คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คนเป็น...คนตาย
- คนเป็น... คนตาย -
หัวขโมยหนุ่มถอนหายใจขณะลอบเงยหน้าเหลือบตามองผู้ทรงศักดิ์แห่งบารามอสทั้งสาม เจ้าชายยูริซิสนั้นแม้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในกระโจมจะยังไม่เอ่ยว่าจาใด หากสีหน้ามืดครึ้มและดวงตาวาวโรจน์ที่จับจ้องมานั้นบ่งบอกกระแสอารมณ์ที่ยังโกรธกรุ่นด้วยฝีมือเขา ท่าทีตอนนี้ของชายหนุ่มจึงไม่ต่างกับสุนัขป่าหนุ่มที่พร้อมจะกระโจนขย้ำคอเหยื่อ หากเขาจะเปิดช่องให้เพียงนิดเจ้าชายแห่งบารามอสคงไม่รีรอเป็นแน่
ครั้นเหลือบมองไปยังชายผู้สูงวัยกว่าที่ยืนเยื้องหลังเก้าอี้ที่ไฮคิงประทับ...หากเปรียบเจ้าชายยูริซิสดั่งสุนัขป่าแล้ว พระอนุชาในไฮคิงผู้รั้งตำแหน่งที่ปรึกษาผู้นี้คงเป็นพยัคฆ์ที่ซ่อนเล็บคมไว้ใต้ท่าทีเมินเฉยคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าสายตาที่มองมาราวกำลังประเมินเขาของเจ้าชายชามัลทำให้อดรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่ได้
สุดท้าย คือผู้ทรงสิทธิเหนือผู้ใดในเอเดนผู้มีอิทธิพลเหลือเกินต่อความนึกคิดของเด็กหนุ่มในตอนนี้ ชั่ววินาทีที่ได้สบดวงพระเนตรสีน้ำตาลใสกระจ่างของไฮคิง แม้จะมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฎอยู่บ้างหากยังเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งชีวิตราวกับคนหนุ่ม
ที่สำคัญ ดวงพระเนตรของพระองค์ช่างคล้ายคลึงกับของท่านแม่ที่เขาเห็นในรูปวาดยิ่งนัก
ท่านแม่ที่เฟลิโอน่า เกรเดเวลโหยหามาตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ แม้ภายนอกจะยังสวมหน้ากากเฟริน เดอร์เบอร์โรว์หัวขโมยแห่งบารามอสไว้ได้อย่างแนบแน่น หากภายใต้ความนิ่งเงียบนั้น หัวจิตหัวใจที่เคยแข็งแกร่งมาโดยตลอดของเด็กหนุ่มกลับสั่นคลอนยิ่ง
และไหวหวั่นยิ่ง
เพราะเบื้องหน้า คือ พระญาติเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินเอเดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้
ว่ากันตามตรงในฐานะ เฟลิโอน่า เกรเดเวลแห่งเดมอส พระธิดาและรัชทายาทหนึ่งเดียวของจ้าวปีศาจ นางไม่เคยขาดแคลนความรัก
หากในฐานะบุตร ในความเป็นลูกผู้ไม่เคยได้พบพระมารดา เช่นไรก็ยังโหยหาความรักของมารดาผู้ให้กำเนิด
สายใยใดที่เชื่อมโยงถึง ย่อมมีน้ำหนักต่อจิตใจ
ถึงกระนั้นก็ตาม...
