[Saint Seiya Fanfiction] To the falling stars - [Saint Seiya Fanfiction] To the falling stars นิยาย [Saint Seiya Fanfiction] To the falling stars : Dek-D.com - Writer

    [Saint Seiya Fanfiction] To the falling stars

    [ฟิคฉลองวันเกิด...อยากจะเขียน]นาทีนั้นไม่ว่าจะเป็นเซนต์หรือไม่ ไม่ว่าจะมีความรู้หรือวิชามากมายเพียงใดก็ล้วนไร้ผล เขากำลังจะตายหรือ... จะตาย เหมือนอาจารย์

    ผู้เข้าชมรวม

    382

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    382

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 พ.ย. 56 / 22:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Saint Seiya Fanfiction

    เมื่อหลายปีที่แล้วใครสักคนเขียนไว้ว่า หากท่านมูพูดเรื่องที่เกิดขึ้น ไอโอรอสอาจจะไม่ต้องตาย และพวกเซย่าอาจจะไม่ต้องลำบากลำบนไต่วิหาร 12ราศี และโกลด์เซนต์บางคนก็อาจไม่ต้องสละชีวิต
    ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย... และทำให้คิด (มโนไปเอง) มาตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้น
    แม้จะไม่ครบถ้วนกระบวนความนัก (เพราะกลัวจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้)
    ...
    แต่นี่คือมโนของข้าพเจ้า
    ...
    This dream has haunted me for so long.

    It's my past that I will never be able to forget.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      คืนนั้นสายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านมายังแซงค์ทัวรี่เป็นครั้งแรกในรอบปี และเป็นครั้งแรกที่ชิออนอนุญาตให้ศิษย์ตัวน้อยของตนขึ้นไปนั่งดูดาวบนสตาร์ฮิล

      "และตรงนั้นคือหมู่ดาวเปกาซัส" ชิออนชี้ไปยังกลุ่มดาวใกล้เส้นขอบฟ้าทิศตะวันตก ปรากฏดาวสี่ดวงเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ "เจ้าจำตำนานของเปกาซัสได้ใช่ไหม มู"

      ศิษย์ของท่านพยักหน้าแรง ๆ ทั้งรอยยิ้มกว้าง ช่วงหลังมานี้ ท่านอาจารย์ของเขามีงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาได้นอนพัก เนื่องด้วยองค์เทพีอาธีน่าซึ่งเพิ่งจุติลงมาเป็นสัญญาณว่าเวลาแห่งการศึกกับยมเทพใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ชิออนซึ่งรั้งตำแหน่งเคียวโกจึงมีงานล้นมือ ทั้งการวางกลยุทธ์ในการทำศึก การเฟ้นหาเซนต์ผู้มีฝีมือมาครอบครองชุดคลอธตามแต่ละกลุ่มดาว รวมทั้งการเลือกตัวผู้จะมาเป็นเคียวโกคนต่อไป

      "กำเนิดจากเลือดของเมดูซา นางปิศาจกอร์กอน และเป็นผู้ช่วยให้เพอซิอุสทำภารกิจสำเร็จ" ชิออนเล่าเรื่องด้วยเสียงแหบพร่าเนื่องด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดหลายวัน ศิษย์ตัวน้อยเห็นอาจารย์ดึงผ้าคลุมไหล่ไปมาอย่างไม่ถนัดนัก ด้วยอีกมือหนึ่งถือหนังสือดาราศาสตร์เล่มหนา มิใช่ว่าท่านไม่ถนัดในดาราศาสตร์ ทว่าวิธีการสอนของท่านมักเป็นเช่นนี้เอง มูจึงลุกขึ้นช่วยจับผ้าคลุมไหล่ให้ เคียวโกผู้เฒ่ายิ้มขอบใจศิษย์ “มูเอ๋ย ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาถ่ายทอดวิชาให้เจ้าเพิ่มเติมเลย ทั้งที่เจ้าติดตามข้ามายังแซงค์ทัวรี่แห่งนี้เพื่อการร่ำเรียนแท้ ๆ”

      ศิษย์ตัวน้อยของท่านส่ายศีรษะแรง ๆ ของมือของเด็กชายกำชายผ้าคลุมไหล่ของผู้อาวุโสกว่าไว้แน่น “ไม่เลยขอรับ ท่านอาจารย์ แค่ตามท่านมาที่นี่ ข้าก็ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าเมื่อครั้งอยู่ที่จามิลแล้ว”

