ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #6 : จิ้งจอกเฒ่า อย่างไรก็เป็นจิ้งจอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      8
      15 มิ.ย. 63



    - จิ้งจอกเฒ่า อย่างไรก็เป็นจิ้งจอก -

     

     

     

     

     

     

    เซจ ไมดาส นักดาบแห่งเอเธนส์เสียงขานนามผู้สมัครดังขึ้น ก่อนร่างสูงใหญ่บึกบึนจนน่าจะได้ฉายาว่านักรบมากกว่านักดาบของเด็กหนุ่มเจ้าของนามจะเดินหายไปหลังประตูบานใหญ่ โดยมีสายตาหลายคู่มองตามไปราวกับประเมินหลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวตน

    หากหัวขโมยหนุ่มกลับนึกถึงประโยคเดียวกันด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป

    ดวงตาจ้องมองบานประตูหนาหนักประดับธงสีม่วงปักดิ้นทองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แสงแดดยามใกล้เที่ยงวันที่กำลังแผดเผาผสานกับกระไอร้อนจากกลุ่มคนที่ยืนเบียดเสียดรอเรียกตัวอยู่ในลานหน้าปราสาทแห่งนี้ ทำให้เฟรินรู้สึกราวกับอยู่ในปล่องภูเขาไฟโลกันตร์ในเดมอสก็ไม่ปาน

    เมื่อวานที่มายื่นใบสมัครว่าคนเยอะแล้ว วันนี้กลับเยอะยิ่งกว่าจนเฟรินชักไม่แน่ใจว่าเอดินเบิร์กเป็นโรงเรียนพระราชาหรือโรงทานกันแน่

    ร้อน...

    หัวขโมยหนุ่มบ่นงึมงำขณะยกแขนหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า อีกมือก็กระพือเสื้อที่เริ่มจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อด้วยกิริยาที่หากราชินีจันทรามาเห็นเข้าเขาคงถูกสั่งกักบริเวณไปอีกเป็นสัปดาห์ กระพือไปกระพือมาใจก็ไพล่นึกไปถึงตำราเล่มเก่าสภาพดีกว่าคำว่า ยับเยินเพียงปลายนิ้วก้อยที่มาดัสยัดใส่มือ พลางบอก ข้อสอบเก่า เอาไปอ่านซะหากเด็กหนุ่มโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ด้วยรู้ดีว่าของแต่ละสิ่งที่มาดัสให้ไม่เคยมีสิ่งใดใช้การได้ ...อ้อ จะเว้นก็เพียงแต่มีดเล่มเล็กที่เหน็บอยู่ด้านหลังไว้เสียสิ่งหนึ่งแล้วกัน

    ...หากรู้ว่าจะต้องรอตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันตรงหัวเช่นนี้คงพกมาแล้ว ถึงเนื้อในจะไม่มีประโยชน์นัก แต่เอามาใช้โบกต่างพัด หรือบังแดดก็ยังดี

    โร เซวาเรส ขอทานแห่งทริสทอร์เสียงขานชื่อดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เรียกความสนใจจากผู้สมัครคนอื่นได้ดียิ่ง เพราะเพียงสิ้นคำเรียกขานฉายา เสียงอื้ออึงก็ดังกระหึ่มลานหน้าปราสาทไปทั่ว ผู้สมัครหลายคนต่างพากันสอดส่ายสายตาเจ้าของนาม กระทั่งใครคนหนึ่งส่งเสียงลั่นหลังมองเห็นร่างที่ค่อนไปข้างผอมในชุดมอมแมมมีรอยปะไปทั่วค่อย ๆ โผล่ออกมาจากฝูงชน เด็กหนุ่มชะงักกายเพียงครู่ราวกับตกใจนักหนา ก่อนก้มหัวงุดด้วยท่าทางเลิกลั่กคล้ายตื่นตระหนก ทว่าดวงตาสีมรกตกที่แรกเห็นดูลุกลิกกลับมีประกายคล้ายขบขันฉายวาบ ซ้ำยามก้าวเดินแม้ขอทานหนุ่มจะสับเท้าอย่างเร็ว แต่หากสังกเตดี ๆ แล้วจะพบว่าแต่ละย่างก้าวของขอทานหนุ่มกลับก้าวอย่างมั่นคง สะท้อนว่าเป็นผู้มีความมั่นใจในตนเองยิ่ง

