ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [จบแล้ว/มี E-BOOK] ฮองเฮาตัวร้าย จอมใจจักรพรรดิ

    ลำดับตอนที่ #4 : คุณธรรมข้อ 3 : แค้นอายนี้ต้องชำระ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.65K
      363
      5 ก.พ. 64


    เฮอะ! ไอ้หนุ่มหน้าหวาน ช่างไม่เจียมเอาเสียเลยนะ รูปร่างบอบบางอย่างเจ้าน่ะรึจะจัดการพวกข้าให้สาสม คำคุยสิไม่ว่า” จบคำของซือกุ่ยทั้งสองพรรคก็พากันหัวเราะครืนส่งเสียงเอ็ดอึงไปทั่วบริเวณ

    ยัง พวกมันยังไม่สำนึก ต้องให้นางจับทุ่มลงกับพื้นให้ได้เสียก่อนใช่หรือไม่ ซือเย่วกำหมัดแน่น ไยบุรุษจึงได้ชอบดูถูกคนที่ดูบอบบางกว่านัก

    “ดี ดี ในเมื่อข้าพูดดีดีแล้วพวกเจ้ากลับไม่สำนึก เช่นนั้นก็เตรียมรับมือ”

    จบคำนางก็ไม่ปล่อยให้พวกมันได้เตรียมตัว ถีบตัวขึ้นกลางอากาศก่อนจะกระโดดขึ้นไปชั้นสองฝั่งของพรรควานรเหินนภา จัดการกระชากคอเสื้อของถังซือกุ่ยขึ้นแล้วจับเขาโยนลงไปที่ชั้นล่าง จากนั้นก็พุ่งไปอีกฝั่งทำเช่นเดียวกันกับรุ่ยหานจนตอนนี้พวกเขาทั้งสองนอนพังพาบเผชิญหน้ากันอย่างไม่ทันตั้งตัว

    “เฮ้ย!!” ทั้งสองอุทานขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะผงะออกจากกันดูน่าขบขัน บรรยากาศรอบข้างพลันลดความตึงเครียดลง

    ครู่ต่อมาซือเย่วก็กระโดดลงมาจากชั้นสองด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่ง บรรดาสาวงามต่างก็พากันจ้องมองไปที่นางกันตาไม่กระพริบ

    “หากจะทะเลาะกันไยต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พวกเจ้าทั้งสองมีปัญหากันก็จัดการตกลงกันแค่สองคนไปสิ ผู้อื่นไม่ได้มาร่วมรับรู้ปัญหากับพวกเจ้าด้วยเสียหน่อย เอ้า ข้าให้โอกาสอีกที ว่ามา จะรับผิดชอบเรื่องของข้าอย่างไร”

    ซือเย่วยืนกอดอกมองทั้งสองรอคอยคำตอบ แขกคนอื่นๆบ้างก็นึกชื่นชมนางอยู่ในใจ บ้างก็ซุบซิบพูดคุยกันว่านางเป็นบุตรชายตระกูลใดจึงได้อาจหาญต่อกรกับหัวหน้าพรรคมีชื่อของเมืองถงเซียงได้

    พลันนั้นนายหญิงใหญ่แห่งหอลี่จวี๋อันเลื่องชื่อก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาดูสถานการณ์หลังจากได้รับคำรายงานจากเสี่ยวเอ้อคนสนิท ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอานางหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก

    “โธ่...นายท่านทั้งสาม หยุดทะเลาะกันเถิดนะเจ้าคะ เห็นหรือไม่ว่าแขกของข้าตกใจกันหมดแล้ว พวกท่านทำเช่นนี้ข้าเดือดร้อนนะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่อ้อนวอนน้ำตารื้น อุตส่าห์คิดว่าวันนี้ลูกค้ามากมายนักคงจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

    “อ๊ะๆ ข้าไม่ได้เริ่มเสียหน่อย เขาต่างหากที่เป็นเจ้าของอาวุธพวกนั้น เช่นนั้นเจ้าก็ไปทวงกับเขาก็แล้วกัน” ซือกุ่ยบุ้ยบ้ายความผิดทั้งหมดไปที่รุ่ยหาน

    “อ้าวๆ เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าซัดอาวุธไปหาเจ้าก็จริง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ปัดมันไปทางคุณชายท่านนี้!

