ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #16 : Rule 11 : เหตุเกิดที่ชมรมบาสเก็ตบอล

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 56


    edit : 20/01/13
    Rule 11 : เหตุเกิดที่ชมรมบาสเก็ตบอล


                    “โอ๋ๆ อย่างอนเป็นเด็กดิ  แค่นายไม่ล้อฉันเรื่องหน้าตาของฉันฉันก็ไม่เกลียดนายหรอกน่า  ไอ้โหดอย่างนายมางอนฉันแบบนี้มันไม่ได้น่ารักเลยนะ” ผมเอาคางไปเกยไหล่หมอนั่น
     

                    “ฉันไม่ได้อยากน่ารักซัก...” หมอนั่นที่ดูเหมือนจะโกรธหันมาจะวีนใส่ผมแต่บังเอิญว่าผมเกยคางไว้บนไหล่ของมันอยู่พอมันเบี่ยงตัวมาผมก็หงายหลังล้มลงนอนบนเตียงทันที  ส่วนมันพอหันมาเจอผมนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงมันก็ถึงกับเบิกตาแล้วหน้าแดง เฮ้ยๆๆ อย่ามาหน้าแดงใส่กูนะ  กูเขินตามเลยไอ้เชี่ย
     

                    “อะ...เอ่อ...นี่ก็ดึกแล้วเนอะ  ฉันว่านายพักผ่อนเถอะ” หลังจากเราทั้งสองเงียบไปนานผมก็พูดขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น  ผมลุกขึ้นก่อนจะหันหน้าไปด้านอื่นซึ่งไอ้คีตะก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน  เอ่อ...ทำไมกูต้องเขินวะ
     

                    “อืม แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน” ไอ้คีตะพูด
     

                    อ่า...เงียบ  มึงเงียบ กูก็เงียบ  แล้วกูจะอยู่ที่นี่ต่อไปทำไมวะ  เอ่อ...ก่อนกูออกไปกูต้องลามึงด้วยใช่ไหม?  เอ่อ...บ้าเอ๊ย!! เป็นบ้าอะไรของมึงวะไอ้ชนินทร์เอ๊ย!!
     

                    “เอ่อ...คีตะ/คิทตี้” ผมที่กำลังจะบอกลามันหันไปหามันพร้อมกับเรียกชื่อและขณะเดียวกันหมอนั่นก็ทำเหมือนผม
     

                    “หา หือ? เอ่อ...” ผมอึกอักทำอะไรไม่ถูก
     

                    “เอ่อ...” หมอนั่นมองหน้าผมพลางอึกอัก
     

                    “เอ่อ ฉันไม่ชอบชื่อคิทตี้เท่าไหร่  จะเรียกชื่อจริงฉันก็ได้นะ” ผมก้มหน้าพูด  ทำไม...กูต้องประหม่าขนาดนี้วะ
     

                    “แบบนั้นก็ดี  นายชื่อชนินทร์สินะ” หมอนั่นถาม
     

                    “อะ...อืม  งั้น...ฉันกลับดีกว่านายจะได้พัก” ไม่รู้นะว่าทำไมจากที่ผมกับหมอนี่พูดจาไม่ค่อยดีใช้ภาษาก็ค่อนข้างหยาบแต่ตอนนี้พวกเรากลับพูดด้วยกันดีๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน  แปลกจังวุ้ย
     

                    “อืม กลับดีๆ ล่ะ” หมอนั่นพูด  กูอยู่ห่างจากมึงแค่ชั้นเดียวยังจะมาบอกให้กลับดีๆ อีก  เห็นกูเป็นเด็กรึไงวะ

                    “อ่ะ อือ” ผมตอบก่อนจะเดินไปที่ประตู
     

                    “เดี๋ยว!!” เฮือก!! ตกใจหมดเลย   เรียกซะดัง กูไม่ได้หูหนวกนะเฮ้ย
     

                    “อะ...อะไร?” ผมหันไปมองซึ่งไอ้คีตะก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน  อา...ตาสีฟ้าขุ่นๆ ของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ  อาจจะเป็นเพราะผมยังไม่ชินกับสีตาของหมอนี่ก็ได้มั้ง
     

                    “ฉันไม่ใช่ดี...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก  นายกลับไปเถอะ” หมอนั่นทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจแล้วหันหลังให้ผมเหมือนเดิมผมจึงรีบเดินออกจากห้องของหมอนั่น 
     

