สำนึกสุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน - สำนึกสุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน นิยาย สำนึกสุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน : Dek-D.com - Writer

    สำนึกสุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน

    โดย azarashi

    วิญญาณชายหนุ่ม ต้องถูกนำไปสู่นรก ภาพในอดีตหวนกลับ สำนึกสุดท้าย..

    ผู้เข้าชมรวม

    217

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    217

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ธ.ค. 48 / 22:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สำนึกสุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน

      ความรู้สึกเริ่มเลือนรางเต็มที และแล้วชั่วขณะหนึ่ง ร่างกายก็ไม่รู้สึกเจ็บใดๆอีก เหมือนร่างลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เบื้องหน้า เห็น กายที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท และจะไม่มีวันได้เปิดขึ้นมาอีก

      นี่ผมตายแล้วจริงหรือ? สังเกตรอบๆตัว ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิมหมด ไม่มีเปลี่ยนแปลง มีแต่เพียงเสียงร้องไห้ของหญิงสาววัยกลางคนกับชายหัวล้านวัยเดียวกันดังซิก ซิก ไม่ขาดสาย นั่นแหละ พ่อกับแม่ของผม
      เฮอะ! หลอกลวงชะมัด ผมตายไปได้ก็ดีแล้วนี่ ทำเป็นแสดงละครตบตากันไปเถอะ ที่แท้เพื่อไม่ให้คนรอบข้างครหานินทาล่ะสิ หลอกคนอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แต่ แต่หลอกลูกชายหัวหัวแหวนอย่างผมไม่ได้หรอก พวกเขาไม่ได้รู้สึกรักหรือเป็นห่วงเป็นใยผมหรอก เอาแต่ด่ากันอยู่ได้ทุกวัน
      “ไอ้เด็กไม่รักดี” นี่เป็นคำพูดที่สมควรเรียกลูกชายงั้นเหรอ?
      แค่โดดเรียนนิดหน่อยๆ สูบบุหรี่เป็นบางครั้งบางคราว หรือก็แอบไปซิ่งมอเตอร์ไซค์รับลมเล่นกับเพื่อร่วมแก๊งค์บ้าง มันเป็นสิ่งที่ผิดด้วยเหรอ? ไม่เห็นจะเป็นไรเท่าไหร่เลย..
      “เจ้าเด็กเนรคุณ ยังจะคิดบ้าๆอย่างนี้อีก” พลันเสียงน่ากลัวๆดังขึ้นแว่วมาจากที่แห่งไหนกันนะ จะขู่กันล่สิ
      ทำมาเป็นสั่งสอนอย่างโน้นอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างผมจะเชื่องั้นล่ะ ไม่มีทาง ในสมองของผมไม่เคยมีคำๆนี้ในหัวหรอก
      จริงสิ ในเมื่อตอนนี้เราตายแล้ว ใช่...จำได้ว่าไอ้ทองมันเคยบอกว่า วิญญาของเราจะได้เป็นอิสระ จะไปไหน ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ก็ไม่มีใครรู้ สิ่งที่อยากทำงั้นเหรอ? มีถมไป จะทำอะไรก่อนดีน้า…. อ๋อ!ลูบหัวล้านๆของพ่อเล่นดีกว่า น่าหนุก ท่าทางจะมันส์มือน่าดู ขอลอบกัดพ่อหน่อยละกัน..
      “จะดีหรือ?” อีกใจหนึ่งเข้ามาในความคิดชั่ววูบ
      “ช่างเถอะ จะเป็นไรไป ตอนผมยังไม่ตาย อยากไม่ให้จับเองนี่” ใช่ ใช่ ช่วยไม่ได้พ่อผิดเองนะ ผมไม่ผิดสักหน่อย

      ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากแห่งไหนอีกแล้ว แต่รู้ว่ามันใกล้มาก
      “ยังจะคิดแย่ๆแบบนี้อีก ข้าปล่อยให้เจ้าสำนึกผิดอยู่นานแล้วนะ” ตอนนี้ผมรูแล้วว่าเสียงๆนี้ต้นตอมาจากในหูผมนั่นเอง
      “ใช่ ข้าอยู่ข้างๆหูเจ้า”
      “โธ่โว๊ย! น่ารำคาญชะมัด เทศน์อยู่ได้ ถึงจะเป็นใครใหญ่มาจากไหน คนอย่างกูก็ไม่กลัวหรอก”เสียงกรรโชกยิ่งนัก พร้อมกับยกนิ้วกลางชูขึ้น ถ้าพ่อกับแม่เห็นผมทำอย่างนี้เข้า มีหวังถูกบ่นไปอีก10ชาติแน่ ดีที่อยู่คนละโลกกันแล้ว
      ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าการกระทำของผมเพียงช่วงเวลาสั้นๆนี้ ได้ทำให้ท่านยมฑูตผู้ใจดีโกรธเข้าแล้ว
      “เจ้าบังอาจมากเกินไปแล้ว ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้า จะไม่ส่งไปนรก ถ้าเจ้ายอมสำนึกผิดดีๆซะเสียแต่แรก” เสียงนั้นรุนแรง ราวกับโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ขนลุกซู่ไปทั่วร่าง หันไปทางไหนก็ไม่เห็นเจ้าของเสียง
      ผมตั้งใจจะถอยหนีเต็มที่ แต่เจ้าร่างวิญญาณก็กลับไม่ขยับไปตามดั่งที่ใจต้องการ เหมือนกับมีแรงอันมหาศาลยึดร่างเอาไว้ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับร่างจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว
      บัดนี้ ผมรู้สึกสำนึกผิดกับบาปอันมหันต์ที่ได้ทำลงไปในช่วง 16 ปีเต็มๆของผม แต่มันก็สายไปเสียแล้ว…..
      “ข้าจะให้เจ้าไปคุยกับท่านมัจจุราชที่ขุมนรกที่10”

      พลันเสียงนี้จบ ผมก็ได้ตกลงไปในที่แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเต็มไปด้วยลาวาที่เดือดปุดๆเป็นฟองขึ้นมา ถ้าตกลงไปมีหวังไม่รอดแน่ ยิ่งคิดยิ่งเสียว บรรยากาศก็ทึมๆร้อนๆไม่สบายเหมือนโลกมนุษย์เลย
      “เจ้าใช่ไหม? นายสมหมาย ครองฉัตร เพิ่งอายุได้16เองนี่ น่าเสียดายนะ ได้ใช้ชีวิตบนโลกเบื้องบนอันแสนสุขสบายได้ไม่นาน ก็ต้องมาจบชีวิตลงอย่างง่ายดายเสียแล้ว”
      ผมหันไปตามเสียงที่ดังดั่งฟ้าผ่านั้น เจ้าของเสียงก็คือ ชายร่างยักษ์ ซึ่งผมเดาๆว่าคงสูงสักประมาณ10เมตรได้
      ผิวสีแดงสุกไปทั่วร่างรวมทั้งใบหน้า***มเกรียมที่มีเขี้ยวใหญ่ๆมันวาวทั้งสองข้างอยู่ด้วย
      “กำลังคิดอะไรอยู่อีกล่ะ นายสมหมาย ท่านยมฑูตไม่เคยโกรธใครในรอบ100ปีเลยนะ มีเพียงเจ้าก็คนแรก”
      ปากผมแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนฟังท่านมัจจุราชร่างยักษ์ผู้นี้ แต่โดยดี จะหนีก็ไม่มีทางเป็นไปได้ วิญญาณหน้าตาโหด***มยืนเฝ้าเรียงรายอยู่มากมาย ทำได้ก็เพียงทำใจ รอสิ่งที่จะเกิดต่อไปในภายภาคหน้าเท่านั้น
      “งั้นมาเริ่มตัดสินกันเลยดีกว่า เปิดภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิตของนายสมหมาย” เขาออกปากสั่งวิญญาณตนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ

      ทันใดนั้น tvจอยักษ์ รุ่นใหม่ล่าสุด ก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆๆภาพเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังหัวเราะเริงร่ากับชายและหญิงคู่หนึ่ง หน้าตาของทั้งสามบ่งบอกถึงความสุขที่มี ด้านล่างมีอักษรสีเลือดกำกับ….ศุกร์ 13 ตุลาคม 2513
      “นั่น..คือวันเกิดผมนี่ อย่างนั้นก็หมายความ..วะ..ว่า เด็กชายคนนั้นก็คือ..ผะ..ผม”
      “ใช่แล้ว และชายหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็คือพ่อแม่ของเจ้า” แล้วมัจจุราชร่างยักษ์ก็หันไปบอกวิญญาณที่ควบคุมจอตนนั้น ให้เปลี่ยนภาพต่อไป
      คราวนี้เป็นภาพที่เด็กชายเริ่มเติบใหญ่ขึ้น กำลังทำหน้าไม่พอใจกับเครื่องแบบที่จะต้องใส่ไปโรงเรียน โดยมีพ่อแม่คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ต่อมาเป็นภาพที่เด็กชายกำลังเถียงกับพ่อแม่ ไม่ยอมเชื่อฟัง จนมาถึงตอนที่เด็กชายโตเป็นหนุ่มแล้ว ซึ่งก็คือผมในขณะนี้นั่นเอง กำลังลองสูบบุหรี่ครั้งแรกกับเพื่อนๆ ชีวิตเริ่มตกต่ำลงทุกทีๆ
      ภาพต่างๆยิ่งทำให้ผมรู้สึกมีตราบาปในใจมากล้นเหลือเกิน tvจอนี้ได้ฉายภาพที่พ่อกับแม่กำลังร้องไห้เศร้าโศกเสียใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน สุขภาพทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เนื่องจากผมหนีเที่ยวกลางคืน ไม่ยอมกลับบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ผมทำไปโดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ว่าได้ทำบาปอันมหันต์ลงไป ผมไม่รู้เลยว่าพ่อแม่เป็นห่วงเป็นใยผมมากขนาดไหน ที่บ่นมากก็เพราะรักมากต่างหาก ทำไมเรื่องง่ายๆเท่านี้ ตอนยังมีชีวิตอยู่ผมถึงคิดไม่ได้นะ
      “ภาพนี้ เป็นภาพสุดท้ายในชีวิตของเจ้าแล้ว” เสียงของมัจจุราชในตอนนี้ ฟังแล้วรู้สึกน่าหวั่นใจเหลือเกิน
      บรืน..บรืน…เสียงมอเตอร์ไซค์ดังไม่หยุดหย่อน มันกำลังซิ่งไปด้วยความเร็วแรงสูงเต็มพิกัด โดยมีผมนั่งอยู่บน แต่คนขับไม่เห็นรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้า
      “เบรคไม่อยู่แล้ว…พ่อแม่ ใครก็ได้ช่วยด้วยครับ”เสียงร้องอันโหยหวนยิ่ง
      ปัง! เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทุกอย่างก็จบสิ้น และจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว มอเตอร์ไซค์และผมผูเป็นคนขับ จมอยู่ในกองเลือดสีแดงสด เป็นความตายที่น่าอนาถใจยิ่งนัก

      ผมเบิ่งตามองตลอดอย่างใจสั่น เต้นไม่เป็นจังหวะ นี่เป็นสาเหตุการตายของผมหรือ? ผมตายเพียงเพราะไปซิ่งมอเตอร์ไซค์เล่นกับเพื่อนๆเนี่ยนะ ทำไมช่างง่ายดายถึงอย่างนี้ แทนที่ผมจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ยาวๆ อย่างน้อยก็นานกว่านี้สัก10ปีก็ยังดี แต่คิดย้อนไปในอดีตสักเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีสิ่งใดสามารถหวนกลับมาแก้ใหม่ได้อีกแล้ว
      “ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องไปเกิดใหม่แล้วล่ะ”
      “ผม..ผมจะไปเกิดใหม่…” ทวนคำช้าๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ อีกครั้ง
      มัจจุราชยิ้มเยาะทีหนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อไปอีกว่า “ใช่ เจ้าจะต้องไปเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมที่ตัวเจ้าได้ก่อไว้ เอ! หรือเจ้าอยากจะอยู่รับใช้ข้าในรกแห่งนี้เหมือนวิญญาณพวกนี้ดี”
      ผมมองไปทางพวกผีเหล่านั้นที่กำลังทำงานกันอย่างหนักหนาสาหัส หน้าตาดูมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ย เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แววตาเศร้าหมอง รอวันที่จะได้รับการปลดปล่อย ช่างน่าเวทนาเสียจริงๆ ผมไม่มีวันอยากถูกใช้งานในที่แบบนี้หรอก การส่ายศีรษะไปมา นั่นแหละ เป็นคำตอบของผม
      “ตกลง เจ้าเลือกเองนะที่จะไปเกิดใหม่ นายสมหมาย ไม่ใช่สิ! ต่อไปในชาติหน้า เจ้าคงจะไม่ได้ชื่อนี้อีกแล้ว..” ดูท่าท่านมัจจุราชตนนี้จะรู้สึกดีใจกับสิ่งที่จะเกิดในภายภาคหน้าของดวงชะตาชีวิตของผม
      “ครับ” ผมขานรับเบาๆ แต่ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย หวนคิดถึงเวลาแห่งความสุขทั้งหมดในนาม สมหมาย เสียเหลือเกิน คิดถึงพ่อกับแม่ผู้ซึ่งดูแลเอาใจใส่ผมมาตลอด16ปีเต็ม ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากในความคิดของผม ผมหลับตารอชะตาที่จะเกิดต่อไปในชาติหน้า
      “ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าชาติที่เจ้าจะเกิดใหม่ในชาตินี้ คงไม่อยู่อย่างสุขสบายเหมือนชาติที่แล้ว ไม่มีพ่อแม่เอาใจใส่อย่างดีหรอก ข้าบอกเพื่อให้เจ้าทำใจไว้ก่อนนะ”
      แล้วท่านมัจจุราชก็ยื่นกล่องใบหนึ่งมาให้ผมเลือกจับ ข้างในบรรจุลูกแก้วจำนวนมากมาย ซึ่งเขาบอกว่าเป็นตัวกำหนดดวงชะตาตั้งแต่เกิดจนตาย