    กิริยานั้นไม่อาจพ้นสายตาของใครหลายคนที่จับจ้องเด็กหนุ่มผู้ครองฉายาขอทานอย่างจับผิด รวมถึงเฟรินที่แม้จะไม่แน่ใจว่าการที่ขอทานมาสอบเข้าโรงเรียนพระราชาเป็นเรื่องผิดแปลกเพียงใดในเอเดน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ

    รอยยิ้มเหยียดฉาบบาง ๆ บนใบหน้าหัวขโมยกำมะลอยามตระหนักว่า อาจไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่ปิดบังตัวตน


    ----------------------

     

    เฟริน เดอเบอร์โรว์ หัวขโมยแห่งบารามอสในที่สุด ชื่อของหัวขโมยก็ถูกขานเรียก หากเจ้าตัวกลับไม่ยินดีเสียแล้วที่การรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลงเสียที

    เพราะเพียงสิ้นเสียงขานฉายา เสียงฮือฮาจากผู้สมัครคนอื่นก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง....ร้ายกว่าตรงเสียงที่ดังหึ่ง ๆ ราวกับฝูงผึ้งในคราวนี้ดังยิ่งกว่าคราวของขอทานเสียอีก บางคนในที่นั้นถึงขั้นรำพึงออกมาดัง ๆ ว่า ...ขอทานก็ว่าแปลกแล้ว คราวนี้ยังมีหัวขโมยอีก หัวขโมยกับโรงเรียนพระราชา ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหน!

    ข้างเฟรินได้ยินเข้าก็ให้ตระหนักว่าฉายากำมะลอที่ถือครองมา 5 ปีจะสร้างความลำบากให้ก็คราวนี้ ยิ่งเห็นปฏิกิริยาคนรอบข้างที่พากันมองซ้ายแลขวาเพื่อหาตัวก็ยิ่งจนใจ แม้เขาอยากจะรีบ ๆ ออกไปให้พ้นจากคลื่นมนุษย์แออัดอันร้อนระอุตรงนี้เต็มที หากสถานะเช่นเขาย่อมไม่อยากเป็นจุดเด่นเช่นนี้

    นึกแล้วได้แต่สรรเสริญคนจัดลำดับในใจ เหตุใดจึงเรียกหัวขโมยต่อจากขอทาน

    ละล้าละลังอยู่พักใหญ่ กระทั่งเสียงเรียกดังซ้ำ หัวขโมยจำแลงจึงได้แต่จำใจก้าวเร็ว ๆ เข้าไป พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่นำพาต่อสายตาสงสัยทิ่มแทงที่มองไล่หลัง ก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวกระทั่งพ้นประตูใหญ่มาสู่โถงทางเดินภายในจึงค่อยรู้สึกสงบลง มีแก่ใจเงยหน้ามองสำรวจรอบข้างบ้าง

    ดวงตาสีเปลือกไม้กวาดตามองรอบ ๆ อย่างสนอกสนใจขณะสองเท้าเดินตามชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในผู้คุมสอบ หูแว่วเสียงอธิบายยืดยาว หากหัวขโมยที่ความสนใจจับจ้องอยู่กับลวดลายปิดทองตามเสา และภาพประดับที่ดูสูงค่ากลับจับใจความได้เพียงคร่าว ๆ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีเข้มทำจากไม้โอ๊ค ลูกบิดทั้งสองทำด้วยทองคำที่หัวขโมยได้แต่จับจ้องตาเป็นประกายวาววับ ในหัวเด็กหนุ่มกำลังคำนวณเล่น ๆ ถึงจำนวนเงินที่จะได้หากเขางัดลูกบิดทองคำสองชิ้นนี้ไปขายตอนที่หูได้ยินเสียงกระแอมไอจึงได้รู้ตัวว่าเขาชักจะติดนิสัยขโมยมากไปนิดเสียแล้ว

    หัวขโมยจึงได้แต่ส่งยิ้มแหยให้ร่างสูงของผู้คุมสอบที่มองมาอย่างจับผิด ขณะแกล้งเสมองไปทางอื่น