                    พอผมปิดประตูลง  แข้งขาผมก็อ่อนแรงทันที
     

                    มึงเป็นอะไรไปวะเชี่ยชนินทร์!! ทำไมแข้งขามึงอ่อนง่ายจังฮะ!?!  โอ๊ย!! งงตัวเอง



     

     

                    ผมตื่นไปวิ่งตามปกติแต่โชคร้ายวันนี้ฝนมันตกปรอยๆ ผมจึงวิ่งออกไปเซเว่นที่อยู่เยื้องไปจากโรงเรียนเล็กน้อยเพื่อไปซื้อชุดกันฝนเพราะดูเหมือนพวกพี่ๆ จะมีพร้อมกันครบทุกคน
     

                    พี่จิ้นเคยบอกว่า  ถ้าขาดซ้อมไปซักวัน  ร่างกายของเราจะอ่อนแอลง  ผมจึงจะไม่ขาดซ้อมถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ยิ่งช่วงนี้ก็เข้าใกล้เทศกาลแข่งบาสเข้ามาทุกวันผมยิ่งต้องพยายามเพื่อที่จะลงเป็นนักกีฬาให้ได้  ตอนนี้ยังขาดนักกีฬาอยู่สองสามตำแหน่งเนื่องจากพวกพี่ม.หกเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงมีบางคนที่ไม่มาเข้าร่วมกิจกรรมชมรม  ผมจะต้องพยายามเพื่อที่จะเป็นนักกีฬาให้ได้!!
     

                    ขณะที่ผมกำลังจะจ่ายเงินสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแผงยาแก้ไข้บนเคาน์เตอร์  ผมยืนคิดนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจหยิบยาแผงนั้นมาพร้อมกับยาอมแก้เจ็บคอ  อืม...เผื่อผมเป็นหวัด  ผมไม่ได้เอาไปให้ใครนะ อย่าเข้าใจผิด
     

                    หลังจากจ่ายเงินเสร็จผมก็ไปวิ่งกับพวกรุ่นพี่เหมือนเดิม



     

     

                    ตกเย็นไอ้มินทร์ที่อยู่ห้องเรียนข้างๆ ก็เสนอหน้ามาหาผมก่อนที่ผมจะไปที่ชมรม
     

                    “มึงไม่เข้าชมรมมึงรึไงวะเชี่ยมินทร์” ผมถามเพราะเห็นไอ้พีทเดินลิ่วๆ ไปก่อนแล้ว
     

                    “กูแม่ง เตือนเชี่ยพีทว่าอย่าไปใกล้ไอ้พี่ขิมให้มากนะมันก็ไม่เชื่อกูแล้วโกรธให้กูอ่ะคิท  ทำไงดีวะ” ไอ้มินทร์ทำหน้ามุ่ยยืนพิงผนังห้อง
     

                    “เชี่ยพีทไม่ชอบคนเซ้าซี้อ่ะนะ  แต่พี่ขิมแกก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรหรอกอย่าห่วงเลย  เพราะถ้าพี่แกทำอะไรไอ้พีทกูนี่แหละที่จะเป็นคนสอยแกให้ร่วงเอง” ผมพูดพลางชูกำปั้น  ผมเอาจริงนะครับเนี่ย
     

                    “แต่มึงก็รู้ว่าพี่แกโคตรหม้อเลย” ไอ้มินทร์ยังไม่เลิก
     

                    “แกก็หม้อเล่นๆ ไปงั้นแหละอย่าสนใจเลย  กูได้ยินว่าพี่แกชอบผู้หญิงนะแต่แกแค่เป็นคนชอบบริหารเสน่ห์เท่านั้นแหละ  มึงเชื่อใจไอ้พีทหน่อยสิ มันไม่ตกหลุมใครง่ายๆ หรอก  เห็นอย่างนั้นแต่ใจแข็งกว่ากูอีกนะขอบอก” ผมตบไหล่ไอ้มินทร์เบาๆ ดูเหมือนว่ามันจะห่วงไอ้พีทจนเกินเหตุนะ  ขนาดผมที่โตมากับมันจนเหมือนพี่น้องยังไม่ห่วงขนาดนั้นเลย ฮ่าๆๆ เพราะผมเชื่อใจไอ้พีทต่างหากว่ามันต้องดูแลตัวเองได้
     

