ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #13 : Rule 08 : คำขอโทษ กับ ตารางฝึกโคตรโหด

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 56


    edit : 16/01/13

    Rule 08 : คำขอโทษ กับ ตารางฝึกโคตรโหด



     

                    ผมที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ดูแลต้องหยุดชะงักเมื่อมือหนาๆ กับแขนยาวๆ ของใครบางคนจับประตูก่อนที่ผมจะจับ  อย่าถามเลยครับว่าเป็นใคร
     

                    “ถ้าจะเข้าก็รีบเข้าไปอย่ามาลีลา” ผมทำหน้าเบื่อโลก  ไม่อยากเจอไอ้หมอนี่เลย  คนกำลังอารมณ์ดีแท้ๆ แต่พอหนังหน้ามันโผล่มาทำเอาผมหงอยไปเลยทีเดียว
     

                    “กลับดึก” มันพูดสั้นๆ  มึงเป็นพ่อกูรึไงวะ
     

                    “หนักหัวหมาตัวไหนล่ะวะ  ยังไม่ถึงเวลาหอปิดไม่ใช่รึไง  ถ้าอยากจะทำโทษอะไรฉันไม่ต้องเอาเรื่องกลับดึกมาอ้างหรอก” ผมจิก  ทำตัวเป็นไก่เชียวกู
     

                    “พูดอะไร”
     

                    “พูดอย่างที่นายคิดนั่นแหละ  เกลียดฉันนักนี่ ฮึ! จะทำอะไรก็รีบทำซะในขณะที่ยังมีอำนาจในหอนี้อยู่  ปีหน้าต้องเปลี่ยนประธานหอแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมพูดเยาะ
     

                    “ฉันถามว่านายกำลังพูดบ้าอะไร!!” ไอ้หมอนั่นเปลี่ยนมือที่จับลูกบิดมาบีบไหล่ผมแทน  อุก! เจ็บชะมัด  มันคิดว่าไหล่ผมเป็นนมสาวๆ หรือไงกัน 
     

                    “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง” แม้ไหล่จะห่อจนดูไม่มีความเท่อยู่ในตัวแต่ผมก็ต้องทำหน้าตาท่าทางอวดดีไว้ก่อน
     

                    “รู้น่ะมันรู้แต่ฉันไม่เข้าใจว่านายหมายถึงอะไร  ทำไมฉันต้องเกลียดนาย  แล้วนายจะให้ฉันทำอะไร” ไอ้คีตะมองหน้าผมเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
     

                    ผมก้มหน้าหลบสายตานั่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน  ผมไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ  สายตาแบบนั้นผมอ่านไม่ออกเลย
     

                    “แค่อยากจะขอโทษ ฉันไม่คิดว่านายจะรังเกียจมากมายขนาดนี้” ไอ้คีตะปล่อยมือออกจากไหล่ผมก่อนที่เงาที่คลุมตัวผมเมื่อกี้จะค่อยๆ เลื่อนห่างออกไป
     

                    เดี๋ยวนะ  เมื่อกี้มันพูดว่าอะไร
     

                    “เดี๋ยว!” ผมเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของมันไว้
     

                    “มีอะไรอีกล่ะ?
     

                    “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะขออีกทีได้ไหม” ผมก้มหน้าพูด  แอบยิ้มอยู่น่ะสิ ฮี่ๆ
     

                    “...ขอโทษ...ก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่าหน้าตาของนายหรอกนะ  ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าใส่ใจเลย” ไอ้คีตะเงยหน้ามองเพดาน  อายล่ะสิๆ
     

                    “จะขอโทษก็พูดให้มันดีๆ หน่อยเด่ะ  เดี๋ยวก็ไม่ยกโทษให้ซะหรอก” ผมทำเป็นวางท่าแต่ตอนนี้ผมกลั้นขำสุดขีดเลยล่ะเพราะสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหมอนั่น
     

                    “ฉันก็พูดดีได้แค่นี้แหละ  ถ้าไม่พอใจก็เชิญโกรธต่อไปเถอะ”
     

                    “เออ! โกรธเว้ย ไม่พอใจ!” ผมพ่นหายใจแรงๆ ก่อนจะหันหลังเพื่อเข้าไปในห้องผู้ดูแล  แต่แล้ว...
     