เฟรินสูดหายใจลึก
กดข่มความรู้สึกอื่นใดที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก เกาะกุมเพียงหน้ากากที่สวมมาตลอด 5 ปี
แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบรื่น
“ทูลฝ่าบาท พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมโง่เขลานัก จึงไม่ทราบว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอะไร”
“นี่เจ้า” เสียงเจ้าชายยูริซิสดังขึ้น ความไม่พอใจฉายชัดทั้งบนใบหน้าและดวงตา
หากเจ้าชายชามัลปรามไว้ด้วยสายตา ก่อนเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยเสียเอง
“เจ้าจะบอกว่า เรื่องที่เราและองค์ไฮคิงตรัสมาเป็นเรื่องเท็จรึ”
“มิได้กระหม่อม หากกระหม่อมขอบังอาจทูลว่า พระองค์เห็นจะต้องตรวจสอบสายข่าวเสียใหม่
จริงอยู่ที่เมื่อ 5 ปีก่อน กระหม่อมและบิดาได้พบจ้าวปีศาจ
หากแต่เป็นเพียงเพราะพวกกระหม่อมได้ล่วงล้ำไปในเขตของเดมอส
จึงถูกจับตัวไปเพื่อรับโทษ เคราะห์ดีเป็นของกระหม่อมและท่านพ่อที่จ้าวปีศาจไม่อยู่ในอารมณ์จะลงโทษผู้ใด
ถึงได้ถูกปล่อยตัวกลับออกมาโดยปลอดภัย หาได้เกี่ยวกับเจ้าหญิงเฟลิโอน่าผู้นั้นไม่
หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อคำพูดกระหม่อม ก็ลองสอบถามยามที่ด่านหน้าเดมอสก็ได้ว่า เมื่อ
5 ปีก่อนนั้นตอนออกจากเดมอส กระหม่อมและบิดาเดินทางออกมาเพียง 2 คนเท่านั้น”
หัวขโมยหนุ่มกล่าวอย่างลื่นไหล
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาตระเตรียมไว้นานแล้ว แน่ใจว่าหากบารามอสรู้ข่าวเข้าคงไม่นิ่งเฉยด้วยอย่างไรเฟลิโอน่า
เกรเดเวล คือหน่อเนื้อเชื้อไขสายตรงสุดท้ายของราชสกุลฟาโรเวล
จะช้าหรือเร็วย่อมต้องสืบพบเบาะแสร่องรอย บิดากำมะลอของเขาจึงปั้นแต่งเรื่องบอกกันไว้ตั้งแต่เนิ่น
ๆ เพียงแต่เฟรินไม่เคยคาดคิดว่าตนจะได้เป็นผู้บอกกล่าวแก่ไฮคิงโดยตรงด้วยตนเองเช่นนี้
“จ้าวปีศาจผู้นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องความเด็ดขาด และโทสะอันเหลือร้าย สิ่งใดที่ได้ลั่นวาจาแล้วย่อมไม่คืนคำหรือมีข้อยกเว้น เรื่องที่เจ้าพูดมาไม่ออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยรึ” เจ้าชายชามัลยังคงตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางส่งสายตาปรามเจ้าชายหนุ่มที่ยังคงฮึดฮัด
“มีเหตุผลอันใดที่จ้าวปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นต้องมาไหว้วานหัวขโมยกระจอกจากเอเดนเช่นกระหม่อมและบิดาให้ตามหายารักษาให้
ในเมื่อเดมอสมีปีศาจที่มีอำนาจ และฝีมือมากมายให้เลือกใช้ กระหม่อมขอบังอาจทูลว่า
นี่เป็นเรื่องตลกไม่น้อย”
“บังอาจ!!” ยูริซิสตะคอกลั่นอย่างเหลืออด
ก่อนจะเรียกดาบเรียวออกมาจ่อที่คอของหัวขโมย
“ต่อหน้าองค์ไฮคิง เจ้ายังบังอาจทูลความเท็จอีกเรอะ
เจ้าหัวขโมยไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!! เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรืออย่างไร
ว่าเจ้าเพิ่งได้รับสาส์นจากเดมอส ทางที่ดีเจ้ารีบบอกความจริงมาดีกว่า ว่าเจ้าหญิงเฟลิโอน่าอยู่ที่ไหน!!”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ต่อหน้าฝ่าบาทผู้สูงศักดิ์เช่นพระองค์ กระหม่อมผู้ต้อยต่ำมีหรือจะหาญกล้าทูลความเท็จ แต่กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ขอฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเถิด” เฟรินรีบค้อมตัวต่ำพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น หากดวงตาที่แอบเงยสานสบกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวคมดาบของยูริซิสแต่อย่างไร
“ดี ช่างดีนัก คนอย่างเจ้านี่ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ทหาร! มาลากเจ้าหัวขโมยอวดดีนี่ไปเฆี่ยนเสีย!”
