ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) AWAKE & ALIVE.

    ลำดับตอนที่ #24 : 22 CHANGE | On Rainy day (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      4
      29 พ.ย. 56

    DEAD,ALIVE or UNDEAD ?

    JUST CHOOSE

    22 | ในวันที่ฝนพรำ












    *ได้โปรดอย่ารำคาญเสียงฝนตก





             ว่ากันว่า ช่วงเวลาที่เศร้าและเจ็บปวดที่สุด คือ ช่วงเวลาที่เราจะจดจำมันได้ดีที่สุด อาจจะเลือนราง แต่เรามักจำฝังใจและไม่มีวันลืม

     

     

    เรื่องมันเริ่มต้นจากวันนั้น วันที่ฝนตกหนักมากกว่าวันไหน ๆ

     

     

    “โอ๊ย ! โอ๊ย !

     

    “นี่ ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ยเจ้าพวกบ้า !

     

    “เฮ้ย ! ไอ้แบคนี่นา รีบเผ่นเร็ว !

     

    “คิดว่าจะหนีรึไงไอ้เจ้าพวกหมาหมู่ ! อย่าให้ฉันเห็นหน้าพวกแกอีกนะ !

     

    ผมกำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ไปซื้อของให้แม่ที่ตลาดท้ายซอยเสร็จ แล้วอยู่ดี ๆ ฝนก็ตกลงมา. . .โชคดีมากแค่ไหนแล้วที่ป้าจีซูให้ยืมร่ม ไม่อย่างนั้นผมอาจจะต้องเดินตากฝน แล้วเอาของที่แม่ฝากซื้อยัดใส่เข้าไปในเสื้อเพื่อไม่ให้มันเปียกก็ได้

     

    แต่ระหว่างทางในขณะที่ผมกำลังเดินกลับบ้าน ผมเห็นไอ้เจ้าพวกเด็กเกเรมันกำลังรุมเตะใครซักคนอยู่ ท่ามกลางสายฝนเลยล่ะ. . .

    แน่นอน ผมทนมองไม่ได้หรอก คนที่เสียเปรียบและไร้ทางสู้น่ะ ผมตะโกนพร้อมกับชี้นิ้วใส่พวกมัน ก่อนที่จะวิ่งเข้าไป

    แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไหวตัวทัน วิ่งหางจุกตูดกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว

     

    มันเรียกผมว่า ไอ้แบคก็ชื่อเต็ม ๆ ของผมคือ แบคฮยอนนี่นา ไม่ต้องถามเลยว่าผมกับพวกมันเคยมีเรื่องกันรึเปล่า ซึ่งแน่นอน ผมกับพวกมันเคยตะลุมบอนกัน ! และผมก็เป็นฝ่ายชนะ ! นั่นทำให้พวกมันกลัวผมแล้ววิ่งหางจุกตูดกลับบ้านไปเลย

     

    “นี่นาย ! เป็นอะไรรึเปล่า ?”

    ผมวิ่งถลาเข้าไปใกล้คนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ผมจัดการวางถุงที่ใส่ของของแม่ไว้ข้าง ๆ มืออีกข้างหนึ่งที่ร่ม ส่วนมืออีกข้างก็จัดการพลิกร่างของเขาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ตัวของเขามันเปียกน้ำฝนแถมยังเลอะเศษดินเศษทรายเต็มไปหมด

     

    “อือ. . .คิดว่ายังไหวนะ. . .”

    เขาคนนั้นปรือตา เอ่ยตอบพลางฉีกยิ้มแห้ง ๆ ผมสังเกตเห็นรอยแผลฟกช้ำเต็มตัวของเขาไปหมด แถมตายังเขียวช้ำอีกต่างหาก. . .

    ท่าทางจะโดนจัดหนัก

     

    “นายไปทำอะไรให้พวกมันไม่พอใจน่ะ”

    ผมพูดพร้อม ๆ กับจับหมอนั่นมาพยุงไว้ จัดการเอาแขนช้ำ ๆ ของเขามาพาดไหล่ มืออีกข้างเอื้อมไปจับบ่า แล้วพาเขาเดินกะเผก ๆ ท่ามกลางสายฝนไปด้วยกัน

     

    ฝนยังคงตกอยู่เรื่อยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รองเท้าผ้าใบคู่โปรดของผมก็เปียกน้ำฝนเป็นที่เรียบร้อย

    เซ็งชะมัด. . .

     

    “ฉันไปซื้อไอติม แล้วไอติมที่ฉันซื้อเป็นแท่งสุดท้ายพอดี พอไอ้เจ้าพวกนั้นมาไอติมมันก็หมดไปแล้ว เพราะงั้นพวกมันเลยรุมกระทืบฉัน”

    หมอนั่นตอบเบาซะจนเสียงฝนแทบจะกลบไปเลย เขาดูอ่อนแอจริง ๆ ไม่แปลกเลยที่เขาจะโดนเจ้าพวกนั้นเล่นซะน่วมขนาดนี้

     

    “นี่ ! นายชื่ออะไร ? แล้วบ้านนายอยู่ที่ไหน ?”

    ผมเอ่ยถามพร้อม ๆ กับเขย่าเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน พอชำเลืองไปมองอีกทีเขาก็ดูเหมือนจะสลบไปซะแล้ว

     

    อ่อนแอจริงๆเลย !