                    หมับ!
     

                    ผมยืนอ้าปากค้าง มือที่จับลูกบิดเมื่อกี้หล่นลงข้างลำตัว  หัวผมซบลงกับบางอย่างแข็งๆ แต่ก็พอจะรู้ว่านั่นคืออกของคนด้านหลัง
     

                    อะ...ไอ้คีตะมันกอดผม! แถมยังเอาคางมาวางไว้บนไหล่ผมอีก ลมหายใจที่รดอยู่ข้างๆ หูผมนี่มันอะไรก๊าน  สยิวชะมัด! อึ๊ย
     

                    ไม่นานไอ้คีตะก็ผละออกจากผมก่อนที่เสียงฝีเท้าของมันจะดังห่างออกไป
     

                    นะ...นี่คือวิธีขอโทษของมันใช่ไหม?   ความรู้สึก...เหมือนผมได้รับความรู้สึกขอโทษจากหมอนั่นเลย  เฮ้ย!! ร้อนหน้าวุ้ย!!
     

                    ผมเดินเข้าไปในห้องผู้ดูแลก่อนจะลงชื่อให้มันเรียบร้อยก่อนจะกลับไปหาเพื่อนๆ  พวกมันแซวผมว่ายังไม่เลิกเขินเรื่องหญิงสาวคนที่ให้เบอร์ผมมาแต่ผมรู้สึกว่า...ผมลืมเรื่องแคทไปแล้ว  ผมเอาเรื่องไหนมาให้เขินกันนะ
     

                    สุดท้ายผมก็ไม่มีความกล้าที่จะโทรหาเธอ



     

     

                    “สวัสดีครับทุกคนผมกลับมาแล้วคร้าบ  เมื่อวานขอโทษนะฮะที่ผมหายไป  แบบว่า...มีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อยผมก็เลยต้องไปแก้ปัญหานั้น  เพื่อเป็นการไถ่โทษเรื่องเมื่อวานนะครับเพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะไม่พักทานข้าวเลยครับ” เสียงคุณนักดนตรีลึกลับดังขึ้นหลังจากที่ผมเพิ่งเดินออกจากห้องได้เพียงสองก้าว  วันนี้มาจัดรายการเร็วดีจังแฮะ  ทำไมวันนี้ผมถึงอยากฟังเสียงเขาจังเลย  รู้สึกดีชะมัด
     

                    ผมเดินอมยิ้มไปโรงอาหาร  ไอ้พวกเพื่อนๆ ต่างก็แซวว่าเป็นเพราะแคท  มันอาจจะเป็นอย่างนั้นหรืออาจจะไม่ใช่
     

                    “อ๋า วันนี้น้องคิทก็น่ารักเหมือนเดิมเลยนะครับ” รุ่นพี่ที่ผมเดินผ่านทักทาย
     

                    “ถ้าชมว่าหล่อจะดีใจกว่านี้นะครับรุ่นพี่ คิก” ผมยิ้มพลางจับคางรุ่นพี่คนนั้นหมุนไปมา  ไอ้รุ่นพี่คนนั้นทำหน้าอึ้งๆ ก่อนจะหน้าแดงเรื่อ
     

                    “เฮ้ย วันนี้เชี่ยคิทเป็นไรวะ  หลงสาวจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอเนี่ย” เสียงไอ้พีทดังแว่วขึ้นมาแต่วันนี้ผมอารมณ์ดี  ไม่ฟังเสียงนกเสียงกาหรอก ฮี่ๆ
     

                    “กูไม่รู้  เมื่อคืนก็เอาแต่นอนยิ้มจนกูหงุดหงิด  กูจีบแทบตายแต่แม่งเอาแต่ด่ากูทีสาวให้เบอร์แค่เนี้ยแม่งเคลิ้ม  ถ้าเจอยัยนั่นเมื่อไหร่พ่อจะดักฆ่า” วันนี้ผมจะไม่แจกมะเหงกให้ไอ้วาเพราะผมอารมณ์ดี๊ดี
     

