Amadeus Requiem - นิยาย Amadeus Requiem : Dek-D.com - Writer
×

    ผู้เข้าชมรวม

    15,477

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    27

    ผู้เข้าชมรวม


    15.47K

    ความคิดเห็น


    162

    คนติดตาม


    493
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  79 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  4 ต.ค. 61 / 10:01 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ขยี้ได้อีก 5555     เอาสิ นิยายเรื่องนี้เคยติดท็อป12มาแล้วนะเหวย (ติดครั้งเดียว อวดได้อีกหลายปี)




     คอนเซ็ปต์ของเรื่องคือ นิยายแฟนตาซีแบบอินดี้ที่ชวนให้ปวดหัวกับความมึนของเรื่องที่มีการหักมุมแบบแปลกๆ รวมถึงการยัดข้อคิดที่แทบไม่จำเป็นเข้ามาในโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบมีหลักการที่คิดโดยไรต์เอง





    เรื่องนี้จะไม่มีการออกทะเลใดๆทั้งสิ้น เพราะตอนนี้เราน่าจะอยู่แถบขอบๆทางช้างเผือกแล้ว





    Vocabulary

    NOTE : ข้อมูลต่างๆเป็นข้อมูลเฉพาะของเรื่องนี้ หากคุณอ่านแล้วคิด "อุ้ย! มันเป็นหลักการจุงเบย" แล้วเอาไปปรับใช้กับนิยายคุณก็ไม่ว่า แต่ส่งลิงค์มาด้วย ตรูจะอ่าน และก็อย่าเอาไปแย้งกับนิยายชาวบ้านเขา หน้าจะแหกโดยไม่รู้ตัว เพราะนิยายของแต่ละคนคือโลกแต่ละใบที่ไม่เหมือนกัน


    พล่ามมานานแล้ว เข้าเรื่องละกัน


    [ลมปราณ]

    เป็นพลังที่เกิดขึ้นจากการมีชีวิต หรือก็คือเป็นพลังที่เกิดขึ้นจากพลังชีวิตซึ่งต่างจากเวทมนต์ที่มีต้นกำเนิดจากพลังวิญญาณ พลังลมปราณนั้น เป็นพลังที่ค่อยข้างมีวิธีการใช้สอยน้อยกว่าเวทมนต์พอสมควร เพราะว่ายึดหลัก เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ตามประวัติศาสตร์ ปรากฎการใช้ลมปราณในการต่อสู้มากกว่าการใช้ในทางอื่นเป็นอย่างมาก เพราะลมปราณเป็นศาสตร์แห่งการฝืนธรรมชาติต่อต้านสวรรค์ ต่างจากเวทมนต์ที่เน้นการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งมากกว่า ลมปราณนั้นเกี่ยวข้องกับสภาพร่างกายอย่างยิ่งยวด ซึ่งขึ้นอยู่กับพลังลมปราณ เส้นชีพจรลมปราณ และความสมบูรณ์ของลมปราณ
    พลังลมปราณนั้นจะบ่งบอกถึงระดับลมปราณของผู้นั้น
    พลังลมปราณสามารถเพิ่มพูนด้วย3วิธี 
    1. การฝึกฝนและทำซ้ำ - เปรียบได้กับการที่น้ำไหลผ่านลำธาร ยิ่งไหลผ่านนานเท่าไหร่ แม่น้ำก็ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นการ "กรุย" เส้นชีพจรลมปราณ เพื่อให้พลังลมปราณไหลเวียนได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
    2. การเพิ่มพูนพลังชีวิต ตามที่กล่าวข้างต้น พลังลมปราณกำเนิดจากพลังชีวิต ดังนั้นการเพิ่มพลังชีวิตจะเป็นการส่งเสริมลมปราณไปในตัว
    3. การเพิ่มพลังลมปราณโดยตรง แต่วิธีนี้อาจเป็นอันตรายได้หากพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นกับพลังชีวิตไม่สอดคล้องกัน
    ทั้งนี้ พลังลมปราณตั้งอยู่ในหลักความสมดุลของพลังตามคำสอนของลัทธิเต๋า





    [ลมปราณเทียม]

    เนื่องจากเหล่าเทพไม่สามารถใช้ลมปราณ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งการขัดขืนฟ้าดินได้ จึงได้มีการคิดค้นลมปราณเทียมขึ้นมา
    โดยใช้พลังเวทย์กลั่นออกมาเป็นลมปราณ ทั้งนี้ลมปราณที่ได้มาจะมีคุณภาพด้อยกว่าลมปราณแท้จริงและยังต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าพลังลมปราณที่ได้พอสมควรด้วย






    [Skill]