      เคียวโกลูบศีรษะศิษย์ของท่านด้วยนึกเอ็นดูนัก แล้วจู่ ๆ ท่านก็นึกสะท้อนใจว่า ท่านฮาเคร อาจารย์ของท่านจะเคยรู้สึกเช่นนี้ไหมนะ… รู้สึกว่าศิษย์ของท่านน่ารักน่าเอ็นดู

      “เจ้าช่างเป็นเด็กดี” ชิออนว่าและศิษย์ของท่านก็ยิ้มรับอย่างเริงร่า ท่านมองรอยยิ้มบนใบหน้าค่อนข้างกลมด้วยยังไม่พ้นวัยไร้เดียงสาของศิษย์แล้วก็นึกเศร้าใจ มูเพิ่งอายุครบเจ็ดปีทว่าในยามอยู่ต่อหน้าผู้คนกลับต้องตีหน้าเคร่งขรึม วางตนออกห่างจากสหายวัยเดียวกันด้วยมีตำแหน่งเป็นศิษย์ของเคียวโก จึงต้องปฏิบัติตนให้เป็นที่น่าเชื่อถือ… ทั้งที่หากยินดี ก็สามารถยิ้มได้น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้แท้ ๆ

      พลันท่านก็หวนนึกไปถึงสหายอีกคน สหายผู้ล่วงลับไปในศึกเมื่อสองร้อยหลายสิบปีก่อน สหายผู้งดงามหากต้องวางตนห่างจากผู้อื่น… อัลบาฟีก้าเอ๋ย หวังว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะไปสู่สุขคติ

      ...ทว่าท่านก็รู้ดีว่าวิญญาณของเซนต์ผู้ต่อต้านจอมเทพแห่งยมโลก จะไม่มีวันได้ไปสู่สุขคติ…

      “ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปขอรับ” เสียงเรียกของศิษย์ตัวน้อยเรียกสติท่านให้กลับคืน เคียวโกเฒ่าส่ายศีรษะเบา ๆ

      “ข้าเพียงเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”

      “ถ้าเช่นนั้น วันนี้พวกเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้นะขอรับ” แม้ซอกมุมหนึ่งในใจจะอยากรั้งตัวอาจารย์ไว้อีกนาน ๆ แต่มูก็รู้ดีว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องไม่สมควร ชิออนชรามากแล้ว… มากยิ่งกว่าที่มนุษย์คนใดจะสมควร หากเขาอยากจะถนอมท่านให้อยู่ข้างกายไปอีกนาน ๆ เขาก็ควรจะให้ท่านพักผ่อนมาก ๆ

      ชิออนมองดวงหน้าของศิษย์ซึ่งหมองไปถนัดใจแล้วยิ้มอย่างรู้เท่าทัน “หากได้จิบชาร้อน ๆ สักหน่อย ข้าคงหายเหนื่อยขึ้นมาก”

      สีหน้าของศิษย์ท่านกระจ่างขึ้นทันใด

      “เช่นนั้นข้าจะไปชงมาให้ท่านเองขอรับ”

      แล้วมูก็กระโจนแผล็วจากที่นั่งข้างอาจารย์ วิ่งลงไปตามบันไดสูงชันของสตาร์ฮิลสู่วิหารเคียวโก เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องครัว หากระหว่างทางเดินนั้น เขาเหลือไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งเดินผ่านโถงทางเข้าห้องเคียวโกไป

      “ซากะนี่ ดึกดื่นป่านนี้มาทำอะไรอยู่แถวนี้นะ”

      ว่าจบก็นึกเป็นห่วงอาธีน่าขึ้นมาครามครัน มูจึงมุ่งหน้าไปยังห้องซึ่งเป็นที่ตั้งเปลนอนของเทพีแห่งปัญญา เขาเปิดประตูแผ่วเบา เห็นร่างเทพีองค์น้อยนอนหลับใหล หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงสะท้อนแรงหายใจจึงค่อยโล่งอก

      “แปลว่าไม่ได้มาหาอาธีน่า… หรือจะมาหาท่านอาจารย์ ?” เปรยกับตนเองพลางบ่ายหน้าเข้าครัวด้วยฝีเท้าเร่งรีบ