                    “โห แม่ง  ตอนนี้คนมองตามไอ้คิทใหญ่เลยนะเว้ยแต่ในขณะเดียวกันพวกตุ๊ดทั้งหลายแหล่ก็กำลังปล่อยกระแสจิตแปลกๆ ออกมา  โอ้วแม่ง น่ากลัว” ไอ้มินทร์พูดด้วยเสียงสยองๆ



     

                   

                    เมื่อทานข้าวเสร็จผมก็ถลาแล่นลมไปเข้าห้องชมรมทันที  อารมณ์ดีก็เล่นบาส อารมณ์เสียก็เล่นบาส ลัลล้า
     

                    “อ้าว เข้าชมรมด้วยเหรอน้องคิท” พี่จิ้นที่นั่งผิวปากอยู่คนเดียวในห้องชมรมถามขึ้น  ผมก็อยากจะถามพี่เหมือนกันนั่นแหละครับว่ามาที่ห้องชมรมอะไรเอาตอนนี้

                    “พอดีผมอยากซ้อมหน่อยนะครับ” ผมส่งยิ้มให้รุ่นพี่พลางเดินไปที่กรงใส่ลูกบาสเพื่อหยิบมันขึ้นมาเล่น
     

                    “นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลแข่งบาสแล้วนะ  น้องคิทสนใจอยากจะลงเป็นนักกีฬาหน่อยไหมล่ะ หืม?” คำพูดของพี่จิ้นทำให้ผมยิ้มหน้าบาน
     

                    “ได้เหรอครับ!?! ผมเป็นเด็กใหม่ถ้าหากได้ลงจะไม่ถูกหมั่นไส้เอาเหรอ” ผมถาม  อีกอย่างตัวผมเตี้ยโคตรๆ หากเทียบกับนักกีฬาบาสตัวจริง
     

                    “ถึงเวลานั้นพี่ว่าพวกนั้นคงจะยอมรับความสามารถของน้องคิท  ถ้าจะให้เทียบกับนักกีฬาของทีมโรงเรียนเราน้องคิทน่ะสู้ไม่ได้เลยแต่ถ้าได้ฝึกเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยไม่เกินหนึ่งเดือนหรอกครับ  น้องตามพวกนั้นทันแน่  เป็นไง  สนใจตารางฝึกของพี่ไหมล่ะ” พี่จิ้นค้ำคางไขว่ห้างถามผม  ท่าทางอย่างกับราชินีแน่ะ
     

                    “สนครับ!” ผมตอบทันที
     

                    “อ่ะนี่  ตารางการฝึกที่พี่ทำไว้ให้พวกนักบาสตัวจริงสมัยที่ยังอยู่ ม.4  แม้แต่ไอ้บอลกับไอ้คิทก็ยังต้องใช้ตารางฝึกแผ่นนี้เชียวนะ”
     

                    “เอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ  พี่บอลผมก็เข้าใจอยู่หรอกครับว่าต้องฝึกแต่ไอ้คีตะนี่มันอะไรกันครับ” ผมถามอย่างคลางใจที่ได้ยินชื่อมันด้วย
     

                    “นั่นสินะ  ตั้งแต่เปิดเทอมมามันก็ยังไม่โผล่หัวมาที่ชมรมเลยซักครั้งทั้งๆ ที่เป็นนักกีฬาตัวจริงแท้ๆ ไม่แปลกหรอกที่น้องคิทจะไม่รู้ว่ามันอยู่ชมรมนี้ด้วย  นี่พี่ก็กะว่าจะปลดมันออกจากตัวจริงอยู่ด้วย” พี่จิ้นถอนหายใจอย่างระอา
     

                    “หรือว่า...พี่โหดที่คนในชมรมเรียกกันก็คือหมอนั่น” ผมถาม
     

                    “อืม เข้ามาชมรมทีนึงนี่ก็สั่งคนในชมรมให้ซ้อมจนแต่ละคนสะบักสบอมแทบจะคลานกลับหอไปเลยทีเดียวแต่ตัวเองกลับเอาแต่นั่งกระดกโค้กอยู่ได้”
     

