ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [จบแล้ว/มี E-BOOK] ฮองเฮาตัวร้าย จอมใจจักรพรรดิ

    ลำดับตอนที่ #6 : คุณธรรมข้อ 5 : ข้าต้องการยิ่งใหญ่มิใช่ตำแหน่งฮองเฮา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.55K
      344
      8 ก.พ. 64


    เมื่อต้าเจิงฮ่องเต้ผละจากซือเย่วมาก็กระโดดขึ้นหลังม้า ทว่าพอนั่งได้สักพักจู่ๆก็ตัดสินใจเบนหัวอาชากลับไปทางเดิม ทำเอาคนที่ติดตามมาไม่ห่างอย่างถงเหยียนถึงกับงุนงงไม่เข้าใจ

    “ฝ่าบาทไม่ต้องการไปที่กองทัพของแม่ทัพใหญ่แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    “ไม่ล่ะ เราอยากกลับแล้ว” ทรงตรัสเพียงเท่านั้นแล้วก็ควบอาชาคู่กายกลับเมืองหลวงทันทีโดยไม่รั้งรออันใดอีก

    อ้าว?

    ถงเหยียนได้แต่อุทานในใจ เขาเป็นพวกไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าทว่ากลับมีความคิดความอ่านในใจมากมาย คนภายนอกไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับเขาเป็นการส่วนตัว จะมีก็เพียงโอรสสวรรค์ เหลียนอ๋อง และเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่อาจจะเคยเห็นหน้าของเขาบ้าง และคนที่เขาพูดคุยด้วยบ่อยที่สุดมากที่สุดก็คือต้าเจิงฮ่องเต้ผู้คาดเดาจิตใจไม่ได้ผู้นี้

    ซึ่งวันนี้ทั้งวันเขาก็ล้วนแต่คาดเดาอันใดจากนายเหนือหัวไม่ได้เลยจริงๆ

     

    เช้าวันรุ่งขึ้นกองทัพของแม่ทัพใหญ่หลิวก็ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง เพียงอีกสองวันกับหนึ่งคืนต่อมาก็ถึงที่หมาย และตลอดเส้นทางตั้งแต่ประตูเมืองจนเข้ามาในเมืองราษฎรทั้งหัวหงอกหัวดำลูกเด็กเล็กแดงต่างก็มายืนรอกันจนเต็มสองข้างถนนใหญ่

    หนึ่งเพื่อชื่นชมความองอาจของท่านแม่ทัพใหญ่หลิวที่ไม่ว่าจะออกศึกคราใดก็ล้วนแต่นำชัยกลับมายังความสงบสุขให้บ้านเมืองเสมอมา

    สองเพื่อจะได้ยลโฉมหลิวซือเย่วบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรให้เต็มสองตาว่าอัปลักษณ์จริงดังที่เขาว่ากันหรือไม่ แล้วสตรีลักษณะเช่นใดกันหนอที่สังหารชินอ๋องแคว้นศัตรูลงได้

    ทันทีที่กองทัพอันเกรียงไกรของแม่ทัพใหญ่หลิวข้ามผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามาเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ความเข้มแข็งและเป็นระเบียบของเหล่าทหารกล้าสร้างความฮึกเหิมให้แก่ผู้คนที่ได้พบเห็น เด็กเล็กหลายคนถึงกับออกปากว่ายามเมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเข้าไปเป็นทหารใต้อาณัติของแม่ทัพใหญ่หลิวซือหยางให้ได้เลยทีเดียว

    ในขณะเดียวกันชาวบ้านหลายคนก็ยังชะเง้อคอมองหาคนสำคัญอยู่ตลอด จนกระทั่งร่างองอาจสวมชุดเกราะหนาของแม่ทัพใหญ่หลิวที่นั่งอยู่บนอาชาตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยรองแม่ทัพผู้เก่งกาจอย่างหลี่ลู่เหอและ...

    “นั่น! นั่นอย่างไร!! บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ เป็นนางแน่ๆ”

    ผู้คนล้วนมองตามเสียงร้องบอกของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าฝูงชนจำนวนมาก พลันนั้นก็ปรากฏสตรีผู้มีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งต่อสายตา นางสวมชุดเกราะที่ดูจะหลวมไปสักหน่อยสำหรับนางทว่าส่งเสริมให้ดูดียิ่งนัก นางนั่งหลังตรงอยู่บนหลังอาชาขนสีดำสนิท แววตามั่นคงและเฉียบขาดของนางให้ความรู้สึกน่ายำเกรงได้อย่างน่าประหลาด ในขณะเดียวกันความงามของนางก็ชวนให้ผู้คนหลงใหล แม้ยามนี้นางจะมิได้แต่งแต้มสีสันแต่ดวงหน้าอันเปล่าเปลือยของนางก็สมบูรณ์แบบชนิดที่เรียกได้ว่างามล่มเมือง นึกไม่ออกเลยว่าหากนางได้แต่งกายด้วยอาภรณ์ของสตรีแบบเต็มขั้นจะงดงามสักเพียงไร