      แม้จะยังเด็ก แต่มูก็สัมผัสถึงคอสโม่แปลกประหลาดที่แอบแฝงอยู่ในแซงค์ทัวรี่ได้ชัดเจน เมื่อแรกเบาบางดั่งหมอกยามเช้าที่สลายไปเพียงต้องแสงตะวัน หากหลังจากการจุติของอาธีน่าและข่าวว่าท่านอาจารย์จะเลือกผู้เป็นเคียวโกคนถัดไป คอสโม่ดำมืดนั้นก็เจริญเติบโตขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไอโอรอสและซากะ ผู้ชิงตำแหน่งเคียวโกทั้งสองมาเข้าเฝ้าชิออนในวิหาร

      มูจะยังจับสัมผัสแน่ชัดไม่ได้ว่าคอสโม่นี้มาจากใคร เขาจึงไม่อยากปล่อยอาจารย์ไว้กับไอโอรอสหรือซากะตามลำพัง

      ระหว่างรอให้น้ำในกาเดือด เด็กชายเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังทิศทางสู่ยอดเนินสตาร์ฮิล เขาเห็นร่างเงาของอาจารย์ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปเป็นเพียงจุดดำ โดยมีฉากหลังเป็นดวงดาวพราวพร่างตระการตา… ยังสัมผัสคอสโม่ของท่านอาจารย์ได้อยู่

      ศิษย์ตัวน้อยเลือกใบชาอย่างระมัดระวังใส่ในถุงผ้าขาวบาง จุ่มในน้ำร้อนจัดเพียงให้สีน้ำตาลอ่อนกระจายทั่วแล้วยกถุงขึ้น ท่านอาจารย์อยากจิบน้ำอุ่น ๆ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น มิได้ต้องการเครื่องดื่มที่ทำให้ท่านตาค้าง หลังจัดการเก็บใบและถุงชาเข้าที่ และดับไฟในเตาเรียบร้อยแล้ว มูก็ใช้ผ้าผืนหนาประคองกาน้ำชากระเบื้องซึ่งเป็นของขวัญจากสหายเก่าแก่ของท่านอาจารย์ แล้วออกเดินอย่างระมัดระวัง

      มูวาดหวังไว้ อยากเห็นใบหน้าผ่อนคลายของท่านอาจารย์ยามจิบชา อยากได้ยินเสียงที่แม้แหบพร่าด้วยชรานัก หากยังคงอ่อนโยนและเป็นกันเองของท่าน บรรยายเรื่องกลุ่มดาวและเล่าเรื่องสหายร่วมทัพเมื่อนานมาแล้วให้ฟังอีก… ทว่าจู่ ๆ คอสโม่สีดำน่ารังเกียจนั้นก็ปะทุขึ้น บดบังท้องฟ้าและหมู่ดาวบนยอดเนินสตาร์ฮิลเสียมิด

      “ท่านอาจารย์!” ความวิตกในใจเด็กชายพุ่งสูงราวปรอทต้องความร้อน เขารวบรวมพลังจิตทั้งหมด เคลื่อนย้ายตนเองจากทางออกวิหารเคียวโกขึ้นไปตามเส้นทางยืดยาวของสตาร์ฮิล

      ดวงดาวพร่าพรายบนฟ้าวาดลายกลายเป็นเส้นแสงเมื่อเขาเคลื่อนผ่านด้วยความเร็วสูง

      คอสโม่ของท่านอาจารย์สั่่นไหว เกิดอะไรขึ้น !

      เส้นทางสายน้อยดูราวกับจะยืดยาวออกไป ไม่ว่ามูจะรีบเร่งเพียงใด จะใช้พลังจิตอันแรงกล้าของตนช่วยส่งขนาดไหน แต่เขาก็รู้สึก… รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตนจะไปถึงไม่ทันกาล

      อีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงยอดเนิน อีกนิดเดียว !

      ทันใดนั้น คอสโม่ของท่านอาจารย์ก็กระพริบวาบราวกับเปลวเทียนไข… แล้วดับไปในความมืด

      เด็กชายเบิกตากว้าง สองมือ่อนแรงจนกาน้ำชาร่วงหล่นแตกกระจาย แต่เขาไม่สนใจ มันไม่สำคัญเลยหากเทียบกับความเป็นไปบนยอดเนินนั่น มูโจนทะยานจนสุดแรงเพียงก้าวเดียวก็ร่อนลงสู่ยอดเนินสตาร์ฮิล เขาเห็นร่างหนึ่งยืนหันหลังให้ ร่างสูงตระหง่านปกคลุมด้วยคอสโม่น่าหวาดหวั่น ร่างนั้นค่อย ๆ ผินหน้ากลับมาราวกับรับรู้ถึงตัวตนของเขา ดวงตาที่มองข้ามไหล่มาเป็นสีแดงก่ำดุจอาบย้อมด้วยเลือด และร่างที่อยู่เลยออกไป… นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นดินด้วยดวงตาเบิกกว้าง… ร่างนั้นทำให้เด็กชายถึงกับเข่าอ่อน