                    “แล้วทำไมถึงยังได้เป็นตัวจริงอยู่ล่ะครับ”
     

                    “มันก็แปลกตรงที่ทั้งๆ ที่มันไม่ซ้อมแต่มันกลับเก่งกว่าไอ้บอลที่ได้ชื่อว่าเป็นกัปตันเสียอีกนะ  เป็นตัวเก็งที่น่าหมั่นไส้จริงๆ เลยนะหมอนั่น” พี่จิ้นเปลี่ยนจากนั่งไขว่ห้างมาเป็นเอาขาพาดโต๊ะแทน  อื้อหือ! ยกขาทีนี่กะจะให้ฟาดหน้าผมเลยว่างั้น  ถ้าจะยกอย่างนี้ถีบหน้าผมเลยเหอะพี่
     

                    “พอเถอะ อย่าชมมันให้ผมฟังเลย” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะรับกระดาษจากมือพี่จิ้น
     

                    เมื่อสายตาของผมกวาดมองตารางฝึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน  บอกตรงๆ ว่าผมอยากจะเป็นลมเสียตรงนั้น  ตารางฝึกคนหรือฝึกควายครับพี่ท่าน!?!  ถ้าฝึกอย่างนี้กว่าจะได้เป็นนักบาสตัวจริงผมคงได้ไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล

     


     

                    ตารางการฝึก

                    05.00 น.   วิ่งสิบกิโล

                    16.45 น.   ชู้ตลูกให้ลงห่วงสองร้อยลูก

                                        กระโดดเชือกครึ่งชั่วโมง

                                        วิ่งสไลด์ห้าสิบรอบ


     

     

                    ดูเหมือนจะน้อยเนอะ  ตารางก็สั้นแค่จึ๋งเดียว  แต่ข้อมูลที่ต้องให้ทำตามนี่มันเยอะมากเหลือเกิน  แค่วิ่งสิบกิโลก็ลิ้นห้อยไปสามวันแล้วครับ!!
     

                    “นี่ผมต้องทำหมดนี่เลยเหรอ?” ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
     

                    “อืม สำหรับนายยังถือว่ามือใหม่  ถ้าทำได้จนชินก็จะเพิ่มตารางฝึกซ้อมเข้าไปอีก” พี่จิ้นพูด  คราวนี้ผมอ้าปากกว้างจนจะยัดควายเข้ามาได้ทั้งตัวแล้ว
     

                    “เอิ่ม...ถ้าพี่เพิ่มผมว่าผมคงไม่มีเวลานอนแล้วล่ะครับ”
     

                    “จะเพิ่มรอบเช้าน่ะ  รอบเย็นใช้เวลาเยอะเกินไป” พี่จิ้นพูด  แต่ดูเหมือนกำลังใจผมจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยซักกะติ๊ด
     

                    “พี่จิ้น  ผมถามจริงเถอะ  นักบาสของที่นี่ผ่านการฝึกนี้มาแล้วจริงๆ เหรอ” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ  ก็ดูแต่ละคนสิ ไม่ได้ดูน่าเกรงขามหรือดูแข็งแกร่งเลยซักนิด  ผมเข้ามาทีไรไม่เคยเห็นพวกนี้ฝึกกันอย่างจริงจังซักครั้งเห็นแต่ทำตัวเป็นลิงค่างบ่างชะนี(?)ไปวันๆ
     

                    “อืม จริงสิ” พี่จิ้นยืนยัน
     

                    “ทำไมดูพวกนั้นไม่เห็นจะเหมือนนักกีฬาที่ตั้งใจจะเล่นกีฬาจริงๆ เลย” ผมขมวดคิ้ว
     

                    “ถ้านายทำตามตารางที่พี่ให้ไปทุกอย่างนายจะรู้เองนั่นแหละ  เอาล่ะๆ นี่ก็จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วไปเข้าเรียนกันเถอะ  อ้อ  ตารางนี้น่ะเริ่มใช้ตั้งแต่พรุ่งนี้นะ  เทศกาลแข่งบาสใกล้เข้ามาแล้ว” พี่จิ้นขยิบตาก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องชมรม
     

                    อ่า...กูตายชัวร์!!