                    “อือ งั้นวันนี้ขอกูไปชมรมกับมึงหน่อยนะ  กูไม่มีอารมณ์ไปเจอหน้าไอ้พี่ขิมนั่นหรอก  เห็นแล้วเหม็นขี้หน้าว่ะ” ไอ้มินทร์พูดพลางกอดคอผมแล้วเดินไปที่ห้องชมรม



     

     

                    แต่ดูเหมือนว่าพอมันมาที่นี่แล้วอารมณ์มันจะไม่สงบน่ะสิ  เพราะจู่ๆ มันกับพี่จิ้นก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่กันจนผมที่ยืนอยู่ตรงกลางเกือบถูกไฟช็อต   ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะที่สองคนนี้จ้องจิกกันแบบนี้โดยไม่พูดอะไร  กะจะทำสงครามเย็นว่างั้น  ผมว่าให้สองคนนี้ออกปากด่ากันน่าจะดีกว่านิ่งเงียบแบบนี้  เพราะไอ้คนตรงกลางอย่างผมมันอึดอัด
     

                    “คิท ไปซ้อมเถอะ  พี่ว่าไม่ต้องอยู่เฝ้าเพื่อนก็ได้  โตขนาดนี้แล้ว” พี่จิ้นพูด  จิกเชี่ยมินทร์ชัวร์ๆ เลยคำพูดแบบนี้
     

                    “เออ กูไม่จำเป็นต้องให้ใครเฝ้าหรอกคิท มึงไปซ้อมเถอะ  เดี๋ยวจะมีคนหาว่ากูเป็นตัวถ่วง” จิกมาก็จิกกลับ  ผมว่ามันจิกพี่จิ้นชัวร์เลย
     

                    “แล้วจะยืนอยู่ทำไมครับ รีบไสหัวไปเลย”
     

                    “เออ ไปเส่ะ จะอยู่ทำไมล่ะ”
     

                    เอ่อ...จะด่ากันกรุณาอย่าลากกระผมเข้าไปเจือกเลยครับ  สงสารมันหน่อย  มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสงครามเย็นของพวกคุณเลยนะครับ

                    “เฮ้ยๆ ไอ้พวกนักกีฬาแม่ง อืดอาดว่ะ  พวกมึงไปวิ่งรอบโรงยิมซักสิบรอบเลยไป!!” ก่อนที่ผมจะได้รับลูกหลงไปมากกว่านี้เสียงแหบๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นลั่นโรงยิม  ซึ่งเสียงนั้นทำให้พวกพี่ๆ นักบาสหน้าเสียกันไปเลยทีเดียว
     

                    “ครับผม!!” พวกพี่นักบาสตอบรับเสียงดังก่อนจะไปวิ่งตามคำสั่ง  แม้แต่พี่บอลก็ทำตามด้วย  แต่ไอ้คนที่สั่งมันเสือกนั่งกระดกโค้กเฉยเลย
     

                    “นี่ๆ นายน่ะ! อยากเป็นนักบาสไม่ใช่เหรอ??  ไปวิ่งกับเขาซะสิ!!” ผมที่กำลังจะหยิบลูกบาสชะงักเมื่อมีลูกบาสอีกลูกลอยมากระทบลูกบาสที่ผมกำลังจะคว้าทำให้ผมคว้าได้แต่อากาศเพราะลูกบาสทั้งสองมันกระเด็นออกไป
     

                    “นี่นาย!! ไม่สบายก็กลับไปนอนเลยไป๊!!” ผมชักอารมณ์เสีย  กูจะต้องลืมอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับกูเมื่อคืนด้วยการโมโหใส่มันนี่แหละ ฮึ่ม มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมแทบนอนไม่ได้ทั้งคืน!!
     

