น่ากลัว  พอผมเดินไปถึงผมก็แอบโล่งใจเพราะเห็นแสงไฟเล็ดลอดออกมาจากประตูที่แง้มไว้  เสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นโรงยิมเอี๊ยดอ๊าดดังมาพร้อมกับเสียงลูกบาสกระทบกับพื้น  ใครนะขยันซ้อมจริง
     

                    ผมแง้มประตูดูเพราะถ้าเปิดพรวดพราดเข้าไปเดี๋ยวคนที่ซ้อมอยู่จะตกใจ
     

                    เมื่อเห็นคนที่ซ้อมอยู่ผมถึงกับอึ้ง  คนที่ซ้อมอยู่คือไอ้คีตะ  เพราะเห็นมันทำให้ผมตัดสินใจจะกลับทันที  ไม่ทงไม่ทำแม่มแล้วการบ้าน
     

                    ฟุ่บ!!
     

                    เสียงชู้ตบาสทำให้ผมตัดสินใจหันกลับมาดูอีกครั้ง  หมอนั่นปาดเหงื่อที่ไหลอาบเต็มหน้าออกก่อนจะเดินไปดื่มน้ำ  ร่างกายของหมอนั่นอาบเหงื่อจนดูเหมือนผิวของมันกลัดมัน  มันหอบหายใจถี่ก่อนจะเดินไปตรงหน้าแป้นอีกครั้ง
     

                    “ฮู้ววว!! ลูกสุดท้าย!!” พอชู้ตลงหมอนั่นก็ล้มลงนอนแผ่หลาบนพื้นโรงยิม  ดูท่าทางจะเหนื่อยมากนะนั่น
     

                    จู่ๆ หมอนั่นก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้างและมองไปที่มือของตัวเอง  ผมเบิกตาอย่างตกใจที่เห็นสภาพมือของเขา  มือแดงช้ำและมีแผลเป็นหย่อมๆ  อย่าบอกนะว่าหมอนั่นซ้อมจะมือกลายเป็นแบบนั้น  นั่นสินะ...ตอนที่ถูกมือนั่นจับแขนก็คิดอยู่เชียวว่าทำไมมือมันหยาบจัง
     

                    ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับ
     

                    “คิท...ชนินทร์!!” จู่ๆ เสียงหมอนั่นก็ดังขึ้นผมตกใจจึงรีบวิ่ง
     

                    “เดี๋ยว...เดี๋ยวชนินทร์!!” หมอนั่นวิ่งตามออกมา  เมื่อผมเห็นมันวิ่งผมก็รีบสับขาวิ่งให้ไวทันทีแต่ดูเหมือนว่าขาสั้นๆ ของผมจะทำพิษเสียแล้ว
     

                    “แฮ่กๆ เดี๋ยวสิ” ไอ้หมอนั่นหอบก่อนจะออกแรงลากผมกลับเข้าไปในโรงยิม
     

                    “ชิ!! อะไร!?!” ผมถามเสียงห้วนอย่างไม่พอใจที่มันลากผมมา
     

                    “เมื่อกี้นายดูฉันอยู่เหรอ??” มันถามยิ้มๆ ไม่ต้องมายิ้ม! กูไม่อยากเห็นมึงยิ้ม!
     

                    “ไม่! ฉันจะมาเอากระเป๋า พอเห็นนายก็เลยจะกลับ!” ผมเบือนหน้าหนีไปด้านอื่น  ยิ่งมองหน้ามันหน้าไอ้บิลก็ลอยตามมาและนั่นมันทำให้ผมหงุดหงิดมาก
     

                    “เรื่องตอนเย็นน่ะ...”
     

                    “อย่าพูดถึงมันได้ไหม  หงุดหงิด!” ผมทำเสียงไม่พอใจและทำท่าจะเดินออกจากโรงยิมแต่ก็ถูกหมอนั่นดึงไว้อีกเช่นเคย  จะมาพูดแก้ตัวอะไรให้ไอ้บิลล่ะ  หรือจะด่ากูซ้ำ  ไม่อยากฟัง น่ารำคาญ!
     

