ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [จบแล้ว/มี E-BOOK] ฮองเฮาตัวร้าย จอมใจจักรพรรดิ

    ลำดับตอนที่ #3 : คุณธรรมข้อ 2 : พาให้ประสบ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 64



    ด้วยความที่อยากลองชิมอาหารที่เสี่ยวเอ้อพร่ำโพนทะนานักหนาว่ารสเลิศเช่นนั้นเช่นนี้ ซือเย่วจึงจัดการสั่งมันมาเสียทุกอย่างจนของกินเต็มโต๊ะไม่มีที่ว่าง ผู้ใดเห็นต่างก็ลอบขำว่าบุรุษผู้นี้ประหลาดนัก มาผู้เดียวแต่กลับสั่งอาหารมากมายราวกับเลี้ยงผู้คนนับสิบ แล้วดูนั่นสิ รูปร่างบอบบางราวกับอิสตรีเช่นนั้นจะยัดอาหารลงไปได้กี่มากน้อยกันเชียว

    แม้แต่ต้าเหลียนยังอดไม่ได้ที่จะจงใจมองด้วยความสงสัย “ท่านพี่ไม่คิดว่าเขาประหลาดบ้างหรือ”

    ต้าเจิงที่นั่งแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมาตลอดเวลาเอี้ยวกายเล็กน้อยเพื่อหันหลังไปมองคนที่น้องชายเอ่ยถึง เพียงครู่เดียวก็หันกลับไปทางเดิม

    เขางั้นหรือ? นี่น้องชายผู้เจนจัดในเรื่องสตรีเหตุใดจึงมองไม่ออกว่าคนที่กำลังพูดถึงแท้จริงแล้วเป็นสตรี โง่โดยแท้เสียทีที่ผ่านศึกรักมามากมาย เท่านี้ก็ยังแยกแยะไม่ออก

    “เฮอะ ก็แค่คนตะกละตะกรามผู้หนึ่ง เจ้าจะสงสัยอันใด”

    พลันนั้นเองที่คำพูดของฮ่องเต้หนุ่มปะทะเข้าโสตประสาทอันดีเยี่ยมของซือเย่วเต็มสองหู หางคิ้วนางกระตุกทันใด ปากร้ายนักเชียวบุรุษผู้นี้ คงคิดว่านางไม่ได้ยินล่ะสินะ เสียดายนักที่มองไม่เห็นหน้า จะได้จดจำไว้ว่าบุรุษเช่นนี้แหละที่นางจะไม่เอาเป็นคู่ชีวิตเด็ดขาด

    ว่าก็ว่าเถิด นางชักจะรู้สึกว่านางมาผิดวันเกินไปหรือไม่ บรรยากาศอึดอัดรอบข้างเหล่านี้มันอันใดกัน นางก็พอรู้ว่าเมืองถงเซียงนี้มีพรรคต่างๆอยู่มากมายไม่ต่างอันใดจากแคว้นเกิดในชาติที่แล้วของนาง แต่ฝีมือก็เท่านั้นก็ไม่รู้เหตุใดจึงชอบคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดาทำตัวกร่างคับฟ้าคับแผ่นดินกันเหลือเกิน

    คิดถึงตรงนี้ก็ชวนให้หวนนึกถึงพรรคสยบพยัคฆ์ของบิดาขึ้นมา ภายใต้ความยิ่งใหญ่ล้วนแต่เต็มไปด้วยความมืดดำ กว่าที่เขาจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ต้องเหยียบข้ามศพมากี่พันศพ เขาทำสิ่งที่เลวร้ายอันใดลงไปบ้างนางล้วนเห็นมาจนหมดเพียงแต่นางทำอันใดไม่ได้เท่านั้นเอง

    และนางก็ตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่านางจะไม่ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวดังเช่นบิดาของตนเด็ดขาด