“พอได้แล้ว ยูริซิส” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น
ทำให้ทหารที่จะเข้ามาจับตัวเฟรินเอาไว้ชะงักอยู่หน้ากระโจม
“พวกเจ้ากลับไปทำหน้าที่ ยูริซิสเจ้าทำเกินไป
เราเชิญเจ้าหนุ่มนี่มาเพื่อจะสอบถามเท่านั้น”
“แต่ ฝ่าบาท”
“เจ้าจะขัดคำสั่งเราหรือ ยูริซิส” เสียงที่เข้มขึ้นทำให้เจ้าชายยูริซิสลดดาบลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
“เอาเถอะ เฟริน เดอเบอร์โรว์ เมื่อเจ้าไม่บอก
ก็คงไม่มีใครซักเอาความจริงจากเจ้าได้หรอก ถึงแม้เราจะจำไม่ได้ว่ามาดัส
เดอร์เบอร์โรว์ผู้นั้นเป็นหัวขโมยกระจอกตั้งแต่เมื่อไหร่
จริงสิ เราได้ข่าวมาว่าเจ้าสมัครเข้าเรียนที่เอดินเบิร์กหรือ
เจ้าหนุ่ม”
คราวนี้ เฟรินมีท่าทีประหลาดใจจริง ๆ
ก็เขาเพิ่งสมัครเข้าเรียนไปวันนี้เอง ชายชราตรงหน้ารู้ได้อย่างไร
“กระหม่อม”
“ดี ๆ โรงเรียนพระราชาเป็นสถานที่ที่ดี ถ้าเจ้าได้เข้าเรียนจริง บางที...
อา ช่างเถอะ ขอให้เจ้าโชคดีแล้วกัน ฝากความคิดถึงถึงบิดาของเจ้าด้วย”
กษัตริย์ชรากล่าว
ก่อนจะลุกเพื่อเข้าไปในกระโจมด้านในพร้อมเจ้าชายชามัล
ทิ้งเด็กหนุ่มไว้กับผู้เป็นหลาน
“เป็นพระกรุณายิ่ง กระหม่อมขอทูลลา” เฟรินกล่าวประโยคนั้นด้วยเสียงระโหยที่แม้แต่ตนเองยังตกใจ
แต่เมื่อเห็นคนฟังไม่ทันสังเกต ก็ลอบถอนใจ ก่อนรีบหันหลังเดินออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว
โดยมีเจ้าชายยูริซิสเดินตามออกไป
กษัตริย์ชราชะงักกาย สีพระพักตร์คล้ายพึ่งระลึกได้
“จริงสิ ชามัล เรายังไม่ได้ถามเลยว่าวันเกิดเขาคือวันใด”
“กระหม่อม?”
“จะอย่างไรเขาก็เป็นบุตรของสหายเรา ถือเป็นหลานชายเราคนหนึ่ง อย่างน้อยเขาเกิดวันใดเราก็ควรจะรู้ไม่ใช่หรือ?”
....
