ยามลมวสันต์หวนคืนสู่ใจ
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : คุณชายน้อยเหนือกำแพงวังหลวง
My.iD :
https://my.dek-d.com/azooii/writer/
ตอนที่ 21 : บทที่ 5.3
ขอบคุณภาพจาก pinterest.com
หุบเขาม่านเมฆา
เรือนไผ่เขียว ตัวเรือนทำจากไม้ไผ่ทั้งหมดจรดหลังคา คนที่นี่เรียกกันว่า ‘ไม้สับฟาก’ ใช้ไม้ไผ่ซ้อนทับกันขัดสั้นยาวไว้อย่างแน่นหนา ความสวยงามของมันคือการได้มองรอยผสานจากเบื้องล่าง
ห้องของซานอินอยู่ติดเขาหินทางทิศใต้ ตีชานไม้เยื้องออกไปนอกลานหินผาหลายสิบจั้ง เว้นห่างจากห้องของถิงซูถิงเหอ และอันหยงเพียงแผ่นไม้กั้น
เวลาหมุนเร็วประหนึ่งกังหันลม กว่าเผิงอวี้จะยอมปล่อยนางกลับเรือนได้ย่างเข้าใกล้ยามสอง อาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดอีกราวครึ่งชั่วยาม ถึงได้มานั่งแกะห่อผ้าดูของฝากจากคนตัวโต ด้านในมีหนังสือห้าเล่ม กล่องห่อกระดาษอีกสองอัน ยังไม่รวมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อยู่ในกล่องต่างขนาดมากกว่าสิบชิ้น และสิ่งที่นางสนใจที่สุดก็คือ...หนังสือ
“บทเรียนก่อนวิวาห์ มีหนังสือแบบนี้วางขายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นครุ่นคิด มือบางพลิกเปิดดูตัวอักษรเพียงหน้าแรกใบหน้าพลันร้อนฉ่า หลายต่อหลายครั้งยามกายชิดใกล้กัน เผิงอวี้ส่งสัญญาณเตือนอยู่เสมอ เขาคงให้เวลานางเตรียมใจอีกไม่มาก ดูเถิด...พ่อคนตัวโตห่วงแม้กระทั่งเรื่องละเอียดอ่อนของสตรี
ซานอินเพ่งมองภาพหญิงสาวในหนังสือ สวมชุดสีพื้นลักษณะบางเบา ริมฝีปากสีแดงชาด แต่ประเด็นที่นางนึกค้านในใจ เพราะนอกจากเสื้อตัวนอกแล้ว เหตุใดถึงไม่สวมใส่ผ้าชิ้นอื่นเลยเล่า ถามอันหยงไม่ได้เสียด้วยสิ รายนั้นรู้ดีจนเกินงาม
“ข้าต้องทำถึงขนาดนี้เชียวรึ”
นางไล่อ่านจนถึงแถวที่สามวรรคที่สอง “สิ่งที่มิควรแตะหลังจากเริ่มการร่วมภิรมย์ หนึ่งศีรษะ สองบั้นท้าย สาม...เอ่อ...” ครั้นจะพูดต่อเหมือนลิ้นมันจุกอยู่ที่ปาก
หรือว่านางตาฝาดไป?
คิดได้ดังนั้นจึงขยับตะเกียงให้ใกล้อีกหน่อย ป้องกันความคลาดเคลื่อนของเนื้อหา ทว่าหนนี้...ทำให้เห็นชัดเกินไป
“บะ...บ้าที่สุด ใครเขาจะไปจับสิ่งนั้นกัน”
ใบหน้าแดงระเรื่อลามถึงพวงแก้ม เบนสายตาเสมองไปทางอื่นชั่วคราว ตามจริงนางคิดว่าข้อสุดท้ายคงมิพ้นเรื่องแก่นกายบุรุษ แต่ในหนังสือกลับระบุไว้ให้เป็นอีกอย่างที่ใกล้กัน สรุปแล้วคนเขียนอาจเป็นพวกวิกลจริต หรืออีกแง่หนึ่งก็คือคนธรรมที่ไหนจะมานั่งอ่านหนังสือพรรค์นี้
“แต่ก็แปลก เรื่องแตะศีรษะแล้วทำให้สติขาดผึงยังพอเข้าใจ แต่ความหมายในข้ออื่น มันมิเกินไปหน่อยหรือไร” ซานอินเจียดปลายนิ้วจิ้มดูตัวอักษรประกอบคำบรรยายเชิงลึก เอ่ยปากท่องตามเนิบช้า “บั้นท้ายเปรียบได้ดั่งแหล่งหลอมพลังหยินหยาง...สุขสม...ควบคุม...ทรมาน...หืม??”