    ผู้ใดกันที่บอกว่านางอัปลักษณ์ ผู้ใดกันที่บอกว่านางรูปร่างใหญ่โตราวกับบุรุษ

    นี่มันต่างจากที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้หน้ามือหลังมือเลยนี่!

    “พวกเขามองอันใดกัน ข้าทำความดีความชอบมานะ เหตุใดจึงได้พากันจ้องหน้าข้าราวกับไปทำความผิดมาเป็นร้อยอย่างเช่นนี้” ซือเย่วบ่นหน้างุ้ม รอบข้างของนางล้อมรอบไปด้วยทหารฝั่งละสามแถวด้วยระยะห่างขนาดนี้ทำให้นางได้ยินเพียงเสียงเซ็งแซ่ที่ฟังไม่ได้ศัพท์เท่านั้น

    “พวกเขาคงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าคุณหนูหลิวหน้าตาเป็นเช่นไรกระมังขอรับ” ลั่วหลิวอินผู้ติดตามหลี่ลู่เหอว่าขึ้น

    คิ้วงามขมวดเข้าหากันทันใด “เจ้าหมายความเช่นไรหลิวอิน”

    “เมื่อคืนก่อนข้าได้ยินทหารในสังกัดของเราคุยกันเรื่องที่ชาวบ้านต่างก็พูดถึงเรื่องที่คุณหนูสามารถปลิดชีพชินอ๋องแคว้นเมิ่งจนเป็นที่ร่ำลือไปไกลถึงต่างเมืองน่ะขอรับ”

    “เรื่องจริงหรือ”

    “จริงขอรับ เห็นว่าพวกทหารเองก็รู้จากปากชาวบ้านในตลาดมาอีกที”

    สีหน้าของซือเย่วเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางเข้าใกล้คำว่ายิ่งใหญ่ไปอีกนิดหน่อยแล้ว คิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจหนีจากจวนไปหาท่านพ่อ

    “ไม่ต้องมายิ้มเลยเย่วเอ๋อร์ คิดหาคำแก้ตัวไว้แจ้งแก่ท่านน้าบ้างหรือยัง ฮึ น่ากลัวว่าวันนี้จะมีคนเนื้อเขียวเป็นแน่”

    พลันนั้นสีน่าตื่นเต้นก็กลายเป็นหงอยลงทันที “จริงด้วย ข้าลืมเรื่องท่านแม่ไปเสียสนิท”

    แต่ไม่เป็นไรกว่าจะได้กลับจวนก็คงอีกหลายชั่วยาม ไหนจะต้องเข้าไปถวายรายงานต่อฮ่องเต้ในวังหลวง ไหนจะต้องตามบิดาไปสะสางงานที่ค่ายหลวงอีก ระหว่างนั้นก็ค่อยๆคิดหาคำออดอ้อนมารดาเอาไว้ก็แล้วกัน

    หลังจากขบวนกองทัพเรือนแสนเคลื่อนตัวผ่านไป เหล่าผู้คนที่ได้เห็นหลิวซือเย่วต่างก็เอาแต่เอ่ยปากชื่นชมนางไม่หยุด ล้วนแต่กล่าวว่าสตรีผู้เก่งกาจและงดงามปานเทพธิดาเช่นนี้ต้องได้เข้าเป็นลูกสะใภ้ตระกูลใหญ่สักตระกูลเร็วๆนี้เป็นแน่ ว่าแต่บุรุษผู้โชคดีผู้นั้นจะเป็นใครกันหนอ อยากรู้จริงๆ

    ใช้เวลาไม่นานนักขบวนทหารก็มาถึงประตูวังหลวง ทหารส่วนใหญ่จะกระจายตัวไปยังค่ายทหารหลวง ที่ยังต้องเข้าไปถวายบังคมกราบทูลรายงานจะเหลือเพียงท่านแม่ทัพใหญ่และผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่สิบคนเท่านั้น

    ทว่าในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าสู่ท้องพระโรงนั้นเอง กงกงผู้หนึ่งก็เข้ามาหาท่านแม่ทัพใหญ่หลิวอย่างจงใจ