      ท่านอาจารย์

      แม้มองเพียงผิวเผินก็รับรู้ได้ว่าท่านสิ้นใจแล้ว ในวินาทีนั้น สมองของเด็กชายขาวโพลน อารมณ์ทั้งหมดสงบนิ่ง… ก่อนทุกอย่างจะระเบิดออกมาประหนึ่งภูเขาไฟ

      เขาจะสู้ จะล้างแค้นให้อาจารย์ เจ้าฆาตกรนั้นจะไม่ได้ออกไปจากสตาร์ฮิล !

      ทว่าเมื่อมองกลับไปยังร่างซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคอสโม่สีดำนั้น เพียงสบดวงตาสีแดงฉานที่มีแต่ความมุ่งร้ายและบ้าคลั่ง ไฟแห่งความอาฆาตของมูก็ถูกดับไป ทุกย่างก้าวของเจ้าฆาตกรหนักหน่วงไปด้วยคอสโม่อันคลุ้มคลั่ง แผ่พุ่งมาโอบล้อมรอบเขาไว้จนหายใจแทบไม่ออก รู้สึกราวกับร่างกายหดเล็กและแข็งทื่อ ความคิดสับสน

      มันอะไรกัน ? นี่มันอะไรกัน !

      ทันใด ในคอสโม่ดำทะมึนนั้น มือหนึ่งก็แหวกออกมาฉวยคว้าลำคอเขาไว้แล้วออกแรงบีบรัดจนหายใจไม่ออก นาทีนั้นไม่ว่าจะเป็นเซนต์หรือไม่ ไม่ว่าจะมีความรู้หรือวิชามากมายเพียงใดก็ล้วนไร้ผล เขากำลังจะตายหรือ... จะตาย เหมือนอาจารย์

      ไม่ ไม่เอา ยังไม่อยากตาย ไม่เอา ไม่เอา

      เด็กชายดิ้นรนสุดกำลัง สองมือปะป่าย พยายามแกะนิ้วที่กำรอบคอตนไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่ามือทั้งสองกลับอ่อนแรงและสั่นเทา

      ทำไมเล่า ? ทั้งที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าความตายกับเซนต์คือมิตรแท้ต่อกันเสมอมา

      เขากำลัง...กลัว

      ยามที่ตระหนักรู้นั่นเอง สัญชาตญาณสุดท้ายในตัวที่ยังทำงานอยู่ ก็สั่งให้เขาเทเลพอร์ตออกไป

      หนีสิ หนีไป ! เรื่องอะไรจะถูกฆ่าอยู่ตรงนี้ หนีสิ !!

      เมื่อมารู้สึกตัวอีกที ร่างของเด็กชายก็มานั่งกองอยู่บนบันไดระหว่างวิหารสาวพรมหจรรย์กับวิหารคันชั่งทองคำเสียแล้ว เด็กชายพยายามสูดหายใจเข้าออกให้ลึก ควบคุมสติอันกระเจิดกระเจิงให้เป็นหนึ่ง พยายามยืนด้วยสองขาอันสั่่นเทา พยายามก้าวไปตามทางสู่วิหารราศีกันย์

      ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาคือคำกล่าวโทษ เขากำลังหนีจากเจ้าสารเลวที่ฆ่าอาจารย์ น่าขายหน้านัก ไหนเล่าความภาคภูมิว่าตนเป็นเซนต์ผู้เก่งฉกาจ ไหนเล่าความฮึกเหิมในการประจันหน้ากับศัตรูคู่อาฆาต ยามวิกฤตเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นหายไปไหนหมด !