เขาไม่เคยทรมาน แค่มีความต้องการเฉกเช่นชายอื่น
ซานอินยกมือปิดหน้า ถ้าอ่านต่ออีกนิด หัวใจนางคงจะวายตายก่อน ภาพประกอบกลางเล่มโจ่งชัดเกินไป
“นั่นใครน่ะ” ชานอินเพ่งมองต้นทางของเสียงขลุกขลัก ดุนดันประตูห้องกึกกัก พานให้นางเริ่มวิตกกังวลหลงลืมระวังภัยจากด้านหลัง พริบตาเดียวคล้ายถูกอะไรหนัก ๆ มีมัดกล้ามล้มทับเข้าอย่างจัง สิ่งนั้นหล่นลงมาจากขอบหน้าต่างพร้อมหมอนใบโต อึดใจสั้น ๆ เงาสีดำตะคุ่มใช้หัวดันฝ่าประตูตามเข้ามาติด ๆ ซานอินเกือบหวีดร้องถ้าไม่เห็นหน้าคนบนเตียงกับเจ้าสองหมีตัวป่วนกลิ้งเล่นอยู่กับพื้น ในอุ้งมือถือหน่อไม้หวานชิ้นใหญ่ขึ้นกัดเสียงกรวม ๆ
“ท่าน...”
“เจ้านิลน้อย”
เผิงอวี้หน้าสลด เขาดันตัวลุกขึ้นนั่งก้มหน้ามองพื้น ทำตัวราวกับสามีย่องเข้าหาสาวใช้ยามพระจันทร์อาย แต่เผอิญถูกภรรยาคนงามจับได้คาหลักฐานทนโท่ เสื้อผ้าสองชุดพร้อมหมอนหนึ่งใบ
“ข้า...”
“เหตุใดท่านไม่เข้ามาทางประตู ทำผู้อื่นตกใจหมด” ซานอินยกมือทาบอกเคาะเบา ๆ พรูลมหายใจสั้นยาว ฝูงหมาป่าเมื่อช่วงหัวค่ำตามหลอนนางไม่หาย ยังมาเจอพ่อหมีปีนหน้าต่างหล่นทับซ้ำ ระหว่างแปลกใจกับตกใจ เกรงว่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“หมอนใบนี้ข้าเพิ่งเปลี่ยนผ้าให้ใหม่นี่นา ด้านในก็ทุบฝุ่นตากแดดแล้วเช่นกัน”
“เสื้อผ้าสองตัวนั้น ข้าตัดเย็บขอบกางเกงให้มีสายใช้รัดเอวได้สะดวก หรือว่าพอสวมแล้วมันติดขัดตรงส่วนใดถึงได้หอบมากลางดึกเช่นนี้”
“ข้ายอมให้เจ้าตัดหนวดเครา”
ซานอินอ้าปากค้าง คำตอบกับสิ่งที่เห็นสวนทางกัน ไม่ทันได้เอ่ยห้ามบุรุษตัวโตชิงล้มตัวนอนชิดด้านในสุด จ้องมองมาทางนางตาใส สื่อไปในทาง ‘ข้าไม่ผิด’ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นางพูดไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ‘ข้ายอมให้เจ้าตัดหนวดเครา ข้าจะให้ท่านนอนชิดด้านใน’
ให้มันได้แบบนี้สิซานอิน รู้ทั้งรู้คนผู้นี้เคร่งครัดในคำพูดไม่มีใครเกิน เสื้อผ้า หมอน เจ้านิลน้อย เตรียมมาพร้อมทุกอย่าง แล้วจะให้นางพูดอะไรได้ ขืนพูดไป...มิเท่ากับหยิบคำพูดเก่ามาฆ่าตัวเองหรอกหรือ