“เดี๋ยวก่อน เฟริน เดอเบอร์โรว์ ถึงองค์ไฮคิง
และเสด็จตาชามัสจะไม่ว่าอะไรเจ้า แต่คิดรึว่า เราจะเชื่อเจ้า” ยูริซิสที่เดินตามออกมาเอ่ย
พร้อมกับที่ทหารคนสนิทของเขาเข้ามาล้อมเด็กหนุ่มไว้
หัวขโมยหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นเจ้าชาย
ก่อนตอบ “สิ่งที่ ‘กระหม่อม’ ควรกราบทูลก็ได้กราบทูลไปหมดแล้ว
ส่วนจะเชื่อหรือไม่ นั่นคงแล้วแต่พระองค์แล้วเจ้าชายยูริซิส”
“หึ
เช่นนั้นเราจะคอยดูว่าคุกใต้ดินในบารามอสจะทำให้เจ้าพูดความจริงได้หรือไม่”
พลันที่พูดประโยคนั้น ประกายหมายมาดก็พาดผ่านดวงตาของยูริซิส
มือกระชับดาบคมถูกเปลือยออกจากฝัก
หากในดวงตาของหัวขโมยกลับไม่มีวี่แววความประหวั่น
มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับดวงหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เห หากคิดว่าจะจับกระหม่อมไว้ได้ ก็ลองดูสิ”
คำพูดท้าทายถูกเอื้อนเอ่ย
สองแขนหัวขโมยล้วงเข้าในกระเป๋าคล้ายไม่ยี่หระกับคมหอกคมดาบที่ชี้หาตน
“แล้วเจ้าจะเสียใจที่ท้าทายคนอย่างเรา ทหาร”
หากไม่ทันที่ทหารจะขยับตัว ก็บังเกิดสายลมแรงวูบไหวพัดพาทั้งใบไม้ใบหญ้าและฝุ่นผงฟุ้งกระจายจนยูริซิสต้องยกแขนขึ้นบัง
แต่เมื่อสายลมนั้นสงบลง ร่างของเฟรินก็หายไปจากครรลองสายตาของพวกเขาซะแล้ว ปล่อยให้ยูริซิสและทหารของเขายืนมองด้วยความงงงัน
ทันใดนั้น
ยูริซิสก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มลอยมาตามสายลมเบาบางที่พัดผ่าน
“แล้วพบกันที่เอดินเบิร์ก เจ้าชายยูริซิส อ้อ
แล้วก็ขอบพระทัยสำหรับของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ” พร้อม ๆ
กับเสียงหัวเราะเบา ๆ
เจ้าชายแห่งบารามอสยังคงงุนงงอยู่ชั่วครู่
ก่อนจะรู้สึกตัวว่าถุงเงินที่ติดตัวอยู่หายไป แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
จึงได้แต่ยืนเขม่นเข่นเขี้ยวอยู่ตรงนั้น
“เราจะได้เห็นดีกัน เฟริน เดอเบอร์โรว์”
...
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อเฟรินกลับมาถึง
มาดัสกำลังโยนเศษกิ่งไม้ที่เพิ่งเก็บมาใส่ในกองไฟพอดี
ตอนที่ชายหัวล้านหันมาเห็น “ลูกชาย” ของเขา
“หายหัวไปไหนมา ไอ้ลูกตัวแสบ จนมืดค่ำแล้วถึงเพิ่งกลับ
คงจะหนีไปเที่ยวอีกแล้วล่ะสิ แล้วนี่สมัครเรียนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“คนที่หนีเที่ยวน่ะท่านไม่ใช่หรือ แถมเล่นขโมยถุงเงินข้าไปแบบนี้ข้าจะไปไหนได้
เอาคืนมานะ”
“อะไร้ ! นิด ๆ หน่อย ๆ แค่นี้ทำงกไปได้ เอ้า”
มาดัสว่าพลางโยนถุงเงินคืนเด็กหนุ่ม หากเมื่อเด็กหนุ่มคว้าเอาไว้และสัมผัสได้ถึงความเบาหวิว
ใบหน้ากลับมืดครึ้มก่อนโวยวายเสียงดัง
“เฮ้ย ไม่เหลือเลยสักคราวน์ นี่เอาไปใช้อะไรหมดเนี่ย”
“ข้าก็มีธุระของข้าน่ะ ก็พ่อปีศาจของเจ้าเล่นไม่ส่งเงินมาให้เลย