    “ผู้เข้าทดสอบ เชิญทางนี้” ชายหนุ่มกล่าวขณะเปิดประตูและผายมือให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไป ก่อนประตูจะปิดลง

    หากภาพที่เฟรินเห็นทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยความแปลกใจ

    คะเนจากเพียงขนาดของบานประตูและคำบอกเล่าของผู้ที่กลับออกมาหลังทดสอบเสร็จสิ้น เฟรินคาดว่าตนจะก้าวเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีกรรมการคุมสอบไม่น้อยกว่าสามคนนั่งรออยู่ หากห้องที่เฟรินยืนอยู่นขณะนี้ กลับเป็นห้องขนาดกลาง บนผนังประดับภาพเขียนขนาดใหญ่ใส่กรอบไม้สลัก ถัดจากภาพเขียนคือชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มหนา วางเรียงเป็นลำดับ

    หากที่น่าแปลกใจที่สุด คงไม่พ้นภาพทิวทัศน์หลังบานหน้าต่างใหญ่ประดับม่านกำมะหยี่สีแดงเลือดหมู

    หัวขโมยหนุ่มแน่ใจว่าตลอดทางที่เดินตามมา ไม่มีสักครั้งที่เขาเดินขึ้นบันได เฟรินจึงแน่ใจว่าเขายังอยู่ในตัวปราสาทชั้นแรก หากภาพทิวทัศน์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า มองอย่างไรก็เป็นภาพมุมสูง

    และเพียงหันไปมองอีกด้านของห้อง เขาเห็นลานหน้าปราสาทที่คลาคล่ำไปด้วยผู้สมัครจำนวนมากที่ยังไม่ถูกขานชื่อด้วยซ้ำ!!

    เฟรินพาตัวเองไปใกล้บานหน้าต่างขณะใช้มือหนึ่งถอดถุงมือที่สวมอยู่ออก ก่อนใช้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่นกระจก สัมผัสนั้นบอกเด็กหนุ่มว่าภาพเบื้องหน้าไม่ได้เกิดจากมนตราใด

    เช่นนั้น เขาขึ้นอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร...

    สมองของหัวขโมยจำแลงหมุนเร็วรี่ ก่อนความคิดหนึ่งจะสว่างวาบ

    “มิผิด นั่นคือมนตราเคลื่อนย้าย”

    เด็กหนุ่มหมุนกายกลับมาตามเสียง แล้วเขาก็พบชายชราที่ทั้งเครา และผมกลายเป็นสีเงินยวง ท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เฟรินแน่ใจว่าเขาไม่เห็นยามเมื่อก้าวเข้ามาในห้องครั้งแรก

    กลิ่นอายมนตราขั้นสูงเข้มข้นแผ่ออกมาจากร่างชองชายชรา และจากเครื่องแต่งกายทำให้เขารู้ว่า ชายคนนี้เป็นนักปราชญ์

    เฟรินนึกรู้โดยพลันถึงตัวตนของชายชราตรงหน้า แล้วก็ได้แต่รู้สึกพรั่นพรึง

    ...นี่รึ ปราชญ์เลโมธี

    เฟรินได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักปราชญ์แห่งเอเดนผู้นี้มามากมาย เมื่อมาได้พบตัวจริงในวันนี้ จึงได้รู้ว่าที่เคยได้ยินมาทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริงสักเรื่อง!

    หัวขโมยจำแลงได้แต่นึกคาดโทษเจ้าคนแคระเขากวางปากมาก ทว่าเสียงขยับกายของอีกฝ่ายเรียกเฟรินกลับมาจากห้วงภวังค์ความคิด

    ปราชญ์เลโมธีส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ขณะลุกเดินเข้าหาเด็กหนุ่มมาหยุดยืนเบื้องหน้า เมื่อได้มองในระยะประชิดเช่นนี้ เด็กหนุ่มพบว่ามหาปราชญ์แห่งเอเดนเป็นชายชราร่างสูงผอม ชุดคลุมสีเดียวกับเส้นผมและเครายาวของเขา ประกอบกับบรรยากาศสงบนิ่งรอบกายส่งให้ภาพลักษณ์ของปราชญ์ชราผู้นี้ดูทั้งสูงศักดิ์และทรงภูมิสมฉายา