“ข้ายอมให้เจ้าตัดหนวดเครา” เสียงทุ้มต่ำยืนยันคำพูดเดิมอีกหน เท่ากับเขาจะไม่ยอมไปไหนในคืนนี้ นอนตัวเกร็งให้ดูเล็กลงเข้ากับขนาดเตียง ช่างขัดกับบุคลิกอันอาจหาญยามชี้สั่งผู้อื่นนัก คงกลัวจะถูกไล่ออกนอกห้องกระมัง พลอยทำให้คนมองอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เอาล่ะข้ายอมแพ้ แล้วจะไม่เค้นถามอะไรทั้งสิ้น แต่ช่วยลุกขึ้นมาถอดเสื้อตัวนั้นออกก่อนเจ้าค่ะ มันแลดูอึดอัดไม่เหมาะกับใส่นอน ประเดี๋ยวจะไม่สบายตัวเอาได้”
ซานอินเอ่ยเสียงอ่อน ยกยิ้มบาง ๆ เสื้อฝ้ายบุหนังตัวหนาคงอยู่บนตัวเขาไม่เคยถอดสินะ แต่แปลกนักที่กลิ่นดอกเถาฮัวยังคงหอมมิคลาย ส่วนที่เพิ่มมาคือกลิ่นกายเจ้าของเสื้อหลังอาบน้ำ คนที่นินทาอยู่เงียบ ๆ เกิดวางตัวไม่ถูก หัวใจเจ้าเอยก็ช่างรู้งานซะเหลือเกิน อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้เลยเชียว พากันเต้นระส่ำหวั่นไหว
หญิงสาวเดินไปหยิบเสื้อตัวใหม่ ความลับจึงถูกเปิดเผยต่อหน้าเขาอีกหนึ่งอย่าง ชั้นไม้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าบุรุษตั้งอยู่ข้างกล่องอุปกรณ์ตัดเย็บ ซึ่งนางกะเกณฑ์ไว้ว่าจะทยอยตัดไว้หลาย ๆ ตัว ค่อยนำไปเปลี่ยนของเก่า เลือกโละออกให้หมดทั้งชั้น เจ้านิลน้อยร้องครืดคราดพากันเกาะแข้งเกาะขานาง เพราะอยากได้กับเขาบ้าง เรื่องเรียกร้องความสนใจทั้งคนและหมีต่างไม่มีใครยอมให้กัน นางจึงเปิดลิ้นชักไม้ข้างชั้นหนังสือ มอบกระดูกกวางผาให้มันคนละหนึ่งอัน พอฝ่ายนี้ได้ของ อีกฝ่ายก็หน้างอง้ำ ให้ได้อย่างนี้สิน่า
“ทำไมไม่ยอดถอดละเจ้าคะ” ซานอินเอ่ยเสียงหวานแกมง้องอนพอเป็นพิธี ผิดจากเผิงอวี้อุบปากเงียบสนิท เขาไม่เคยเห็นนางปล่อยผมยาวสลวย สวมชุดเสื้อกระโปรงสีพื้นเยี่ยงสตรี เรือนร่างกลมกลึงกว่ายามอยู่ในชุดบุรุษ ผิวสีคล้ามแดดมือบางกร้านงาน ทว่าคงละมุนทุกคราที่ได้สัมผัส การมองเช่นนี้อันตรายต่อตัวเขานัก ยิ่งกับนางในดวงใจที่ตนพึงรักด้วยแล้ว เพียงรอยยิ้มเดียวสามารถฝังชายคนหนึ่งให้ตายได้ทั้งเป็น
“ท่าน...พรึบ!!”