    ว่าแล้วนางก็ยกจอกสุรารสเลิศขึ้นดื่มจนหมดจอกก่อนจะรินสุราเพิ่มแล้วยกขึ้นอีกจอกและอีกจอก จนยามนี้ใบหน้านวลกระจ่างซับสีเลือดจางๆชวนมองยิ่ง ทุกอากัปกิริยาที่ดูงดงามและห้าวหาญของซือเย่วล้วนอยู่ในสายตาของทุกคน แม้พวกเขาจะคิดว่านางเป็นบุรุษประหลาดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นอายบางอย่างจากกายนางชวนให้พวกเขาต้องจับจ้องได้อย่างน่าฉงน

    ขนาดว่ายามนี้หญิงงามนามว่าอวี้ซินผู้ถูกขนานนามว่าบุปผาหยกแห่งลี่จวี๋ยังเลือกไม่ถูกว่าคืนนี้นางจะปรนนิบัติโต๊ะใดดีระหว่างบุรุษผู้มีใบหน้าหล่อเหลาสองคนที่แผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ฝั่งซ้ายหรือจะเป็นบุรุษรูปงามราวกับอิสตรีที่ไม่อาจละสายตาได้ที่ฝั่งขวา

    หากแต่พอคิดถ้วนถี่แล้วบุรุษที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มปักดิ้นทองราวกับเชื้อพระวงศ์ผู้นั้นน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับนาง หากนางปรนนิบัติเขาได้ดีนางอาจจะตกถังข้าวสารได้ตบแต่งเข้าจวนใหญ่โต จะได้หลุดพ้นไปจากหอโคมแดงนี่เสียที

    “เจี่ยเจีย แต่หัวหน้าพรรควานรเหินนภาเลือกท่านไว้แล้วนะเจ้าคะ ท่านจะมาเปลี่ยนใจยามนี้ไม่ได้” หญิงงามในหอลี่จวี๋อีกคนเตือนอวี้ซินในขณะที่ช่วยนางแต่งตัว

    “แล้วอย่างไร ข้าพอใจจะเปลี่ยนผู้ใดจะขัดขวางข้าได้” นางเถียงกลับสีหน้าไม่พอใจ

    “แล้วถ้าเกิดท่านหัวหน้าพรรคไม่พอใจจนเกิดเรื่องขึ้นมาเล่าเจ้าคะ”

    “หยุดพูดมากเสียทีจิงเอ๋อร์ ข้าจะเลือกผู้ใดมันก็เรื่องของข้า เจ้ามีหน้าที่เพียงช่วยให้ข้าดูดีที่สุดในคืนนี้ก็พอ ไม่อย่างนั้นส่วนแบ่งค่าแรงของเจ้าคืนนี้จะไม่ได้สักตำลึงเดียว”

    “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” พอถูกขู่เช่นนั้นเสี่ยวจิงก็ได้แต่ต้องยอมแต่งหน้าทาปากให้อีกฝ่ายไปเงียบๆ

     

    ด้านหน้าเวที แขกที่เข้ามาฟังดนตรียังอุ่นหนาฝาคั่งไม่มีผู้ใดคิดจะกลับ คาดว่าวันนี้นายหญิงใหญ่เจ้าของกิจการคงได้กำไรมากมายเป็นกอบเป็นกำ

    ซือเย่วยังคงจิบสุราและดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงแสนไพเราะของนักดนตรีสาวตรงหน้า นางชื่นชอบความสุนทรีเช่นนี้เป็นที่สุด หากแต่ในกาลก่อนเพราะนางเป็นเพียงบุตรอนุต่ำต้อยจึงไม่กล้าเข้าไปโผล่หน้าแสนอัปลักษณ์ตามโรงน้ำชาเพื่อชมดนตรีหรืองิ้วดีๆ ทำได้เพียงแอบอยู่ตามซอกตึกด้านนอกลอบฟังเสียงดนตรีแว่วอยู่เพียงลำพัง คิดแล้วก็รู้สึกเวทนาตนเองยิ่งนัก ฉะนั้นในชาตินี้นางอยากทำสิ่งใดก็ทำไม่มีผู้ใดมาห้ามนางได้อีก