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมจัดการพาเขากลับมาที่โบสถ์. . .หรือที่ ๆ เรียกว่าเป็นบ้านของผมนั่นแหละ ที่บ้านหลังนี้เรามีกันหลายคน อาจจะประมาณ 15 ได้มั้ง ? ถ้าไม่นับรวมผม กับแม่ แล้วก็หลวงพ่อน่ะนะ

    ที่ ๆ นี่จัดว่าเป็นบ้านตั้งแต่ที่ผมจำความได้ ผมเติบโตขึ้นมาจนอายุ 12 ปีได้ก็เพราะแม่ กับหลวงพ่อ ความจริงแม่ก็เป็นแม่ของน้อง ๆ คนอื่นอีก 14 คน

    พวกเราไม่มีพ่อ ไม่มีแม่แท้ ๆ ของตัวเอง บางคนเคยเห็นหน้าพวกเขา แต่บางคนก็ไม่เคยเลยแม้แต่จะรู้จักชื่อ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในกรณีหลัง

    มันฟังแล้วอาจดูหน้าเศร้า แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขกับตัวเองในตอนนี้ เติบโตอย่างเข้มแข็งและปกป้องแม่แล้วก็น้อง ๆ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมทำได้

     

    “อ้าว พาใครมาน่ะแบคฮยอน !

    ทันทีที่ถึงหอพักขนาดเล็ก ๆ หลังโบสถ์ผมก็จัดการวางร่มลง แล้วพยุงเขาเข้ามาในหอพัก คุณแม่ที่กำลังเดินออกมารับของจากผมเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

     

    “เด็กที่ไหนไม่รู้เหมือนกันครับแม่ เขาโดนเจ้าพวกซังวอนรุมกระทืบน่ะ”

    “พวกซังวอนอีกแล้วหรอ. . .ไม่รู้จักบาปกรรมเลยนะเด็กพวกนี้”

    คุณแม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พร้อม ๆกับรับของในมือของผมไป

    “พาเด็กคนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะแบคฮยอน เธอก็ด้วย เดี๋ยวได้เป็นหวัดกันพอดี”

    “ครับ”

    ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะจัดการพยุงเขาไปที่ห้องของผม ห้องที่อยู่ริมสุดทางทิศตะวันออก

     

    หอพักหลังโบสถ์มีห้องพักเล็ก ๆ อยู่ประมาณ 6 ห้องมันเป็นหอพักที่มีเพียงแค่ 1 ชั้นเท่านั้น แต่แค่นี้ก็หรูพอสำหรับเด็กเร่ร่อนไร้ที่อยู่อย่างพวกผมแล้วล่ะ

    “. . .”

    ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง แล้ววางเขาให้นั่งพิงที่ข้างขอบเตียงไม้เก่า ๆ ผมพักอยู่ในห้อง ๆ นี้คนเดียวเพราะห้องนี้มันแคบกว่าห้องอื่น ๆ แถมหลวงพ่อบอกว่าผมจะโตเป็นหนุ่มแล้วควรจะมีห้องส่วนตัวกับเขาบ้าง

    แต่บางวันแทมุนก็จะมาขอนอนด้วย

     

    ผมจัดการรื้อเสื้อผ้าในตู้ออกมาเพื่อที่จะเอาชุดให้เขาเปลี่ยนและดูเหมือนว่าผมกับเขาจะตัวเท่า ๆ กันเลยแฮะ. . .

     

    “อือ. . .”

    ผมหันขวับไปมองที่ข้างเตียงเมื่อได้ยินเสียงอื้ออึงดังมา ดูเหมือนว่าเขาจะได้สติแล้วหลังจากที่สลบเหมือดไป. . .

     

    “นายได้สติดีแล้วหรอ ?”

    “. . .นาย ?”

    เขาปรือตาเล็กน้อย ก่อนที่จะชี้มาที่ผมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง คิ้วของผมขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะโยนเสื้อผ้าของตัวเองกับผ้าเช็ดตัวใส่เขา

    “เอ้า ! เอาไปซะ,นายไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วก็เปลี่ยนมาใส่ชุดนี่ซะนะ ห้องน้ำก็ประตูนี้เลย”

    พร้อม ๆ กับชี้ไปที่ประตูที่อยู่ข้าง ๆ ตู้เสื้อผ้าที่ผมยืนอยู่

     

    “. . .”

    เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก พยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินมึน ๆ เขาห้องน้ำไปอย่างเงียบ ๆ

    ผมหวังว่าเขาคงจะไม่ตกส้วมตายหรอกนะ ! เห้อออออออออออ !

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากที่เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ดูเหมือนว่าชุดของผมจะพอดีกับตัวเขาเลยล่ะ ผมพาเขาไปหาคุณแม่ที่ห้องครัว เพราะนี่ก็เป็นเวลาที่จะต้องเตรียมข้าวเย็นให้กับน้อง ๆ แล้ว. . .

     

    “แม่ ! มีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ยครับ ?”

    ผมเดินเข้าไปในครัว พร้อม ๆ กับเขา แล้วเอ่ยถามคุณแม่ที่ยืนหันหลังให้กับพวกเราอยู่

    “มา ๆ แบคฮยอนช่วยแม่ล้างผักหน่อย. . .อ้าว ! ได้สติดีแล้วหรอหนูน้อย ?”