    “หยุด!” ซือเย่วโกรธจนควันออกหู ไยสองคนนี้จึงได้ดื้อด้านไม่ยอมรับผิดกันเช่นนี้นะ “ได้ ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันที่จะไม่รับผิดชอบเช่นนั้นแม่นางท่านมาหาข้าตรงนี้หน่อยเถิด”

    คนที่ถูกเอ่ยถึงชี้นิ้วเข้าหาตนเองเชิงถาม ซือเย่วพยักหน้ายืนยันว่าใช่นางจึงเดินเข้าไปหา ครู่ต่อมาซือเย่วก็จับมืออีกฝ่ายขึ้นมาแบไว้จากนั้นก็ล้วงถุงเงินสองถุงใหญ่ออกมาวางใส่มือนาง

    ซือกุ่ยและรุ่ยหานที่ยืนมองอยู่พลันตาโตเมื่อเห็นแล้วว่าถุงเงินทั้งสองถุงนั่นเป็นของผู้ใด “นั่นมันของข้า เจ้า! เอาไปตั้งแต่เมื่อใดกัน!!

    ผู้คนที่ดูเหตุการณ์มาตั้งแต่แรกส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา

    “คราแรกก็กะจะให้พวกเจ้ายอมรับผิดแล้วเอ่ยปากว่าจะรับผิดชอบจึงจะคืนให้ แต่ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างที่ข้าคิดเช่นนั้นข้าก็คงต้องถือวิสาสะ” ซือเย่วหันไปหานายหญิงใหญ่ก่อนจะสั่งว่า “ค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ล้วงออกไปได้เลย ที่เหลือค่อยเอาไปคืนเจ้าตัวเสีย หากพวกเขามีปัญหาอีกเจ้าไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าหลี่ได้ทุกเมื่อ พวกข้าและแขกคนอื่นๆพร้อมจะเป็นพยานให้เจ้า”

    จบคำของซือเย่วทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย เรื่องครั้งนี้ทั้งสองพรรคผิดเต็มๆ การชดเชยค่าเสียหายให้เจ้าของสถานที่ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร อีกอย่างคนที่นี่ล้วนรู้จักอุปนิสัยของหัวหน้าพรรคทั้งสองคนนี้เป็นอย่างดี

    “หนอย...เจ้าเด็กเมื่อวานซืน กล้าทำให้พวกข้าขายหน้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คงอยากเจ็บตัวล่ะสินะ ได้! ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งเองว่าการมาลบหลู่ผู้อื่นเช่นนี้จะได้ผลเช่นไร!!

    จากนั้นพวกเขาก็กระโจนใส่นางด้วยความเดือดดาล สีหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธอย่างที่สุด ค่าเสียหายไม่ใช่ปัญหาแต่เรื่องเสียหน้าหัวหน้าพรรคผู้ยิ่งใหญ่ยอมไม่ได้จริงๆ และไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซือกุ่ยและรุ่ยหานร่วมแรงร่วมใจกันเล่นงานบุรุษรูปร่างอ้อนแอ้นเพียงคนเดียว

    ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เป็นห่วงเกรงว่านางจะถูกรุมทำร้าย บ้างก็หยิบของใกล้มือหมายจะนำมาเป็นอาวุธช่วยเหลือ บ้างก็ให้คนไปตามเจ้าหน้าที่ทางการมาห้ามปราม

    แต่ผู้ใดจะไปคาดว่าเจ้าหนุ่มหน้าหวานรูปร่างอ้อนแอ้นกลับรับมือบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองได้อย่างง่ายดาย นางไม่เพียงรับมือได้ทุกกระบวนท่าแต่ยังสวนกลับได้อย่างหนักหน่วง

    ทั้งๆที่ทั้งสามไม่มีอาวุธในมือเพราะกฎของที่นี่คือห้ามพกอาวุธเข้ามาด้วย ทั้งสามจึงสามารถใช้ได้เพียงแขนขาและฝ่ามือ แต่ซือเย่วกลับทั้งตั้งรับและโต้กลับได้ทุกกระบวนท่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงหัวหน้าพรรคอย่างซือกุ่ยและรุ่ยหานทั้งเจ็บทั้งอาย เรื่องเช่นนี้รู้ไปถึงที่ใดก็อายไปถึงที่นั่น หากพวกเขาแพ้วันนี้คงไม่มีคนมาขอเป็นศิษย์อีกแน่ๆ

    บัดซบยิ่งนัก!!

    ต้าเจิงฮ่องเต้ที่นั่งมองนางอยู่ตลอดเผลอยกยิ้มที่มุมปากไม่รู้ตัว ส่วนต้าเหลียนนั้นหาได้สนใจสิ่งใดไปมากกว่าหญิงงามตัวต้นเรื่องทั้งหมดอย่างอวี้ซิน ท่าทีหวาดกลัวของนางทำเอาอ๋องหนุ่มใจละลายเหลวเป็นขี้ผึ้ง มารยาของอวี้ซินนับได้ว่าเป็นหนึ่งในหอลี่จวี๋นี้ ไม่มีบุรุษคนใดที่อยู่ใกล้นางแล้วจะไม่หลงใหล

    แต่ทำไมจึงใช้กับบุรุษรูปงามผู้นั้นไม่ได้ผลเล่า!!