                    “ไม่อ่ะ หายแล้ว” มันยักไหล่  กวนส้นตีนจริงๆ  หายเร็วชะมัดกูอุตส่าห์ซื้อยามาให้แดก เอ่อ...เอ๊ะ ผมซื้อมาไว้กินเองต่างหาก  ไม่ได้ซื้อมาให้มันเสียหน่อย

                    “มันจะหายเร็วไปหน่อยมั้ง  เมื่อคืนยังจะตายอยู่เลย” ผมแสยะยิ้มยกความอ่อนแอของมันขึ้นมาล้อ
     

                    “สงสัยเพราะมีคนเป็นห่วงคอยไปดูแลถึงห้องมั้งก็เลยหายเร็ว  ทั้งทำความสะอาดห้องให้ทั้งหายาให้กิน  อะไรจะดีปานนั้น” มันล้อผมกลับเล่นเอาผมอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  เราไม่น่าไปดูแลมันเลย! ตอนแรกกะจะล้อมันแต่โดนกลับแบบนี้มันเจ็บใจจริงๆ
     

                    “ฮะ!?! น้องคิทไปดูแลมึงเหรอคิท” พี่บอลที่วิ่งผ่านมาถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน  ไอ้คีตะยิ้มกริ่มไม่ตอบ  ผมอายมากจึงวิ่งไปเอาลูกบาสแล้วปาใส่หน้ามันสุดแรง  พอปาเสร็จผมก็รีบวิ่งตามพวกพี่ๆ ให้ครบตามที่ไอ้คีตะมันสั่ง
     

                    ตุบ!!
     

                    ลูกบาสที่ผมปาไปเมื่อกี้ดูเหมือนว่าไอ้คีตะจะรับได้เลยปากลับมาใส่ผม  ผมแทบล้มเมื่อลูกบาสมันลอยมาถูกขา  ผมหันหน้าไปมองไอ้บ้าคีตะที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างโกรธแค้น  แก...จำไว้เลย!!
     

                    “คิทตี้  ถ้าพี่ไม่สบายมาดูแลพี่ด้วยนะ คิก” พี่บอลวิ่งมาข้างๆ ผมพลางกระซิบ  หน้าผมร้อนผ่าวทั้งโกรธทั้งอาย
     

                    “พี่บอล!!” ผมกัดริมฝีปากแล้วผลักพี่บอลแรงๆ จนพี่แกเซแล้วผมก็รีบวิ่ง  อาย...กูอายยยยยย!!!
     

                    พี่บอล...นานๆ ทีจะล้อคนอื่น  พอล้อแล้วยิ่งอายกว่าพวกที่มันล้อเป็นประจำเสียอีก!! คอยดูเถอะ! จะเอาคืนยกก๊วนเลย!!



     

     

                    เมื่อซ้อมเสร็จผมก็รีบกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที  ไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้น  ความอายของผมเปลี่ยนมาเป็นความโกรธ  มันทำให้ผมอับอายขายขี้หน้าประชาชี  แม้แต่ไอ้มินทร์ที่กำลังทะเลาะกับพี่จิ้นยังหันมามองผมเลย
     

                    “เชี่ยคิท  มึงออกมาก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป  มาเคลียร์กับไอ้พีทให้กูก่อน” ไอ้มินทร์ที่กลับมาที่หอพร้อมกับผมทุบประตูจนไอ้วาที่อยู่ในห้องออกไปเปิดอย่างรำคาญ
     

                    “อะไรของมึงวะเชี่ยมินทร์  ทะเลาะกับเมียก็เคลียร์กันเองดิ” พอมันพูดจบผมก็ปาหมอนใส่มันทันที  มีอย่างที่ไหนมาว่าไอ้พีทเป็นเมียไอ้มินทร์  เดี๋ยวมึงได้เคลียร์กับกูยาว
     

                    “งั้นคืนนี้มึงมานอนนี่เดี๋ยวกูนอนกับไอ้พีทเอง” ผมเดินออกไปพูดกับไอ้มินทร์ก่อนจะผลักไอ้วาที่ยืนบังประตู  ตัวแม่งใหญ่  ครอบครัวนี้มีแต่คนตัวโตๆ รึไงวะ  อยากเห็นหน้าลูกหลานที่เป็นผู้หญิงของครอบครัวนี้จริงๆ คงจะไม่ได้ตัวใหญ่เหมือนพวกบ้านี้หรอกนะ
     

                    “ไม่เอาอ่ะ เค้าอยากนอนกับตัวเอง” ไอ้วางอแงเป็นเด็กๆ พลางทำท่าจะเข้ามากอดผมผมจึงยกตีนยันมันออกไปให้ห่าง
     

                    “เออ ก็ดี” ไอ้มินทร์พยักหน้า
     

                    “ม่าย กูไม่อยากนอนกะมึงเชี่ยมินทร์  เอาที่รักกูกลับมา” ไอ้เชี่ยวานี่  คนเขากำลังเครียดๆ ไม่ขำกับท่าทางเด็กโข่งของมึงหรอกนะ
     