                    “ฉันรู้ว่านายโกรธที่ฉันว่านายแต่ว่า...”
     

                    “ถ้ายังไม่หุบปากฉันจะต่อยนาย  อยากให้ฉันโมโหจนทำร้ายคนอื่นแล้วถูกหักคะแนนอีกงั้นสิ!” ผมกัดริมฝีปากพร้อมกับกำหมัดแน่น
     

                    “ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย  นายฟังฉันก่อนสิ”
     

                    “ฉันจะบอกอะไรให้นะ  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของฉันกับไอ้พวกเวรนั่นนายไม่เกี่ยว  ไม่ต้องมาแก้ตัวให้กัน ไม่อยากฟัง  ย้ำอีกครั้งนะว่าไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องของฉัน!!
     

                    หมับ!!
     

                    พูดจบผมก็ถูกไอ้ยักษ์ดึงเข้าไปกอด  ผมอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก  รู้สึกเหมือนร่างกายแข็งทื่อจนขยับไม่ได้  อยากจะดิ้นออกจากอ้อมกอดของหมอนี่แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้เลยจริงๆ



     

                   

                    “อารมณ์เย็นลงแล้วใช่มั้ย” นานกว่าหมอนั่นจะพูดขึ้น  นั่นสิ...ผมอารมณ์เย็นลงแล้วเหรอ?
     

                    “ปล่อย!” รู้สึกเหมือนได้สติ  ร่างกายขยับได้อีกครั้งผมจึงผลักหมอนั่นจนมันถอยหลังเซเหมือนจะล้ม
     

                    “นี่ ฟังฉันหน่อย  ถ้าฟังแล้วนายจะวีนจะตบจะตีฉันก็เอา” หมอนั่นจับมือผมแล้วพูด
     

                    “...” ผมหันหน้าไปด้านอื่นโดยไม่พูดอะไร
     

                    “ฉันไม่ได้เข้าข้างพวกน้องบิล  และฉันก็เข้าข้างนายไม่ได้  ถ้าฉันเข้าข้างนายคนอื่นๆ ก็ยิ่งจะไม่ชอบนายเพราะคิดว่ามีพวกฉันหนุนหลังให้  ฉันไม่อยากได้ยินใครว่านายเอาตัวเข้ามาแลกเพราะอยากให้พวกฉันหนุนหลังหรอกนะ  ฉันรู้จักนิสัยน้องบิลก็จริงแต่ฉันทำอะไรไม่ได้เพราะทุกคนก็เห็นว่าพวกนั้นถูกนายทำร้าย  ตอนนั้นฉันโมโหเพราะได้ยินเสียงซุบซิบกันว่าพวกฉันโอ๋นายก็เลยต้องว่านายไปอย่างนั้น” ไอ้หมอนั่นพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ผมเงยหน้ามองหน้ามันอย่างไม่อยากจะเชื่อ
     

                    “นายพูดจริงเหรอ? ไม่ใช่ว่านายอยากจะปกป้องคนรักเก่าหรอกเหรอ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ  น้ำเสียงของผมอ่อนลง
     

                    “คนรักเก่าอะไร?! ฉันกับไอ้เด็กบ้านั่นไม่เคยเป็นอะไรกันซักหน่อย! อย่าพูดอะไรน่าขนลุกแบบนั้นได้ไหม?” ไอ้คีตะพูดเสียงดังขึ้นทันทีเมื่อพูดถึงไอ้บิล
     

                    “ไม่รู้ล่ะ ก็นึกว่านายเป็นห่วงหมอนั่น” ผมยักไหล่  อารมณ์ดีขึ้นแฮะ ^^
     

                    “ไม่มีทางหรอกน่า ฉันไม่ได้พิศวาสเด็กนั่นเสียหน่อย ฮุ เหนื่อยชะมัดเลย  นายทำให้ฉันเหนื่อยกว่าเดิมอีกนะรู้ไหม” หมอนั่นถอนหายใจก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น
     