ข้าก็ต้องถอนทุนคืนมั่งสิ” มาดัสตอบขณะใช้กิ่งไม้ในมือเขี่ยกองไฟ
ทำใจดีสู้เสือแม้ลึก ๆ แล้วจะอดหวั่นนิด ๆ ไม่ได้ เพราะหากเป็นเรื่องเงินเรื่องทองแล้วนั้น
หัวขโมยรุ่นที่สองอย่างเฟรินน่ากลัวใช่น้อยเสียเมื่อไหร่
...มาดัส เอ๋ย มาดัส
ชาติที่แล้วเจ้าทำกรรมอันใดหนอ จึงต้องมาเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้เช่นนี้
“เอาเถอะ วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับท่าน ข้าไปนอนดีกว่า” เฟรินว่าอย่างปลงตก ก่อนเดินออกไปอย่างไม่สนใจมาดัสอีกต่อไป
ทิ้งไว้เพียงความเงียบและเสียงฟืนประทุไปเป็นระยะๆ ซึ่งทำให้ชายหัวเกือบล้านประหลาดใจ
“วันนี้มันเป็นอะไรของมันล่ะเนี่ย”
...
แม้ปากจะบอกมาดัสว่าจะไปนอน หากเอาเข้าจริงขาของเด็กหนุ่มกลับกำลังพาร่างโปร่งลัดเลาะไปตามเส้นทางริมแม่น้ำที่อยู่ห่างจากจุดที่เกวียนของเขาและบิดาจอดอยู่
เด็กหนุ่มเดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยอาศัยเพียงแสงจันทร์นำทางพลางปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า
เฟรินเดินออกมานานเพียงใดไม่อาจรู้ รู้ตัวอีกทีเฟรินก็มาหยุดอยู่ตรงโขดหินใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางลำน้ำ
เท้าของหัวขโมยเตะพื้นพลางอาศัยแรงส่งพาร่างตนเองขึ้นไปอยู่บนโขดหินใหญ่
ก่อนมองไปรอบ ๆ กระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจึงได้ทรุดกายลงนั่ง ถุงมือสีมอมถูกถอดวางกับพื้นหิน
เฟรินก้มมองแหวนทองเกลี้ยงที่สวมติดนิ้วมาตลอด 5 ปี
แม้ความจริงจะถูกสั่งห้ามเอาไว้
หากเด็กหนุ่มเลือกจะค่อย ๆ ถอดแหวนออก พลันเมื่อแหวนหลุดพ้นจากปลายนิ้วก็บังเกิดแสงสีขาวนวลรอบกายของเด็กหนุ่ม
ก่อนที่ใบหน้ากร้านอย่างเด็กชายจะค่อย ๆ
เปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าหวานละมุนอย่างเด็กสาว
ผมสีน้ำตาลสั้นระต้นคอค่อย ๆ ยาวขึ้นจนกระทั่งถึงสะโพก รูปร่างโปร่ง กลับยิ่งโปร่งบางลงไปอีก
ผิวค่อนไปทางคล้ำเพราะแดดค่อย ๆ ขาวนวลขึ้น และเมื่อแสงนั้นจางหายไป
เด็กหนุ่มนามเฟรินก็หายไป
เหลือเพียงเด็กสาวในชุดผู้ชายนาม เฟลิโอน่า
เกรเดเวล
นิ้วเรียวไล้ไปตามเรือนแหวนอย่างล่องลอย ความคิดประหวัดย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อกลางวัน หัวคิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยยามตระหนักว่าบัดนี้บารามอสเริ่มจะประกาศตัวลงเล่นเกมซ่อนหากับเธอแล้ว และพวกเขาเข้าใกล้ธิดาแห่งความมืดได้มากเกินไปจนไม่น่าให้อภัย
โดยเฉพาะเรื่องจดหมาย ทั้งที่เป็นการติดต่อครั้งแรกนับแต่เธอออกจากเดมอสและมันไม่ควรเป็นที่สังเกตมากนักหากกลับไม่อาจรอดพ้นสายตาบารามอสได้ เห็นได้ชัดว่าทั้งเธอและจ้าวปีศาจชะล่าใจเกินไป
เหยี่ยวดำเด่นเกินไปและเธอคงต้องหาทางบอกบิดาแท้ ๆ ให้เลี่ยงไปใช้วิธีอื่นหากจำเป็น