ซานอินถูกรั้งเข้าไปกอดจมอก แรงบีบรัดจากวงแขนแกร่งทวีพูนมากขึ้นมากขึ้น ทำเอานางจุกจนเปล่งเสียงไม่ออก ผ่านไปเพียงครู่เดียวร่างหนาสั่นเล็ก ๆ แม้จะไม่รู้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเขา แต่ใจดวงน้อยสัมผัสได้ถึงความหวงแหนเจือความอบอุ่นอยู่ในนั้น เพียงแต่เขาต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง ดอกอวี้หลัน[1]รู้จักเบ่งบานเมื่อกลีบแรกต้องน้ำค้างก่อนแสงอาทิตย์ส่อง เมื่อถูกบ่มเพาะอย่างดีช่อดอกสวยงามถึงทานลมทานฝนไม่หวั่น เช่นนี้สตรีจึงถูกยกเปรียบเทียบกับดอกไม้ในกวีเล่มเอก ตัวนางเองย่อมไม่ต่างกัน
“เหนื่อยบ้างหรือไม่”
“อึก...” คนบ้า!! ข้าไม่เหนื่อยแต่จุกมาก กระดูกลั่นจบครบส่วนแล้ว
“อยู่กับข้า”
“ผะ...ผะ...เผิงอวี้ ปะ...ปล่อย บะ...เบาแรงลงหน่อย”
ซานอินพรูลมหายใจออกมาคำโต รวบกำปั้นทุบไหล่ เอ่ยเตือนเสียงติด ๆ ขัด ๆ
“คะ...คราวหน้า คะ...คราว...คราวหลังท่านอย่ากอดข้าเช่นนี้อีก ถึงตายเชียวนะ”
“ข้าขอโทษ”
กระนั้นพอเห็นเขาหน้าซีดลงใจดวงน้อยก็พลันอ่อนยวบ นางไม่อยากทำให้เขารู้สึกประหม่าเพราะความไม่รู้ ซ้ำยังไม่อยากให้เขามัวแต่พึงระวังจนเสียความเป็นตัวเอง เฝ้ากังวลไปเสียทุกสิ่ง
“เผิงอวี้...ข้าไม่เป็นไร” ซานอินยิ้มน้อย ๆ เรียวคิ้วงามโค้งขึ้น
“ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่นางตัวน้อยขออธิบายทีเดียวเลยนะเจ้าคะ วันนี้ข้าผิดเองที่ดื้อรั้น ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น และไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีฝูงหมาป่าอยู่ระแหวกเนินเขา ส่วนเรื่องทำงานหามรุ่งหามค่ำ แค่คำปั้นยอเกินจริงของชาวบ้านที่หวังอยากเอาใจท่าน
ข้าชื่อซานอิน...ไม่ใช่สตรีห่วงความสบาย ขณะที่รอบกายมีแต่คนยากลำบาก ข้าน่ะเลี้ยงง่ายกว่าพ่อหมีกับเจ้านิลน้อยสองตัวรวมกัน ที่ต้องการก็แค่เพียงความรักเพียงอย่างเดียว” ซานอินประคองใบหน้าหล่อเหลาไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง นางมองเขา เขามองนาง ต่างรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน
“จงอย่ากล่าวโทษตัวเองอยู่ในห้องลับห้องนั้นโดยที่ผู้อื่นไม่ยินยอม สัญญากับข้าได้ไหม”
“ข้าสัญญา”
“เอาล่ะ...ทีนี้ลองอ้าแขนออกช้า ๆ แล้วลองกอดหมอนใบนี้ดู”
เผิงอวี้ทำตามไม่บิดพลิ้ว คิ้วหนายึก ๆ ยือ ๆ รอฟังคำสั่งทุกขั้นตอน แต่ผลของการตั้งใจทำอะไรมากเกินไป ผลตอบรับจึงออกมาไม่ชวนจำเท่าใดนัก นางบอกให้ยกแขนซ้าย เขากลับยกข้างขวา
ค่อย ๆ ๆ และค่อย ๆ เจ้าทำได้เผิงอวี้แค่กอดหมอน
“ปุ๊ก!! ฟี้!!”