      หากคำตำหนิก็หยุดชะงักไป เมื่ออีกความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา

      เจ้าคนที่สังหารอาจารย์นั่นเป็นใคร แม้ยังอ่อนเยาว์แต่เขาก็ได้รับสืบทอดเกราะทองคำและตำแหน่งผู้พิทักษ์วิหารแกะขาวจากท่านอาจารย์มาแล้ว ฝีมือจึงย่อมไม่อ่อนด้อยเป็นแน่ ซ้ำยังเหนือกว่าเซนต์ทั่ว ๆ ไปอย่างทาบไม่ติด และโดยธรรมชาติแล้ว มูรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนขลาด… แต่เจ้านั่นทำให้เขากลัวจนต้องหนีหางจุกก้น เทเลพอร์ตมาไกลถึงครึ่งทางขึ้นวิหารสิบสองราศี

      เขาหยุดฝีเท้า นึกทบทวนความเป็นไปได้ทั้งหมด วิหารเคียวโกในยามนั้นไม่มีใครนอกจากอาธีน่าซึ่งยังเป็นทารก และบนสตาร์ฮิลก็มีเพียงเขากับอาจารย์ขึ้นไปดูดาวกันหลายชั่วโมงแล้ว ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงผู้มาเยือนจากทางวิหารราศีมีน แต่ร่างนั้นสูงใหญ่เกินกว่าจะเป็นร่างของเด็กสิบขวบเช่นอะโฟรไดท์ รวมทั้งคอสโม่สีดำที่สัมผัสได้นั่น… แล้วเขาก็นึกได้ เขาเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคนบุกรุกผู้น่ารังเกียจ

      “ซากะงั้นหรือ” มูเอ่ยนามนั้นด้วยเสียงเบาหวิว ซากะที่เขารู้จัก คือคนที่เปี่ยมไปด้วยคอสโม่อันอบอุ่นและอ่อนโยน เป็นพี่ชายคนดีและเป็นคนพึ่งพาได้… มิใช่หรือ

      “เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

      คำทักเรียกให้มูรู้สึกตัวว่าตนยืนค้างอยู่หน้าประตูทางเข้าวิหารสาวพรหมจรรย์แล้ว ดังนั้นคนทักจึงเป็นใครไปมิได้นอกจาก

      “ชากะ”


      “เจ้าเห็นว่าซากะเป็นคนเช่นไร” มูเอ่ยขึ้นหลังรับถ้วยชาร้อนควันฉุยจากสหายที่สนิทที่สุดในแซงค์ทัวรี่

      “คอสโม่ของท่านเป็นคอสโม่ที่ดี” ชากะตอบเช่นนั้นพลางนั่งลงบนเบาะรองนั่งตรงข้ามสหาย

      โถงในวิหารราศีกันย์ว่างเปล่า มีเพียงสหายวัยเดียวกันสองคนนั่งประจันหน้า หากมูกลับรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจกว่าเมื่อครู่หลายเท่า… กระนั้นคำตอบของชากะกลับทำให้เขาหนักใจ

      “แต่คนดีก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้ใช่ไหม”

      “เมื่อครู่นี้ เราสัมผัสได้ถึงคอสโม่อันดำมืดครู่หนึ่ง” ชากะเดาใจสหาย “แต่มันต่างกับคอสโม่ของท่านซากะลิบลับ เราจึงไม่เห็นสิ่งใดเชื่อมโยงกัน”

      มูเม้มปาก ไม่แปลกเลยหากชากะจะไม่เชื่อ เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน บุรุษผู้ที่เขาเห็นเป็นพี่ชายคนหนึ่ง บัดนี้กลับสังหารอาจารย์ผู้ที่เขาเคารพรักยิ่งกว่าบิดา

      ...ท่านอาจารย์สิ้นแล้ว...

      เมื่ออารมณ์อันพลุ่งพล่านสงบลง ความอาดูรก็ผุดขึ้นมา เอ่อท้นท่วมทั้งกายและใจ กลั่นกลายเป็นหยาดน้ำตาร่วงหล่น

      จากนี้ไปจะไม่มีใครคอยชี้นำเขา ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีคำตำหนิเมื่อทำผิด ไม่มีคำชมเมื่อทำถูก ไม่มีมือคอยลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู... ไม่มีอีกต่อไป

      จากนี้ เขาจะเหลือตัวคนเดียว

      "มู" เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองสหาย ชากะจึงตระหนักว่าเพื่อนรักกำลังร้องไห้ "เจ้าร้องไห้ ! เกิดอะไรขึ้น"

      เซนต์ผู้พิทักษ์วิหารแกะขาวปาดน้ำตาที่ร่วงหล่นพลางส่ายหน้า สัมผัสอันหนักหน่วงรอบลำคอนั้นยังติดตรึงอยู่ในใจ หากเขาพูดออกไป ชะตาของเพื่อนจะเป็นอย่างไร... คงต้องมอดม้วยเช่นท่านอาจารย์มิผิดแน่ แล้วเขาจะพูดออกไปได้อย่างไร