                    “หุบปากไปเลยเดี๋ยวกูโบกซะนี่” ไอ้มินทร์ยกมือทำท่าจะตบหัวไอ้วามันจึงถอยร่นกลับเข้าไปในห้อง  ไอ้มินทร์ก็ตัวใหญ่พอๆ กับไอ้วานั่นแหละ  สงสัยผมกับไอ้พีทผ่าเหล่าเกินไป  เตี้ยกว่าเพื่อนกว่าพวก  แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้เตี้ยที่สุดในโรงเรียน ฮึๆ อย่างน้อยก็มีคนเตี้ยกว่าผมล่ะวะ!! (ให้กำลังใจตัวเองเหลือเกิน)



     

     

                    ผมเดินเข้าไปในห้องของไอ้พีทก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงของไอ้พีทที่มีมันนอนอ่านหนังสืออยู่  ไอ้พีทหันมามองผมงงๆ
     

                    “กูเปลี่ยนห้องกะไอ้มินทร์  มันกลัวมึงโกรธมัน” ผมพูด
     

                    “เปล่า กูไม่ได้โกรธมันหรอก  กูไม่ชอบที่มันห่วงกูเกินไป  ทำเหมือนกูดูแลตัวเองไม่เป็น” ไอ้พีทวางหนังสือก่อนจะลุกขึ้นนั่งดีๆ
     

                    “กูเข้าใจทั้งมึงและมันนะ  กูว่ามันก็เหมือนกูที่ต้องคอยดูแลมึง  และมึงก็เหมือนกูที่ไม่ชอบให้ใครมาคิดว่าตัวเองอ่อนแอ  มันเสียใจนะที่มึงโกรธมัน” ผมพูด
     

                    “กูก็ไม่ได้รังเกียจที่จะให้ใครมาห่วงนะมึง  แต่ที่กูไม่ชอบคือมันระแวงเรื่องกูกับไอ้พี่ขิม  มันมักจะคิดไปเองว่ากูจะไปตกหลุมพรางไอ้ขิมนั่นซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะกูไม่ได้ชอบพี่ขิมเลยซักนิดเดียว  กูล่ะเกลียดคนแบบพี่แกที่สุดเลย” เมื่อพูดถึงพี่ขิมไอ้พีทก็ทำหน้าหงุดหงิดทันที
     

                    “เอาเป็นว่าก็ดีแล้วที่มึงไม่ได้โกรธอะไรมัน  วันนี้กูขอนอนนี่นะ  กูเซ็งเชี่ยวา” ผมบ่น
     

                    “ทำไมวะ?” ไอ้พีทหันมาถาม
     

                    “มันมักจะบอกกูว่าชอบกู  กูไม่รู้ว่ามันจริงหรือเล่นแต่กูไม่อยากให้มันชอบกูในความหมายแบบนั้น  กูชอบมันแบบเพื่อนนะมึง  กูลำบากใจ” ผมล้มลงนอนบนเตียงของไอ้พีทซึ่งมันก็รีบถีบผมออกเนื่องจากผมเพิ่งเล่นกีฬามาเหงื่อออกก็โคตรจะเยอะ  มันรังเกียจผมใช่ไหม ผมเสียใจ TT  กูเป็นเหมือนพี่ชายมึงนะ  ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ (ปล่อยให้ไอ้ชนินทร์มันคร่ำครวญไปคนเดียวเถอะครับ)

                    “เอาน่า  รักษาความเป็นเพื่อนของพวกเราเอาไว้ก็พอ  มึงไปอาบน้ำเลยไป  ไม่งั้นกูไม่ให้นอนด้วย” ไอ้พีทพูดพลางเอาเท้าเขี่ยผม
     

                    คืนนี้ผมจะนอนเตียงเดียวกันกับไอ้พีทแม้เตียงจะเล็กก็ตาม  เวลาไปไหนมาไหนไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว (ครอบครัวสองครอบครัวนี้ไปด้วยกันตลอด) หรือไปเที่ยวค้างคืนกับโรงเรียน  ผมกับไอ้พีทมักจะนอนเตียงเดียวกันเสมอจนคนอื่นๆ เรียกพวกเราว่าฝาแฝด  วันนี้ขอย้อนความทรงจำซักหน่อยคงไม่เป็นไร
     

                    ผมกับไอ้พีทนอนเอาขาก่ายกันเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แล้วก็หลับไป



     

     

                    “เชี่ยคิท  ทำไมช่วงนี้มึงเข้าชมรมบ่อยจังวะ  เออ เข้ามาแล้วมึงก็ซ้อมหน่อย!” พี่จิ้นตวาดไอ้คีตะที่กำลังนั่งกินโค้กไปกินขนมไป  ขอให้มันอ้วน!!
     