    ทว่ายามนี้สิ่งเดียวที่ทำให้นางเริ่มรู้สึกหงุดหงิดก็เห็นจะเป็นบรรดาคนในพรรคพยัคฆ์คำรามและพรรควานรเหินนภาน่ารำคาญนี่ที่เอาแต่ส่งเสียงดังเอะอะครึกครื้นจนกลบเสียงดนตรีอันเสนาะหูไปเกือบหมดสิ้น

    ขณะที่ซือเย่วใกล้จะหมดความอดทนอยู่รอมร่อนั้นเอง ร่างอรชรอ้อนแอ้นของอวี้ซินก็ปรากฏกายขึ้น ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่นางโดยพร้อมเพรียง ความงามและเสน่ห์เย้ายวนของนางทำให้ผู้คนลุ่มหลงได้ไม่ยากเย็นเลย แต่ก็มิใช่ว่าผู้ใดจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดและพูดคุยกับนางได้ง่ายดายนักเพราะค่าตัวของนางนั้นไม่ใช่เพียงสองสามตำลึงแล้วจะได้ชิดเชย ต้องมีเงินถุงเงินถังจึงจะสมน้ำสมเนื้อ

    และวันนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าถังซื่อกุ่ยหัวหน้าพรรควานรเหินนภาทุ่มเงินหลายตำลึงทองไปเพื่อได้เชยชมบุปผาหยกดอกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ทว่าคนที่อวี้ซินเลือกที่จะเดินไปหากลับไม่ใช่ถังซื่อกุ่ยกลับเป็นต้าเจิงฮ่องเต้ที่นั่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอยู่ด้านหน้าเวทีเสียอย่างนั้น

    ถังซือกุ่ยเริ่มรู้สึกไม่พอใจโวยวายให้ลูกน้องไปเรียกนายหญิงใหญ่ของหอลี่จวี๋มาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างแต่ทว่าผู้ติดตามของอวี้ซินก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน

    “ขะ...ขอประทานอภัยเจ้าค่ะนายท่าน เนื่อง...เนื่องจากวันนี้อวี้ซินไม่ว่างมารับใช้นายท่านแล้ว จึงให้ข้ามาเรียนแก่นายท่านว่านางจะคืนเงินให้ท่านทุกตำลึงทีหลังเจ้าค่ะ”

    ปัง!!

    “ได้อย่างไรกัน!! เห็นข้าเป็นตัวตลกกระนั้นหรือ!!

    เสียงตวาดที่ดังราวกับฟ้าจะถล่มของชายร่างยักษ์อย่างถังซื่อกุ่ยทำเอาเสี่ยวจิงคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความขลาดกลัว คนผิดเป็นอวี้ซินเห็นๆแต่เหตุใดต้องเป็นนางที่รับกรรม

    “ขอ...ขอนายท่านโปรดเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ”

    “ไม่เข้าใจ! ข้าไม่เข้าใจอันใดทั้งนั้น หากวันนี้นางไม่มาอยู่กับข้า ข้าจะอาละวาดให้ที่พังราบเป็นหน้ากลอง!

    “มะ...ไม่ได้นะเจ้าคะนายท่าน” เสี่ยวจิงลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก เรื่องราวเริ่มจะบานปลายใหญ่โตเสียแล้ว

    ทว่าในขณะเดียวกันคนต้นเหตุกลับลอยหน้าลอยตาเข้าไปขอนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับต้าเจิงฮ่องเต้อย่างถือวิสาสะ

    “เรียนคุณชายทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากลองชิมสุราแคว้นต้านร่วมกับซินเอ๋อร์สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”