    ยิ่งดวงตาสีอ่อนจางกระจ่างใสที่ราวกับจะมองทะลุไปถึงจิตใจ ทำให้หัวขโมยที่มีชนักปักหลังเช่นเฟรินรู้สึกพรั่นพรึงระคนหวาดหวั่น

    เขาชักไม่แน่ใจว่าการซ่อนตัวในป่าที่มีพญาอินทรีเช่นมหาปราชญ์ผู้นี้จะเป็นความคิดที่ดี

    สองมือที่เริ่มชื้นเหงื่อกำแน่นเข้าหากัน เด็กหนุ่มสืบเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัวยามสบตาใสกระจ่างคู่นั้น ความรู้สึกคล้ายกำลังยืนเปิดเปลือยต่อหน้าชายชราขับดันให้เฟรินเกิดความคิดอยากวิ่งหนี แม้ในใจส่วนลึกจะรู้ดีว่าเป็นความคิดที่งี่เง่าเพียงใดก็ตาม

    เฟรินเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองตลอดมา และมันกำลังร่ำร้องบอกเขาว่าที่นี่อันตรายเกินไป

    ทว่า ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะทำสิ่งใด กลับเป็นมหาปราชญ์ที่เป็นฝ่าย ถอยให้ก่อน

    เลโมธีเคลื่อนกายไปด้านข้างพลางผายมือก่อนเอ่ย เฟริน เดอเบอร์โรว์ เชิญนั่งที่เก้าอี้นี่ก่อน เดี๋ยวเราจะทดสอบพลังของเธอกันน้ำเสียงนั้นนุ่มนวลยิ่ง และเพียงประโยคเดียวกลับทำให้เฟรินคลายความระแวดระวังลง เดินตามไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมที่ปรากฎขึ้นโดยไร้ซุ่มเสียงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    แม้หลายปีให้หลัง เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามหาปราชญ์ใช้มนต์ใดจึงสามารถสะกดหัวขโมยในยามนั้นให้ทำตามได้

    ทำตัวสบาย ๆ ไม่ต้องเกร็ง เฟรินพยักหน้ารับรู้แม้ในใจจะคลายความระแวงไปบ้าง หากหลังไหล่ของเด็กหนุ่มจึงยังเครียดเกร็งและดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้นยังมีความระแวดระวังฉายชัด ดวงตาสีอ่อนจางของมหาปราชญ์ปรากฏร่องรอยคล้ายอ่อนใจบาง ๆ หากใบหน้ายังประดับยิ้มอ่อนโยนขณะทรุดกายลงนั่งตรงข้าม พลางรำพึงกับตัวเองเบา ๆ ว่า

    ...ช่างเหมือนนัก

    “เอาล่ะ เราเริ่มกันเลยไหม” ชายชราเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายยิ่ง และเพียงปรบมือเบา ๆ โต๊ะทำงานเบื้องหน้าก็อันตรธานหายไป แทนที่ด้วยโต๊ะยาวสูงเพียงเอว บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่ 4 สิ่ง กระไออันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากของทั้ง 4 สิ่งนั้นทำให้เฟรินระลึกถึงเรื่องเล่าของโกโดมโคมุสเรื่องหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มแทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก

    เรื่องสำคัญเช่นนี้ เขาลืมไปได้อย่างไร

    เรื่องของของวิเศษ 4 สิ่งที่ปราชญ์เลโมธีใช้กักพลังของบิดาของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง!

     

    -----------


    สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวเอเดนต่างจากเดมอส คือ พลังเวทย์ในกาย

    โดยทั่วไป พลังเวทย์ของชาวเอเดนนั้นกำเนิดจากการฝึกฝน ขัดเกลาจิตตนจนสามารถเรียกใช้พลังเวทย์จากธรรมชาติ แม้มีส่วนน้อยกำเนิดมาพร้อมความสามารถนั้นอันถือเป็นพรสวรรค์ที่แตกต่างกันไปตามแต่เฉพาะคน