                    “แล้วนี่...นายซ้อมมานานแค่ไหนแล้ว?” ผมถามเพราะท่าทางของหมอนี่ดูเพลียเหลือเกิน
     

                    “หืม ก็...ตั้งแต่คนหมดโรงยิมนั่นแหละ” หมอนั่นตอบ
     

                    “แต่นี่มันสามทุ่มแล้วนะ นายซ้อมอะไรจนถึงสามทุ่มเนี่ย!?!” ผมถามอย่างตกใจ  คนจะหมดจากโรงยิมประมาณหนึ่งทุ่มแสดงว่าหมอนี่ซ้อมสองชั่วโมงสินะ
     

                    “ก็ซ้อมไปเรื่อยๆ นั่นแหละ  ไม่ได้ทำตามตารางของไอ้จิ้นหรอก  ฉันซ้อมตามตารางของมันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว  ซ้อมจนชินแล้วก็ว่าได้มั้ง” มันพูดหน้าซื่อๆ เฮ้ยๆ ขนาดผมเริ่มแค่เบสิกๆ ผมยังจะตาย  แสดงว่าหมอนี่ซ้อมจนบรรลุแล้วเหรอ??
     

                    “ตอนม.ต้น?? ตอนม.ต้นนายต้องวิ่งสิบกิโลแล้วต้องหัดชู้ตสองร้อยลูกงั้นเหรอ?? เด็กขนาดนั้นนายไหวเหรอ??” ผมถาม  ขนาดผมอยู่ม.ปลายแล้วผมยังไม่ไหวเลย
     

                    “หืม?? วิ่งสิบกิโลเหรอ?? ไม่นะ...ไอ้หมอนั่นให้ฉันวิ่งยี่สิบกิโล เช้าสิบเย็นสิบ”
     

                    “o[]o!!” ผมอ้าปากค้าง
     

                    “หมอนั่นทรมานฉันแบบนั้นอยู่ประมาณสามเดือนโดยไม่ยอมให้ฉันทำอย่างอื่น  ฉันต้องวิ่งอย่างนั้นอยู่สามเดือนแน่ะ โคตรน่าเบื่อเลย” หมอนั่นบ่น
     

                    “ยี่สิบกิโลต่อวันเนี่ยนะ  ไม่ตายเหรอแบบนั้น” ผมถอนหายใจ  พี่จิ้นโหดชะมัด
     

                    “ช่วงเดือนแรกๆ ฉันก็แทบไม่ไหวเหมือนกัน  แต่พอนานเข้าก็ชิน”
     

                    “เพราะแบบนั้นนายเลยสูงขนาดนี้เลยเหรอ??” ผมถาม  ถ้ามันเป็นแบบนั้นผมจะวิ่ง!!
     

                    “เปล่า ฉันสูงเพราะกรรมพันธุ์น่ะ  แต่ก่อนฉันเล่นแต่ดนตรีไม่ได้เล่นกีฬาเลยจนมาเจอกับไอ้จิ้นนี่แหละ  เพราะมันตัวเล็กมันเลยหมั่นไส้ที่ฉันสูงกว่าแต่ดันอ่อนกีฬามากมันก็เลยบังคับให้ฉันเล่นกีฬา”
     

                    “พี่จิ้นนี่น่ากลัวเนอะ” ผมทำหน้าขยาด
     

                    “อืม แต่ฉันก็ต้องขอบคุณมันนะ  เพราะมันฉันถึงมีรูปร่างแบบนี้แถมฉันยังเล่นกีฬาได้ดีเกินคาดอีกต่างหาก” อ่า...ผมอิจฉาหุ่นหมอนี่ชะมัด  ทั้งๆ ที่มันกินขนมจุบจิบแต่กลับไม่มีไขมันส่วนเกินเลย  กล้ามแขนก็ใหญ่  น่าอิจฉาจริงๆ!!
     