เสียงตะเข็บหมอนปริแตก ปุยนุ่นพุ่งออกจากผ้าด้านในกระจายฟุ้งทั่วเตียง เผิงอวี้พลันเข้าใจคำตอบ เหตุใดถึงต้องลองกอดหมอนดูก่อน ทางฝ่ายซานอินปิดปากหัวเราะร่วน ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นบรรยายทุกสิ่ง บุรุษผู้นี้ยังต้องเรียนรู้วิธีถนอมบุปผาอีกมากจริง ๆ แต่พอมองแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ นั่งตัวยืดตรงชิดริมเตียง มือสองข้างไขว้ไปด้านหลัง ท่าทางคงกลัวจะเผลอกอดนางอีกหนกระมัง
ซานอินใช้เวลาสอนวิชา ‘กอดอย่างไรมิให้หมอนแตก’ อยู่ราว ๆ ครึ่งชั่วยาม เจ้านิลน้อยทนอยู่ดูไม่ไหวมุดเข้าตะกร้าไปนอนก่อนใคร ซึ่งผลการเรียนครั้งนี้ออกมาได้ดีเกินคาด จากที่กอดแล้วหมอนแตก พอฝึกนานเข้าก็รู้จักถนอมแรงไม่มีพับหักงอให้เห็น ดูเขาภูมิอกภูมิใจจนนางนึกหวั่นต่อสายตาคมที่หมั่นมองมา ถ้าหากมีการทายคำพยากรณ์ล่วงหน้าได้ นางย่อมทายถูกทุกข้อ เพราะในท้ายสุดลูกศิษย์ผู้เรียนรู้ไว้ ไม่ยอมปล่อยนางขยับตัวไปไหนอีกเลย
“เจ็บไหม”
“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ”
เผิงอวี้ยกร่างบางให้เปลี่ยนท่านั่งมาประจันหน้า พลางกอดนางไว้หลวม ๆ แล้วถามต่อไป
“เจ็บไหม”
“ไม่เจ็บ”
ครู่เดียวเขาก็เปลี่ยนท่าใหม่ ให้นางนั่งเอนตัวพิงร่างสูงใหญ่ประหนึ่งกำแพงหิน ดูเหมือนเขาจะชมชอบท่านี้มากที่สุด เพราะได้โอบกอดนางจากด้านหลัง เผิงอวี้รวบมือเรียวผสานรวมกันไว้ตรงหน้าตัก พลางค่อย ๆ โคลงตัวไหวไปมา
“รางวัล”
“หืม...” ซานอินพูดดั่งละเมอ เหมือนเด็กน้อยที่ถูกกล่อมให้หลงเพลินกับความอ่อนโยนจนลืมความจริง ทว่าฝันดีมักอยู่ได้เพียงเสี้ยวอึดใจ
“รางวัล” นักเรียนดีเด่นกล่าวย้ำให้คนขี้ลืมฟื้นความจำ
“เจ้านิลน้อย ได้-ราง-วัล ตรงนี้”
ซานอินเอี้ยวตัวมอง เผิงอวี้ชี้ไปที่แก้ม นางจำได้ว่าเรื่องนี้ไม่เคยสอนเขา แต่เห็นแก่ความเป็นสุภาพบุรุษ สาวงามจึงรีบมอบรางวัลก่อนจะถูกทบต้นทบดอกในภายหลัง
เสียงลมหายฟอดใหญ่ดังขึ้นสองครั้งสองครา คนตัวโตนั่งยิ้มหรา ดวงตาราวกับเปล่งแสงได้ ตักอุ่น ๆ พลันร้อนระอุขึ้นมา แม่กระต่ายตัวน้อยจึงรีบถอยทัพแสร้งชวนคุยไปเรื่องอื่น กระนั้นส่วนใหญ่นางเป็นฝ่ายถามเสียมากกว่า แล้วยังต้องสรุปให้ตัวเองเข้าใจพร้อมกันกับเขา เล่าไปเล่ามามิรู้ว่าเป็นเรื่องของใคร นาน ๆ ทีเจ้านิลน้อยจะโผล่หัวจากตะกร้า ทุบเท้ากับพื้นคำรามใส่นายของมัน ถ้ามันพูดได้คงต้องบอกว่า ‘ลดเสียงลงหน่อยเจ้ามนุษย์ทั้งสอง’
ซานอินผละออกจากตัก อุ้มเจ้านิลน้อยย้ายที่นอนไปอยู่ข้างลังไม้ห่างจากเตียงไปหกจั้ง พวกมันอาจคุ้นชินกับคนก็จริง แต่ทว่ายามนอนเหมือนจำศีล ยามกินคล้ายไฟไม้ป่ารัง เสียงดังทำให้มันหงุดหงิด
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาด้วยรอยยิ้มรื่น ไล่รั้งเชือกมู่ลี่ไม้ไผ่ริมหน้าตาลงกันน้ำค้างยามดึก พลางหยิบผ้าห่มอีกผืนติดมือไปด้วย เสียงจักจั่นหริ่งหรีดร้องร่ำ สายลมพัดชายคาเรือนครืนครืด ตะเกียงไส้สุดท้ายเหลือเพียงแสงริบหรี่ ทว่าทุกอย่างจะดีกว่านี้ ถ้านางไม่ได้ประสบพบกับปัญหาใหม่