    แต่สำหรับชนเดมอสกลับไม่เป็นเช่นนั้น

    พลังเวทย์ของชนเดมอสนั้น กล่าวกันว่าสืบทอดผ่านสายเลือด จากรุ่นสู่รุ่น จากบิดาสู่บุตร นั่นหมายถึง พลังที่ไหลเวียนในกลุ่มผู้สืบสายเลือดเดียวกัน คือพลังขุมเดียวกัน หากจะแตกต่างกันบ้างในกลุ่มผู้สืบสายโลหิตเดียวกัน ก็คงเป็นพรสวรรค์อื่นที่รับสืบทอดจากฝ่ายบิดาหรือมารดาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง เช่น จ้าวปีศาจเอวิเดสและราชินีจันทราลูน่า เกรเดเวล ซึ่งแม้จะมีบิดาร่วมอุทร แต่มีเพียงราชินีจันทราเท่านั้นที่ครองพลังหยั่งรู้

    ที่สำคัญ สายเลือดเดียวกันย่อมเพรียกหา สถานการณ์ตรงหน้าที่มีของซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังของบิดาจึงถือเป็นวิกฤติยิ่งยวดสำหรับเขา เฟรินกลัดกลุ้มถึงขั้นรำพึงถึงบิดาบังเกิดเกล้าทีเดียว

    ไหล่ที่เครียดเกร็งอยู่แล้วจึงยิ่งเกร็งขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมสีหน้าให้ดูแปลกใจ ในขณะที่สองมือที่วางอยู่บนเข่านั้นกำเข้าหากันแน่น พลังใจแทบทั้งหมดถูกใช้เพื่อกดข่มพลังที่เต้นเร่าอยู่ในสายเลือดที่คล้ายกับกำลังร้องรับกับของวิเศษทั้ง 4 เบื้องหน้า

    มหาปราชญ์แห่งโรงเรียนพระราชามองความพยายามของเด็กหนุ่มตรงหน้าไปพลาง นึกชื่นชมทั้งความสามารถและความดื้อรั้นของเขาไปพลาง ชายชราเอ่ยพึมพำคล้ายบ่นกับตัวเองขณะรินน้ำชาจากกาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างกายก่อนยกขึ้นจิบ กิริยาคล้ายไม่ใส่ใจนั้นทำให้หัวขโมยที่พยายามควบคุมพลังในกายที่กำลังดื้อดึงราวม้าพยศอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ

    ทว่า ทันทีที่ถ้วยน้ำชาในมือมหาปราชญ์กระทบจานรองดังกริ๊ก พลันเฟรินก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่กระจายราวกับคลื่นน้ำจากชายชรา พร้อมน้ำเสียงทุ้มลึกคล้ายดังมาจากที่ไกลแสนไกล

    ปล่อยกายตามสบายเถิด เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกกว้างเมื่อได้ยินนามที่แท้จริงหลุดออกมาจากปากของชายชรา สติที่หลุดหายด้วยความตกใจ ทำให้พลังที่กำลังพยศจนเลือดในกายแทบเดือดพล่านหลุดจากการควบคุม เมื่อสัมผัสได้ถึงขุมพลังเดียวกัน ของวิเศษทั้งสี่ชิ้นพลันเรืองแสงก่อนเกิดอาการสั่นไปมาคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า ก่อนลอยสูงขึ้น และเปล่งแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ ทั้งยังเนิ่นนาน จนในที่สุดก็ค่อยเลือนดับลง เริ่มจาก มงกุฎ และแหวน... เหลือเพียงคทาแห่งอำนาจและดาบแห่งกษัตริย์ที่ยังคงเปล่งแสงสว่าง หากแต่แสงนั้นนุ่มนวล และดูอบอุ่นกว่า

    สมแล้วที่สืบสายโลหิตเดียวกัน เจ้าหญิงเลโมธีกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้แก่เจ้าหญิงพลัดถิ่นในร่างจำแลงที่ยังคงมีนงง

    ท่าน...นี่ท่าน... ได้แต่เอ่ยตะกุกตะกักราวกับหาคำพูดไม่เจอ ขณะมองชายชราที่เพียงยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย ของวิเศษทั้ง 4 พลันเลือนหายไปราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาหากเขาจะไม่ได้ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังอันเข้มข้นของบิดาที่ยังลอยวนอยู่ในอากาศเช่นนี้ที่บ่งบอกว่าของวิเศษเมื่อครู่เป็นของจริง