                    “ถ้างั้นถ้าฉันทำแบบนายบ้างฉันอาจจะมีรูปร่างแบบนี้ใช่ไหม?? ตอนนั้นพี่จิ้นให้นายทำไรบ้างอ่ะ  บอกหน่อยดิ” ผมถามอย่างสนใจ
     

                    “อยากมีรูปร่างแบบฉันเหรอ??”
     

                    “ใช่” ผมตอบโดยไม่คิดทำให้หมอนั่นหัวเราะ “เฮ้ย! แต่ฉันไม่ได้หมายความว่านายรูปร่างดีหรอกนะ” ผมนึกได้จึงรีบแก้  อ่า...เสียท่าชมมันไปซะได้  อายจัง  ฟอร์มหลุดเลยกรู
     

                    “ฮึ เอามือมานี่” หมอนั่นยื่นมือออกมาพลางกระดิกนิ้ว  ผมมองหน้าหมอนั่นนิดหน่อยแต่ก็ยื่นมือออกไป  หมอนั่นดึงผมให้ลงไปนั่งด้วยแล้วก็เริ่มบีบมือผม
     

                    “นายจะยอมให้มือนิ่มๆ หยาบกร้านไหมล่ะ??” หมอนั่นถามทั้งๆ ที่ยังจับมือผมไว้อยู่
     

                    “แน่นอนสิ ฉันเป็นผู้ชายฉันไม่แคร์เรื่องมือนิ่มไม่นิ่มหรอกนะ” ผมตอบทันที
     

                    “งั้น  นายตัดผมก่อนดีไหม?”
     

                    “เกี่ยวอะไรกับผมเล่า  ทีผมนายยังยาวจนรวบได้เลยแล้วทำไมฉันต้องตัดด้วยล่ะ??” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ  ผมไม่ชอบเข้าร้านทำผมเพราะพวกช่างเสริมสวยมักจะคิดว่าผมเป็นทอมและชอบแนะนำให้ผมไว้ผมยาวเพราะผมจะต้องสวยแน่ๆ ให้ตายเถอะ  ผมไม่ชอบเลย
     

                    “เพราะว่าพอผมนายยาวแบบนี้แล้ว...เอ่อ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” หมอนั่นเลื่อนมือมาลูบใบหน้าของผมก่อนจะรีบชักมือออก
     

                    “เอาเป็นว่านายรีบบอกเถอะว่าจะต้องทำยังไงฉันจะได้หุ่นดีๆ” ผมตัดบท  เพราะใบหน้าเมื่อกี้ของมันทำให้ผมหายใจติดขัด
     

                    “สามเดือนแรก  ฉันวิ่งยี่สิบกิโลซึ่งหลังจากนั้นกล้ามที่ขาก็ขึ้นร่างกายก็แข็งแรงขึ้นด้วย  สามเดือนถัดมาก็ลดจากยี่สิบกิโลมันเป็นสิบห้ากิโลแต่ต้องกระโดดเชือกด้วยสามสิบนาทีและนั่นทำให้ฉันสูงขึ้นตั้งห้าเซ็น  ซ้อมครบหกเดือนนี้กล้ามเนื้อก็ขึ้นมาอย่างสวยเลยล่ะ” หมอนั่นพูด 
     

                    “ตั้งหกเดือนแน่ะกว่าจะมีสัดส่วนดี” ผมบ่น  อยากให้มันดีตั้งแต่สามเดือนแรกจริงๆ
     

                    “ลำบากแทบแย่กว่าจะได้ขนาดนี้  แต่หลังจากนั้นฉันก็ต้องซ้อมหนักขึ้นกว่าเดิมทั้งต้องวิ่ง กระโดดเชือก ชู้ตลูกและวิ่งสไลด์ เข้าฟิตเนส  กว่าจะได้เป็นนักบาสก็ตอนม.สอง  ในปีนั้นฉันสูงขึ้นตั้งสิบเซ็น(จาก168เป็น178  ปัจจุบันสูง189 cm:Writer)”
     

                    “ตอนม.หนึ่งฉันก็สูงขึ้นสิบเซ็นแต่หลังจากนั้นก็ไม่สูงอีกเลย  ทั้งๆ ที่ฉันก็เล่นบาสเหมือนกันแต่ทำไมฉันถึงมีรูปร่างแห้งเป็นก้างปลาแบบนี้เล่า” ผมบ่น
     