    ริมฝีปากบางที่ถูกแต่งแต้มสีสันคลี่ยิ้มเย้ายวน นางบิดกายเอียงอายได้อย่างมีจริตพอเหมาะพอดี นัยน์ตามีหยาดน้ำกลอกกลิ้งชวนให้น่าทะนุถนอม กิริยายั่วเย้าเช่นนี้นางฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญไม่ว่าบุรุษใดได้เห็นย่อมต้องตกบ่วงนางอย่างง่ายดาย

    แต่ไม่ใช่กับหวางต้าเจิงผู้นี้

    “ข้าไม่ยักจำได้ว่าจ่ายเงินเรียกเจ้ามา เงินของข้า ข้าไม่โง่พอจะใช้อย่างไม่รู้คุณค่าหรอกนะ” ในขณะที่เอ่ยสีหน้าหล่อเหลานั่นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย คนฟังถึงกับหน้าชาไปครู่ใหญ่

    แม้แต่ซือเย่วยังเกือบจะหลุดขำ บุรุษผู้นี้ปากร้ายได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆให้ตายสิ หากไม่นับใบหน้าเฉยชานั่นก็น่าคบหาไว้ร่ำสุราอยู่เหมือนกัน นางชอบคนพูดตรงๆเช่นนี้แหละ

    เป็นต้าเหลียนด้วยซ้ำที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้ “เอ่อ แม่นางคงจะเป็นอวี้ซินบุปผาหยกแห่งหอลี่จวี๋สินะ”

    อวี้ซินรีบเก็บสีหน้าซีดเผือดตนกลับคืนก่อนจะรีบเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ทันใด “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าพวกท่านเป็นแขกแปลกหน้าคงจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกเกรงว่าพวกท่านจะเบื่อจึงได้มานั่งคุยเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”

    “ข้า...” ต้าเหลียนกำลังจะอ้าปากเอ่ยทว่ายังช้ากว่าพี่ชายตนมากนัก

    “หน้าข้าบ่งบอกว่าเบื่อหรือ ไม่เห็นจะรู้สึกเช่นนั้นเลย เจ้าคิดไปเองหรือไม่”

    “แค่ก...อะแฮ่มครานี้ซือเย่วขำจนสำลักสุรา นางเห็นเขาเหลือบมามองนางครู่หนึ่งก่อนจะเลิกใส่ใจ

    “ข้ากับน้องชายเพียงต้องการนั่งฟังดนตรีเพื่อผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น มิได้ต้องการพูดคุยให้เสียอรรถรส หากเจ้าต้องการคนคุยด้วยก็เชิญกลับไปหาแขกคนสำคัญของเจ้าเถอะ ข้าไม่อยากยุ่งยากรำคาญใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง” ต้าเจิงว่าพลางปรายตาขึ้นไปมองสถานการณ์วุ่นวายด้านบนชั้นสอง เขาได้ยินทุกอย่างชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคผู้นั้นกำลังมีโทสะเพราะเหตุใด

    และนั่นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมาในอีกไม่นาน

    ฟากฝั่งของพรรคพยัคฆ์คำราม ติงรุ่ยหานที่เป็นหัวหน้าพรรคนึกรำคาญศัตรูอยู่เป็นทุนเดิมยิ่งเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งนึกโมโหขึ้นมา เขาเพียงตั้งใจจะพาศิษย์เอกทั้งหลายมาเลี้ยงสุราให้อิ่มหนำแต่กลับต้องมาอารมณ์เสียเพราะพวกน่ารำคาญเสียได้

    “หุบปากเสียทีเถิดซื่อกุ่ย เห็นหรือไม่ว่าพวกข้าฟังนักดนตรีเล่นไม่รู้เรื่องแล้ว!!

    “เจ้านั่นแหละที่ต้องหุบปาก นี่มันเรื่องของข้าหาใช่ธุระของเจ้าไม่!!