“ข้า...ขะ...ข้าลืมเก็บ”
ซานอินแย่งหนังสือที่นางอ่านคาไว้มาจากอีกฝ่าย ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าและใบหูของนางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่สวรรค์ดูเข้าข้างนางเหลือเกิน ที่เผอิญให้หญิงสาวผู้น่าสงสาร เสียหลักคว้าเอาลมไว้เต็มหอบ แล้วอย่างไรต่อ....ถ้ามิใช่ล้มทับเขาพอดิบพอดี หนำซ้ำยังอยู่บนเตียงตัวเอง
เบื้องบนคงแลเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่จืดชืดเกินไป ให้ล้มทับไม่พอยังได้จูบเขาด้วย แม้กระทั่งบทในนิยายที่นางชอบอ่านยังมิอาจเทียบเท่า ครั้นดันตัวขึ้นได้ ขากลับอ่อนแรงล้มลงใหม่อีกหน และครั้งนี้นางอาจไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นอีก เผิงอวี้ยึดมือเรียวอุ่นเข้าสัมผัสกับสิ่งที่ตื่นจากภวังค์ มันกำลังฟ้องว่าถูกนางทำร้ายอย่างสาหัส เรือนกายส่วนบนเปลือยเปล่า ช่วงท้องแกร่งกระเพื่อมไหวตามแรงหอบกระชั้น ผิวสีน้ำตาลเข้มเป็นมันวาวพราวด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ไหลเรี่ยต่ำหายไปในขอบกางเกง
แม่กระต่ายน้อยเวียนส่งส่วนที่หวานฉ่ำ มอบถึงปากพ่อเสือถึงเพียงนั้น สัญชาตญาณดิบเถื่อนถูกปลุกเร้า ผู้ก่อย่อมต้องรับผิดชอบโดยไม่มีข้อยกเว้น เพียงเสี้ยวลมพัด ในห้องพลันเกิดฟ้าคว้างพระจันทร์คล้อยต่ำ ดาราเรือนร้อยรายล้อมสรรพางค์กาย เกิดเสียงรัญจวนแว่วครวญมิคลายอยู่นาน เตียงหลังเล็กยิ่งดูเล็กลงถนัดเมื่อสองร่างเงาหลอมเป็นหยกเนื้อเดียวกัน ซานอินถูกพันธนาการไว้ใต้ร่าง เรียวขาบิดเร่าหลบเร้นการลงทัณฑ์ซ้ำ ๆ ทว่ามิพ้นถูกพ่อเสือหนุ่มยึดมาเกี่ยวเอวสอบ ใช้ความอ่อนโยนสยบเสียสิ้นแรงต้าน
ท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวขุ่นมัว หญิงสาวพบพานความเจ็บปวดระคนสุขล้ำ เผิงอวี้คอยชักนำให้นางรู้จักเรียกร้องในสิ่งที่ควรได้ ชักนำให้นางเดินตาม เที่ยวชมสายทางหลากสีทุกช่วงเวลาของขอบฟ้าจวบจนรุ่งสาง
[1] อี้ว์หลัน หรือดอกอวี้หลัน เป็นดอกไม้สายพันธุ์หนึ่งของดอกแมกโนเลีย ภาษาจีนเรียกว่ามู่หลาน มีทั้งสีขาว ม่วง ชมพู และสีเหลือง ออกดอกช่วงปลายเดือนเมษายนและต้นเดือนมิถุนายน ขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ ที่มีอายุแค่สิบวัน
ทิ้งท้ายบท
จริง ๆ คิดอยู่ว่า...ใพ้พระนางซัมติงกันเลยดีไหม สรุปบทมันเอื้อ เพราะมันจะไปต่อเนื่องกับช่วงกลาง - ปลายเรื่อง เลยถึงเวลาอันควรให้พ่อหมีกินนางเอกซะ
ใกล้ปีใหม่แล้ว...ไม่รู้ทุกคนเดินทางไปตจว.กันหรือป่าว ถ้ายังไม่ไปไหน อยู่เป็นเพื่อนกันอ่านนิยายต่อ จะค่อย ๆ ทยอยลง
ติชม เสนอแนะ คอมเม้นคุยกันได้เหมือนเดิมครับ
พ่อหมีเห็นเงียบๆ แต่แหมๆๆๆๆ
จุดพลุฉลอง
ปิดภูเขาฉลองกันเลย
พ่อหมี แม่หมี หลอมรวมกันแล้ว
เย้ เย้