                    “เออน่า มึงนี่ยุ่งกะชีวิตกูจัง” ไอ้คีตะทำเป็นหูทวนลม
     

                    “กูจะไม่ยุ่งกับชีวิตเส็งเคร็งของมึงหรอกถ้ามึงไม่บังเอิญได้เป็นนักกีฬาเนี่ย  เดี๋ยวมึงถูกปลดแน่ เล่นลิ้นกับกูดีนัก” พี่จิ้นกัดฟันกรอด
     

                    “ขนาดกัปตันชมรมยังไม่กล้าปลดกูเลย ฮึๆ” ไอ้คีตะยักไหล่ไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของพี่จิ้น
     

                    “ไอ้เชี่ยคิท!  กวนตีนกูตลอด!” พี่จิ้นปรอทแตกจับลูกบาสมาหวังทุ่มใส่ไอ้คีตะแต่ไอ้บ้านี่โคตรไวเลย  มันวิ่งกระโดดข้ามที่นั่งที่อยู่บนอัฒจันทร์เชียร์(ชั้นสองของโรงยิม)ก่อนจะกระโดดลงจากชั้นสอง
     

                    ว้ากกกกกก!! ผมปิดตาเพราะกลัวว่ามันจะตกลงมาขาหัก  ชั้นสองนะเฮ้ย!! มันสูงนะว้อยยย!! อย่ามาตายในชมรมนะ  ถ้ามึงตายกูจะลาออกทันที  แม่ง หลอนว่ะ
     

                    เอ่อ...แล้ว...แล้วผมจะไปสนใจพวกนั้นคุยกันทำไมวะ  เออ ไปซ้อมสิวะไอ้ชนินทร์
     

                    “ฮึบ!!
     

                    “อ๊ากก!!” ผมตกใจจนแทบหงายหลังเมื่อบางสิ่งตกลงมาผ่านหน้าผม
     

                    “อะไรของนาย  ทำหน้าตลกชะมัด” เสียงนั้นทำให้ผมเอามือที่ปิดตาออก  เฮ้ย!! ทำไมมึงไม่ตกลงมาตายวะ
     

                    “เอ๊ะ! นาย! นึกว่าขาหักตายไปแล้วซะอีก” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินหลบไอ้หมอนั่นแต่ผมก็ถูกมือใหญ่ๆ นั่นคว้าข้อมือไว้เสียก่อน  มือแม่ง โคตรใหญ่  ทำไมเราถึงไม่มีมือใหญ่ๆ แบบนี้มั่งนะ
     

                    “ถ้าฉันขาหักแล้วนายจะมาดูแลฉันอีกรึไง?” ไอ้คีตะพูดพลางยักคิ้วกวนๆ
     

                    “โทษทีนะ ฉันจะกระทืบซ้ำต่างหาก” ผมแยกเขี้ยวใส่หมอนั่น  หมั่นไส้
     

                    “อะไร? จะคุยกันดีๆ เหมือนตอนนั้นไม่ได้รึไง  นายโกรธอะไรฉันอีก” ไอ้คีตะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของผม  ตัวผมสะท้านไหว  อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นมาทันที
     

                    “อะ...เอ่อ...เปล่านี่ นี่นาย ปล่อยเด่ะ คนมองแล้ว” ผมเริ่มหันไปมองรอบๆ ที่มีคนเริ่มมองมาที่เราด้วยสายตาแปลกๆ พวกพี่นักบาสที่ผมสนิทด้วยต่างก็ซุบซิบกันและหัวเราะคิกคัก  สายตาของพวกพี่ๆ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ของคนอื่นมันทำให้ผมแอบเสียวสันหลังเบาๆ
     

                    “อือ งั้นนายก็ไปซ้อมเถอะ” หมอนั่นยืดตัวยืนเต็มส่วนสูงก่อนจะปล่อยข้อมือผมผมจึงเดินไปซ้อมตามตารางที่พี่จิ้นให้ไว้