    “คารวะแม่ทัพใหญ่หลิว ไม่ทราบว่าจำข้าน้อยได้หรือไม่”

    พลันนั้นเองแม่ทัพใหญ่ผู้องอาจก็นึกออกว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใด

    “อ่อ ซวนกงกงจากตำหนักซูไท่นั่นเอง มีธุระอันใดกับข้าหรือ ข้ากับบุตรสาวต้องรีบไปเข้าฝ่าบาทแล้ว

    “ที่ข้ามารอพวกท่านที่นี่ก็เพราะพระประสงค์ของไทฮองไทเฮาที่ต้องการพบคุณหนูเป็นการส่วนพระองค์ ส่วนเรื่องเข้าเฝ้าฝ่าบาท พระองค์ทรงตรัสว่าไม่จำเป็นและได้แจ้งแก่ตู้กงกงให้รายงานแก่ฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เชิญคุณหนูโปรดตามข้าไปยังตำหนักซูไท่ด้วย”

    ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ แม่ทัพใหญ่ถึงกับชะงักค้าง ไม่ต่างกับบุตรสาวอย่างหลิวซือเย่วที่ยามนี้ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

    อันใดกัน รวดเร็วปานนี้เชียว!

     

    ตำหนักซูไท่ อันเป็นตำหนักของไทฮองไทเฮานั้นช่างยิ่งใหญ่กว้างขวางนักในสายตาของซือเย่ว นางมีความใคร่รู้นักว่าแล้วตำหนักของฮ่องเต้จะกว้างใหญ่กว่านี้ได้อีกหรือไม่ นับว่าแคว้นลู่กับแคว้นเหลียวที่นางจากมาต่างกันมากนักถึงขั้นเรียกได้ว่าฟ้ากับเหว ที่นี่ล้วนอุดมสมบูรณ์ ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่กันอย่างมีความสุข ส่วนกองทัพก็เข้มแข็งไม่อ่อนข้อให้ผู้ใด ไม่ว่าจะศึกใหญ่หรือเล็กขอเพเพียงมีแม่ทัพอย่างบิดาของนางออกหน้าก็ล้วนแต่กำชัยชนะได้อย่างง่ายดาย

    ผิดกับแคว้นเหลียวที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี ต่างฝ่ายต่างก็อยากยกตนขึ้นเป็นใหญ่ อาจเป็นเพราะที่นั่นไม่มีฮ่องเต้อย่างที่นี่ ผู้คนล้วนอยู่กันโดยมีพรรคต่างๆคอยค้ำจุนซึ่งกันและกัน ปกครองชาวบ้านปกครองกันเองตามเขตเมืองที่อยู่อาศัย เพราะเหตุนี้จึงมีการแก่งแย่งตำแหน่งเว่ยไท่ลี่เพื่อเป็นผู้อยู่เหนือพรรคทั้งปวงมาเสมอ ซึ่งก่อนที่นางจะตายยามนี้บิดาของนางเป็นผู้ครองตำแหน่งนั้นอยู่ ไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง

    “เชิญคุณหนูหลิวด้านใน ไทฮองไทเฮาทรงรอท่านอยู่นานแล้ว” เสียงของซวนกงกงดังเรียกสติของซือเย่วให้กลับคืน

    “ทราบแล้ว” ซือเย่วรับคำ นางรู้สึกว่าทำตัวไม่ใคร่จะถูกนัก ยามปกติเคยต้องเข้าวังหลวงปฏิบัติตามธรรมเนียมชาววังเสียเมื่อไร ด้วยนิสัยที่ไม่ต่างจากบุรุษนางจึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่กริยามารยาทของนางก็มิใช่ด้อยด้วยถูกท่านแม่เคี่ยวกรำมาพอสมควรเพราะอย่างไรนางก็เป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่

    ทว่า...พอนางได้ก้าวเท้าเข้ามาภายในโถงกว้างนางกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ก่อมวลอยู่โดยรอบ มีกลิ่นกำยานหอมลอยเอื่อยอยู่ในอากาศ ช่างให้ความรู้สึกสุขสงบและผ่อนคลายอย่างยิ่ง พลันนั้นร่างที่แข็งเกร็งก็คลายลงโดยไม่รู้ตัว

    เบื้องหน้าของซือเย่วยามนี้มีสตรีผู้สูงส่งนั่งรอนางอยู่ แม้จะอายุมากถึงหกสิบห้าชันษาแต่ความงามก็ไม่ได้ด้อยถอยลงเลย

    “ถวายพระพรไทฮองไทเฮา ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆปีเพคะ”