      เด็กชายค่อย ๆ ทรงตัวขึ้น เขาไม่รู้ว่าซากะทราบหรือไม่ว่าคนที่หายไปจากเงื้อมมือของมันคือเขา ไม่ทราบว่าซากะจะสัมผัสคอสโม่กระจ้อยร่อยของเขาในวิหารราศีกัยน์แห่งนี้ได้หรือไม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะกลับไปดักรอเพื่อสังหารเขาเสียในวิหารคนคู่หรือเปล่า สิ่งเดียวที่มูรู้ดีแก่ใจมีเพียงว่า... เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

      "มู" ชากะหันมองตามร่างสหายซึ่งเดินโซเซไปยังทางออกวิหารริศีกันย์ เขายังไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ถึงทำให้แผ่นหลังที่เคยดูภาคภูมิกลับหมองเศร้าลงได้ในชั่วข้ามคืน หากเขาก็รับรู้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งได้ ชากะยันกายขึ้นยืน "เจ้ากำลังจะไปสินะ"

      ประโยคนั้นรั้งร่างของสหายตัวน้อยให้ยืนนิ่ง เพียงเห็นแผ่นหลังนั้น ชากะก็เข้าใจว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเอ่ยคำทัดทานหรือเหนี่ยวรั้งสหายเอาไว้ได้ เขาจึงทำสิ่งเดียวที่ทำได้ "เช่นนั้นข้าจะคอยเฝ้าดูคอสโม่อันดำมืดนั่นแทนเจ้าเอง" เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น หากหวังว่าความนัยซึ่งแอบแฝงอยู่จะสื่อไปถึงสหายด้วย

      ...เขาจะเฝ้ามองดูอยู่ที่นี่ จะไม่จากไปที่ใด เพื่อที่สักวัน เมื่อเจ้ากลับมา จะได้อุ่นใจว่ายังมีเพื่อนคนนี้รอต้อนรับ...

      "ขอบใจนะ ชากะ" มูผินหน้ากลับมาเพียงเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวที่มองสบมาสื่อความทราบซึ้งจากใจ "และก็ลาก่อน"

      นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชากะได้เห็นเพื่อนรักในวัยเจ็ดปี


      สายลมรุนแรงพัดกรรโชก เด็กชายตัวน้อยผูกผ้าคลุมศีรษะแน่น สองขาก้าวเดินไปตามทางแคบสายเปลี่ยวร้างผู้คน เขากลับสู่อ้อมกอดของบ้านเกิด หากไม่ว่าที่นี่หรือใดในโลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป... รวมทั้งตัวเขาที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนคืน

      *********************************
      ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ
      ไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมานานมากแล้ว ภาษาเลยอาจจะแปร่ง ๆ สักหน่อย
      แถมยังไม่ได้กลับมาคลั่งเซนต์ เซย่ามาพักใหญ่ ๆ ข้อมูลในหัวก็อาจจะเพี้ยน ๆ
      แต่ก็ดีใจมากที่ได้เขียนแฟนฟิคเรื่องของเรื่องนี้อีก
      ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาจนจบค่ะ ^^

      เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพื่อนผู้เขียนทักมา คือเรื่องเทเลพอร์ตข้ามวิหาร
      เนื่องจากผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าในเรื่องได้บอกไว้หรือไม่ว่าสาเหตุที่เทเลพอร์ตข้ามวิหารไม่ได้คืออะไร
      จึงขอมโนเองว่ามีสาเหตุมาจากคอสโม่ของอาธีน่า
      ทว่าอาธีน่าในเรื่องยังเป็นเพียงเด็กทารก และคอสโม่เก่าขององค์ก่อนก็น่าจะเสื่อมไปจนเกือบหมดแล้ว
      ทำให้เหตุปัจจัยที่ปิดกั้นการเทเลพอร์ตของมูเบาบางลงมาก กอปรกับที่แม้จะยังเด็ก แต่มูก็ได้ชื่อว่าเป็นเซนต์ที่มีพลังจิตกล้าแข็งที่สุด จึงทำให้คิดไปว่า ยามคนเราอยู่ในภาวะวิกฤตยังมีอะดรีนารีนช่วยให้รอด
      ท่านมูก็น่าจะระเบิดพลังจิตได้สูงสุดเพื่อเอาชีวิตรอดได้เช่นกัน

      อนึ่ง ถึงข้าพเจ้าจะไม่ได้แม่นเนื้อหามากมายอะไร
      แต่ข้าพเจ้าเป็นติ่งท่านมูค่ะ (หัวเราะหุหุ)

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×