     

     

                    “นี่มึง เห็นมาหลายวันแล้วนะ” ขณะที่ผมกำลังจะเดินหลบมุมไปซ้อมตามตารางพวกเด็กรุ่นเดียวกันแต่ต่างห้องก็ทักผมขึ้นผมจึงหยุดและหันไปมอง  สายตาพวกเชี่ยนี่ไม่มีความเป็นมิตรเอาซะเลย
     

                    “มีอะไร?” ผมถามเสียงห้วน  ไม่ชอบสายตาพวกนี้ที่มองมาที่ผมเลย
     

                    “มึงไปตีสนิทกับพวกพี่นักบาสเพราะอยากเป็นนักบาสใช่มะ?? น้ำหน้าอย่างมึงจะทำอะไรได้” หนึ่งในพวกเด็กรุ่นเดียวกันที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่พูดขึ้น
     

                    เมื่อผมมองกลุ่มนั้นจนครบทุกคน(พวกมันมีหกคน)และผมก็ต้องตกใจเมื่อคนสุดท้ายที่ผมมองคือไอ้บิล  มันอยู่ชมรมนี้ด้วยเหรอ  สงสัยจะตามไอ้คีตะมาแฮะ

                    “แล้วจะรู้เองแหละว่าได้หรือไม่ได้” ผมแสยะยิ้ม
     

                    “ฮึ ไม่มีทาง  หนังหน้าอย่างมึงทำได้แค่อ่อยเขาไปวันๆ และเอาตัวเข้าแลกเท่านั้นแหละ” แค่พวกมึงพูดกูพูดมึงกับกูกูยังพอให้อภัย  แต่นี่หาว่ากูอ่อยเดี๋ยวแม่งโบกซะนี่!
     

                    “กูไม่ใช่พวกมึง  กูไม่ได้วิปริตผิดเพศ ไม่จำเป็นต้องร้องหาผู้ชายเหมือนพวกมึง  อย่ามาดูถูกกู อย่าเหมารวมว่ากูเป็นพวกเดียวกันกับพวกมึง พวกสวะ” ผมแสยะยิ้ม  บอกไว้ก่อนนะว่ากูไม่ยอมคน  พวกมึงมีเยอะกว่าก็อย่าคิดว่ากูจะกลัว
     

                    “กวนตีนว่ะเหี้ย  กูจัดเลยดีไหม!!” ไอ้คนหนึ่งเดือดพลางทำท่าจะลุกขึ้นมาต่อยกับผมแต่มันถูกเพื่อนดึงไว้ก่อน
     

                    “กูไม่ได้กลัวนะขอบอก  เพราะกูไม่ได้กระจอกที่เก่งแต่เห่าพอเอาเข้าจริงกลับทำเหี้ยอะไรไม่ได้” กูไม่ได้เก่งแต่เห่า กูกัดเก่งด้วย!



                    “กูทนไม่ไหวแล้ว  มึงอวดดีเกินไปแล้วนะไอ้เหี้ยคิท!” ไอ้คนเดิมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเพื่อนก่อนจะพุ่งเข้ามาต่อยผมแต่ผมหลบก่อนจะยกเท้ายกขึ้นถีบกลางอกมันจนมันเซถลาไปชนกรงใส่ลูกบาส  เพราะเป็นกรงเหล็กเลยทำให้เกิดเสียงดัง
     

                    “เข้ามาอีกดิ  อย่าเก่งแต่ปาก” ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักคิ้วเชิญชวน
     

                    เพื่อนในกลุ่มอีกคนจึงลุกขึ้นมาล็อคแขนผมไว้  ผมจึงเอาขาไขว้ขาของมันก่อนจะโน้มตัวลงและสะบัดตัวจนร่างเล็กๆ ของคนที่ล็อคแขนผมไว้ลอยข้ามหัวของผมและจบลงที่พื้น
     

                    สงสัยเสียงมันดังเกินไปพวกพี่ๆ จึงวิ่งมาดูเหตุการณ์
     

                    “ชนินทร์! ทำอะไร!?!” ไอ้คีตะเดินมากระชากแขนผมให้หันไปหามัน
     

                    “ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ  ปล่อย ฉันกำลังหงุดหงิด” ผมขมวดคิ้วมองหน้ามันอย่างเคืองๆก่อนจะสะบัดแขนแรงๆ แต่กลับไม่หลุดออกจากการเกาะกุม  ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงหงุดหงิดเมื่อเห็นไอ้คีตะกับไอ้บิลอยู่รวมกัน  เห็นพวกมันพร้อมกันทีไรต่อมหงุดหงิดแบบไร้เหตุผลทำงานทันที