      ทันใดที่ผมยื่นมือลงไป ในกล่องใบนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ลูกแก้วใบหนึ่งเข้ามาในมือผม โดยที่ผมยังไม่ทันเลือกด้วยซ้ำ และมันก็ไม่ยอมออกจากมือ ผมจำใจหยิบมันขึ้นมาชูให้ท่านมัจจุราชดู ทันใดนั้น ลูกแก้วใบนั้นก็มีภาพปรากฏขึ้น และแสงสีทองอร่ามตา เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ชะตาชีวิตดวงนี้ มีผู้เลือกเป็นเจ้าของแล้ว
      “เจ้าจะเกิดเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ กลายเป็นเด็กข้างถนน เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย และต้องจบชีวิตลงด้วยโรคร้าย”
      เพียงฟังผมก็ผวาเสียแล้ว ท่านมัจจุราชสังเกตเห็นหน้าที่ถอดสีของผมจึงเอ่ยต่อว่า “แต่ยังมีทางแก้ไขนะ ถ้าเจ้าหมั่นสร้างความดีไว้มากๆ” นับว่าท่านมัจจุราชยังมีความปราณีต่อผม
      “ขอบคุณมากครับ”
      จากนั้น ท่านมัจจุราชก็ส่งขวดยาสีแดงมาให้
      “ดื่มซะให้หมดนะ นี่เป็นยาลบความจำ ชาติที่เจ้าจะเกิดนี้จะได้ลืมเรื่องเลวร้ายลงทั้งหมด แล้วตั้งต้นเริ่มชีวิตใหม่…………………”
      ผมรับยาขวดนั้น มาพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลั้นใจดื่มลงไปทั้งหมด พลางคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
      อึกแรก..ยังได้ยินท่านมัจจุราชป่นข้างๆหู
      “เฮ้อ! ข้าก็เหนื่อยมากแล้ว จะได้เข้าไปพักผ่อนเสียที”
      แต่พอหมดขวด ความทรงจำทั้งหมดก็ลางเลือน ค่อยๆหายไปที่ละส่วนๆ ไม่นานนักก็ไม่เหลือความทรงจำใดๆอีก ในสมองว่างเปล่า และร่างก็เหมือนลอบละล่องไปอีกโลกหนึ่ง

      “อุแว้ ! อุแว้!”
      เสียงร้องของเด็กน้อยดังไม่หยุดไม่หย่อน ท่ามกลางกองขยะอันเหม็นเน่า แมลงชุกชุม แต่ทว่าถึงเด็กน้อยจะร้องเท่าใด จนคอแห้งผาก ไม่มีเสียงอีกก็ตาม ก็ไม่มีใครมาเหลียวมองสนใจเลยแม้แต่เงา.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×