     

     

                    ผมตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ห้าสิบซึ่งตอนนี้มันกำลังดังรบกวนการนอนของผมอยู่ 
     

                    “คิทตี้  ตื่นนนน” แต่ไอ้คนที่ตื่นมันไม่ใช่ผมน่ะสิเพราะตอนนี้ผมกำลังเอาหมอนปิดหูไม่อยากรับรู้เสียงใดๆ ทั้งสิ้นโดยมีไอ้วาปาหมอนใส่ผมเพื่อปลุก
     

                    เชี่ยวา  อย่าปลุกกู  กูง่วง
     

                    “คิทตี้ หนวกหูวววว” เสียงยานคางของคนเพิ่งตื่นอย่างไอ้วาดังขึ้นอีกพร้อมกับหมอนอีกใบที่ถูกปามาใส่ผม  มึงปามาอีกทีกูโดดถีบแน่
     

                    ติ๊ง ง  งง ง ง ง  งง
     

                    “คิทตี้  ปิดนาฬิกาปลุกเซ่” เสียงมันมาหมอนต้องตามมาแน่นอน  คิดได้ดังนั้นผมจึงทะลึ่งพรวดจากที่นอนเพื่อถีบไอ้วาแต่...
     

                    บังเอิญว่าไอ้วามันไม่ได้ปาหมอนมาแต่มันเนรเทศตัวเองมาแทน  ผมที่ทะลึ่งพรวดขึ้นเมื่อกี้จึงปะทะเข้ากับอกของมันพอดิบพอดี  โอ้ววว  อกเชี่ยนี่แข็งชะมัดเลย  มันเอาเวลาไหนไปฟิตกล้ามเนี่ย อิจฉาวุ้ย!!
     

                    “ทำไมตั้งปลุกเร็วจังล่า” ไอ้วาเดินมึนๆ พลางล้มตัวลงนอนบนเตียงของผมก่อนจะถามเสียงยานคาง  ที่ชนกันไปเมื่อกี้มีแค่ผมคนเดียวนะที่ล้ม  ให้ตายเถอะโรบิ้นให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต! อนาถร่างกายตัวเองจริงวุ้ย
     

                    “เออ กูจะไปวิ่งนี่หว่า!” ผมนึกขึ้นได้ก่อนจะรีบจรลีเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน



     

     

                    “วากูยืมรองเท้าหน่อย” ผมหันไปขอไอ้วาที่นอนกองก้นอยู่บนที่นอนของผม  นี่มึงไม่คิดจะกลับถิ่นตัวเองเลยรึไงวะ
     

                    “เลือกเอาเลยยย” ไอ้วาพูดงึมงำซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เหมาเอาเองว่าไอ้วามันอนุญาตแล้ว
     

                    “เยส!” ผมหยิบรองเท้าของมันออกมาก่อนจะตระหนักได้ว่า...
     

                    ตีนผมเล็กกว่าตีนมันเยอะ!!
     

                    ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบรองเท้าของตัวเองออกมาเพราะดูเหมือนถ้าใส่รองเท้าไอ้วาวิ่งผมคงเปลี่ยนจากวิ่งระยะไกลเป็นวิ่งเก็บของแทน  คงได้วิ่งเก็บรองเท้าเพราะมันหลุดน่ะสิ  เฮ้อ  ร่างกายของผมคงมีแค่ส่วนเดียวที่บ่งบอกความเป็นชาย >///<



     

     

                    ผมเดินออกมาหน้าหอก่อนจะยืนทำหน้าโง่อยู่ท่ามกลางความมืดของเวลาเช้าตรู่ในหน้าฝน  ผมเพิ่งตระหนักได้ถึงความโง่ของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ไม่มีที่ไป  รู้ว่าจะต้องมาวิ่งสิบกิโลตามที่พี่จิ้นบอก
     

                    แต่ไอ้สิบกิโลนี่มันจากไหนถึงไหนวะ!!
     

                    ซวยอีกแล้วกู! ความซวยนี่มันเกิดมาจากความโง่ใช่ไหมเนี่ย!?!


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ตอนนี้คีตะน่ารักอ่ะ ><

     

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×