                    “นี่! เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าใช้กำลังในการตัดสิน  แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น  บอกมาสิ” ไอ้คีตะมองผมอย่างคาดคั้น  ตอนนี้สมาชิกชมรมมารวมตัวกันที่ใต้บันไดทางขึ้นไปชั้นสองกันซะหมด  ไทยมุง =..=
     

                    “ฉันไม่ได้เริ่มก่อน” ผมก้มหน้าพูด
     

                    “ไม่จริง! เขาพูดจาเหยียดหยามพวกผมแล้วก็ท้าทายพวกผม  พวกผมก็ทนไม่ไหวสิครับ” ไอ้คนที่แรกที่โดนผมถีบลุกขึ้นก่อนจะโต้เถียงโดยไม่ลืมกุมท้องแสดงความสำออย
     

                    “นายไปมีเรื่องอะไรกับพวกนั้น  ทำไมต้องไปท้าทาย” ไอ้คีตะบีบแขนผมแรงขึ้น
     

                    “ก็ถ้าพวกมันไม่เริ่มก่อนแล้วฉันจะไปท้ามันทำไม” ผมมองหน้าไอ้คีตะอย่างไม่ชอบใจ ฮึ เมียเก่าอยู่ในกลุ่มพวกนั้นเลยคิดจะปกป้องรึไง
     

                    “พวกผมแค่แซวเล่น  ไม่คิดว่าเขาจะโกรธขนาดนั้น” ไอ้บิลทำหน้าตาน่าสงสารก่อนจะพูดเหมือนผมเป็นคนผิด  คดีเขียนโต๊ะกูยังไม่เคลียร์เลยนะมึง!
     

                    “แม่ง ตอแหล  ล้อเล่นบ้านพ่อมึงสิ !” ผมกำหมัดแน่นทำท่าจะกระโจนไปซัดไอ้บิล
     

                    “ชนินทร์!! เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่นายผิดนะที่ทำร้ายเขา!” ไอ้คีตะขมวดคิ้วก่อนจะกระชากผมไว้  เออสิ มึงแรงเยอะกว่ากูมึงจะทำอะไรกูก็ได้นี่คีตะ!
     

                    “เออ! ยังไงกูก็ผิด! กูทำร้ายพวกมันเองแหละ  ถึงใครจะเริ่มก่อนยังไงกูก็ผิดเพราะคนที่เจ็บตัวคือพวกมันไม่ใช่กู!!” ผมมองหน้าไอ้คีตะด้วยสายตาโกรธเคืองก่อนจะบิดข้อมือตัวเองออกจากการเกาะกุม  ผมกัดริมฝีปากก่อนจะผลักไอ้คีตะจนมันเซจากนั้นผมก็เดินออกจากวงล้อมไปสงบสติอารมณ์ที่มุมหนึ่งของโรงยิม
     

                    “พวกน้องก็เหมือนกัน  อย่าคิดนะครับว่าพวกน้องจะพ้นผิด  พี่จะบอกอาจารย์ฝ่ายปกครองให้ตัดคะแนนความประพฤติของพวกน้องและพี่จะตัดคะแนนกิจกรรมชมรมของพวกน้องด้วย  บอกชื่อมา” พี่บอลบอกก่อนจะควักสมุดจดออกมาจดชื่อพวกนั้น
     

                    “แล้วมันล่ะ พวกผมถูกตัดฝ่ายเดียวมันไม่แฟร์เลยนะ”
     

                    “พี่ไม่ได้บอกนี่ครับว่าพี่จะตัดคะแนนของพวกน้องฝ่ายเดียว  อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก  คราวหน้าถ้ามีเรื่องกันพวกน้องได้เข้าห้องปกครองแน่” พี่บอลขู่ไว้ก่อน  ไอ้ห้องปกครองนั้นโหดจริง  อาจารย์ฝ่ายปกครองโคตรจะโหดเลย ผมเคยเข้ามาแล้วจึงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    คิทน้อยถูกรังแก
    ไอ้คีตะ ไปขอโทษน้องมันเลยนะ!

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×