    คุณแม่พูดพร้อม ๆ กับหันหน้ากลับมามองผม แต่แล้วท่านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเขายืนอยู่ข้าง ๆ ผม ท่านมีแววตาที่ดูสนอกสนใจเขาเป็นพิเศษ

     

    “. . .ครับ”

    ให้ตายสิหมอนี่ ! ไม่คิดจะพูดอะไรนอกจากครับเลยรึไง ?

     

    “มา ๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เข้ามาก่อนมาช่วยแม่ทำกับข้าว แล้วเย็นนี้อยู่ทานข้าวกันก่อนนะแล้วค่อยกลับบ้าน”

    คุณแม่ยิ้มร่าพร้อม ๆ กับเดินเข้ามาโอบไหล่เขาอย่างอบอุ่น พูดพร้อมรอยยิ้มที่ปนใบหน้า ผมสังเกตเห็นเขาอมยิ้มเขินนิด ๆ แต่สีหน้ากลับดูสลดลงเมื่อได้ยินประโยคที่คุณแม่ชวนทานข้าว

    อะไรของหมอนั่น ?

    ผมทิ้งคำถามไว้ตรงนั้น แล้วเดินแยกออกมาล้างผักที่อ่างล้างจาน ถึงแม้ว่าสายตาจะยังจดจ่อกับผักใบเขียวที่ล้างอยู่ตรงหน้า แต่หูของผมกับไปอยู่ที่ประโยคสนทนาของแม่กับหมอนั่นซะงั้น

     

    “หนูชื่ออะไรหรอจ๊ะ ?”

    “ค. . .คยองซูครับ โดคยองซู”

     

    อ๋อ ชื่อคยองซูงั้นสินะ ?

     

    “แล้วบ้านหนูอยู่ที่ไหนงั้นหรอจ๊ะ ?”

    “. . .”

    “ผม. . .ไม่มีบ้านอยู่ครับ”

    “อ. . .เอ๋”

     

    เฮ้ย. . .หมายความว่าไง

    และความเงียบก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา

     

    “ไม่เป็นไรนะ. . .ที่นี่แหละคือบ้านของเธอ”

    “. . .”

    “โอเคมั้ย ?”

     

    ผมรู้สึกเหมือนดราม่ากำลังจะบังเกิดขึ้น แต่แล้วสมาธิของผมก็กลับมาอยู่ที่การล้างผักอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้มาผักมันเริ่มจะช้ำแล้ว

    ให้ตายเถอะแบคฮยอน ! นี่นาย ต้องโดนคุณแม่บ่นแน่ ๆ

     

    ผมรีบเอาผักที่เกือบจะช้ำเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองวางไว้บนจาน ก่อนที่จะเดินไปหาคุณแม่ที่กำลังเตรียมกระทะอยู่พร้อมกับคยองซู

     

    “แบคฮยอน แม่ลืมไปว่าตากผ้าทิ้งไว้ ช่วยไปเก็บผ้าให้แม่ที่นะ พาคยองซูไปด้วย”

    “คร้าบ”

    ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะสะกิดคยองซูที่ยืนหน้านิ่งให้เดิมตามมา

    เราสองคนเดินไปที่หลังห้องพัก ตรงลานกว้างที่มีหลังคา ฝนยกคงตกอยู่ แต่เพราะคุณแม่ตากผ้าไว้ในร่มทำให้มันแห้ง. . .

     

    “นี่นายชื่อคยองซูสินะ ?”

    “ฮื่อ. . .”

    “ฉันแบคฮยอน ยินดีที่ได้รู้จัก”

    ผมพูดพร้อม ๆ กับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง คยองซูพยักหน้ารับเงียบ ๆ เขาไม่พูดอะไรเลยซักคำ และดูเหมือนเขาจะใส่ใจกับการเก็บผ้าที่พาดอยู่บนราวตากท่าเดียว

    หนอยแหน่ะ. . .

     

              “นายอายุเท่าไหร่น่ะ ?”

    12

    “งั้นเราสองคนก็อายุเท่ากัน”

    “. . .”

    “นี่”

    “ฮื่อ”

    “นายไม่คิดจะพูดอะไรเลยงั้นรึไง ?”

    “. . .”

    “. . .”

    “ขอบคุณที่ช่วยฉันนะ”

     

    และนี่ก็เป็นประโยคแรกที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาบ้าง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราสองคนเก็บผ้าเสร็จแล้วก็เดินมาที่ห้องครัวอีกครั้ง คราวนี้น้อง ๆ ก็นั่งเรียงรายกันเต็มโต๊ะและกำลังรอให้คุณแม่ยกจานอาหารมาวาง ผมกับคยองซูเดินเข้ามา ทุก ๆ คนให้ความสนใจกับคยองซูมาก ผมแนะนำคยองซูให้น้อง ๆ ได้รู้จักรวมถึงหลวงพ่อด้วย

    ผมไม่รู้ว่าเขามาจากไหน เพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรเลยซักอย่างหลังจากที่ขอบคุณผม

    เป็นคนที่เงียบจริง ๆ เงียบซะจนผมคิดว่าเป็นใบ้. . .