    แม้ท่านมีมนต์โบราณคลุมกายช่วยอำพรางทั้งรูปโฉมและพลังแห่งความมืด หากโลหิตนั้นย่อมข้นกว่าน้ำ ยิ่งท่านเป็นผู้สืบสายโลหิตของเจ้าของอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ผนึกอยู่ในของวิเศษทั้งสี่นี่แล้ว ย่อมไม่อาจปกปิดพลังแห่งสายเลือดที่ไหลเวียนในกายได้

    “...ท่านก็รู้ว่าเรามิได้หมายถึงเรื่องนั้น” เฟรินเอ่ยพลางผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาที่มองปราชญ์เลโมธีมิได้มองอย่างระแวงอีกแล้ว หากแสดงความเป็นปฏิปักษ์ชัดเจน ในใจนั้นโอนเอียงไปตามคำกล่าว(หา)ของพ่อมดแห่งเดมอสที่ว่า ปราชญ์เลโมธีผู้นี้เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ...หากตอนนี้ทำได้อย่างใจนึก เขาคงเรียกดาบขึ้นมาบั่นคอชายชราเสียแล้ว

    ดวงตาของปราชญ์เลโมธีคล้ายมีความเหนื่อยใจพาดผ่าน หากรอยยิ้มเมตตาบนใบหน้ายังมิคลายไปไหน

    “กิริยาท่าทางของท่านช่างเหมือนจ้าวปีศาจยิ่งนัก แต่ความหัวแข็งดื้อรั้นเช่นนี้กลับเหมือนเจ้าหญิงอลิเซีย พระมารดาของท่านมากกว่า” ชายชรากล่าว และดูเหมือนปราชญ์ชราจะเล่นได้ตรงจุด เพราะดวงตาแข็งกร้าวของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพลันอ่อนแสงลงทันทีที่ได้ยินพระนามของมารดา

    “...เหมือน ท่านแม่หรือ”

    “ใช่แล้ว เหมือนมากทีเดียว โดยเฉพาะดวงตา เจ้าหญิงอลิเซียนั้นภายนอกอาจดูอ่อนหวาน แต่ที่แท้แล้วพระองค์ทรงเป็นคนดื้อนัก หากมีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย แม้จะไม่ทรงตรัสอันใด หากพระเนตรของพระองค์นั้นบอกทุกสิ่ง”

    “เช่นนั้นหรือ”

    “หากท่านอยากฟังเรื่องของเจ้าหญิงอลิเซีย ข้ายินดีเป็นคู่สนทนาให้ทุกเมื่อ ...แน่นอนว่าหากท่านตกลงเป็นนักเรียนของเรา” ปราชญ์ชรากล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย แต่เฟรินคล้ายเห็นแววตาเจ้าเล่ห์สะท้อนอยูในดวงตาเป็นมิตร แม้จะเป็นเพียงพริบตาก็ตาม

     “ส่วนสิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เป็นความลับ ย่อมเป็นความลับต่อไป” เลโมธีกล่าวต่อ พลางยกถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดไปแล้วขึ้นจิบ

    ครั้นหัวขโมยลองทบทวนทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนเขาคงได้แต่ยอมรับข้อเสนออย่างจนใจ

    “อย่างกับข้ามีทางเลือกมากนัก” อดไม่ได้จะค่อนแคะ

     “สรุปว่าท่านตกลงสินะ ดียิ่ง ดียิ่ง” ปราชญ์เลโมธีกล่าวด้วยท่าทียินดีก่อนลุกขึ้นยืน ทว่าในสายตาเฟรินตอนนี้กลับดูขวางหูขวางตาชอบกล

    หึ จิ้งจอกเฒ่า จะสวมหนังแกะอย่างไรก็ยังเป็นจิ้งจอก

    ในบรรดาเรื่องไร้สาระที่ได้ฟังจากโกโดมมาตั้งแต่เล็ก คงจะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เฟรินเห็นด้วย

    ท่านเลโมธี ดูเหมือนท่านจะผิดจากที่เราได้ยินข่าวลือมามากโขทีเดียว เด็กหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายขณะเดินไปที่ประตู ...เพิ่งสังเกตตอนนี้นี่เองว่าประตูที่เขาเปิดเข้ามา กับประตูที่เขากำลังจะเปิดเพื่อกลับออกไปนั้นไม่ใช่ประตูบานเดียวกัน