    สกิล หรือทักษะ
    ใช้เรียกชุดคำสั่งของการกระทำ อย่างเช่น สกิล[สายลมเทพสังหาร] ประกอบไปด้วย
    การอวยพรของเทพสายลม(เวทย์) --> วายุคำราม(กระบวนท่าลมปราณ) --> เชือดเฉือนดั่งร้อยคมดาบ(กระบวนท่า)
    โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามบุคคล หากมีรูปแบบเฉพาะตัวก็จะถือได้ว่าเป็นปัจเจกวิชาของบุคคลนั้นๆ
    และในการผสานเวทมนต์บางชนิดจะเกิดการสอดคล้องของพลังธรรมชาติกับพลังวิญญาณ ทำให้เกิดผลมากกว่าที่ควรเป็น ซึ่งเรียกว่า [คอมโบ(Combo)] ซึ่งสิ่งนี้ไม่เคยปรากฏในลมปราณแต่อย่างใด




    [การโจมตีระยะไกลของนักดาบ] - เจตจำนงแห่งดาบ

    คิดค้นโดยปรมาจารย์ดาบท่านหนึ่ง
    เป็นการรวมเจตจำนงที่จะฟาดฟันศัตรูให้รวมไว้ที่ใบดาบแล้วฟาดฟันออกมา ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิเศษเฉกเช่นกระบวนท่าลมปราณแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็สามารถสร้างผลลัพท์ที่น่าตื่นตระหนกออกมาได้

    และท่านี้คาดว่าอาจมีตัวตนในประวัติศาสตร์โลกจริงๆก็เป็นได้ ถึงตอนนี้จะเป็นแค่ตำนานที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็เถอะ









    [คำอธิบายของเวทมนตร์จากตอนที่ 6 by Skyrix Wahn Fon Alexire]     (ขี้เกียจสรุป/เขียนเพิ่ม)

    เวทมนต์เป็นศาสตร์แห่งพลังที่ชาวบ้านชาวเมืองในโลกนี้ใช้กันเป็นกันแทบทุกครัวเรือน

    เกิดจากการใช้ [พลังวิญญาณ] ของตัวเองในการชักนำ [พลังธรรมชาติ] รอบๆตัวให้เกิดผลลัพท์ตามที่ตัวเองต้องการ

    ซึ่งระดับพลังเวทย์ เราจะคิดได้จากการคำนวณอัตราส่วนของ พลังวิญญาณที่มีกับความเข้ากันได้กับพลังธรรมชาติ

    ปัจจุบันก็ได้มีการคิดค้นอุปกรณ์ตรวจระดับพลังเวทย์ในเหล่ามนุษย์อยู่ มีรูปร่างคล้ายแว่นตาเลนส์เดียว แต่ตรวจได้เฉพาะระดับของมนุษย์อ่ะนะ พอเอาไปวัดระดับของเทพทีไร มันก็Overloadจนระเบิดไปทุกที

    ส่วนเวทมนต์แบ่งได้เป็น 3 ระดับ

    หนึ่งคือ [เวทย์พื้นฐาน]
    เวทย์ชนิดนี้จะไม่มีบทร่าย ไม่มีระเบียบตายตัว ทำไมน่ะรึ โอ้! ให้ตายสิ การจะบังคับลูกบอลไฟโง่ๆให้พุ่งไปข้างหน้าเหมือนเวทย์ [Fire Ball] กากๆ ในเกมRPGมันจะยากซักแค่ไหนเชียว

    สองคือ [เวทมนต์ธรรมดา]
    แบ่งได้เป็น 3ชนิด 10ระดับ
    ชนิดแรกคือเวทมนต์ทั่วไป แบ่งเป็น10ระดับที่ประเมินจาก พลังที่ใช้ ผลกระทบ ระยะเวลาในการเรียกใช้ อะไรประมาณนั้น เช่น เวทมนต์ระดับ 1 [Enchant]
    ชนิดที่สองคือ เวทมนต์ขั้นสูง
    หรือก็คือเวทมนต์ที่ดีมากๆ
    แบ่งเป็น10ระดับเช่นกัน แต่ในระดับนั้นๆจะถือว่าดีกว่าเวทมนต์ทั่วๆไป
    จำแนกได้ง่ายๆในการเติม S ข้างหลังระดับ เช่น เวทมนต์ระดับ 3s [Holy Blaze]
    ชนิดสุดท้ายคือเวทมนต์มีลิขสิทธิ
    ขออธิบายก่อนเลยนะ ว่าการวาดวงเวทย์ หรือการร่ายมนต์ ไม่ได้จำเป็นในการเรียกใช้เวทย์แต่อย่างใด ปกติจะใช้เพื่อเพิ่มพลังให้กับเวทมนต์เฉยๆ ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้กัน ในฐานะเทพที่ดีเราก็.....
    ปล่อยให้พวกนั้นโง่ต่อไป
    .
    .
    .
    จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แต่ถ้าให้เทพอย่างเราไปช่วยนั่นช่วยนี่จนเกินไป พวกมนุษย์ก็จะคอยแต่หวังพึ่งพวกเราจนไม่ยอมพัฒนาตนเองน่ะสิ ซึ่งในฐานะที่ผมหวังดีต่อมนุษย์อย่างแท้จริงก็ต้องฝืนอดทนความเจ็บปวดรวดร้าวนี้ต่อไป
    เข้าเรื่องต่อเลยละกัน
    เวทมนต์มีลิขสิทธิ คือ เวทมนต์ที่คนสร้างไม่ได้ปล่อยให้ใช้กันตามธรรมดา จำเป็นต้องใช้วงเวทย์ หรือบทร่ายในการสรรเสริญไอ้คนคิด ถึงจะใช้ได้ ถึงจะเป็นเทพอย่างผมก็ไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ ซึ่งการจะจดลิขสิทธิเวทย์ที่ตนเองใช้ จำเป็นต้องใช้เวทย์พิธีกรรมระดับ 10s อันหนึ่ง
    เวทมนต์ในประเภทนี้ เช่น God Blessing ที่ถูกคิดค้นโดยนักบวชท่านหนึ่ง
    ส่วนเวทมนต์ประเภทสุดท้ายคือเวทมนต์ระดับสุดยอด ในประเภทนี้ คนที่ใช้ได้มีไม่มากนัก ตอนนี้ที่ผมรู้ ถ้าไม่ใช่ระดับ [บรรพกาล] คงมีไม่ถึงร้อยนึง รวมผมแล้วล่ะนะ ซึ่งผมก็ใช้ได้ไม่กี่บทซะด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เทพกว่าชาวบ้านชาวช่องในระดับเฉลี่ยอยู่ดี