     

    พวกเรานั่งกินข้าวกันเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา จะมีก็แต่คยองซูเท่านั้นแหละที่เป็นสิ่งแปลกใหม่ น้องๆต่างให้ความสนใจแถมยังตักกับข้าวใส่จานคยองซูกันใหญ่. . .มันน่าหมั่นไส้ชะมัดยากเลย

    คยองซูพูดขอบคุณเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเขิน ๆ นั่นทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะโอเคกับที่นี่

     

    เขาไม่มีบ้าน ไม่มีที่ไป พ่อกับแม่เป็นใครก็ไม่รู้อีกต่างหาก

     

    หลังจากทานข้าวเย็นและเก็บจานไปล้างเรียบร้อย หลวงพ่อก็เรียกผมกับคยองซูไปหาท่านที่ห้องสมุด

     

    “มีอะไรรึเปล่าครับหลวงพ่อ”

    ผมเปิดประตูห้องเข้าไป ก่อนที่จะเห็นว่าคุณพ่อนั่งรอพวกเราอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว

    “มานั่งนี่มาทั้งสองคน”

    หลวงพ่อกวักมือเรียกพร้อม ๆ กับชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ไม้สองตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเก้าอี้ตัวที่ท่านนั่ง ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินนำคยองซูมา ทิ้งตัวลงนั่งอย่างสบาย ๆ พร้อมกับคยองซูที่ดูเหมือนจะยังดูเกร็ง ๆ

     

    “จะเป็นอะไรมั้ยถ้าพ่ออยากจะให้เธอเล่าเรื่องของเธอเองให้พอฟัง”

    หลวงพ่อเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงใจดีกับคยองซูที่นั่งนิ่งอยู่ข้าง ๆ ผมหันขวับไปมองเขา คยองซูเอาแต่ก้มหน้าและเลือกที่จะไม่พูดอะไร

     

    “ถ้าเธอไม่อยากเล่าก็. . .ไม่เป็นไรนะ”

    หลวงพ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อม ๆ กับเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบา ๆ คยองซูค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองหน้าหลวงพ่อด้วยแววตาที่ดูอ่อนลง

    “. . .”

    “เอาเป็นว่า พ่อยินดีให้เธอมาอยู่ที่นี่และเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรานะ เธอโอเคกับมันมั้ย ?”

    “ขอบคุณมากนะครับ”

    คยองซูพูดขอบคุณ หลวงพ่อฉีกยิ้มพร้อม ๆ กับตบบ่าคยองซูอีกสองสามที่แล้วเบือนหน้ามาหาผม

    “งั้นให้คยองซูนอนที่ห้องแบคฮยอนก็แล้วกันนะ ส่วนเรื่องโรงเรียนพ่อจะคุยกับอาจารย์ให้ก็แล้วกัน แบคฮยอนก็ช่วยดูแลคยองซูด้วยนะ”

    “ได้ครับหลวงพ่อ”

    “ขอบใจมาก”

    หลวงพ่อเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าหลวงพ่อขอร้องผม ผมก็ยินดีที่จะทำตามคำขอนั่น มันเล็กน้อยมากกับสิ่งที่หลวงพ่อให้ผมมาตลอดเกือบ 12 ปี

     

     

    ผมกับคยองซูเดินออกมาจากห้องสมุดและกลับไปที่ห้องของผมอีกครั้ง

    “นายนอนบนเตียงก็แล้วกันนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันนอนข้างล่างนี่แหละ”

    “โอเค. . .”

     

    “นี่แบคฮยอน”

    “ว่าไง ?”

    “ฉัน. . .เป็นครอบครัวของที่นี่แล้วใช่มั้ย ?”

    “แน่นอนสิ นายเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา

     

     

    “ข. . .ขอบคุณนะ”

    ประโยคขอบคุณของคยองซูถูกเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเขา ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะตบบ่าคยองซูเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

     

    “ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ทิ้งนาย. . .คยองซู”

     

     

     

    ฝนยังคงเทลงมาไม่หยุดเลย. . .

     

     

    -  - 50% -  -





     

    มันผ่านมาได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว หลังจากที่คยองซูมาอยู่กับพวกเรา

     

    ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย ผมกับคยองซูสนิทกันมากขึ้น และน้อง ๆ ก็รักคยองซู พวกเรามีความสุขดี และถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าคยองซูคือใครกันแน่ แต่มันก็โอเคที่เขาได้อยู่กับพวกเราแบบนี้

    เพราะว่าพวกเรามีอะไรที่เหมือน ๆ กัน มันเลยทำให้ผมเข้าใจดีว่า เขาคงไม่อยากจะนึกย้อนไปถึงอะไรที่มันเลวร้าย

     

    แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่สวยหรูอย่างที่คิด

     

    มันเป็นอีกวันที่ฝนยังคงตก ถึงแม้ว่าจะตกปรอย ๆ ก็ตาม ผม คยองซู และแทมุน ชวนกันไปว่ายน้ำเล่นที่แม่น้ำห่างออกไปจากโบสถ์ประมาณ 500 เมตร

     

    พวกผมว่ายน้ำเล่นกันท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกปรอยๆ ไม่มีอะไรหยุดพวกเราได้หรอกถ้าพวกเราอยากจะเล่นมันจริง ๆ

     

    แต่อยู่ดี ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก หนักมาจนผมรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เม็ดฝนกระทบกับตัวเอง

     

    “รีบขึ้นฝั่งแล้วกลับบ้านกันเถอะ !