    “ลุกขึ้นๆ มาใกล้ๆข้าสิ ซือเย่ว”

    เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกอย่างคุ้นเคยและน้ำเสียงมีเมตตาซือเย่วจึงคลายความตึงเครียดในใจลง ความทรงจำของเจ้าของร่างผุดขึ้นในหัวนาง นางเคยพบสตรีสูงวัยผู้นี้บ่อยๆเมื่อครั้งยังเยาว์วัย น่าจะสักหกเจ็ดขวบก่อนที่จะล้มป่วยด้วยโรคตุ่มหนองแปลกประหลาด

    ว่าก็ว่าเถอะ นางยังนึกสงสัยอยู่ว่าจู่ๆเด็กหญิงที่ร่างกายแข็งแรงปานนั้นจะป่วยด้วยโรคเช่นนี้ได้อย่างไร บางทีซือเย่วอาจจะไม่ได้จู่ๆก็เกิดป่วยขึ้นมาเองก็ได้ แต่นางก็นึกไม่ออกว่ามันจะมีสาเหตุมาจากที่ใดได้อีกบ้างเท่านั้น

    “เพคะ” นางรับคำก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าพระพักตร์

    “งามจริงๆ ขนาดว่าเจ้าสวมชุดเกราะเยี่ยงบุรุษเช่นนี้ความงามของเจ้ากลับไม่ด้อยลงไปเลย” ไทฮองไทเฮายิ้มแย้มพึงใจนัก

    “ขอบพระทัยเพคะ”

    “ข้าได้ยินว่าคนที่สังหารชินอ๋องแคว้นเมิ่งคือเจ้าอย่างนั้นรึ”

    “เป็นเช่นนั้นเพคะ”

    “จริงสิ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าชอบขนมถั่วกวนที่สุด ข้าจึงให้คนเตรียมเอาไว้ให้เจ้ามากมายทีเดียว มานั่งตรงนี้สิ” สิ้นพระสุรเสียงของสตรีผู้เป็นใหญ่นางกำนัลประจำตำหนักก็ยกถาดขนมและน้ำชาเข้ามา

    “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วเพคะ” นางยิ้มรับอย่างซาบซึ้งในน้ำพระทัย ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปไทฮองไทเฮายังมีเมตตาต่อนางเสมอ ซ้ำยังไม่เคยละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆของนางอีกด้วย

    “ทานขนมกับชาเสียสิ”

    “เพคะ”

    พลันได้กัดคำแรกใบหน้าของซือเย่วก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มงดงาม ยิ่งเมื่อได้จิบชาตามลงไปริมฝีปากเรียบก็ยิ่งยกสูง “รสชาติดีนักเพคะ พอได้จิบชาเถียะกวนยินที่มาจากเมืองอานซีตามลงไปก็ยิ่งกลมกล่อมนัก เป็นบุญของหม่อมฉันจริงๆเพคะที่ได้ชิมชารสเลิศล้ำค่าหาได้ยากยิ่งเช่นนี้”

    ไทฮองไทเฮาหันไปยิ้มกับซวนกงกงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมา “ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า เอาตามจริงแล้วข้าควรจะคุยกับบิดาของเจ้าก่อน แต่เรื่องนี้ข้าคิดว่าบิดาของเจ้าคงรู้มานานแล้ว และคุยกันหลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็คงไม่เป็นกระไร แต่สำหรับเจ้าข้าต้องพูดคุยต่อหน้าข้าจึงจะสบายใจ”

    ครานี้ซือเย่วเริ่มรู้สึกแล้วว่าขนมและชารสเลิศเมื่อครู่ค่อยๆข่มปร่าจนฝืดคอ “เรื่อง...อันใดหรือเพคะ”

    “เรื่องอภิเษกสมรสและแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา”

    “พะ...เพคะ?”

    จู่ๆสีหน้าของซือเย่วก็ซีดเผือดราวกับกระดาษเซวียนจื่อ ลำคอฝืดเฝื่อน มือเท้าเย็นเฉียบทั้งๆที่อากาศไม่ได้หนาวเย็น อาการที่ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นเช่นไรซือเย่วเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง

    สวรรค์! พวกท่านกับเล่นตลกอันใดกับข้ากันแน่!

    ก่อนสิ้นใจตายข้าจำได้ว่าข้าต้องการเป็นวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่หาใช่มารดาของแผ่นดินไม่

    พวกท่านต้องหูมีปัญหาแน่ๆ โธ่....


    TALK: โดนจับมัดมือชกแบบนี้หมดกันความฝันน้องเย่ว เอ็นดูนางนะคะ 5555 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×