                    “ฮึๆ อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ด้วยก็ได้นะ  จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังมีโอกาสสูงได้อีกเพราะงั้นนายก็คงจะสูงได้อีกเหมือนกัน”
     

                    “นี่นายยังจะสูงขึ้นอีกเหรอ  แต่ฉันสูงยากมากเลยนะทั้งๆ ที่พ่อของฉันออกจะสูงขนาดนั้นแท้ๆ” น้อยใจในโชคชะตาเกิดมาสวรรค์ทำร้าย โฮกกกกก

                    “พ่อนาย?? ลุงคนนั้นน่ะเหรอ?” ไอ้หมอนั่นถาม  อุ๊บ!! ฮ่าๆๆ  มีคนเรียกพ่อผมว่าลุงด้วย ก๊ากกกก ผมหมั่นไส้พ่อมานานแล้ว  ปกติมีแต่คนเรียกว่าพี่ ฮุๆ ถ้าพ่อได้ยินคงเครียดจัด
     

                    “ฮ่าๆๆ นานๆ ทีจะมีคนเรียกพ่อฉันว่าลุง สะใจจริงๆ” ผมหัวเราะร่า
     

                    “บ้าหรือเปล่านาย แทนที่จะโกรธที่ฉันเรียกพ่อนายว่าลุง แต่ฉันเข้าใจนายเลย  พ่อฉันก็มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ของฉันเหมือนกัน เฮ้อ มีพ่อหน้าหนุ่มนี่แย่เหมือนกันเนอะ” หมอนั่นบ่น  อืม...หัวอกเดียวกัน
     

                    “เนอะๆ จะว่าไปพ่อนายคงจะสูงมากแน่ๆ นายถึงสูงขนาดนี้” ผมพูด  ทีพ่อคนอื่นเค้ายังให้ลูกสูงเลยทำไมพ่อของผมถึงไม่ให้ผมบ้าง
     

                    “เปล่าเลย  พ่อฉันตัวเล็กจะตาย  สูงเท่าติ่งหูฉันเอง” ถึงจะสูงเท่าติ่งหูนายแต่อย่างน้อยก็สูงกว่าชั้นล่ะวะเพราะฉันสูงไม่ถึงคางของนายด้วยซ้ำ เฮ้อ
     

                    “อ้าว แล้วนายสูงได้ใครล่ะ??”
     

                    “แม่น่ะ  แม่ฉันเป็นชาวต่างชาติ  กรรมพันธุ์ฝ่ายแม่ก็สูงลูกๆ ก็เลยสูงด้วย”
     

                    “แสดงว่าสีตาของนายก็ได้แม่สินะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปเพื่อจะมองสีตาของหมอนั่นผ่านคอนแท็คเลนส์
     

                    “อืม” ผมที่พยายามจะมองสีตาของหมอนั่นไม่รู้ตัวเลยว่าหมอนั่นก็ยื่นหน้าเข้ามาหาผมเหมือนกัน 
     

                    ผมรู้สึกว่ายิ่งมองตาของหมอนั่นยิ่งเข้ามาใกล้แฮะ  อืม มันก็ชัดดีหรอกแต่มองยังไงก็ไม่เห็นสีตาจริงๆ ของหมอนี่เสียที เอ๊ะ ลมอะไรเป่าหน้าผมเนี่ย
     

                    “วะ...ว้ากกกก!!” ผมร้องลั่นเมื่อรู้สึกตัวว่าจมูกผมกำลังจะแตะกับจมูกของหมอนั่น
     

                    ผมตกใจจะหงายหลังจึงเผลอคว้าคอของไอ้คีตะมาทำให้หมอนั่นล้มลงมาทับผมและ...
     

                    ปากของมันก็แนบลงมาเบียดกับปากของผม!! อ๊ากกกกกกกกกก!! ไม่จริงงงงงงง!  ผมจูบกับไอ้บ้านี่อีกแล้ว  ผมอยากตาย ฮือๆๆๆ!!
     