    ผมหันไปบอกคยองซูกับแทมุน ก่อนที่จะว่ายน้ำขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว

     

    “เร็ว ๆ สิแทมุน คยองซู”

    ผมตะโกนเรียกแทมุนกับคยองซูที่ยังคงอยู่ในน้ำ 

     

    แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเลยก็เกิดขึ้น อาจเพราะฝนที่ตกหนักมากทำให้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวอย่างไม่ทนได้ตั้งตัว

     

    “แบคฮยอน ! แทมุนเป็นตะคริว !

    คยองซูตะโกนบอกผม เสียงของสายฝนดังมากจนผมได้ยินแทบไม่ถนัด ไหนจะเม็ดฝนที่สาดลงมาอย่างหนักนั่นทำให้ผมมาภาพตรงหน้าอย่างยากลำบาก

     

    “แบคฮยอน !

    “คยองซู ! แทมุน !

    ผมได้ยินเสียงคยองซูดังอยู่ตรงหน้า ผมรีบตะโกนตอบกลับไป และพยายามเพ่งหาคยองซูกับแทมุน

    น้ำในแม่น้ำเริ่มไหลแรงและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

     

    คยองซูให้แทมุนที่ตะคริวกินขาเกาะไหล่ ก่อนที่จะใช้แรงว่ายน้ำฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกราดมาที่ฝั่ง ผมรีบเอื้อมมือไปดึงแทมุนมาและพยุงแทมุนขึ้นฝั่ง ก่อนที่จะพยายามเอื้อมจับมือของคยองซูที่เอื้อมมาหาอีกคน

    แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้าง ท่อนไม้ขนาดใหญ่ลอยมาตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะกระแทกเข้ากับคยองซูเต็ม ๆ

     

    “คยองซู !

    ผมเบิกตากว้าง ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นเป็นร่างของคยองซูที่กำลังลอยออกห่างจากผมไปไกลพร้อม ๆ กับท่อนไม้นั่น

     

    ผมรีบวิ่งตามคยองซูไปโดยที่ทิ้งแทมุนไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ผมสาวเท้ายาว ๆ ไล่ตามคยองซูที่กำลังไหลไปตามน้ำที่เชี่ยวกราดและฝนที่กระหน่ำลงมา

     

    “แบคฮยอน ! ช่วยด้วย !

    ผมได้ยินเสียงของคยองซูดังเข้ามาในโสตประสาท พร้อม ๆ กับร่างของคยองซูที่จมลึกลงไปในน้ำ มือของคยองซูโผล่พ้นน้ำขึ้นมาและพยายามจะไขว้คว้าอะไรก็ตามที่สามารถช่วยเขาได้

    แต่น้ำมันเยอะเกินไป. . .

     

    สุดท้ายมือของเขาก็จมมิด พร้อม ๆ กับร่างของเขาที่หายไป ต่อหน้าต่อตาผม

     

    “คยองซู !

    ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนรักของตัวเองเสียงดังลั่น และกำลังจะโดดลงน้ำเพื่อไปช่วยคยองซู

     

    “อย่านะแบคฮยอน !

    เสียงของคุณแม่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมหันไป ก่อนที่จะเห็นคุณแม่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนมากับหลวงพ่อที่อุ้มร่างของแทมุนไว้

     

    “แม่ ! คยองซู ! คยองซูจมไปแล้ว แม่ต้องช่วยคยองซูนะ”

    ผมรีบวิ่งเข้าไปหาแม่ กำเสื้อของท่านแน่นพร้อม ๆ กับเขย่าร่างของท่านแรง ๆ

    แววตาของแม่ดูสลดลงพร้อม ๆ กับศีรษะที่ส่ายไปมา

     

    “หลวงพ่อ ! หลวงพ่อทำอะไรซักอย่างสิครับ ! คยองซู คยองซูจมไปแล้ว !

    ผมอ้อนวอนหลวงพ่อ น้ำเสียงของผมมันเริ่มสั่นจนแทบจะกลายเป็นเสียงร้อง มารู้สึกตัวอีกที่ก็รู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างซะแล้ว มันอุ่นซะจนกลบน้ำฝนที่เย็นเฉียบไปเลย

     

    “หลวงพ่อว่าเรารีบกลับไปที่โบสถ์ก่อน แล้วเดี๋ยวหลวงพ่อจะไปตามคนมาช่วยคยองซูเองนะ”

    หลวงพ่อพูดอย่างร้อนรน พร้อมๆกับเอื้อมมือมาจับที่ต้นแขนของผม แล้วออกแรงดึงให้เดินตามท่านไป

    ผมรีบยื้อต้นแขนของตัวเองไว้อย่างนั้น คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน

    “ไม่นะครับ ! ถ้าปล่อยคยองซูไว้แบบนี้ เขาต้องจมน้ำตาย !

    ผมตะโกนสุดเสียง และพยายามจะต้านแรงดึงของหลวงพ่อเอาไว้ แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อคุณแม่อุ้มผมขึ้นอย่างรีบร้อน และพาพวกเราออกมาจากบริเวณนั้น

     

    ผมดิ้นไม่หยุดในขณะที่แม่กำลังอุ้มร่างของผม ผมร้องตะโกนเสียงดังลั่น หูของผมได้ยินแต่เพียงเสียงฝนและเสียงร้องตะโกนของคยองซูที่ยังคงก้องอยู่ในหัว สายตาของผมเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด

     

    คยองซู. . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากที่ฝนหยุดตก. . .ผมกับหลวงพ่อก็รีบกลับไปที่แม่น้ำทันที ผมวิ่งไปถึงที่นั่นอย่างรีบร้อนจนแทบลืมความเหนื่อยล้าไปเลย

    ผมเห็นผู้ใหญ่ชเว แล้วก็คนอื่น ๆ ก็กำลังง่วนกับการตามหาคยองซู บ้างก็เดินตรวจหา บ้างก็กำลังดำน้ำหา. . .