ถึงตรงนี้ มุมปากของเฟลิโอน่าอดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบามิได้ยามนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่ม วาจาเกรี้ยดกราดและโทสะที่ดูจะควบคุมไม่ได้ของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวนึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดบุรุษเลือดร้อนเช่นยูริซิสจึงได้รับฉายาไม่สมตัวเช่นเจ้าชายนักปราชญ์ไปได้
ทว่าใบหน้าต่อมาที่ปรากฎในความคิดกลับทำให้รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อย ๆ เลือนหายไป มันคือใบหน้าเฉยเมยของเจ้าชายชามัล เธอยอมรับกับตัวเองเงียบ ๆ ว่าเธอรู้สึกประหวั่นไม่น้อยโดยเฉพาะยามสบกับดวงตาสีน้ำตาลเย็นชาอ่านยากคู่นั้น
เฟลิโอน่าไม่ชอบสิ่งที่ตนเองคาดเดาไม่ได้ และเจ้าชายชามัลเป็นหนึ่งในนั้น
เด็กสาวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นั้นอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ ...ซึ่งในตอนนั้นเฟลิโอน่าไม่รู้เลยว่าคำขอของเธอไม่มีวันสัมฤทธิ์ผล
ทันใดนั้น ใบหน้าสุดท้ายที่ปรากฎในห้วงคำนึงทำเอาความคิดที่เหลือกระจัดกระจายจนปะติดปะต่อไม่ได้อีก
...ท่านตา
เพียงนึกถึงดวงพระเนตรของไฮคิงที่คล้ายกับพระมารดา...ไม่สิต้องกล่าวว่าดวงพระเนตรของราชินีแห่งเดมอสนั้นถอดแบบมาจากดวงพระเนตรของไฮคิงชนิดไม่ผิดเพี้ยนนั้นทำให้ดวงใจของบุตรีผู้โหยหามารดาเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
และดวงพระเนตรเดียวกันที่มองตอบเธออย่างคนแปลกหน้าก็ทำให้ใจที่เต้นเร็วสักครู่เต้นช้าลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน
เด็กสาวทอดถอนหายใจยาวพลางละสายตาจากแหวนกลมเกลี้ยงในมือ ก่อนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีที่บัดนี้
มีเพียงจันทราลอยเด่นอยู่เพียงดวงเดียว ก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือก
ดวงตาสีเปลือกไม้ฉายประกายหม่นใต้แสงจันทร์ การได้พบกับไฮคิงแห่งบารามอสในวันนี้แม้ใจหนึ่งจะยินดี
หากอีกใจกับเจ็บปวดนัก
...ท่านแม่... เธอรำพึงในใจ
วันนี้ ลูกได้พบท่านตาแล้ว
แต่แล้วอย่างไรเล่า เราได้พบกัน หากท่านตาไม่อาจจดจำลูกในฐานะหลาน ในขณะที่ตัวลูกเองก็ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยวาจา หรือแม้แต่แสดงความเคารพอันใดเฉกเช่นที่ลูกหลานพึงกระทำ
แม้ใจจะปรารถนาสักเพียงใดก็ตาม
ทำได้เพียงเป็นคนแปลกหน้าต่อกันต่อไป
...พบ เหมือนไม่ได้พบ...
แม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือถึง
หากเหมือนอยู่ไกลกันคนละฟากฟ้า
เช่นนี้ต่างอย่างไรกับคนที่ได้ตายจากกันไปแล้ว
ใช่แล้ว ราวกับคนตายจากกัน ทั้งที่ความจริงต่างฝ่ายต่างยังมีลมหายใจ!