    “ท่านพี่ ในนี้อันตรายนัก เราออกไปกันเถิด” ต้าเหลียนว่าขณะที่ยังโอบกอดอวี้ซินเอาไว้อย่างปกป้อง

    ต้าเจิงปรายตามามองน้องชายไม่ได้เรื่องของตนครู่หนึ่งก่อนจะมองอวี้ซินแล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ เอาตัวต้นเหตุนั่นไปด้วย แล้วสั่งสอนนางด้วยว่าเลิกใช้มารยาทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้แล้ว”

    พริบตาเดียวใบหน้าขาวลออของอวี้ซินก็แดงก่ำ ร่างบอบบางชาดิก ไม่เคยมีบุรุษคนใดด่านางต่อหน้าเช่นนี้มาก่อนเลยเมื่อถูกตำหนิตรงๆเช่นนี้นางจึงรับไม่ได้และรู้สึกโกรธจนร่ำไห้ออกมา สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวลุกหนีไปดื้อๆ

    ส่วนต้าเหลียนมีหรือจะปล่อยหยกงามหลุดลอยไปง่ายๆ ร่างสูงจึงลุกตามนางไปอย่างรวดเร็วหวังสานต่อสัมพันธ์กับนางอีกครั้งหนึ่ง ปล่อยให้พี่ชายผู้แปลกประหลาดของตนนั่งชมเรื่องสนุกๆตรงหน้าต่อไป

    ยามนี้สภาพของซือกุ่ยและรุ่ยหานทั้งสะบักสะบอมร่างกายบอบช้ำและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ในขณะที่ซือเย่วกลับยังดูดีทุกกระเบียดนิ้ว บรรดาลูกศิษย์ในพรรคคนอื่นๆเริ่มหน้าเสียไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้พากันวิ่งกรูลงมาดูแลหัวหน้าพรรคตนเองอย่างทุลักทุเล

    “เรื่องอาหารของข้าข้าจะไม่ถือสาก็ได้ แต่อย่างน้อยๆเจ้าต้องเอ่ยคำว่าขอโทษทุกคนที่นี่เสีย” ซือเย่วว่าสีหน้าจริงจัง นางเกลียดคนที่ทำผิดแต่ไม่รับผิด ฉะนั้นนางจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเด็ดขาด “เอ้า ว่าอย่างไรเล่าหัวหน้าพรรคทั้งสองจะขอโทษทุกคนในที่นี้ดีๆหรือไม่”

    ทั้งซือกุ่ยและรุ่ยหานกัดฟันกรอด เก็บความแค้นและอับอายครั้งนี้เอาไว้ในใจ แม้จะอยากจัดการคนตรงหน้าใจจะขาดแต่เพราะสู้ไม่ไหวจำใจต้องค้อมศีรษะลงอย่างเสียมิได้ ทว่าถึงกระนั้นก็ยังไม่มีถ้อยคำขอโทษเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของพวกเขาแม้สักนิด ซ้ำแล้วทั้งสองพรรคยังสะบัดกายจากไปด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นไม่จางหาย

    “คุณชาย ท่านทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ พวกเขาทั้งสองมิใช่คนจะยอมความง่ายๆอย่างที่ท่านคิดหรอกนะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่แห่งหอลี่จวี๋บอกนางด้วยความเป็นห่วงและหวังดี

    “แม่นาง เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะเจ้าก็คงเห็นว่าข้าก็พอมีฝีมือพอตัวอยู่ แต่ข้าอยากจะแนะนำให้ท่านจ้างคนมีฝีมือดีๆไว้ใช้งานบ้าง หากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกจะได้พอห้ามคนจองหองพวกนั้นได้ ถุงเงินนั่นหลังจากหักค่าเสียหายทั้งหมดท่านก็เก็บเอาไว้ก่อน วันหน้าค่อยคืนพวกเขาไปก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คงจะกลับมาใช้บริการที่นี่อีกแน่นอน วันนี้ข้าคงไม่มีอารมณ์จะทานอาหารต่อแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

    จบคำซือเย่วก็ยื่นถุงเงินให้นางพร้อมกับจากไปโดยมีต้าเจิงฮ่องเต้มองตามหลังอย่างไม่ละสายตา จากนั้นเพียงพริบตาเดียวภาพของบุรุษรูปงามเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เคยนั่งชมดนตรีที่โต๊ะข้างๆกันก็หายวับไปโยไม่มีผู้ใดทันสังเกต

     

    บรรยากาศครึกครื้นของเมืองถงเซียงยังคงดำเนินต่อไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันด้านนอกเมืองกลับเงียบสงัดวังเวงไม่ต่างกับป่าช้า