     

    ผมรีบวิ่งเข้าไปหาผู้ใหญ่ชเว แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน

     

    “จ. . .เจอคยองซูมั้ยครับ ?!

    “อา. . .แบคฮยอน”

    “เจอคยองซูมั้ยครับ ? คยองซูอยู่ที่ไหน ? เขาปลอดภัยใช่มั้ยครับ ?”

    ผมเอ่ยถามพร้อม ๆ กับมือที่กำชายเสื้อของเขาแน่น แววตาที่ยังคงมีความหวังของผมทำให้เขากลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก แววตาดูสลดลงเล็กน้อย พร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ

     

    “ตอนนี้ยังไม่เจอเลย ลุงส่งคนไปดูที่ปลายสายแม่น้ำอยู่ หวังว่าจะเจอ”

    และคำพูดนั้นก็ทำเอาผมแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

     

    ผมค่อย ๆ คลายมือออกจากชายเสื้อ ก้มหน้าลงมองพื้นหญ้าสีเขียว และผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

     

    หลวงพ่อเดินเข้ามาโอบไหล่ของผมแล้วลูบหัวของผมเบา ๆ นั่นทำเอาน้ำตามันไหลพรั่งพรูออกมาจนผมหยุดไม่ได้

     

    “ไม่เป็นไรแบคฮยอน. . .”

    “ฮึก. . .หลวงพ่อ. . .เป็น. . .เพราะผม ฮึก. . .”

    ผมพูดพร้อม ๆกับ สะอื้น ขณะที่ก้มหน้าก้มตาปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างไม่อายใคร

     

    มันเป็นเพราะผม. . .เพราะผมช่วยคยองซูไว้ไม่ได้ มันผิดพลาด. . .

     

    “ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นแหละนะ. . .เพราะงั้น เลิกโทษตัวเองได้แล้วแบคฮยอน”

    หลวงพ่อพูดปลอบใจพร้อม ๆ กับลูบหัวผมอย่างเบามือ ผมเงยหน้าขึ้นมามองหลวงพ่อ เอาหลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกอย่างลวก ๆ และสูดน้ำมูกที่กำลังจะไหลออกมาเข้าเต็มแรง

     

    “หลวงพ่อครับ !

    “มีอะไรคืบหน้ามั้ยครับ ?”

    แต่แล้วคนของผู้ใหญ่ชเวก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาหลวงพ่อกับผมพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ

     

    “พวกเราเจอไอ้นี่ครับ มันลอยอยู่ห่างออกจากจุดนี้ไปประมาณ 100 เมตร”

    เขาพูดพร้อม ๆ กับยื่นสิ่งนั้นมา ผมรีบหันขวับไปมอง ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกรอบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

     

    รองเท้า. . .ของคยองซู

    ผมรีบรับรองเท้าข้างนั้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะโอบกอดมันเหมือนกับเป็นของชิ้นสำคัญที่ไม่อยากจะให้มันดิ้นหลุดมือหรือหนีไปไหน. . .

    ไม่ว่ารองเท้าข้างนั้นจะสกปรกขนาดไหน เศษดินเศษโคลนจะติดตามรองเท้ามากเท่าไร หรือมันจะเคยเหยียบย่ำสิ่งสกปรกๆมามากแค่ไหนแล้วก็ตาม

    สิ่งที่ผมรู้สึกตอนนี้คือมันมีค่ามากจริง ๆ

     

    “คยองซู. . .ฉันขอโทษ”

    ผมเอ่ยขอโทษให้กับเจ้าของรองเท้าข้างนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด ก่อนที่ท้องฟ้าจะเริ่มตั้งเค้ามืด

     

    แปะ. . .แปะ

    และแล้วเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง. . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวที่เปียกปอนลงบนเตียงนอนภายในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้. . .

     

    ผมมองเพดานสีขาวสะอาดตาด้วยแววตาที่เหม่อลอย. . .ในขณะที่มือของผมก็กอดรองเท้าข้างนั้นเอาไว้แน่น

    หลวงพ่อบอกให้ผมกลับมาพักผ่อน และรอดูว่าคยองซูยังรอดอยู่มั้ย. . .แต่ท่านก็บอกกับผมว่าให้ทำใจไว้ครึ่งหนึ่งก่อน เพราะคยองซูอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้. . .

    นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันเคว้งคว้าง

     

    คนที่ขึ้นชื่อว่า เพื่อนต้องตายไปต่อหน้าต่อตา มันทำให้ผมรู้สึกแย่ และที่มากไปกว่านั้นก็คือ ผมช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย. . .

     

    พอมานอนคิดแบบนี้แล้วน้ำตามันก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ตาของผมมันบวมช้ำไปหมดจนเริ่มรู้สึกเจ็บ

     

    ผมปาดน้ำตาออก ก่อนที่จะยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง วางรองเท้าคู่นั้นไว้บนที่นอน แล้วลุกไปยืนอยู่ที่หน้าชั้นหนังสือ. . .