    [พลังจิต]

    เป็นพลังที่เกิดจากเจตจำนงอันแน่วแน่ มีอำนาจควบคุมอนุภาคพลังธรรมชาติโดยรอบ พลังจิตนั้นเป็นพลังที่เกิดจากเจตจำนงของสิ่งมีชิวิตเท่านั้น












    [ความหมายและความแตกต่างของมาร ปีศาจ และอสูรในแกรนด์]

    มาร - One who stand against the god and belong to this world

     ผู้ที่นับได้ว่าเป็นมารคือผู้ที่ยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าแท้จริง
    ไม่เกี่ยวกับดีหรือชั่ว ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ หากว่าไม่ได้ยืนอยู่บนฝั่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว พวกเขาทุกคนล้วนเป็นมาร
     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นมารก็ไม่ได้หมายความว่าจะโดนรังเกียจ บลาๆๆ  พวกเขาก็ยังคงทำมาหากินเลี้ยงปากท้องในโลกแกรนด์ตามฉบับชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป จนไม่รู้ว่าจะคิดค้นคำคำนี้มาเพื่อเปลืองสมองเล่นๆหรือยังไง?




    ปีศาจ - The Wicked One

     คำว่าปีศาจนั้น มีไว้เพื่อเรียกเหล่าสิ่งมีชีวิตผู้ชั่วร้าย ซึ่งคนบนแกรนด์ไม่ได้เหมารวมว่าสิ่งที่แปลกประหลาดจากตนว่าปีศาจ แต่พวกเขาจะเรียกตามชื่อสายพันธ์ อย่างวัวรูปร่างมนุษย์มีเขาก็เรียกว่ามิโนทอร์ ปลาหมึกตัวใหญ่ๆก็เรียกคราเคน เป็นต้น ดังนั้นคุณๆทั้งหลายไม่ต้องมาดราม่าประมาณว่า "ปีศาจก็มีดีเลวไม่ต่างจากมนุษย์หรอก!" จ้าๆ เอาที่สบายใจเลย แต่ในแกรนด์ ถ้าไม่เลวจริงเขาไม่เรียกว่าปีศาจหรอก และนั่นก็หมายความว่า ถ้าเลวจริงๆ แม้แต่มนุษย์ก็ถูกเรียกว่าเป็นปีศาจได้





    อสูร - The One who different and special

     เป็นปัจเจกชีวิต หรือก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และมีเพียงตัวเดียว ซึ่งทำให้หลายๆคนขี้เกียจต้องมานั่งคิดชื่อเผ่าพันธ์ุ ถ้ามีลูกหลายมากกว่านี้ค่อยคิดละกัน ก่อนหน้านั้นก็ยัดมารวมๆไว้เผ่านี้ก่อน




    อนาเขต - มันก็คืออาณาเขตนั่นแหละ แต่ผมย่อไว้เฉยๆ












    All is Edit by ไรต์ผู้หล่อเหลาหน้าตาดี
    (ตามตรง ผมไม่มั่นใจว่าจะต้องเปลี่ยนนามแฝงหรืออะไรอีกรึเปล่า เลยได้แต่ใช้จุดเด่นของผมในการแทนตัวเอง หวังว่ารีดเดอร์จะเข้าใจในตัวผมนะ)
















    จากภาพนี้ทำให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากหัวร้อนทนไม่ไหวกับความอินดี้ของผมเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากยังเตรียมใจมาไม่พอก็ไม่แนะนำให้อ่าน เพื่อสวัสดิภาพของทั้งสองฝ่าย (ยังไม่อยากโดนดักตีหัวนะ)






    สถานะ : ภาค3 - สมดุลแห่งสวรรค์และปฐพี





    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น