    “หนอย! เจ้าคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!” ชั่วกระพริบตาอาวุธลับประจำพรรคพยัคฆ์คำรามก็ถูกซัดไปอีกฝั่งของหอลี่จวี๋อย่างรวดเร็ว

    บรรดาคนในพรรควานรเหินนภาที่มีเคล็ดวิชาตัวเบาและเคลื่อนกายได้รวดเร็วราวกับฝูงวานรต่างก็รีบรับมือทั้งยังปัดอาวุธลับเหล่านั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย แต่พวกเขาคงไม่คาดว่าอาวุธเหล่านั้นกลับพุ่งลงไปบนโต๊ะที่ซือเย่วนั่งอยู่ ความแรงของมันมากพอจะทำให้อาหารตรงหน้าของนางกระจัดกระจายไปจนไม่เหลือดี

    โต๊ะอาหารที่เละเทะทำเอาซือเย่วนั่งนิ่งสีหน้าเรียบเฉยยากจะคาดเดาอารมณ์ ตะเกียบคู่นั้นยังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ มุมปากเริ่มกระตุกน้อยๆ  บรรดาแขกภายในร้านที่ต่างก็พากันลุกหนีสถานการณ์คุกรุ่นไม่รู้เลยว่าควรจะสนใจผู้ใดก่อนดีระหว่างหัวหน้าพรรคทั้งสองที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันวุ่นวาย หรือบุรุษรูปงามที่ถูกรบกวนความสุขโดยไม่ได้ตั้งใจ

    “จะตีกันจะเถียงกันอย่างไรข้าไม่ว่า แต่บังอาจมาทำลายความสุขของข้าเช่นนี้คงอยากได้เลือดกันบ้างล่ะสินะ”

    ซือเย่วจงใจเอ่ยให้พวกนั้นได้ยินชัดๆหากแต่ความวุ่นวายที่เกิดระหว่างสองพรรคกลับยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความตกใจของผู้คนในหอลี่จวี๋ บรรยากาศรอบข้างเริ่มคุกรุ่นรุนแรงขึ้นเรื่อยและไม่มีทีท่าจะหยุด นางรู้สึกหงุดหงิดมาตั้งแต่ที่พวกเขาส่งเสียงรบกวนการฟังดนตรีอันแสนไพเราะของนางแล้ว ยิ่งถูกกระทำโดยไร้คำขอโทษเช่นนี้โทสะที่มีอยู่แต่เดิมก็ยิ่งทบเท่าทวีคูณ

    จริงๆนางก็ไม่อยากใช้วิชายุทธ์ที่นางแอบลักลอบบิดามารดาฝึกอย่างเงียบๆมาหลายปีที่นี่ แต่ถ้าไม่ได้สั่งสอนคนพวกนี้ให้หลาบจำเสียบ้างนางก็คงไม่หายหงุดหงิดแน่ แล้วจะได้รู้กันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเหล่าคนบ้าอำนาจยังมีหลิวซือเย่วคนนี้อยู่

    พลันนั้นร่างบอบบางก็ลุกขึ้นก่อนจะตวัดหน้าไปมองคนเริ่มเรื่องอย่างถังซื่อกุ่ยด้วยแววตาไม่พอใจอย่างที่สุด

    “เจ้าแล้วก็เจ้า!!” ซือเย่วชี้หน้าของซือกุ่ยและรุ่ยหานอย่างเจาะจง ทั้งสองพรรคหยุดห่ำหั่นกันครู่หนึ่งพร้อมกับก้มลงมองว่าเป็นเสียงของผู้ใด ก่อนนางจะว่าขึ้นใหม่ “เลิกทำตัวยิ่งใหญ่คับฟ้าแล้วสั่งอาหารชุดเดิมมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ อ้อ แล้วก็รับผิดชอบค่าอาหารทั้งหมดให้ทุกคนที่นี่เพื่อชดเชยความผิดเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม!

    รอบตัวพลันเงียบกริบราวกับป่าช้า แม้แต่ต้าเจิงที่ไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบกายมาตั้งแต่แรกยังต้องหันมามองนางด้วยความสนใจพร้อมกับนึกในใจว่า

    แม่นางผู้นี้ขวัญกล้าไม่เบา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×