    ชั้นหนังสือชั้นบนสุดที่มีกรอบรูปไม้สีขาวตั้งอยู่

     

    ผมเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นมา มันเป็นรูปของผมกับคยองซูในงานวันเกิดของพวกเราทุกคน

     

    จะว่ายังไงดี งานวันเกิด ที่ว่ามันเป็นงานวันเกิดของพวกเราทุก ๆคน เพราะว่าพวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดจริง ๆ หลวงพ่อกับคุณแม่เลยจัดงานวันเกิดของพวกเรา โดยจะจัดในวันที่ 16 มิถุนายนของทุก ๆ ปี. . .

    และนี่ก็ผ่านมาประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว

     

    ผมมองดูรูปนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันเป็นรูปที่ผมกับคยองซูนั่งข้าง ๆ กันและกำลังกินเค้กอยู่ รูปนี้คุณแม่เป็นคนถ่ายให้ และท่านตั้งชื่อรูปนี้ว่า ‘2 พี่ใหญ่ของบ้าน

     

    ผมกับคยองซูเรามีกันคนละรูป ผมเลือกที่จะเก็บมันไว้โดยใส่กรอบรูปและตั้งไว้บนชั้นหนังสือ ส่วนคยองซูนั้นผมไม่รู้ว่าเขาเก็บมันไว้ที่ไหน

     

    แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ. . .

     

    ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง แล้วเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่น ที่น้อง ๆ กำลังนั่งฟังนิทานที่คุณแม่กำลังอ่านอยู่

    คุณแม่ละสายตาจากหนังสือนิทานเล่มหน้าหันมามองผม แววตาของท่านดูสลดลงและเต็มไปด้วยความห่วงใย

     

    “เด็ก ๆ ได้เวลาไปนอนกลางวันกันแล้วนะ,แบคฮยอนมาช่วยแม่ส่งน้อง ๆ เข้านอนหน่อยเร็ว”

    ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะพาน้องๆไปนอนพร้อม ๆ กับคุณแม่

     

    น้อง ๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มของตัวเองอย่างรู้หน้าที่ และผมก็ค่อย ๆ ทยอยห่มผ้าให้น้อง ๆ ที่ละคนพร้อมกับบอกฝันดี

     

    “ฝันดีนะฮานึล”

    ผมพูดพร้อม ๆ กับดึงผ้าห่มให้มาห่มทับตัวของเธอ แต่ดวงตาของเธอยังคงเบิกโพลงอยู่แบบนั้น ในขณะที่น้อง ๆ คนอื่น ๆ กำลังจมลงสู่นิทราเป็นที่เรียบร้อย

     

    “พี่แบคฮยอนคะ. . .”

    เธอเรียกชื่อของผม พร้อม ๆ กับเอื้อมมือมากระตุกแขนเสื้อของผมเบา ๆ

     

    “หืม ?”

     

    “พี่คยองซูล่ะคะ ?”

    เธอเอ่ยถามถึงคยองซูด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัย นั่นทำเอาผมถึงกับจุกและรู้สึกเหมือนกับหายใจแทบไม่ออก. . .

     

    “อ. . .เอ่อ คือ”

    “เดี๋ยวพี่คยองซูก็กลับมาจ๊ะ แม่วานให้พี่เขาไปซื้อของอยู่น่ะ”

    ในขณะที่ผมกำลังอ้ำอึ้งอยู่นั้น คุณแม่ก็เดินเข้ามาตอบคำถามแทน. . .มันเป็นคำโกหกที่ใช้หลอกเด็กได้ดีจริง ๆ

     

    ฮานึลพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะหลับตาลง

     

    ผมเดินออกมาจากห้องของน้อง ๆ พร้อมกับคุณแม่ เราทั้งคู่ปิดประตูเบา ๆ และหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง

     

    “แม่. . .คยองซู. . .”

    “ใจเย็น ๆ ก่อนนะแบคฮยอน ตอนนี้พวกหลวงพ่อกำลังพยายามตามหาเขาอยู่”

    คุณแม่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น พร้อม ๆ กับดึงร่างของผมเข้าไปกอดไว้แน่น

     

    “แทมุนล่ะครับ ?”

    ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และยกมือขึ้นโอบรอบเอวของคุณแม่ กอดตอบท่านอย่างกระหายความอบอุ่น

     

    “โอเคแล้วล่ะ. . .ไม่ต้องคิดมากนะเด็กน้อย”

    เอ่ยตอบพลางใช้มืออุ่น ๆ นั่นลูบเบา ๆ ที่ศีรษะของผมอย่างเอ็นดู ผมฝังใบหน้าเข้ากับอกอุ่นนั่น ก่อนที่จะปล่อยน้ำใส ๆ ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จนเสื้อของคุณแม่เปียกไปหมด

     

    “แบคฮยอน. . .”

    ทันใดนั้นเอง หลวงพ่อที่เพิ่งจะกลับมาจากการตามหาคยองซู เดินเข้ามาหาผม ผมผละออกจากคุณแม่ ก่อนที่จะหันไปตอบรับหลวงพ่อ

     

    “ตามหลวงพ่อมาหน่อยสิ”

    หลวงพ่อเดินเข้ามาโอบไหล่ของผม แล้วพาผมไปที่ห้องสมุด

     

    ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้าง ๆหลวงพ่อ พวกเราหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง และผมก็กำลังนั่งมองสายฝนที่เทลงมาอย่างไม่หยุด. . .ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยซักอย่าง

     

    “แบคฮยอน. . .”