เฟลิโอน่าคงไม่สับสนถึงเพียงนี้
หากไฮคิงพระองค์นั้นจะไม่มีพระพักตร์คล้ายคลึงกับคนที่เธอคะนึงหาที่สุด และเธอจะไม่เห็นประกายความคาดหวังในดวงพระเนตรคู่นั้นยามเผลอสบเข้า
ยามนั้น เด็กสาวในคราบหัวขโมยหนุ่มคล้ายเห็นภาพซ้อนของมารดาบนพระพักตร์ไฮคิงกระทั่งเกือบหลุดปากเอ่ยความจริงออกไป
หากเงาสะท้อนในดวงพระเนตรที่เต็มไปด้วยความมาดหมายคู่นั้นกระชากเธอกลับสู่ความเป็นจริง
ทั้ง ตราบที่ยังไม่รู้เจตนาแน่ชัดว่าบารามอสตามหาเธอทำไม
การเปิดเผยฐานะเท่ากับการพาตัวเองสู่ที่แจ้ง
ทั้งที่ศัตรูผู้หมายชีวิตเธอยังอยู่ในที่ลับ
นั่นเท่ากับพาตนเองไปสู่ความตายโดยแท้
ทายาทหนึ่งเดียวแห่งพระธิดาในไฮคิงจึงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึก
แล้วทูลแต่สิ่งที่ตระเตรียมไว้ออกไป
สายลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบาราวกับจะปลอบใจ นั่นแหล่ะ รอยยิ้มบางจึงฉาบลงบนใบหน้างามอีกครั้ง
...เถอะ สักวัน
หากชะตาไม่พรากเธอกับเสด็จตาให้จากกันไปก่อน
คงมีสักวันที่เธอจะได้พบกับพระองค์ในรูปโฉมที่แท้จริงของตน
แล้ววันนั้นเธอค่อยขอพระราชทานอภัยที่ทูลความเท็จ คงไม่สาย
เด็กสาวคงจะนั่งอยู่บนโขดหินเช่นนั้น
หูสดับฟังลำนำธรรมชาติ พลางดำดิ่งสู่ห้วงความคิดตนของตนทั้งคืน หากเธอจะไม่สัมผัสถึงการมีอยู่ของบุคคลอื่น ดวงตาเหม่อลอยจนถึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง พลันประสาททุกส่วนกลับตึงเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อแน่ใจว่าสัมผัสดังกล่าวไม่ใช่เพียงเธอคิดไปเอง มือบางเลื่อนไปเบื้องหลังพลางส่งปลายนิ้วกำรอบด้ามของมีดคม พร้อมเปลือยคมออกใช้หากจำเป็น หากเมื่อเวลาผ่านไป แม้สัมผัสจะบอกว่าใครคนนั้นยังไม่ได้หลบหนีไปไหน
หากเธอไม่ได้รู้สึกถึงจิตมุ่งร้ายแต่อย่างใด มือบางจึงละออกจากด้ามมีดที่ซ่อนไว้เบื้องหลังพลางพลิกตัวหยัดกายขึ้น
กระโดดลงพื้นในคราวเดียวก่อนเร้นกายหายไปกับสายลม
...
ภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้น ราวกับสะกดให้เวลารอบกายเด็กหนุ่มหยุดนิ่ง
เรือนผมยาวพลิ้วไหวตามสายลม
ผิวขาวเนียนผ่องที่เผยให้เห็นถูกขับให้กระจ่างยามต้องแสงจันทร์
ยังดวงหน้าหวานได้รูปที่ไม่เพียงสวยหวานหากยังสูงส่ง ทำให้เด็กสาวตรงหน้า ดูงดงามราวกับเทพธิดา
อีกดวงตาคู่นั้นเล่าก็ช่างมีแรงดึงดูดจนมิอาจละสายตา
...หวานซึ้ง หากก็หม่นโศกยิ่งนัก
ลมหายใจของเขาดูจะติดขัดขึ้นมากะทันหันยามเห็นบางสิ่งคล้ายหยาดน้ำตาไหลหล่นจากดวงตาคู่งาม
เด็กหนุ่มถึงกับรำพึงในใจ
...ช่างแปลกนัก ความเศร้าของเธอทำให้เขารู้สึกได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทว่า ราวเด็กสาวจะรู้ตัวว่ามีคนเฝ้ามอง เมื่อจู่ ๆ
เธอมีท่าทีระแวดระวังมากขึ้น
บรรยากาศเศร้าโศกที่อ้อยอิ่งอยู่รอบกายเธอพลันเลือนหายวับ
เด็กสาวผุดลุกยืนขึ้นซ้ำยังมองมาที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่
จนเขาต้องหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตนเองดีนักว่าเหตุใดจึงต้องหลบราวกับตนเองกระทำความผิด
ทั้งที่การที่เขามาที่แห่งนี้เป็นเพียงความบังเอิญ ใช่เขาตั้งใจมาถ้ำมอง
ระหว่างที่เขากำลังสับสนในตัวเองอยู่นั่นเอง
เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายกิ่งไม้หัก
นึกรู้ว่าเด็กสาวที่เขาเฝ้ามองเมื่อครู่คงกำลังจะกลับ หากเมื่อหันกลับไปมอง
เด็กสาวคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
ดวงตาสีมรกตของเขาได้แต่เบิกกว้างด้วยความแปลกใจ
...หรือเธอจะเป็นเทพธิดาจริง ๆ
2017-10-15 11.42PM
-----------------
แปลกใจใช่ไหม แปลกใจอะดิ
คนเขียนก็แปลกใจค่ะ 555
แปลกใจแรก คือ นี่ยังมาลงอะไรตอนนี้
แปลกใจสอง คือ เหยยยย ยังมีคนอ่านด้วยยย
จริงๆ ที่ปิดตอนนี่ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ กำลังพยายามรีไรท์ครั้งใหญ่เลย ด้วยความที่มันนานมากจนแทบจะลืมพล็อต แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่าควรจะเปลี่ยนโครงเรื่องที่วางไว้เดิมดีหรือไม่
ดังนั้น ระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยเลือกปิดตอนไปบางส่วนค่ะ เหลือเปิดไว้เฉพาะตอนที่ชัวร์ว่าไม่เปลี่ยนแล้ว ซึ่งเดิมเลยตั้งใจว่าจะมาเปิดหลังจากรีไรท์เสร็จทั้งหมด
แต่พอมาอ่านที่เปิดไว้ ก็คิดว่า เออ คนอ่านน่าจะค้างเนอะ เลยมาเปิดอีกตอนให้ค้างกว่าเดิม /วิ่งหนีรองเท้า
ถ้าถามว่าแล้วตอนนี้รีไรท์ถึงไหนแล้ว .......สัก 40% ได้กระมังคะ แหะๆ
ขอบคุณทุกคนที่ยังคอยเปิดมาเช็คว่าเมื่อไหร่มันจะอัพ รวมถึงคนที่เพิ่งหลงเข้ามาอ่านด้วยนะคะ ถ้ารู้สึกคิดผิดก็กดออก หรือจะก่นด่าในคอมเมนท์ก็ได้ค่ะแต่อย่าแรง พี่แก่แล้ว พี่อ่อนแอ พี่ไม่สู้คน 555
แต่อย่าให้สัญญาเลยว่าจะมาอัพอีกเมื่อไหร่ เพราะผิดสัญญาชัวร์ 5555
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความเข้าใจ (ที่ถึงคุณจะไม่เข้าใจเราก็จะมโนว่าคุณเข้าใจ)
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ❤ ^^
- thorongil
ความคิดเห็น