                    ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นจะไม่ยอมลุกซ้ำยังกดริมฝีปากลงมาทับกับปากผมมากขึ้น  ลิ้นอุ่นๆ ไล้ที่ริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะแทรกเข้ามาในปาก  ผมหลับตาแน่นทำอะไรไม่ถูก  กลิ่นหวานๆ ของอะไรบางอย่างสัมผัสกับลิ้นของผมทำให้ผมอ่อนยวบยาบและเริ่มตอบรับสัมผัสที่ได้รับอย่างไม่รู้ตัว
     

                    มือหยาบหนาประคองหน้าผมก่อนจะเริ่มจูบอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกเจ็บที่ปาก  แรงดูดเน้นๆ ทำให้ผมสะดุ้งเพราะความเจ็บ  เสียงลมหายใจถี่รัวเพราะหายใจไม่ทัน  ผมยื่นมือออกไปขยำคอเสื้อของหมอนั่นเพื่อระบายความเจ็บที่ริมฝีปาก  ถ้ามึงดูดแรงไปมากกว่านี้เสื้อมึงขาดแน่!!  เฮ้ย!! นี่กูทำบ้าอะไรของกูอยู่เนี่ย!!
     

                    ผมเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังถูกไอ้บ้าคีตะดูดปากอยู่!!
     

                    “อะ...อื้อ...อื้ม ดะ เดี๋ยว..” ผมพยายามเบือนหน้าหนีและพยายามผลักหมอนั่นออกแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะมันยังไม่ยอมหยุดนัวเนียปากผมเสียที

                    ตึง!!
     

                    “เฮียทำอะไรคิทตี้น่ะ!?!?!” ก่อนที่ผมจะผลักไอ้คีตะออกเสียงของไอ้วาก็ดังขึ้นที่หน้าประตูโรงยิมทำให้ผมกับไอ้คีตะรีบผละออกจากกันอย่างตกใจ
     

                    “ก็นึกว่าทำไมถึงมาช้านัก!! ทำไมเฮียทำแบบนี้ล่ะ! เฮียก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมชอบคิทน่ะ  นี่เฮียคิดจะแย่งผมเหรอ??” ไอ้วาตะโกนอย่างเดือดดาลก่อนจะเข้ามากระชากคอเสื้อของไอ้คีตะ
     

                    อะ...ไอ้วา...นี่มึง  ชอบกูจริงๆ เหรอ??
     

                    “กู...” ไอ้คีตะที่ลุกขึ้นตามแรงฉุดกระชากหลุบตาลงต่ำ
     

                    “เฮีย! เฮียชอบคิทเหรอ!?! ทำไมเฮียทำแบบนี้ล่ะ ทำไมเฮียทำกับผมแบบนี้!!” ไอ้วาขมวดคิ้วพลางเขย่าไอ้คีตะก่อนจะผลักมันออก  ไอ้คีตะเซถลาล้มลงก้นกระแทกพื้น
     

                    “ไอ้วา!?!” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูโรงยิมอีกครั้ง  คนที่เรียกไอ้วาคือไอ้ลิซนั่นเอง
     

                    “นี่มันเรื่องเหี้ยไรวะ?” ผมพึมพำกับตัวเอง
     

                    “กูว่าแล้ว  ไอ้วา มึงสงบสติอารมณ์หน่อยได้ไหม  มึงทำอะไรพี่คิทน่ะ  เค้าเป็นพี่มึงนะ” ไอ้ลิซเดินเข้ามากระชากไอ้วาให้ถอยห่างจากไอ้คีตะเพราะมันทำท่าเหมือนจะเข้าไปต่อยไอ้คีตะอย่างไรอย่างนั้น
     

                    “เฮียชอบคิท” ไอ้วาสะบัดหน้าก่อนจะพูดอย่างโกรธๆ
     

                    “กูบอกตอนไหนว่ากูชอบชนินทร์  กูไม่ได้ชอบ” ไอ้คีตะพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
     

                    “แล้วเฮียจูบคิททำไม  นี่มันกี่ครั้งแล้วที่เฮียจูบคิท  ผมเห็นแค่สองครั้งแต่ที่จริงทำบ่อยแล้วใช่มั้ยล่ะ?!!” ไอ้วาตะคอก
     

                    ผลัวะ!!
     