    “ครับ ?”

    “เรื่องของคยองซู. . .”

    “. . .”

     

    “พ่อต้องขอโทษด้วยนะ พวกเราพยายามกันเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่พบเขาเลย”

    ทันทีที่ประโยคนั้นจบ ผมรู้สึกเหมือนกับหูมันอื้อไปเลย หัวใจของผมกำลังถูกบีบเค้นจนเจ็บ. . .

     

    “เขาตายแล้วสินะครับ ?”

    “เรายังการันตีไม่ได้หรอกว่าเขาตายแล้วจริง ๆ รึเปล่า. . .”

    หลวงพ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น ผมปิดเปลือกตาแน่น และขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น มือทั้งสองข้างกำแน่นซะจนเริ่มรู้สึกเจ็บ

     

    ผมควรจะทำยังไง ?

     

    มันช่างสับสน. . .เขาตายแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรอ ?

    คยองซูตายแล้วจริง ๆ หรอ

     

    “พ่อเสียใจจริง ๆ นะ เพราะคยองซูก็คือหนึ่งในครอบครัวของพวกเรา แต่ถ้าเขาจากพวกเราไปแล้วจริง ๆ . . .การที่มัวแต่นั่งเศร้าโศกเสียใจคงทำให้คยองซูไม่สบายใจแน่ ๆ”

    “ผมทราบดีครับ. . .แต่. . .ผม ฮึก. . .”

    “เข้มแข็งหน่อยเด็กน้อยของพ่อ”

    หลวงพ่อเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมพร้อม ๆ กับบีบมันเบา ๆ ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกระรอก แทบนับไม่ได้เลยว่าวันนี้ผมร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ว

    เพียงแค่นึกถึงเรื่องนั้น น้ำตาของผมมันก็มากระจุกที่เบ้าตาทั้งสองข้างซะแล้ว. . .อ่อนแอ


              . . .ผมรู้สึกตัวเองในตอนนี้ช่างอ่อนแอจริง ๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากวันนั้นผ่านมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์. . .

     

    ทุก ๆ ครั้งที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา มองเพดานสีขาวสะอาดภายในห้อง ก็อดคิดถึงเสียงเรียกปลุกของคยองซูไม่ได้ซักที

    ทุก ๆ ครั้งที่ไปโรงเรียนก็อดนึกถึงที่นั่งข้าง ๆ ที่เป็นที่ของคยองซู เข้าตั้งจเรียนในทุก ๆ คาบและเอ็ดผมทุกครั้งเวลาที่ผมแอบหลับ

    ทุก ๆ ครั้งที่อยู่ที่โบสถ์ ภาพของคยองซูที่กำลังเล่นกับน้อง ๆ ก็ลอยแว้บเข้าในหัว เหมือนภาพที่ยังคงติดตา

    และผมก็ยังคงร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่คิดถึงเขา. . .

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกผูกพันกับคยองซูมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาเป็นเพื่อคนแรกในชีวิตของผมที่ผมรู้สึกไว้ใจจริง ๆ. . .

     

    หลังจากที่พวกเราเริ่มหมดหวังกับการตามหาเขา. . .หลวงพ่อและคุณแม่ก็ตัดสินใจบอกน้อง ๆ ว่าคยองซูเจอพ่อและแม่ของเขาแล้ว และคงจะไม่กลับมา. . .มันช่างเป็นเรื่องโกหกที่ดูมีความสุขที่สุดในโลก. . .

    แต่มันเป็นเรื่องโกหกที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากจริง ๆ. . .

     

    หลายครั้งที่ผมคิดว่าโลกนี้ช่างแสนโหดร้าย การถูกทิ้งให้เผชิญโลกภายนอกโดยลำพังเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมมาก. . .ซึ่งพ่อแม่แท้ของผมก็ทำเช่นนั้นกับผม. . .

     

    มันเป็นเรื่องที่หดหู่เมื่อเราถูกใครซักคนที่รักมาก ๆ ทิ้งให้ต้องอยู่ลำพัง. . .

     

     

    “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ทิ้งนาย. . .คยองซู”

    และผมก็ทำผิดสัญญา. . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความทรงจำที่แสนสุขและแสนเศร้าถูกย้อนให้เล่นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนหนังสั้น ในขณะที่ผมกำลังจ้องมองแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ห่างไปเรื่อย ๆ ของคยองซู. . .

    เขารอด. . .และดูเหมือนว่าเขาจะโกรธผม. . .

     

    เป็นเพราะว่าผมทำผิดสัญญารึเปล่า ?

     

    “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ทิ้งนาย. . .คยองซู”





    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ครบร้อยเปอร์แล้วเด้อค่าาาาาาาา
    รู้สึกดีใจ 55555555555555555555555555555
    ถึงห้าสิบเปอร์ที่เหลือจะแลดูกระทัดรัด ก็อย่างงกันเลยนะคะ
    คำผิดเยอะ เพราะรีบปั่นมากๆเลยอย่าถือสากันนะเออ .___.
    เม้นเถิดจะเกิดผล แท็กเถิดจะเกิดผลนะเอ้อ
    แท็กเดิม #อวออล
    แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้านะจ๊ะ 
    ขอบคุณธีมสวย ๆ : 
    △ C R A Z E ˊ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×