    และเพราะเฟรินหันหลังให้ หัวขโมยหนุ่มจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างคล้ายถูกใจของมหาปราชญ์ขณะเอ่ย

    มิได้ เสียงเล่าลือมักเป็นเรื่องเกินความจริงเสมอ ไม่ใช่หรือ


     -----------

     

    ตกลงเจ้าต้องหาซื้ออะไรบ้างล่ะฮะ ไอ้หนู ไหนเอารายการมาดูซิ เฮ้ย ทำไมมันยาวเหยียดอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนสมัยข้าเรียนเลย

    มาดัสร้องพลางยกมือกุมศีรษะที่เหลือผมน้อยเส้นเต็มทนของตนไปพลาง จ้องมองม้วนกระดาษบันทึกรายการของใช้ของนักเรียนใหม่ไปพลาง ก่อนจะรำพึงถึงจำนวนเงินที่ต้องเสียไปกับการจัดหาของตามรายการ

    พ่อ เฟรินที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น

    หือ อะไรมาดัสถามโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากบรรดารายการสิ่งของที่เขาต้องซื้อ

    เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นรู้ว่าข้าเป็นใคร เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงขุ่น ความไม่พอใจที่ต้องเข้าเรียนราวกับตนไม่มีทางเลือกอื่นแล่นเป็นริ้ว ๆ แม้ตอนแรกจะเป็นเขาและบิดาทั้งสองเองที่เลือกเดินเข้าไปในหลุมพรางนั้น หากมาดัสฟังแล้วได้แต่เกาหัวพลางเอ่ยถามว่าใคร

    “ก็ปราชญ์เลโมธีนั่นไง”

    งั้นรึชายร่างท้วมตอบอย่างไม่ใส่ใจนักพลางควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าของเขา ก่อนจะหยิบแผนที่ร้านค้าออกมา

    อ้าว พ่อไม่แปลกใจเลยเรอะ

    ทำไมจะต้องแปลกใจ ถ้าไม่รู้สิแปลก ไอ้หนู แกอย่าลืมสิว่า ใครเป็นคนกักพลังจ้าวปีศาจในของวิเศษสี่ชิ้นปลายประโยค มาดัสลดเสียงให้ได้ยินเพียงสองคน

    นั่นสินะ เฟรินตอบพลางทำท่าใช้ความคิด

    เอ้า นี่ไงร้านขายดาบ ส่วนร้านขายคทาก็คงอยู่ไม่ห่างกันมากหรอก เจ้าไปดูเอาเองแล้วกัน ข้าจะไปหาของอย่างอื่นมาให้ มาดัสชี้เครื่องหมายบนแผนที่ให้เฟรินดู ในขณะที่เด็กหนุ่มทำหน้านิ่งก่อนเอ่ยว่า

    อย่าเอาไอ้ที่มันโทรมมากไปล่ะ ให้มันมีสภาพดีหน่อย

    หน็อย สั่งข้ารึไอ้หนูแล้วมาดัสก็ยกมือทำท่าจะเขกหัวเด็กหนุ่ม หัวขโมยรุ่นสองรีบมุดหลบปากก็ว่า ยังไงเงินนั่นก็เป็นของข้านะ ท่านแค่เป็นธุระซื้อของดี ๆ ให้ข้าแค่นั้นเองเฟรินก้มตัวหลบพร้อมรอยยิ้มเผล่ ให้มาดัสได้แต่เข่นเขี้ยว ทำเสียงฮึ่มฮั่มอยู่ในคอ

    ท่าทางนั้นทำให้เจ้าหัวขโมยหัวเราะเสียงใสด้วยความพอใจ

    งั้นก็ฝากด้วยล่ะ ท่านพ่อพูดจบก็หมุนตัวเดินตรงไปที่ร้าน ทิ้งมาดัสไว้กับรายการสิ่งของอันยาวเหยียดของเขา

    ชายร่างท้วมได้แต่มองหลังตามด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันมามองรายการในมืออึกครั้งพลางถอนใจหนัก ๆ

    ฮึ่ย ไม่น่าไปพนันแข่งหมากรุกกับมันเลยจริง ๆ ไอ้ตัวแสบเอ๊ยย

     


    -----------


    2017.10.16 03.44 PM

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×