                    “มึงพูดแบบนี้เหมือนกำลังดูถูกกูเลยนะวา  มึงคิดว่ากูเป็นคนยังไง” ผมต่อยไอ้วาจนหน้าคว่ำก่อนจะพูดอย่างผิดหวัง
     

                    “เป็นเรื่องแล้วไง” ไอ้ลิซตบหน้าผากเบาๆ ก่อนจะเดินไปดึงไอ้วาที่ล้มลงขึ้นมาอย่างเซ็งๆ
     

                    “มึงรู้ไหมวาว่าสิ่งที่กูกังวลมากที่สุดระหว่างที่อยู่หอคืออะไร  กูกังวลว่าซักวันมึงจะบอกกูอย่างจริงจังว่ามึงชอบกู  กูลำบากใจมากแค่ไหนมึงรู้ไหม  กูคิดว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันและไม่มีทางที่ความสัมพันธ์ของเรามันจะเกินขอบเขตคำว่าเพื่อน” ผมพูด  อึดอัดเหลือเกิน
     

                    “ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหน” ไอ้วาทำหน้าเศร้า  ในขณะนั้นผมก็เหลือบไปเห็นไอ้ลิซที่หันหน้าหนี  สายตาของมันสลดลงถนัดตา  อย่าบอกนะว่า...ไอ้ลิซชอบไอ้วาหรือไม่มันก็ต้องชอบผม!?!  นี่มันอะไรกัน!?!
     

                    “วา กูไม่ได้อยากจะห้ามมึง  แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ กูไม่อยากให้สายสัมพันธ์ของเราขาด”
     

                    “แต่ถ้าคิทรักวามันก็ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ  ถ้านายจะรักฉันบ้าง” ไอ้วาก้มหน้าพูด
     

                    “กูรักมึง...แต่ในฐานะเพื่อน” ผมตบไหล่ไอ้วาเบาๆ แต่มันกลับดึงมือผมไปจับไว้
     

                    “ไม่ต้องรีบตอบก็ได้  นายกลับไปคิดดูก็ได้นะคิท” ไอ้วามองผมด้วยแววตาขอร้อง
     

                    “กูคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด  เรื่องนี้ไม่เคยทำให้กูสบายใจเลย  วา...กูขอโทษ” ผมเอามืออีกข้างวางไว้บนมือของมันก่อนจะดึงมือตัวเองออกมา
     

                    “คิทรักเฮียเหรอ!?! เพราะคิทรักเฮียใช่ไหม!?!” ไอ้วามองไปที่ไอ้คีตะด้วยแววตาผิดหวัง
     

                    “วา มึงอย่าพาลได้ไหม!! กูพูดจนปากกูจะแหกอยู่แล้วว่ากูชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย!!” ผมตวาดพลางทำท่าจะตบหน้าเตือนสติแต่ไอ้คีตะกลับมาคว้ามือผมไว้ก่อนและส่ายหน้าเบาๆ  ห่วงน้องล่ะสิมึง
     

                    “...” ไอ้วาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น
     

                    “เฮียกับคิทกลับไปก่อนนะ  เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” ลิซมองไอ้วาก่อนจะหันมาบอกพวกผม  ผมกับไอ้คีตะมองหน้าก่อนจะพยักหน้าและเดินออกจากโรงยิม
     

                    อ่า...หมดอารมณ์ทำการบ้านเลยว่ะ!


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    สารภาพกันตามตรงว่าอัพตอนนี้ไปตาก็จะปิดไปพร้อมกัน
    แต่มีอะไรผิดพลาดบอกด้วยน้า  เบลอมากไม่ไหวแล้ว



    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×