    หากเป็นผู้อื่นคงจะเลี่ยงที่จะออกมาเดินเพ่นพ่านในยามนี้แต่สำหรับซือเย่วนางกลับไม่รู้สึกรู้สา เคล็ดวิชาต่างๆที่นางพร่ำฝึกฝนตามลำพังในยามค่ำคืนมิใช่ด้อย ถึงนางจะเสียตำราทั้งหมดให้กับบุรุษโฉดชั่วอย่างหยางจิวหลางหัวหน้าพรรคมารโฉดชั่วผู้นั้นไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่มีวันรู้ก็คือความลับบางอย่างที่จะสามารถใช้เคล็ดวิชาเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ที่สุดและทรงพลังอย่างที่สุด อย่างมากพวกเขาก็อาจจะฝึกได้สำเร็จแต่ก็ยังเป็นรองนางที่เป็นเจ้าของตำราที่สืบทอดมาจากมารดาโดยตรงอยู่ดี

    ในขณะที่นางทอดน่องเดินผ่านความมืดมิดในคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์นวลอย่างสบายอารมณ์ มือข้างหนึ่งกระพือพัดลายเรียบๆไปมา รอบกายมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมเป็นระยะๆชวนให้จิตใจสงบยิ่ง

    “ออกมา อย่าทำตนราวกับสุนัขลอบกัด ข้าไม่ชอบ” จู่ๆนางก็เอ่ยแทรกความวังเวงรอบกายขึ้นมา

    พลันนั้นก็ปรากฏร่างสูงของบุรุษหลายสิบคน ข้างๆคนที่ดูน่ากลัวที่สุดจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้เลยนอกจากคู่ปรับหมาดๆของนางอย่างรุ่ยหาน ดูจากการแต่งกายที่เครื่องหมายคงจะเป็นคนจากอีกพรรคกระมัง หากให้เดาพวกเขาคงเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งสองพรรคแตกต่างกันก็คือกลิ่นอายสังหารที่มากมายจนนางรับรู้ได้ คนพวกนี้ไม่ธรรมดาผิดกับหัวหน้าพรรคกระจอกนั่นหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

    “เจ้าหนุ่มนี่น่ะหรือที่เอาชนะเจ้าได้ นี่มันเรื่องตลกร้ายอันใดกัน” ฉางมู่กังยืนกอดอกจ้องมองซือเย่วสีหน้าเย้ยหยันเต็มที่

    “ท่านพี่อย่าได้ดูถูกมันทีเดียว ฝีมือมันร้ายกาจนักขอรับ”

    “เฮอะ รูปร่างอ้อนแอ้นปานสตรีในห้องหอไม่คณามือข้าหรอก”

    “ขอโทษด้วยพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกเจ้ายังมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ” นางแสร้งหันไปหารุ่ยหานก่อนจะแสร้งทำตาโตคล้ายนึกอันใดออก ก่อนจะว่า “อ้อ หรือว่าเจ้าจะมาทวงถุงเงินคืนมันไม่ได้อยู่กับข้าหรอกนะ เจ้ามาตามผิดคนแล้วล่ะ”

    แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันไม่ได้คิดจะมาทวงถุงเงินอันใดนั้นเลยสักนิด แต่นางก็ทำเสแสร้งว่าไม่รู้เรื่องอันใดไปก่อน ระหว่างเอ่ยซือเย่วลอบมองไปรอบๆเพื่อนับจำนวนคู่ต่อสู้เท่าที่พอจะนับได้ เท่าที่เห็นก็ราวๆสามสิบหรืออาจจะมากกว่านั้น อาวุธใดนางก็ไม่ได้พกติดกายมาเสียด้วย จำนวนมากขนาดนี้คงตึงมือนัก อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆซ้ำยังมาผู้เดียว อย่างนั้นก็จัดการลงไปกองกับพื้นสักยี่สิบแล้วค่อยเผ่นกำลังดี

    “ถุงเงินนั่นมันก็แค่เศษเงินของข้า ข้าจะถือว่าจ่ายให้นายหญิงใหญ่ไปเพื่อชดเชยค่าเสียหาย แต่กับเจ้าข้าต้องคิดบัญชีให้สาสมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นใจข้าคงสงบไม่ได้แน่!” จบคำพวกมันก็พากันสาวเท้าเข้าหานางหนึ่งก้าว

    ซือเย่วใช้พัดในมือชี้หน้าอีกฝ่ายยิกๆ “อ๊ะ! นี่ๆ พวกท่านทำเกินไปหรือไม่ ข้าคนเดียวจะรับมือพวกท่านทั้งหมดได้หรือ เอาเปรียบกันเกินไปแล้ว”

    “ข้าไม่สน ท่านพี่มู่ทำให้มันได้รู้ว่าพรรคอินทรีทองของท่านเก่งกาจเพียงไร!

    “ได้! อยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี จัดการมัน!!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×